ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 436 งานอภิปรายของพรรคฟ้าดิน
บทที่ 436 งานอภิปรายของพรรคฟ้าดิน
สวี่ชีอันเอียงศีรษะ มองเห็นดวงตาดอกท้อที่เป็นประกายคู่หนึ่ง ช่างมีเสน่ห์ งดงาม เป็นดวงตาที่ทำให้น่าหลงใหลยิ่งนัก
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ยิ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของใบหน้า หญิงสาวที่สามารถทำให้ยากที่จะลืมได้ โดยปกติมักจะมีดวงตาที่มีออร่าเปล่งประกายออกมา
หลินอันมีดวงตาดอกท้อที่งดงาม แต่เมื่อนางจ้องมองมาที่เขา ดวงตาจะขมุกขมัว ด้วยเหตุนี้จึงมีเสน่ห์และน่าหลงใหลเป็นพิเศษ
เมื่อถูกดวงตาเช่นนี้มองมา เขาก็จะอดใจไม่ไหวที่จะหยอกเย้านาง และยินยอมมอบหัวใจของตนเองให้แก่นาง
เดิมทีสวี่ชีอันที่ตั้งใจจะหยอกล้อนาง กลับเปลี่ยนใจ หัวเราะเสียงเบา “เปล่า ตำราพิชัยสงครามข้าเป็นคนเขียนเอง ไม่เกี่ยวกับเว่ยกง”
ยายตัวร้ายยิ้มอย่างประหลาดใจออกมา นางได้รับคำตอบที่พึงพอใจแล้ว และพึงพอใจอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องโกหกฮว๋ายชิ่งด้วยเล่า”
หลินอันกระโดดต๊อกๆ กระโปรงสีแดงราวกับคลื่นไฟที่โหมซัดสาด
“เพราะองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป สิ่งที่นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ยากจะล้มล้างและเปลี่ยนแปลง และเมื่อก่อนข้าไม่เคยแสดงความรู้ใดๆ เกี่ยวกับวิชายุทธ์มาก่อน นางคงคิดว่าตำราพิชัยสงครามเขียนมาจากเว่ยกง ความจริงแล้วก็สมเหตุสมผล”
สวี่ชีอันกล่าวอธิบาย
“อีกอย่างถึงนางจะไม่เชื่อเจ้า แต่ข้าเชื่อเจ้ามาก ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรข้าก็จะเชื่อ” หลินอันพึมพำอย่างภาคภูมิใจ
ความไร้เดียงสาก็ยังมีข้อดีของมันอยู่…สวี่ชีอันคิดในใจ
หากพบเจอคนดีเช่นเขาแบบนี้ หญิงสาวที่ไร้เดียงสาคงมีความสุข แต่หากพบเจอกับผู้ชายสารเลว หัวใจของหญิงสาวที่ไร้เดียงสาก็จะถูกผู้ชายสารเลวแทะโลม
สวี่ชีอันที่ไม่เคยล้อเล่นกับหัวใจของหญิงสาว เขากลับยิ่งชื่นชอบเรือนร่างของหญิงสาวมากกว่า
ก่อนออกจากเขตพระราชฐาน สวี่ชีอันก็หันกลับไปมอง เห็นราชวังที่ยิ่งลึกลงไปอีก
หากโลกภายนอกมีเส้นทางลึกลับที่นำไปสู่วังหลวงจริงๆ เช่นนั้นจะเป็นที่ใด?
ไต้ซือเหิงหย่วนพบความลับอะไรบางอย่างอีกครั้ง คนที่บังคับจักรพรรดิหยวนจิ่งก่อเรื่องเสียเป็นเรื่องราวใหญ่โตถูกจับกุม
…
บนเวทีภายนอกราชวิทยาลัยหลวง มีบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสีขาวยืนอยู่บนนั้น อธิบายอย่างสมจริงสมจัง ถึงองค์ความรู้ในการประชุมในครั้งนี้จนน้ำลายกระเด็น
“คนของแดนเหนือนั้นชื่อเผยหม่านซีโหลวมีความรู้อย่างมาก โต้วาทีกับเหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ถึงหลักพระคัมภีร์และนโยบายทางการเมือง อย่างไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง เมื่อเหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหมดหนทาง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น จางจี่เหยียนของสำนักอวิ๋นลู่ก็มาถึง…”
ด้านล่างเวที กลุ่มคนฟังด้วยความเพลิดเพลิน เวลานี้ก็ถอนหายใจในที่สุด และพากันหัวเราะกล่าว
“เมื่อปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่มา เช่นนั้นเพราะมั่นใจเกินไป คนของแดนเหนือนั่นจะหยิ่งผยองไม่ออกเชียวหรือ”
“ใช่ ใครไม่ทราบบ้างว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่มีความรู้สูงส่ง สูงเหมือนกับหอดูดาว”
บัณฑิตสวมชุดขงจื้อที่อยู่บนเวทีส่ายหน้า กล่าวอย่างจนใจ “ไม่ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็แพ้เช่นกัน ใครจะคิดว่าคนของแดนเหนือนั่นจะหยิบตำราพิชัยสงครามเล่มหนึ่งออกมา หลังจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นเห็น ถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
ประชาชนที่อยู่ด้านล่างเวทีโมโหไม่หยุด และโกลาหลอย่างดุเดือด
“แม้แต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็พ่ายแพ้?”
“แพ้ให้กับคนจากแดนเหนือจริงๆ หรือ ช่างน่าชิงชังนัก ปัญญาชนต้าฟ่งต่างไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์”
“น่าโมโหยิ่งนัก มากกว่าสมณทูตสำนักพุทธของปีที่แล้วเสียอีก”
ประชาชนในตลาดด่าทออย่างไม่สนใจอะไร
บัณฑิตที่อยู่บนเวทีทำท่ากดมือลง “ทุกคนใจเย็นๆ เอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งโวยวาย หากแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรมแล้ว เหตุใดข้าถึงยังยืนอยู่ตรงนี้อีกเล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่รวมตัวกันรอบๆ ไม่เพียงแต่ไม่เงียบเท่านั้น แต่กลับส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“เร็วเข้าเร็วเข้า อย่าอุบไว้”
“ปราชผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็แพ้แล้ว เช่นนั้นเป็นผู้ใดที่ชนะคนของแดนเหนือกันแน่?”
บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงยิ้มกล่าว “อย่ารีบร้อน ฟังข้ากล่าวต่อ เวลานั้น มีใต้เท้าหนุ่มของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินท่านหนึ่งยืนขึ้นมา บอกว่าต้องการโต้วาทีตำราพิชัยสงครามกับเผยหม่านซีโหลว ใต้เท้าหนุ่มท่านนี้ชื่อสวี่ซินเหนียน เป็นน้องชายของฆ้องเงินสวี่…”
เขาอธิบายอย่างสมจริงสมจังว่าสวี่ซินเหนียนหยิบตำราพิชัยสงครามออกมา และทำให้เผยหม่านซีโหลวชื่นชมด้วยความเลื่อมใสอย่างไร
หลังจากได้ยินเช่นนี้ คนรอบข้างก็ส่งเสียงเชียร์และปรบมือ อวดว่าพี่น้องต่างสุดยอดทั้งคู่ และชมว่าพี่น้องบ้านสกุลสวี่ทั้งสองต่างเป็นคนที่โดดเด่นไม่หยุด
บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงจงใจหยุด เพื่อดูผู้คนชมเชยสวี่ซินเหนียนอย่างน่าขยะแขยง รอจนพอได้ที่แล้ว เขาก็เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน กล่าวเสียงดัง “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าผู้ใดคือคนเขียนตำราพิชัยสงคราม?”
เหล่าชาวบ้านหยุด และมองเขาอย่างงุนงง
บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงกล่าวเสียงดัง “คือฆ้องเงินสวี่ ซือขุยฆ้องเงินสวี่ของพวกเราต้าฟ่ง”
ทุกใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและปีติยินดี
ต้องขอบคุณการยกย่องอย่างยิ่งใหญ่และการโฆษณาชวนเชื่อที่เหล่าบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงมีต่อสวี่ชีอัน ข่าวคราวที่สวี่ชีอันใช้ตำราพิชัยสงครามเล่มเดียว จนทำให้คนของแดนเหนือชื่นชมด้วยความเลื่อมใสแพร่ออกทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ประชาชนที่อยู่ในตลาดทั้งหลายไม่สนใจความรู้ของเผยหม่านซีโหลว เพียงทราบว่าระยะเวลาไม่กี่วันมานี้คนของแดนเหนือคนนี้ยิ่งผยองยิ่งนัก แม้แต่ราชวิทยาลัยหลวงต่างยอมแพ้
เดิมพวกเขาคาดหวังให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ออกหน้า และเอาชนะความเย่อหยิ่งของคนของแดนเหนือ สุดท้ายข่าวคราวที่แพร่กระจายกลับเป็น ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็พ่ายแพ้เช่นกัน
คนที่ได้ยินข่าวคราวนี้มีทั้งประหลาดใจทั้งโมโห รู้สึกเศร้าและเสียดายที่ไม่ได้สิ่งตามความคาดหวัง แต่หลังจากนั้น ราวกับเปลี่ยนจากโกรธเป็นยินดี ฆ้องเงินสวี่ให้น้องชายทำหน้าที่แทน หยิบตำราพิชัยสงครามออกมา ทำให้คนของแดนเหนือเลื่อมใสในพริบตาเดียว
ตำนานลึกลับของฆ้องเงินสวี่ ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่องแล้ว
นักเล่าเรื่องตบโต๊ะชมเปาะ ในที่สุดพวกเขาก็มีหัวข้อเรื่องใหม่แล้ว แม้เหล่าประชาชนต่างรู้สึกให้ความสนใจอย่างยิ่ง ต่อเรื่องราวพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ และเรื่องการต่อต้านกบฏแปดพันนายเพียงลำพัง แต่สุดท้ายก็ฟังซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน
ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถเล่าเรื่องที่ต่างออกไปได้แล้ว
…
สวี่ชีอันและหลินอันจากไปไม่นาน ฮว๋ายชิ่งก็ตามออกจากเขตพระราชฐาน นั่งรถม้าสุดหรูหราราคาแพงลิ่วมาถึงปากประตูที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว
หลังจากถ่ายทอดการรายงาน ฮว๋ายชิ่งก็ดึงกระโปรงขึ้น ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม เดินไปยังหอเฮ่าชี่ชั้นเจ็ดเพื่อพบเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนยืนอยู่หน้าแผนที่คานอวี๋ จ้องอย่างพินิจ ไม่ได้หันกลับมา ยิ้มกล่าว “เหตุใดองค์หญิงจึงมีเวลาว่างมาหากระหม่อมที่นี่ได้”
ฮว๋ายชิ่งคารวะหนึ่งครั้ง เมื่อนางอยู่ต่อหน้าเว่ยเยวียน จะคิดว่าตนเองคือรุ่นหลังเสมอ และไม่หยิบเอาฐานะองค์หญิงมาเล่นตัว
“ข้ามาเพราะต้องการตำรา” เสียงของนางเย็นชา
เว่ยเยวียนหันกลับมาที่โต๊ะ หยิบพู่กัน กล่าว “กระหม่อมให้ตำราที่เขียนด้วยลายมือแก่องค์หญิงหนึ่งเล่ม พระองค์ต้องการตำราอะไรหรือ ไปหยิบเอาที่คลังเอกสารก็ได้”
ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกายด้วยความปรารถนา “ข้าต้องการตำราพิชัยสงครามเล่มนั้น เว่ยกง เจ้าเก่งกาจด้านการทหาร กลับไม่เคยเขียนเพื่อเผยแพร่เลย ช่างเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดายเสียจริง หากตอนนี้ตำราของท่านออกมาให้เห็น คงเป็นเกียรติของต้าฟ่ง”
เว่ยเยวียนส่ายหน้าช้าๆ และกล่าวอย่างอ่อนโยน “ตำราเล่มนั้นข้าไม่ได้เป็นคนเขียน”
ไม่ใช่? สีหน้าฮว๋ายชิ่งแข็งทื่อขึ้นทันใด ดวงตามองเว่ยเยวียนอย่างง่วงงุน ไม่นานนัก รูม่านตาของเธอก็กลับมาจดจ่ออีกครั้ง ความรู้สึกที่อยู่ในใจราวกับการสะท้อนของกระแสน้ำ
‘ตำราพิชัยสงครามนั้นสวี่ชีอันเป็นคนเขียนจริงๆ ด้วย เขาเก่งกาจด้านการทหารเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ แถมยังปิดบังอย่างล้ำลึกเช่นนี้’…
นางทั้งประหลาดใจ ทั้งคับแค้นใจเล็กน้อย สวี่ชีอันตั้งใจไม่อธิบาย และจงใจทำให้นางอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนยิ้มกล่าว “บอกตามตรง ข้ามีความคิดอยากพาเขาลงสนามสู้รบเล็กน้อย อัจฉริยะเช่นนี้ ขัดเกลาไม่กี่ปี ต้าฟ่งก็จะมีผู้นำที่มีความสามารถอีกหนึ่งคน”
ฮว๋ายชิ่งยับยั้งอารมณ์ ฉีกยิ้มกล่าว “ลอบพาไปก็ได้”
เว่ยเยวียนหลับตา กล่าวเสียงเบา “ไม่พาไปแล้ว”
…
สำนักโหราจารย์ แท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์นั่งอยู่ทางทิศตะวันออก หยางเชียนฮ่วนนั่งอยู่ทางฝั่งตะวันตก อาจารย์และศิษย์ก็หันหลังชนกัน ไม่ได้โอบกอด
“ใช้ได้ ค่ายกลที่ควรเข้าใจ เจ้าก็เข้าใจในขั้นแรกแล้ว อย่างมากสามปี เจ้าก็จะสามารถลองเลื่อนระดับขั้นเป็นนักเทียนจีได้” ท่านโหราจารย์พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้อกำหนดของการเลื่อนระดับเป็นนักเทียนจีมีอะไรบ้างหรือขอรับ” หยางเชียนฮ่วนถามด้วยความสนใจอย่างมาก
เขาอยู่ในขั้นที่สี่มาห้าปีแล้ว ความจริงถึงเวลาที่ต้องก้าวไปอีกขั้นได้แล้ว การเลียนแบบสวี่ชีอันไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง ซึ่งทำให้หยางเชียนฮ่วนเข้าใจหลักเหตุผลข้อหนึ่ง
คนธรรมดามีขีดจำกัด หากต้องการอยู่เหนือสวี่ชีอัน ก็ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้
“ดูดาวเป็นเวลาสามปี หากตระหนักถึงบางสิ่ง ก็บรรจงวาดค่ายกล และปิดกั้นตนเองสามปี” ท่านโหราจารย์กล่าวอย่างช้าๆ
“ไม่สามารถออกไปข้างนอก และพบเจอผู้คนเป็นเวลาหกปี?”
“หกปีคือความเร็วที่ไวที่สุด หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้มากพอ ก็จะเป็นหกปีแล้วก็หกปี จนถึงบั้นปลายชีวิต ก็อาจไม่สามารถเลื่อนขั้นได้” ท่านโหราจารย์ดื่มสุรา พลางกล่าวอย่างปลงตก
“การออกจากการเป็นคนธรรมดา มันง่ายเสียที่ใดกัน?”
หยางเชียนฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “อาจารย์ ข้าแค่อยากเป็นคนธรรมดา นักเทียนจี ไม่เป็นก็ช่าง!”
ท่านโหราจารย์ก็ไม่สนใจเขาอีก
เวลานี้ เสียงฝีเท้าที่เบาหวิวขึ้นบันไดมา หญิงงามใบหน้าเล็กรูปไข่ที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองเดินขึ้นมายังแท่นแปดทิศ พลางกล่าวอย่างรีบร้อน
“ศิษย์พี่หยาง งานชุมนุมวรรณกรรมสิ้นสุดลงแล้ว พวกเราต้าฟ่งชนะ”
หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างราบเรียบ “ศิษย์น้องไฉ่เวย งานที่น่าเบื่อของปัญญาชน ข้าไม่สนใจ”
ฉู่ไฉ่เวยหรี่ตา “สวี่ชีอันก็แสดงมือแล้ว”
หยางเชียนฮ่วนปรากฏตัวต่อหน้าฉู่ไฉ่เวยในชั่วพริบตา จ้องมองนางจนท้ายทอยสว่างวาบ
“สวี่ชีอันแสดงฝีมือแล้ว? เขาท่องกวีหรือ? อ่า น่าอิจฉาเสียจริง ทว่า การชุมนุมวรรณกรรมรอบนี้แข่งขันด้านการทหาร เขาเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น บังคับให้ท่องกวี เพื่อแสดงถึงการมีชีวิตอยู่ของตนเอง ข้ากำลังคิดว่าเป็นทางลัด สวี่ชีอันตกต่ำลงแล้ว”
‘บังคับให้ท่องกวี เพื่อแสดงถึงการมีชีวิตอยู่ของตนเอง นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่เองหรือ’…ฉู่ไฉ่เวยสบถคำหยาบอย่างบ้าคลั่งในใจ กล่าวฮึดฮัด
“สวี่ชีอันไม่ได้ท่องกวี เขาไม่แม้แต่จะปรากฏตัวด้วยซ้ำ”
หยางเชียนฮ่วนส่งเสียง ‘หือ’ ด้วยท่าทางสงสัย
ฉู่ไฉ่เวยกล่าวอย่างชัดเจน “เขาเขียนตำราพิชัยสงครามเล่มหนึ่ง ให้สวี่ซินเหนียนหยิบออกมาในงานชุมนุมวรรณกรรม หลังจากที่เผยหม่านซีโหลวเห็น จึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ แม้กระทั่งยอมนับตนเองเป็นศิษย์น้อง ตอนนี้ตำราเล่มนั้นกลายเป็นตำราล้ำค่าที่ทรงอำนาจมากที่สุดแล้ว…เฮ้ ศิษย์พี่หยาง ท่านเป็นอะไรไปหรือ”
“ทักษะที่ชอบทะนงตนไม่ยอมใครของสวี่ สวี่หนิงเยี่ยน รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว อย่างสมบูรณ์ เรื่องใหญ่แล้ว เรื่องใหญ่แล้ว…” หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างตื่นเต้น
ศิษย์พี่กำลังกล่าวอะไรหรือ! ฉู่ไฉ่เวยเหลือบมองท้ายทอยเขา กล่าว “เป็นเพราะเขาได้ล่วงเกินฝ่าบาท ดังนั้นถึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ มิฉะนั้นด้วยนิสัยของสวี่หนิงเยี่ยน คงอดใจไม่ไหวที่จะโอ้อวดไปทั่ว”
“ไม่ ไม่ เจ้าไม่เข้าใจ!”
หยางเชียนฮ่วนปฏิเสธอย่างดุเดือด และเขาก็ชูมือทั้งสองอย่างตื่นเต้น
“คนที่ชอบโอ้อวดไม่ทะนงตนอย่างสุดโต่ง แท้จริงก็เป็นคนเช่นนี้ ตัวไม่มา แต่กลับสามารถทำให้ทุกคนประหลาดใจ ตัวไม่มา แต่กลับสามารถทำให้คนของแดนเหนือชื่นชมด้วยความเลื่อมใสได้ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ทำและกล่าวอะไรด้วยซ้ำ แต่กลับพลิกเมืองหลวงจนเกิดความโกลาหลอย่างบ้าคลั่ง
“สวี่หนิงเยี่ยนเอ๋ยสวี่หนิงเยี่ยน เจ้าช่างเป็นศัตรูของชีวิตข้าเสียจริง ต้องมีสักวันที่ข้าจะอยู่เหนือเจ้า และเหยียบเจ้าให้จมดิน ข้าจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับความสามารถของเจ้าให้ได้ ยิ่งเจ้าสูงส่งมากเท่าใด ข้าก็จะยิ่งร่ำเรียนให้มากขึ้นเท่านั้น ภายภาคหน้า เจ้าจะต้องเสียใจ”
ฉู่ไฉ่เวยกะพริบตาปริบๆ กล่าวอย่างไร้เดียงสา “เช่นนั้นอันดับแรก ศิษย์พี่ท่านต้องเขียนตำราพิชัยสงครามสักหนึ่งเล่มก่อน”
หยางเชียนฮ่วนตัวแข็งทื่อในทันใด ราวกับประติมากรรมที่ไร้ชีวิต
สักพัก เขาก็กล่าวพึมพำ “เป็นคนธรรมดาช่างมีขีดจำกัดเสียจริง อาจารย์ ข้า ข้าไม่อยากเป็นคนธรรมดาแล้ว…”
โลกมนุษย์มิคู่ควร! ท่านโหราจารย์ถอนหายใจอย่างอ้างว้าง
…
กลางดึก
สวี่ชีอันนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง โดยมีจงหลีที่ตัวเล็กกะทัดรัดนั่งอยู่บนหลัง ท่านหมอจงใช้วิชานวดกดจุดลมปราณขั้นสูงของนาง แทนการขจัดโรคไขข้อและบำรุงเลือดของสวี่ชีอัน มีชื่อย่อว่าม้าต้าฟ่งฆ่าไก่
“สบายจัง…”
สวี่ชีอันส่งเสียงชมเชย กึ่งถอนหายใจ กึ่งครวญคราง กล่าว “กล่าวขึ้นมาแล้ว ข้าก็เชี่ยวชาญด้านการนวดกดจุดมากเหมือนกัน เพียงแค่ฝูเชียงจากไปแล้ว จึงยังไม่มีหญิงนางใดโชคดีเช่นนี้ชั่วคราว ศิษย์พี่จง เจ้าจะยินดีเป็นคนที่โชคดีนางนี้หรือไม่”
จงหลีส่ายหน้าเงียบๆ แม้ไม่รู้ว่าเขากล่าวหมายความว่าอย่างไร แต่ถูกต้องแล้วที่ส่ายหน้า
สวี่ชีอันโกรธเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าก็อย่านั่งบนหลังข้า ก้นใหญ่ขนาดนี้ ทับตัวข้าหมดแล้ว”
“อ้อ!”
จงหลีตอบรับเสียงเบา ลุกออกมาจากร่างกายเขา หยิบรองเท้าลายปัก และกลับที่นั่งของตนเองไป
หลังจากส่งจงหลีกลับไปแล้ว สวี่ชีอันก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา หยิบแสงเทียนสลัวที่อยู่บนโต๊ะตามเข้ามา ส่งข้อความลงไป ‘วันนี้พี่ใหญ่ของข้าไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พบว่าคนค้ามนุษย์ที่อยู่ใต้อำนาจผิงหย่วนป๋อในวันนั้น ถูกประหารตัดศีรษะแล้ว’
หมายเลขสอง ‘เหอเหอ พี่ใหญ่ของเจ้าสุดยอดยิ่งนัก’
ฉู่หยวนเจิ่นไม่เข้าใจการเสียดสีของหลี่เมี่ยวเจิน คิดว่านางกำลังชื่นชมความสามารถของสวี่ชีอัน จึงส่งข้อความต่อไป
‘ความจริงข้าสงสัยว่าตำราพิชัยสงครามเว่ยเยวียนเป็นคนเขียน แต่ยืมมือของศิษย์น้องหนิงเยี่ยนส่งมอบให้ฉือจิ้ว เพื่อยืมในการกดขี่คนของแดนเหนือในครั้งนี้ อืม เกี่ยวกับเรื่องของเหิงหย่วน ข้าคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หยวนจิ่งจับกุมไต้ซือเหิงหย่วน แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนมั่นใจว่าเหิงหย่วนอาจยังไม่ตาย
‘เช่นนั้นหากข้าเป็นหยวนจิ่ง ข้าจะต้องผนึกเขาไว้ในสถานที่ที่ข้าสามารถมองเห็นเป็นแน่ คำถามคือ มีสถานที่หยวนจิ่งสามารถมองเห็นได้ที่ใดกัน อีกทั้งเป็นสถานที่ที่คนอื่นหาไม่เจอ?’
หมายเลขสอง ‘พระราชวัง!’
จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินตอบคำถามอย่างชาญฉลาด
ฉู่หยวนเจิ่นส่งสารต่อไป ‘เมี่ยวเจินกล่าวถูก แต่ตามการรายงานของสวี่หนิงเยี่ยน วันนั้นสายสืบของไหวอ๋องไม่ได้เข้าวัง แม้กระทั่งเข้าเขตพระราชฐาน’
สวี่ชีอันใจเต้นกระตุก ‘เจ้าจะกล่าวว่า เส้นทางลับสู่วังหลวง อยู่ในเมืองหลวงชั้นใน?’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งสารกล่าว
‘ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก พวกเจ้าคงเคยเห็นแผนที่ของเมืองหลวงกันแล้วกระมัง เส้นทางในเมืองหลวงชั้นใน ตรงกลางคั่นด้วยเขตพระราชฐานแห่งหนึ่ง หากเริ่มออกเดินทางจากประตูใดประตูหนึ่งของเมืองหลวงชั้นใน ควบม้าด้วยความเร็ว ก็ต้องใช้เวลาสองเค่อจึงจะมาถึงเขตพระราชฐาน และจากเขตพระราชฐานเข้าพระราชวัง ระยะทางยาวเกินไป ข้าไม่เชื่อว่าจะมีระยะทางที่ยาวเช่นนี้’
แบบนั้นก็ไม่ใช่ทางบก แต่เป็นทางอุโมงค์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
อยากจะขุดอุโมงค์ แถมยังต้องขุดอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แม้จะเป็นถึงจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่สามารถขุดอุโมงค์ที่มโหฬารได้
อีกอย่างการใช้แรงงานและทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นประชาชนในเมืองหลวงมีมากมาย หากขุดอุโมงค์ผ่านจากพื้นดินใต้บ้านคนอื่นไป ก็คงรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ฉู่หยวนเจิ่นส่งสาร ‘ความคิดของข้าคือ จะมีวรยุทธ์หลบหนีใต้ดินหรือไม่?’
หมายเลขสอง ‘อันดับแรก เป็นการยากที่จะฝึกวรยุทธ์หลบหนีใต้ดิน มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถควบคุมวรยุทธ์นี้ได้ นอกจากนี้ จะต้องอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีภูมิลักษณ์ที่เพียบพร้อมเท่านั้นจึงสามารถใช้ได้’
หมายเลขห้า ‘อะไรคือภูมิลักษณ์?’
ลี่น่าทำหน้าที่บริวารหน้ารถม้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หมายเลขสอง ‘ภูมิลักษณ์ก็คือภูมิลักษณ์ ข้าอธิบายไม่ถูก แต่โหรอธิบายได้ โหรเชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย ทราบว่าอะไรคือภูมิลักษณ์ หมายเลขสามที่มีความรอบรู้และเก่งกาจของพวกเรา คงทราบกระมังว่าอะไรคือภูมิลักษณ์’
เมี่ยวเจินทราบว่าจงหลีอยู่ในห้องข้า จึงส่งสัญญาณให้ข้าไปถามนาง…
จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินช่างมีความซื่อสัตย์เสียจริง สามารถอดทนต่อความอึดอัดและไม่เปิดโปงข้าได้ จุ๊บๆ…สวี่ชีอันหันหน้า มองไปยังจงหลีที่อยู่บนเก้าอี้เล็ก “เจ้าทราบหรือไม่ว่าอะไรคือภูมิลักษณ์”
………………………………………………………..