ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 437 หมายเลขหนึ่งเป็นฝ่ายริเริ่ม
บทที่ 437 หมายเลขหนึ่งเป็นฝ่ายริเริ่ม
จงหลีเงยหน้าขึ้น เอียงศีรษะ คิดไม่นาน กล่าว “ภูมิลักษณ์ก็เหมือนกับเส้นลมปราณของมนุษย์ เส้นทางของภูเขาและแม่น้ำต่างได้รับผลกระทบจากภูมิลักษณ์”
หยุดสักพักก็กล่าวต่อ “ภูมิลักษณ์เป็นคำที่เรียกรวมๆ แบ่งเป็นสิบสองประเภท จับคู่กับสิบสองเส้นลมปราณหลักของร่างกายมนุษย์ มันอยู่ในวิชาฮวงจุ้ยที่สำคัญที่สุด ดินแดนที่มีภูมิลักษณ์จึงจะเป็นทำเลทองตามหลักฮวงจุ้ย โดยเฉพาะการสร้างบ้านและเลือกสุสานถือเป็นภูมิลักษณ์หลัก…”
สวี่ชีอันฟังจนรู้สึกชาที่หนังศีรษะ กล่าวกระชับหน่อย พลางตอบกลับในกลุ่มหนังสือปฐพี ‘ภูมิลักษณ์ก็เช่นเดียวกับเส้นลมปราณของมนุษย์ ที่มีปฏิกิริยากับสิบสองเส้นลมปราณหลัก’
จบ
เหล่าคนของพรรคฟ้าดินรอมาครึ่งค่อนวัน ไม่ได้ดูถึงตอนจบ เงียบลงมาสักพักแล้ว นี่เท่ากับว่าไม่ได้กล่าวอะไร
ทว่าสวี่ชีอันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นช่วงที่จะซื้อบ้านและพาฉู่ไฉ่เวยไปดูฮวงจุ้ย ในบ่อน้ำบ้านสกุลสวี่มีผีสาวอยู่ตัวหนึ่ง และเป็นวิญญาณที่ไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้เพียงลำพัง
ตอนฉู่ไฉ่เวยลงไปตรวจสอบบ่อน้ำ ค้นพบใต้บ่อมีชีพจรหยินอยู่หนึ่งสาย
ชีพจรหยินเมื่อคิดดูแล้วก็คือลักษณะพื้มภูมิประเภทหนึ่ง
คิดมาถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ถามขึ้นอีก “ศิษย์พี่จง ในเขตพระราชฐานมีภูมิลักษณ์หรือไม่?”
จงหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เขตพระราชฐานแน่นอนว่ามีภูมิลักษณ์ ชื่อของมันคือชีพจรมังกร”
ไม่รอให้สวี่ชีอันไล่ถาม นางก็อธิบายอย่างใส่ใจ
“ชีพจรมังกรคือส่วนขยายของโชคชะตา หกปีก่อน ต้าฟ่งสร้างเมืองหลวงในพื้นที่แห่งนี้ ภูมิลักษณ์ของเมืองถูกหล่อเลี้ยงด้วยความสิริมงคล ได้รับการปลุกเสกเบิกเนตรโชคชะตาของประเทศ และพลังปณิธานของประชาชน เวลานานเข้า ก็จะกลายเป็นชีพจรมังกรแล้ว”
ชีพจรมังกรคือรูปแบบหนึ่งของภูมิลักษณ์ แต่ชีพจรมังกรก็เป็นส่วนขยายของโชคชะตาด้วย…สวี่ชีอันกล่าวอย่างครุ่นคิด “ชีพจรมังกรมีหน้าที่อะไรหรือ”
จงหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด
”ก็เช่นเดียวกับฮวงจุ้ยสุสานบรรพบุรุษหากถูกทำลาย ก็จะกระทบถึงคนรุ่นหลังได้ ชีพจรมังกรและดาบสยบดินแดนมีผลลัพธ์เหมือนกัน ที่จะกดโชคชะตาทั้งประเทศไว้ ปลายปีราชวงศ์ต้าโจว เฉียนจงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ นำความแค้นเคืองของประชาชนเข้าสู่เมืองต้าโจว โดยใช้ความตายเป็นเดิมพัน พุ่งชนโชคชะตาสุดท้ายของราชวงศ์ต้าโจว สิ่งที่เขาพุ่งชน ก็คือชีพจรมังกร
“มีสุภาษิตบทหนึ่งในหมู่พวกเราเหล่าโหร ผู้ที่ได้ชีพจรมังกรคือผู้ที่ได้ครองแผ่นดิน”
ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่รู้สึกเหมือนน่าเกรงขามยิ่ง…สวี่ชีอันส่งสาร ‘มีชีพจรมังกรในเขตพระราชฐาน’
จากนั้นจึงถามจงหลีอีกว่า “เจ้าสามารถจัดการกับชีพจรมังกรได้หรือไม่?”
จงหลีงงเป็นเวลานาน กล่าวอย่างอ่อนแรง “ชีพจรมังกรกดโชคชะตาของประเทศไว้ แม้จะเป็นท่านโหราจารย์ก็ไม่กล้าแตะต้องมันอย่างง่ายดาย”
สวี่ชีอันรายงานลักษณะของชีพจรมังกรให้ทุกคนในพรรคฟ้าดินทราบอีกครั้งโดยทันที
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างวิเคราะห์ ‘หากแม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ไม่กล้าแตะต้องมันอย่างง่ายดาย เช่นนั้นสายลับของไหวอ๋องยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะยืมลักษณพื้นภูมิเพื่อหลบหนี ความคิดของข้าผิดพลาดแล้ว?’
การคาดเดาตกอยู่ในภาวะแช่แข็ง ที่แม้แต่สวี่ชีอันก็ยังไม่มีความคิดเห็นชั่วคราว
ในเวลานี้ ทันใดนั้นหมายเลขหนึ่งก็กล่าวขึ้นมา ‘เรื่องของเหิงหย่วนข้าจะตรวจสอบเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า พวกเจ้าใครก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว’
เอ๋ หมายเลขหนึ่งเป็นฝ่ายริเริ่มเช่นนี้ ช่างไม่เข้ากับนิสัยของเขาหรือนางเอาเสียเลย…สวี่ชีอันตกตะลึง
ในบรรดาผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หมายเลขหนึ่งเป็นคนที่ถ่อมตัว และมีสถานะที่ลึกลับที่สุด หมายเลขเจ็ด หมายเลขแปดไม่มีทางโผล่มาอย่างมีสาเหตุแน่ มีเพียงหมายเลขหนึ่งคนเดียวที่น้อยครั้งจะโผล่มา เข้าร่วมอภิปรายน้อยครั้ง กลับกดเข้าและออกไป
ไม่เคยออฟไลน์มาเจอหน้าผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างรู้สึกถึงความผิดปกติ การริเริ่มอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ ไม่เข้ากับสไตล์ตามปกติของหมายเลขหนึ่งเลย
หมายเลขหนึ่ง ‘ในพรรคฟ้าดิน นอกจากข้า ไม่มีใครสามารถเข้าเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ ส่วนข้าสามารถหาทางเข้าราชวังได้ ไม่ว่าจะเป็นเหิงหย่วนหรืออุโมงค์ ข้าก็มีความได้เปรียบ และปลอดภัยมากกว่าพวกเจ้า
แน่นอน หากต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะขอความช่วยเหลือแน่ หวังว่าทุกท่านจะไม่ปฏิเสธ’
เหตุผลนี้มีความสมเหตุสมผล และง่ายที่จะทำให้ทุกคนยอมแพ้ แต่ทำให้สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความ โล่งอก
แท้จริงแล้ว เขตพระราชฐานและราชวังในตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นสถานที่ต้องห้าม ถึงแม้สวี่ชีอันจะสามารถแอบเข้าเขตพระราชฐานได้ ก็แค่เป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายฮว๋ายชิ่งและหลินอันเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขที่จะขยับได้ตามลำพัง
‘เป็นการดีที่จะหยิบยืมโอกาสในครั้งนี้ หยั่งเชิงความสามารถของหมายเลขหนึ่ง รวมถึงสถานะของเขา’…ฉู่หยวนเจิ่นคิดในใจ
‘หมายเลขหนึ่งสามารถเข้าเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ ส่วนจะสามารถหาทางเข้าพระราชวังได้ นี่ก็เห็นได้ชัดว่าสถานะของเขาสูงมาก เป็นหนึ่งในองค์ชาย? องค์ชายผู้สืบสายพระโลหิตหรือขุนนางสำคัญ?’ หลี่เมี่ยวเจินแอบคาดเดา
‘ฟู่ เรื่องของไต้ซือเหิงหย่วนในที่สุดก็มีคนรับช่วงต่อเสียที เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว นอนได้นอนได้’…ลี่น่าคิดอย่างมีความสุข
…
สองวันต่อมา การนับจำนวนครั้งในการอภิปรายของคณะทูตปีศาจกับราชสำนักยังไม่มีบทสรุป ทั้งสองฝ่ายไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันในขณะนั้น
สวี่ชีอันอยู่ห่างไกลจากศาล และไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สองวันมานี้เขาเอาแต่แอบมาหลบในจวนเล็กของคนตายเงียบๆ เหตุผลก็คือหลังจากเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรม ปัญญาชนจากทุกสารทิศต่างเดินทางมายังบ้านสกุลสวี่เพื่อส่งบัตรเชิญไม่หยุด
มีบางคนต้องการเยี่ยมเขา บ้างก็อยากนัดเขาเพื่อไปดื่มสุรา บ้างก็อยากจะยกหญิงสาวหรือน้องสาวให้แต่งงานกับเขา แถมยังแนบสี่เสาแห่งโชคชะตามาด้วย
ช่วงพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ชื่อเสียงของสวี่ชีอันได้แพร่กระจายไปทั่ว แต่ปัญญาชนยังคงมีอคติต่อเขาอยู่ ไม่ได้ปฏิบัติเช่น ‘คนกันเอง’ อย่างสิ้นเชิง
หลังคดีการสังหารหมู่ฉู่โจว จ้าวโส่วประกาศต่อสาธารณชนในศาลว่าสวี่ชีอันเป็นน้องชายเขา สวี่ชีอันจึงกลายเป็น ‘คนกันเอง’ ในสายตาของปัญญาชนอย่างเป็นทางการ แต่ทว่าตอนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งโมโหในครั้งนั้น ไม่มีใครกล้าตีสนิทกับสวี่ชีอันเท่านั้น
หลังความวุ่นวายของงานชุมนุมวรรณกรรม สวี่ชีอันก็กลายเป็นที่ชื่นชอบ
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเล็ก เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถรอเฉยๆ อยู่ที่บ้านอย่างแท้จริงก็คือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนของสำนักอวิ๋นลู่
วันก่อน เสียงลมดังมาก เปลือกตาของสวี่ชีอันกระตุกอยู่ตลอด
เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วมา สวมชุดขงจื๊อที่ถูกซักจนเป็นสีขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่งกายเหมือนปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
สวี่ชีอันนำอาจารย์ในนามเข้าไปในห้องโถงด้วยความเคารพ รินน้ำชาชั้นดีให้ หลังจากพูดคุยกัน จ้าวโส่วก็ถาม “นึกไม่ถึงว่าหนิงเยี่ยนจะเก่งกาจด้านการทหาร เช่นนั้นยังมีต้นฉบับตัวเขียนอื่นอีกหรือไม่”
จ้าวโส่วมาอ่านตำรา เขาต้องการถือโอกาสนำตำราเก็บไว้ในหอเก็บตำราของสำนักศึกษา
ไม่มีต้นฉบับตัวเขียน แต่ช่วงนี้อดไม่ได้ที่คิดแต่จะเร่งมือเขียน…สวี่ชีอันที่ไม่ได้เข้าใกล้หญิงสาวมาสี่เดือนแล้ว ปฏิเสธจ้าวโส่วอย่างน่าเสียดาย
ในเวลานี้ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ เฉินไท่ ก็เข้ามาเยี่ยมด้วยกัน
เมื่อเห็นเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามต่างมองแบบดูถูก
จางเซิ่น “ไอ้โจรขโมยกวี!”
เฉินไท่ “ไอ้หัวขโมย!”
หลี่มู่ไป๋ “ไอ้โจรไร้ยางอาย!”
ทั้งสามพูดพร้อมกัน “ถุย!”
จากนั้นเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วก็โกรธจัด เปล่งเสียงร่ายเวท สะบัดแขนเสื้อ “ถอยกลับไปหนึ่งร้อยลี้”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามสะบัดแขนเสื้อ “ไม่ถอย!”
“ถอยกลับไปหนึ่งร้อยลี้”
“ไม่ถอย”
“ถอยกลับไปหนึ่งร้อยลี้”
“ไม่ถอย”
ในการประลองฝีมือวรยุทธ์ที่บุกเบิกรูปแบบใหม่ของสนามแห่งนี้ สวี่ชีอันก็แอบออกจากบ้านสกุลสวี่ไปแล้ว เมื่อเดินไปและหันกลับมา เห็นแจกันที่อาสะใภ้วางไว้แตกกระจายอยู่ที่พื้น
เห็นสวี่หลินอินเข้าร่วมสนามรบ ยืนอยู่ข้างๆ ‘ทุยๆๆ…’
หลี่เมี่ยวเจินช่วยยายเด็กโง่เขลาออกมาอย่างสุดชีวิต มิฉะนั้นนางก็คงถูกส่งออกไปหนึ่งร้อยลี้แล้ว
การใช้ชีวิตของพระมเหสีผ่านไปอย่างชุ่มฉ่ำ ไม่ใช่ร่างกายที่ชุ่มฉ่ำ แต่เป็นจิตใจ
มีอิสรเสรี เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย การเดินทางไม่มีขาดแคลน สวี่ชีอันมักจะไปเที่ยวตลาด กินขนมหวาน ชมการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนนางอยู่บ่อยๆ
รากบัวเก้าสีเจริญงอกงามอย่างดีเยี่ยม มันเริ่มที่จะแตกหน่อและเติบโตขึ้นเล็กน้อย สวี่ชีอันคาดหวังว่ามันจะใหญ่กว่าของนักบวชเต๋าจินเหลียนรากนั้น
ท้องฟ้าในยามพลบค่ำนี้ หลังจากที่สวี่ชีอันปลอมตัวที่หอคณิกา และขี่แม่ม้าน้อยสุดที่รัก กลับบ้านสกุลสวี่ไป
ช่วงอาหารเย็น อาสะใภ้ปกล่าว “ข้าให้หลิงเยวี่ยเชิญคุณหนูบ้านสกุลหวางมาเป็นแขกในจวนวันมะรืนนี้ ชายที่อยู่บ้านอย่าลืมที่จะหลบหลีกกันด้วยเล่า นอกจากนี้ มารยาทที่พึงมีก็ต้องมีบ้าง
“ว่าเจ้า ว่าเจ้าอยู่นะ สวี่หลินอิน เจ้านี่แหละที่ไร้มารยาทที่สุด”
สวี่หลินอินที่กินไม่มีความสำรวมเสียนิดเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างสงสัย “เช่นนั้นท่านอาจารย์และพี่สาวเมี่ยวเจินมาเป็นแขกที่จวน ข้าก็เป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่เห็นท่านแม่ว่าข้าไร้มารยาทเล่า?”
“จะเหมือนกันได้อย่างไรกัน นั่นคือภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้ามาของพี่รองเจ้า” อาสะใภ้กล่าว
“ภรรยาคืออะไรหรือ?” สวี่หลินอินถาม
อารองกล่าว “ท่านแม่ของเจ้าก็คือภรรยาของข้า เข้าใจหรือยัง”
สวี่หลินอินกล่าวอย่างตกใจ “นางจะมาเป็นท่านแม่ของข้าหรือ?”
ทุกคนก้มหน้ารับประทานอาหาร ยอมแพ้ความคิดที่จะอธิบายคำว่า ‘ภรรยา’ ให้แก่เสี่ยวโต้วติงฟัง ความจริงแล้วการอธิบายนั้นช่างซับซ้อนเสียจริง แม้คำว่าภรรยาจะเป็นคำนาม แต่เมื่อผู้ชายต้องการจะแต่งงานกับภรรยา ก็อยากจะเปลี่ยนมันเป็นคำกริยา
ความหมายที่อยู่ด้านในนั้นลึกซึ้ง เกินกว่าที่เด็กอายุหกขวบจะเข้าใจ
“สรุปคือเจ้าเพียงแค่ต้องเป็นเด็กดี อย่าสร้างปัญหา วันหลังแม่จะพาเจ้าไปกินสมองลิงที่หอฝูหม่าน” อาสะใภ้บอก
สมองลิงเป็นเมนูพิเศษของหอฝูหม่าน
“ข้าจะกินซาหมองลิง” ความสนใจของสวี่หลินอินเปลี่ยนไปตามคาด
“สมอง”
“ซาหมอง”
“…”
อาสะใภ้ทำหน้างอไม่พูออะไรอีก
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม!” สวี่เอ้อร์หลางส่งเสียกระแอมไอ เพื่อทำลายบรรยากาศที่แข็งตึง และมองสวี่ชีอัน “พี่ใหญ่ ช่วงนี้ข้าจำได้อีกส่วนหนึ่งแล้ว หลังอาหารเย็นท่านมาหอตำราของข้าสักประเดี๋ยว”
สวี่ชีอันดีใจ พยักหน้าช้าๆ “ได้”
หวังว่าในบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิพระองค์ก่อนจะมีเบาะแสอะไรบ้าง มิฉะนั้น ข้าก็ไม่รู้จะสืบอย่างไรเหมือนกัน หรืออาจทำได้แค่ยอมแพ้…
หลังมื้ออาหารเย็น พี่น้องทั้งสองก็เข้าห้องตำรา จุดเทียน นั่งลงที่โต๊ะ โดยที่สวี่เอ้อร์หลางท่อง สวี่ชีอันฟัง
จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นจักรพรรดิที่เรียบง่าย ไม่มีบุญไม่มีโทษจนถึงขึ้นสู่สรวงสวรรค์ นิสัยค่อนข้างอ่อนโยน ลุ่มหลงในตัณหาและเกียจคร้านเล็กน้อย เพราะเหตุผลนี้ ถึงให้ผู้ช่วยทั้งสองมีอำนาจอยู่ในมืออย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้คิดดูแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งมีอำนาจมหาศาล เชี่ยวชาญด้านถ่วงสมดุล ส่วนใหญ่รับบทเรียนจากจักรพรรดิพระองค์ก่อน
การฟังที่น่าเบื่อยังคงดำเนินต่อไป เวลาผ่านไป ทันใดนั้น มีประโยคหนึ่งทำให้สวี่ชีอันที่เซื่องซึมตื่นเต้นขึ้นมา
จักรพรรดิพระองค์ก่อน ‘นักบวชเต๋าบำเพ็ญตนอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเทพเซียนและมนุษย์ อาจทำให้ลมปราณเดียวเปลี่ยนเป็นวิชาไตรวิสุทธิเทพได้?’
หัวหน้านิกายมนุษย์ ‘กล่าวถึงลมปราณเดียวเปลี่ยนเป็นวิชาไตรวิสุทธิเทพ หนึ่งในทั้งสามนิกาย นิกายปฐพีคือที่สุด’
จักรพรรดิพระองค์ก่อน ‘นิกายปฐพีบำเพ็ญบุญกุศล เดินทางไปยังโลกมนุษย์ เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ไม่ทราบว่าจะนำเข้าพบได้หรือไม่’
หัวหน้านิกายมนุษย์ ‘ได้!’
“จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงสงสัยอย่างมากต่อลมปราณเดียวเปลี่ยนเป็นไตรวิสุทธิเทพ…อืม หัวหน้านิกายปฐพีในสมัยจักรพรรดิพระองค์ก่อน น่าจะเป็นหัวหน้าที่ตกสู่ทางมารท่านนั้น…’
สวี่ชีอันคิดไปคิดมา ทันใดนั้นร่างก็แข็งทื่อ แสดงท่าทางหยุดชะงักออกมา
ในคดีการสังหารหมู่ฉู่โจว ร่างแยกของหัวหน้านิการปฐพีก็มีส่วนร่วมด้วย จักรพรรดิหยวนจิ่งและหัวหน้านิกายปฐพีมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด เหตุใดจักรพรรดิหยวนจิ่งและหัวหน้านิกายปฐพีถึงคบคิดกันได้
ที่แท้เมื่อก่อนหัวหน้านิกายปฐพีเคยมาเมืองหลวง…เขาต้องเคยติดต่อจักรพรรดิพระองค์ก่อน ในสมัยที่จักรพรรดิหยวนจิ่งยังเป็นองค์ชายเป็นแน่…
ว่าแล้วเชียว สืบค้นการบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิพระองค์ก่อนถูกต้องแล้ว รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้มีปัญหาใดๆ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะร่องรอยของสิ่งที่ไม่สำคัญเหล่านี้เอง ทำให้เชื่อมโยงสัมพันธ์แบบเป็นเหตุเป็นผลออกมาเป็นทอดๆ
สวี่ชีอันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ฟังอย่างรอบคอบ สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังคือ ในบันทึกชีวิตประจำวันไม่มีข้อมูลการพบกันของจักรพรรดิพระองค์ก่อนและหัวหน้านิกายปฐพี
คงออกไปข้างนอก หรือไม่ก็ไม่อยู่ในพระราชวัง ดังนั้นอาลักษณ์จึงไม่ได้ตามอยู่ข้างกายจักรพรรดิ
เทียนไขค่อยๆ ดับลง สวี่เอ้อร์หลางพ่นลมหายใจ “ส่วนด้านหลังข้ายังไม่ทันได้อ่าน”
สวี่ชีอันออกจากห้องตำราในทันที และกลับไปยังห้องของตนเอง
…
เช้าตรู่
หวางซือมู่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ภายใต้การช่วยเหลือของสาวใช้ ทำทรงผมเป็นที่นิยมที่สุดในช่วงนี้เสร็จเรียบร้อย เขียนคิ้ว ทาปาก ใบหน้ารูปไข่แต่งแต้มทาด้วยฝุ่นผงมุกหนึ่งชั้น และค่อยทาด้วยชาดทาแก้มสีแดงเล็กน้อย
มีความรู้สึกของการแต่งหน้าแตกต่างออกไปจากเดิมกันเล็กน้อย ทั้งประณีต และไม่สวยหยาดเยิ้มจนเกินไป
นางสวมชุดกระโปรงที่เป็นทางการสีใบบัวหนึ่งตัว ปักอย่างหรูหราและสง่างาม เนื้อผ้าที่แพงลิ่วและรูปแบบที่ซับซ้อน เพื่มความสูงส่งอยู่หลายส่วน
การแต่งกายในชุดนี้ ผ่านการคิดไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี นายหญิงบ้านสกุลสวี่เป็นหญิงสาวที่จิตใจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ มีการจัดการที่ยอดเยี่ยมยิ่ง และเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของนางในอนาคต
ดังนั้น หากนางอาศัยฐานะบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการ ทั้งเอิกเกริก และโอ้อวดกำลัง กลับถูกอีกฝ่ายจับช่องโหว่ และใช้การล่าถอยเพื่อเดินหน้า กล่าวโทษว่านางหวางซือมู่ขาดการอบรมสั่งสอน
ดังนั้น ต้องไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ และเดินตามสายกลาง
“เฝ้ารอคอยแล้วสิ…”
นางเป็นบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวาง เมื่อยังเป็นเด็กเห็นมารดาและภรรยาน้อยทะเลาะกันต่อหน้าและลับหลัง เคยเห็นนางสนมที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำพยายามต่อสู้ และแย่งชิงตำแหน่งบุตรสาวเอกของนาง
แต่เมื่อถึงสมัยเป็นเด็กสาว คนที่เลวทรามป่าเถื่อนเหล่านี้ ทั้งหมดได้กลายเป็นเรื่องราวในอดีตที่เหมือนควัน
ตำแหน่งที่คุณหนูหวางอยู่ในจวนหวาง ก็เหมือนผู้โดดเดี่ยวแสวงหาความพ่ายแพ้ นั่งอยู่บนยอดเขา ก็ขาดแค่การดีดฉินที่โดดเดี่ยว
ในบ้านไม่มีคู่แค้น นางก็ ‘เล่นหยอกเย้า’ กับเหล่าคุณหนูที่ยังไม่แต่งงานอยู่ด้านนอก เคยเอาชนะหญิงสาวผู้สูงส่ง เคยกำราบองค์หญิงราชนิกุล และหญิงสาวข้าราชการระดับสูงในเมืองหลวง คนที่สามารถทำให้คุณหนูหวางนับถือ และกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจได้ ก็มีเพียงฮว๋ายชิ่งบุตรสาวตนโตของจักรพรรดิเท่านั้น
แต่ต่อมา นางถึงพบว่าจวนสวี่เล็กๆ หลังหนึ่ง แอบซ่อนหญิงสาวที่ไม่ควรดูหมิ่นไว้นางหนึ่ง และหญิงสาวนางนี้ก็อาจจะเป็นแม่สามีในอนาคตของนาง
วันก่อน หลังจากได้รับคำเชิญที่คุณหนูบ้านสกุลสวี่ส่งมา หวางซือมู่ก็ทราบแล้วว่า นายหญิงบ้านสกุลสวี่ท่านนั้นวางแผนนัดเจอตนเองอย่างเป็นทางการสักครา
นี่เป็นเรื่องที่ดี และไม่ดีในคราวเดียวกัน
ดีตรงที่นายหญิงบ้านสกุลสวี่ในที่สุดก็ยอมรับตนเองแล้ว ว่าเป็นลูกสะใภ้ที่น่าพอใจคนหนึ่ง
ไม่ดีตรงที่การเชื้อเชิญในครั้งนี้ เกรงว่าจะเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว หากนางรับมือได้ไม่ดี และตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นไปได้มากว่าในอนาคตอาจจะถูกข่มเหงเอาได้
แต่ว่า เพราะเหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจ
คุณหนูหวางเป็นหญิงสาวที่ต่อสู้ได้ดีนางหนึ่ง สมองของนางเต็มไปด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดไม่มีทางแสดงออกมา หากแม่สามีในอนาคตเป็นคนที่มีวิธีการธรรมดา เช่นนั้นมันก็น่าเบื่อเกินไป
ผิวเผินนุ่มนวลอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วอาจเป็นคุณหนูจอมวางแผนของบ้านสกุลสวี่ก็ได้
สวี่เอ้อร์หลางที่พูดจาน่าฟัง ฉลาดปราดเปรื่องด้านวรรณกรรม
รวมทั้งสวี่ต้าหลางที่ทำให้ฝ่าบาทเกลียดคันฟัน ทำให้ทั้งคนชั้นสูงทั้งราชสำนัก และองค์ชายต่างหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สามารถสอนรุ่นหลังให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ นายหญิงบ้านสกุลสวี่ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่ใครต่อใครต่างคิดก็สั่นเทา
“แต่ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ ถึงทำให้คุ้มค่าที่จะรอคอย”
หวางซือมู่พาสาวใช้และผู้ติดตามไปด้วย และเข้าไปในรถม้าด้วยความกล้าหาญและทรงพลัง
…
สวี่ชีอันนั่งอยู่กลางห้องโถง กินขาหมูซอสน้ำแดง ลี่น่าและสวี่หลินอินเข้ามาตีเนียนกินฟรีด้วย
อาสะใภ้กำลังสั่งการคนใช้ในบ้านทำความสะอาดจวน และกวาดใยแมงมุมออก…
“ทำให้สะอาดๆ หน่อย คนเขาเป็นบุตรสาวของใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ ฐานะสูงส่ง ไม่อาจไร้มารยาท และไม่อาจทำให้คนเขาดูถูก สวี่หนิงเยี่ยน สวี่หลินอิน!”
อาสะใภ้หันมามอง พบว่าหลานชายพาบุตรสาวแอบกินอาหารที่นางซื้อมาจากภัตตาคาร ก็โมโหขึ้นมาทันที
“เจ้าทั้งสองจะยั่วโมโหข้าใช่หรือไม่ เจ้าดีนักนะสวี่หนิงเยี่ยน ตนเองเอ้อระเหยลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยทั้งวัน จนทุกวันนี้ยังไม่มีหญิงสาวคนใดคบหา อิจฉาที่เอ้อร์หลางนำหน้าเจ้าไปหนึ่งก้าวใช่หรือไม่”
อาสะใภ้ท่านเข้าใจผิดแล้ว วันหลังข้าจะพาท่านพายเรือไปยังบ่อปลาของข้า ในนั้นเต็มไปด้วยจระเข้ และปลาฉลามที่ดุร้าย…
อาสะใภ้ไล่หลานชายและบุตรสาวออกไปจากห้องโถง และพาคนใช้ทำงานต่อ
เพื่อสามารถที่จะสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่บุตรสาวบ้านสกุลหวาง และเพื่อสามารถที่จะสร้างสัมพันธ์อันสงบสุขได้ อาสะใภ้เพียรพยายามอย่างยิ่ง
………………………………………………….