ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 438 ความตื่นตระหนกของหวางซือมู่
บทที่ 438 ความตื่นตระหนกของหวางซือมู่
เสี่ยวโต้วติงถูกอาสะใภ้ไล่ออกจากห้องโถง จึงต้องเล่นอยู่ที่ลานบ้านเพียงคนเดียว
อาสะใภ้กระแอมครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มให้หลานชาย “เอ่อ หนิงเยี่ยน ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนเจ้าทำอาหารหลายอย่างในครัว มีรูปแบบและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์มาก เอิ่ม อาคิดว่า คุณหนูหวางเป็นบุตรสาวของท่านสมุหราชเลขาธิการ อาหารแปลกๆ และราคาแพงคงจะกินจนเบื่อแล้ว ลองชิมอาหารที่แตกต่างดูบ้าง…”
“อ้ออ้อ ข้าจะไปสอนแม่ครัวในครัวเอง”
สวี่ชีอันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูการแสดงดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสักครู่ ตอนนี้นี้อาสะใภ้ขอร้องอะไร เขายอมทำตามทุกอย่าง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เสี่ยวโต้วติงถูกไล่ออกจากห้องโถงแล้ว ก็เล่นอยู่ที่ลานบ้านเพียงคนเดียวอยู่สักพักก็รู้สึกเบื่อ จึงได้วิ่งไปที่ห้องของสวี่หลิงเยวี่ยผู้เป็นพี่สาว
ใกล้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สวี่หลิงเยวี่ยกำลังตัดชุดสำหรับสวมใส่ในฤดูใบไม้ร่วงให้กับพี่ใหญ่ ผ้าที่ใช้คือผ้าต่วนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระราชทานให้
ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของสวี่หลิงเยวี่ยนั้นยอดเยี่ยมกว่าใคร ชุดคลุมยาวที่นางตัดเย็บนั้นสวยและปราณีตกว่าที่ซื้อจากร้านค้าเสียอีก
หลี่เมี่ยวเจินพาผีสาวซูซูมาช่วย แน่นอนว่าเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ย่อมทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น แต่ตอนที่ซูซูยังมีชีวิตอยู่ นางเป็นบุตรสาวผู้เรียบร้อยของตระกูลที่มีชื่อเสียง
งานศิลปะด้านต่างๆ และงานเย็บปักถักร้อย ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นทั้งสิ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสื้อผ้าของหลี่เมี่ยวเจิน หรือแม้แต่เอี๊ยม ล้วนเป็นฝีมือของซูซูที่เป็นผู้สอนเหล่าผีสาวทำการตัดเย็บ
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองน้องสาวที่ปีนขึ้นไปหยิบขนมบนโต๊ะ นางปักผ้าไป พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“หลิงอิน เจ้าอยากมีพี่สะใภ้หรือไม่”
“พี่สะใภ้คืออะไร” สวี่หลิงอินเริ่มกินอีกแล้ว
“พี่สะใภ้ก็คือภรรยาของพี่รอง ต่อไปจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเงินของครอบครัว” สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเสียงอ่อนโยน
สวี่หลิงอินส่งเสียง “อ้อ” นางยังไม่ถึงวัยที่จะรู้ถึงความสำคัญของอำนาจทางการเงิน แต่กลับเป็นซูซู ที่หัวเราะเยาะออกมา
“คุณหนูหลิงเยวี่ยพูดเช่นนี้ ลำพังแค่เงินเดือนของพี่รองของเจ้า จะประคับประคองค่าใช้จ่ายของบ้านสกุลสวี่ได้? ท่านแม่ของเจ้าซื้อดอกไม้และต้นไม้ล้ำค่า ต้องใช้เงินสิบกว่าตำลึงเงิน เป็นเงินที่ใครหามากันแน่”
สวี่หลิงเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “มันคือเงินที่พี่ใหญ่หามา”
บ้านสกุลสวี่โชคดีถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งเมื่อหลิงหลงเกิดคลุ้มคลั่ง สวี่ชีอันช่วยชีวิตองค์หญิงหลินอันมีความดีความชอบ จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงทรงพระราชทานทรัพย์สินให้เป็นรางวัลจำนวนหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งก็คือครั้งที่ทรงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ก็ได้รับพระราชทานเงินก้อนโตและที่นา
ในช่วงที่โชคดีทั้งสองครั้ง สวี่หลิงเยวี่ยนำเงินไปซื้อร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายเครื่องประทินโฉม ร้านขายผ้าไหมผ้าแพร และร้านขายของชำ เป็นต้น ร้านค้าเหล่านี้บริหารงานในนามอาสะใภ้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสวี่หลิงเยวี่ยเป็นผู้ควบคุมดูแล
โชคดีครั้งที่สาม ก็คือโรงงานผงปรุงรสไก่แบ่งเงินกำไรตอนต้นปี นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาลที่คาดไม่ถึง ทำให้บ้านสกุลสวี่ร่ำรวยขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเงินมากเกินไป ผู้หญิงที่ดูแลงานบ้านด้วยความขยันหมั่นเพียรและประหยัดมัธยัสถ์อย่างอาสะใภ้ คงไม่ผลาญเงินปลูกดอกไม้เป็นประจำเช่นนี้
แน่นอนว่า ดูภายนอกทรัพย์สินของบ้านสกุลสวี่นั้น ไม่นับรวมเงินส่วนตัวที่สวี่ชีอันซ่อนอยู่ในเศษของหนังสือปฐพี
เงินของทางการ ทองแท่ง และสมบัติล้ำค่าที่เฉากั๋วกงสะสม มากพอที่จะกองเป็นภูเขาลูกเล็กๆ
ซูซูทำเสียง “หึหึ” สองครั้ง แล้วพูดไม่หยุดว่า “ดังนั้น ถ้าต่อไปจะต้องดูแลการเงินในบ้าน ก็ต้องเป็นภรรยาของสวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนดูแล”
สวี่หลิงเยวี่ยตวัดสายตาที่แหลมคม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้นแม่นางซูซูคิดว่า ในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก ใครคู่ควรกับพี่ใหญ่ของข้ามากที่สุด”
ซูซูหลบเลี่ยงคำถามเอาเป็นเอาตายของสวี่หลิงเยวี่ยได้อย่างแยบยล พึมพำว่า
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร พี่ใหญ่ของเจ้าเจ้าชู้ประตูดิน ยอมจ่ายเงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวคณิกาของสำนักสังคีต…”
คำพูดนี้ตรงไปตรงมาจนทำให้สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกเจ็บปวด
สวี่หลิงเยวี่ยคนนี้ กำลังสงสัยว่าซูซูมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพี่ใหญ่ของนาง สัญชาตญาณไวมาก…ซูซูก็ไม่เลวเช่นกัน โต้กลับด้วยเรื่องเงินแปดพันตำลึงเพื่อเสียดแทงหัวใจสวี่หลิงเยวี่ย…เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์นั่งอยู่ข้างๆ กินขนมดูการแสดงอย่างสบายใจ
สวี่หลิงอินกินขนมในห้องของพี่สาวอยู่สักพัก สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนางฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกน่าเบื่อ ดังนั้นจึงหยิบไม้บรรทัดสำหรับตัดผ้าวิ่งออกไป โบกไม้บรรทัดไปมาในลานบ้าน ส่งเสียงฮู่ๆ ฮ่าๆ ราวกับตัวเองเป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ
เล่นไปตลอดทางจนถึงประตูจวนสกุลสวี่ เมื่อเห็นประตูกลางที่เคยปิดอยู่เปิดออก สวี่หลิงอินจึงโยนไม้บรรทัดทิ้ง ปีนขึ้นไปบนธรณีประตูสูงแล้วกางแขนออกแล้วเล่นทรงตัวอยู่บนนั้น
“หลิงอิน รีบกลับ รีบกลับ เดี๋ยวจะมีแขกมา”
เหล่าจางคนเฝ้าประตูโบกมือ
สวี่หลิงอินยืนอยู่บนธรณีประตู พยายามทรงตัว เอียงศีรษะแล้วถามว่า “ภรรยาของพี่รองใช่หรือไม่”
“…” เหล่าจางคนเฝ้าประตูไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงโบกมืออีกครั้ง
ทันทีที่สวี่หลิงอินเอียงศีรษะ ก็ตกลงมาจากธรณีประตูสูง นางปัดก้น แล้ววิ่งหนีไปอย่างร่าเริง
…
อีกด้านหนึ่ง เสียงล้อรถดังกึกกึก รถม้าคันหรูของหวางซือมู่ค่อยๆ จอดตรงประตูจวนสกุลสวี่
สาวใช้หยิบเก้าอี้ออกมาจากใต้รถม้า แล้วรับคุณหนูลงจากรถ
หวางซือมู่เหลือบมองไปที่ประตูจวนสกุลสวี่ แล้วพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าจะสู้บ้านสกุลหวางที่ได้รับพระราชทานไม่ได้ แต่บ้านขนาดใหญ่ในเขตเจริญของเมืองชั้นในเช่นนี้ นับว่ากำลังทรัพย์บ้านสกุลสวี่นั้นมีมากมายทีเดียว
หลังจากดูแลการเงินของจวนสกุลสวี่มาหลายปี หวางซือมู่มองเพียงปราดเดียว ก็ประเมินได้ว่าบ้านหลังนี้มูลค่าอย่างน้อยก็สูงถึงเจ็ดพันตำลึง
เมื่อเหล่าจางคนเฝ้าประตูรู้ว่าแขกผู้มีเกียรติมาถึง ก็รีบกุลีกุจอไปต้อนรับ นำหวางซือมู่และสาวใช้คนสนิทเข้าไปในจวน
หวางซือมู่สูดหายใจลึก ปรับอารมณ์ เดินข้ามธรณีประตู…
ทันใดนั้น เท้าของหวางซือมู่ก็เหยียบอะไรบางอย่าง เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นเป็นไม้บรรทัดอันหนึ่ง
‘ไม้บรรทัดเป็นสัญลักษณ์ของกฎระเบียบ นายหญิงของบ้านสกุลสวี่ ทิ้งไม้บรรทัดไว้ที่ประตู เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตรียมไว้สำหรับข้า นี่เท่ากับต้องการสร้างกฎระเบียบให้ข้า…’ สีหน้าของหวางซือมู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในใจคิดว่านายหญิงของบ้านสกุลสวี่นี้ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เหลือเกิน อยู่ร่วมกันยากจริงๆ
สาวใช้เห็นนางหยุดเดิน จึงถามว่า “คุณหนู เป็นอะไรไปปเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร” หวางซือมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม้บรรทัดตกอยู่ตรงนี้ เก็บขึ้นมา แล้วนำไปคืนให้เขาด้วย”
‘ไม่แน่ว่าจะเป็นการเตือน บางทีนายหญิงบ้านสกุลสวี่อาจจะต้องการหยั่งเชิงข้า ท่านพ่อของข้าเป็นถึงสมุหราชเลขาธิการ หากแต่งงานกับเอ้อร์หลางจริงๆ ก็เท่ากับเป็นการแต่งงานกับคนที่มีฐานะทางสังคมที่ต่ำกว่า นางเกรงว่าข้าจะเป็นคนหยิ่งยโสชอบหาเรื่องวิวาท ดังนั้นจึงโยนไม้บรรทัดไว้เพื่อเป็นการหยั่งเชิง’
‘หากข้าเป็นบุตรีที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจจริงๆ ก็ต้องมีนิสัยเดือดดาล แต่ข้าไม่ได้เป็นคนที่มีความคิดตื้นเช่นนั้นอย่างแน่นอน…’
วันนี้นางไม่คิดที่จะต่อสู้กับนายหญิงของบ้านสกุลสวี่ อย่างที่กล่าวกันว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” วันนี้นางมาเพื่อสอดแนมข่าว
‘ทำความเข้าใจกลอุบายและนิสัยของนายหญิงบ้านสกุลสวี่ให้ดีก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจวิถีทางในการอยู่ร่วมกันในอนาคตได้ ดูท่าทางนายหญิงท่านนั้นจะคิดเหมือนนาง ต่างกำลังหยั่งเชิงกัน’
ช่างเป็นยอดฝีมือจริงๆ
คนเฝ้าประตูเหล่าจางนำแขกผู้มีเกียรติเดินเข้าไปข้างใน พร้อมกับให้คนรับใช้ในจวนไปรายงานคุณหนูหลิงเยวี่ย
หวางซือมู่เดินผ่านลานชั้นนอก เข้าไปสู่ลานชั้นใน บังเอิญเห็นสวี่หลิงเยวี่ยยิ้มออกมาต้อนรับ
น้องสาวของบ้านสกุลสวี่สวมกระโปรงยาวสีชมพูรากบัว เกล้ามวยผมแบบเรียบๆ สง่างาม โครงหน้ารูปไข่งดงามสุภาพ ใบหน้าดูมีมิติมาก แต่กลับดูบอบบางจนทำให้ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ทะนุถนอม
“พี่หวาง หลังงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งก่อน ก็ไม่มีเวลาชวนพี่มาเป็นแขกที่จวนเลย ในที่สุดวันนี้ก็สมหวังแล้ว” รอยยิ้มของสวี่หลิงเยวี่ยสดใสอ่อนหวาน
“พูดขึ้นมาแล้ว เมื่อครั้งงานชุมนุมวรรณกรรมทำให้น้องตกลงไปในน้ำ พี่ก็รู้สึกไม่สบายใจมาตลอด” รอยยิ้มของหวางซือมู่สง่างามอ่อนโยน
ผู้หญิงสองคนจับมือกัน ราวกับเป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดอง สนิทสนมกลมเกลียว
เมื่อเข้าไปในห้องโถงชั้นใน ในที่สุดหวางซือมู่ก็ได้พบกับนายหญิงของบ้านสกุลสวี่ที่เล่าลือกัน นางนั่งยิ้มอยู่ที่ที่นั่งตำแหน่งเจ้าของบ้าน มองดูนางด้วยแววตาเมตตาปรานี
นางงดงามมาก โครงหน้าหน้ารูปไข่ ใบหน้าวิจิตรงดงาม แวบแรกที่เห็น ไม่เหมือนแม่ของสวี่หลิงเยวี่ยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนพี่สาวมากกว่า
ความงามของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ท่านนี้ หวางซือมู่รู้สึกทั้งประหลาดใจและไม่ประหลาดใจ เพราะดูแค่สวี่หลิงเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ และสวี่เอ้อร์หลางผู้เป็นที่รัก ก็สามารถคาดเดาความงามของนายหญิงคนนี้ได้
สิ่งที่นางแปลกใจก็คือนายหญิงท่านนี้ดูแลตัวเองดีมาก ดูไม่ออกเลยว่าเป็นแม่ลูกสาม
“สวี่ฮูหยิน!”
หวางซือมู่ทำความเคารพด้วยกิริยางดงาม
“คุณหนูหวางไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งก่อน”
อาสะใภ้ยิ้มอย่างสำรวม แสดงเจตนาให้หวางซือมู่นั่งลง
แน่นอนว่านางจะแสดงท่าทีกระตือรือร้นมากเกินไปไม่ได้ เพราะนี่คือว่าที่ลูกสะใภ้ ดังนั้นตนเองจึงต้องมีมาดแม่สามีบ้าง
หลังจากที่หวางซือมู่นั่งลงแล้ว ก็มองไปที่สาวใช้คนสนิท ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เมื่อครู่ตอนเข้ามาในจวน เห็นไม้บรรทัดที่ประตู จึงได้ให้สาวใช้เก็บขึ้นมา”
หลังจากสาวใช้วางไม้บรรทัดลงบนโต๊ะแล้ว
อาสะใภ้ก็ประหลาดใจ “เอ๊ะ หลิงเยวี่ย นี่ไม้บรรทัดของเจ้าใช่หรือไม่ เหตุใดจึงตกอยู่ที่ประตูเล่า”
สวี่หลิงเยวี่ยเพ่งมอง เป็นไม้บรรทัดของตัวเองจริงๆ ด้วย จึงร้องอุ๊ย แล้วพูดว่า “จะต้องเป็นหลิงอินทำตกไว้ที่นั่นแน่ๆ เมื่อครู่นางหยิบไม้บรรทัดของข้าไปเล่น”
เป็นอุบายที่ร้ายกาจมาก ทำให้ข้าพูดไม่ออกเลยทีเดียว… หวางซือมู่ฝืนยิ้ม นางคงจะตำหนิเด็กไม่ได้
จากนั้น หวางซือมู่จึงให้ผู้ติดตามนำของขวัญมา เพราะต้องกินข้าวที่นี่ ดังนั้นจึงได้นำขนมลือชื่อมานิดหน่อย และเครื่องประดับมาให้อาสะใภ้และหลิงเยวี่ยเล็กน้อย
เครื่องประดับนี้ไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดา แต่เป็นผลงานของช่างฝีมือที่ทำเครื่องประดับให้พระสนมในเขตพระราชฐาน
แน่นอนว่า หวางซือมู่ย่อมไม่จงใจระบุฐานะของช่างฝีมือ แบบนั้นมันดูสามัญเกินไป และมีแต่จะทำให้นางดูเหมือนเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ขี้อวด
นางบอกเพียงว่าช่างฝีมือในเขตพระราชฐานเป็นคนทำ ทำเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร บุตรีและภรรยาของผู้มั่งคั่งทุกคนต่างเข้าใจดี
“คุณหนูหวางช่างมีน้ำใจ”
อาสะใภ้ได้รับเครื่องประดับ ก็นับว่าดีใจมาก
บุตรสาวของตระกูลหวางเห็นดังนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าอุบายของตัวเองยังทำให้นายหญิงคนนี้ประหลาดใจไม่มากพอ
…
นอกห้องโถง สวี่หลิงอินพบว่าพี่ใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตรงระเบียง กำลังเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง จึงวิ่งตรงไปหา “พี่หญ่าย ท่านกำลังทำอะไร?”
“พี่ใหญ่กำลังดูละคร…ไม่ใช่สิ ฟังละคร” สวี่ชีอันลูบศีรษะของนาง
“ข้าจะฟังด้วย” สวี่หลิงอินโบกมือทั้งสองข้าง
สวี่ชีอันอุ้มน้องสาวขึ้น แล้ววางไว้บนตัก
สวี่หลิงอินก็แสร้งทำเป็นเงี่ยหูฟังบ้าง
พลังการต่อสู้ของคุณหนูตระกูลหวางมีเท่านี้? อืม ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้แต่งงานเข้ามา ดังนั้นการสุภาพและสงวนท่าทีเล็กน้อยก็พอเข้าใจได้ แต่ก็ดูสุภาพเกินไปหรือเปล่า…
เท่าที่ข้ารู้จักคุณหนูหวาง นางน่าจะเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หยั่งเชิงอาสะใภ้…
ทำไมนางจึงยังไม่ลงมือ ข้ารอนางเค้นอาสะใภ้อยู่…
…
ในห้องโถง หวางซือมู่พูดคุยกับนายหญิงบ้านสกุลสวี่และสวี่หลิงเยวี่ยโดยไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย
หลังจากหยั่งเชิงกันอยู่ระยะเวลาหนึ่ง หวางซือมู่ก็ค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า นายหญิงของบ้านสกุลสวี่ท่านนี้ไม่ได้ล้ำลึกจนยากที่จะคาดคะเน
หวางซือมู่เองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ในบ้าน และมีความรู้สึกไวกับคนแบบเดียวกัน แต่ในตัวนายหญิงของบ้านสกุลสวี่ นางกลับไม่พบลักษณะของคนแบบเดียวกันแต่อย่างใด
อุปนิสัยของนางค่อนข้างตรงไปตรงมา ดูเหมือนไม่ได้สนใจการหยั่งเชิงของตัวเอง และเหมือนจะไม่เข้าใจอุบายอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ แล้วยังดูเหมือนว่าเนื่องจากฐานะบุตรสาวสมุหราชเลขาธิการของนาง จึงรู้สึกเกรงใจนางเป็นพิเศษ เกรงว่าจะต้อนรับไม่ทั่วถึง
ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงเรื่องเครื่องประทินโฉม ก็ไม่มีมาดของผู้อาวุโสเลย พูดไม่หยุด เหมือนสาวๆ ขึ้นมาทันที
แล้วยังบ่นว่าคนขายร้านข้างนอกดูไม่เป็น จึงต้องให้สวี่หลิงเยวี่ยช่วยจัดการ เปิดเผยข้อบกพร่องของตัวเอง
ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ดูไม่เหมือนผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย
ในใจของหวางซือมู่เกิดความฉงนอยู่ลึกๆ
หลังจากนั้น อาสะใภ้ก็เสนอให้สวี่หลิงเยวี่ยพาหวางซือมู่ไปเดินชมรอบๆ จวน
เนื่องจากไม่สามารถคาดคะเนความตื้นลึกหนาบางของนายหญิงบ้านสกุลสวี่ได้ในชั่วขณะ หวางซือมู่จึงอยากจะออกผ่อนคลายอารมณ์ ปรับสภาพจิตใจเสียหน่อย เพื่อรอโอกาสที่จะต่อสู้อีกครั้ง
ขนาดของจวนสกุลสวี่นั้นไม่ใหญ่เท่ากับจวนของสกุลหวาง แต่ก็เป็นเรือนสามวง ลานชั้นในและลานชั้นนอกล้วนประกอบด้วยสวนดอกไม้และสระน้ำ ประกอบกับอาสะใภ้เป็นคนที่รักดอกไม้ ในสวนดอกไม้จึลมีดอกไม้และต้นไม้ล้ำค่ามากมาย
ในฐานะบุตรสาวของครอบครัวขุนนางระดับสูง หวางซือมู่รู้ว่าบ้านของคนที่มีทรัพย์สมบัติมั่งคั่งจริงๆ จึงจะมีรสนิยมและกำลังทรัพย์ในการเพาะปลูกดอกไม้ล้ำค่า
ดังนั้นจึงประเมินกำลังทรัพย์ของบ้านสกุลสวี่สูงขึ้นมาก
ที่ลานบ้าน เสี่ยวโต้วติงกำลังชกมวย ลี่น่านั่งอยู่บนเก้าอี้หิน แทะขาหมูพร้อมกับชี้แนะลูกศิษย์
“นั่นคือน้องหลิงอิน” สวี่หลิงเยวี่ยแนะนำด้วยรอยยิ้ม
เคยได้ยินแต่เอ้อร์หลางพูดถึง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากแนะนำเกี่ยวกับเด็กคนนี้ให้มากนัก…หวางซือมู่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “น้องหลิงอินฝึกวิทยายุทธ์หรือ”
“ใช่” สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจ
“ในบ้านมีเพียงพี่รองที่เป็นปัญญาชน แต่พี่รองเรียนหนัก จึงไม่มีเวลาสอนนาง ส่งนางไปเรียนก็ถูกคนรังแก ท่านแม่ก็จนใจ ดังนั้นจึงให้นางฝึกวิทยายุทธ์เสียเลย”
คุณหนูหวางขมวดคิ้ว แบบนี้ไม่ดี ผู้หญิงควรจะเรียนหนังสือเข้าใจเหตุผล ยิ่งมีความรู้มีเหตุมีผลมากเท่าไหร่ ต่อไปก็จะยิ่งได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดี
นางคิดไปคิดมา แล้วก็พูดว่า “หากไม่รังเกียจ ข้าสามารถช่วยสอนความรู้พื้นฐานให้น้องหลิงอินได้”
สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ขอบคุณพี่ซือมู่”
หวางซือมู่ยิ้มเบาๆ หากสามารถเป็นอาจารย์สอนความรู้พื้นฐานให้สวี่หลิงอิน คิดว่าจะต้องได้รับความเคารพจากคนในบ้านสกุลสวี่บ้าง และยังได้แสดงความสามารถของตัวเองอีกด้วย
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอีกว่า “ในบ้านนี้ คนที่ทำให้ท่านแม่ปวดหัวมากที่สุดก็คือหลิงอิน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนาง”
สวี่หลิงอินเป็นจุดอ่อนของนายหญิงบ้านสกุลสวี่…หวางซือมู่จับประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว
แต่ว่า ดูเหมือนนายหญิงของบ้านสกุลสวี่ก็ไม่ได้ ‘น่ากลัว’ เหมือนที่นางคิด ใบหน้าของหวางซือมู่ปรากฏรอยยิ้มผ่อนคลาย
ในเวลานี้ นางได้ยินลี่น่าตวาดสั่งสอนลูกศิษย์ “เจ้าช่างเขลานัก วิชามวยไม่กี่ท่าก็เรียนได้ไม่ดี เมื่อไหร่จะยกโต๊ะหินได้”
‘ยกโต๊ะหิน? เด็กเล็กขนาดนี้ก็จะต้องยกโต๊ะหิน?’
หลังจากนั้น นางก็เห็นนิ้วสองนิ้วของลี่น่า ‘หนีบ’ โต๊ะหินขึ้นมา อย่างง่ายดาย
“…”
หวางซือมู่ฝืนยิ้ม “ผู้หญิงคนนั้นคือ…”
“อ้อ นางชื่อลี่น่า เด็กสาวเผ่าพันธุ์กู่จากซินเจียงตอนใต้ อาศัยอยู่ในจวนชั่วคราว สอนวิทยายุทธ์ให้หลิงอิน” สวี่หลิงเยวี่ยกล่าว
“นางเป็นอาจารย์ผู้เคร่งครัดที่มีความสามารถอย่างแท้จริง” หวางซือมู่กล่าว
ทั้งสองคนเลี้ยวตรงมุมระเบียง เห็นสวี่ชีอันและจงหลีนั่งอยู่บนชายคา อาบแดด กระซิบกระซาบกัน
หวางซือมู่คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของฆ้องเงินสวี่เสียชีวิตนานแล้ว เพื่ออบรมเลี้ยงดูให้เขาประสบความสำเร็จ สวี่ฮูหยินคงจะต้องขบคิดจนหัวแทบระเบิด เหนื่อยยากลำบากใจอย่างยิ่ง”
“ถูกต้อง”
สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนเด็กๆ ท่านพ่อยืนกรานที่จะให้พี่ใหญ่ฝึกวิทยายุทธ์ให้ได้ แต่ท่านแม่ของข้าไม่เห็นด้วย อยากให้เขาเรียนหนังสือเหมือนพี่รอง ด้วยเหตุนี้ ท่านพ่อและท่านแม่จึงผิดใจกันเป็นเวลาหลายปี”
‘ร้ายกาจ!’ หวางซือมู่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที
ทุกคนในต้าฟ่งต่างรู้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนเป็นเมล็ดพันธุ์ของปัญญาชน แม้แต่ท่านพ่อหวางเจินเหวินก็ยังเคยมีความรู้สึกเสียดายว่า ‘ถ้าเด็กคนนี้เป็นปัญญาชนก็คงจะดี’
แต่เนื่องจากอารองของบ้านสกุลสวี่ยืนกรานที่จะให้สวี่ชีอันฝึกวิทยายุทธ์ให้ได้ เขาจึงสูญเสียเมล็ดพันธุ์ปัญญาชนที่มีความสามารถไปโดยเปล่าประโยชน์
คิดไม่ถึงว่านายหญิงของบ้านสกุลสวี่ จะมีสายตาที่แหลมคมมาตั้งหลายปีแล้ว
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวต่อว่า “เมื่อข้ายังเด็ก ความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่และท่านแม่ไม่ปรองดอง ทะเลาะกันเป็นประจำ ด้วยความโกรธ เขาจึงย้ายออกจากจวน อาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ กันเป็นเวลาห้าปี จนกระทั่งย้ายมาอยู่ที่เมืองชั้นใน ทุกคนในครอบครัวจึงได้อยู่ร่วมกันต่อไป”
‘อะไรนะ!’
‘แม้แต่สวี่ชีอันก็ไม่สามารถเอาชนะนายหญิงบ้านสกุลสวี่ได้?’
‘แม้แต่ฆ้องเงินสวี่ผู้ที่ยืนขวางประตูอู่ด่าทอเหล่าขุนนาง สังหารกั๋วกงที่ไช่ซื่อโข่ว และมุทะลุดื้อรั้นยังถูกนายหญิงของบ้านสกุลสวี่บีบให้ย้ายออกจากจวนสกุลสวี่ตั้งแต่ยังเด็ก…’
เวลานี้หวางซือมู่จึงตระหนักดีว่า ทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเสแสร้ง ที่พูดกันว่าตรงไปตรงมา ที่พูดกันว่าไม่ถนัดในการต่อสู้ ทุกอย่างเมื่อครู่ เป็นเพียงการเจตนาแสดงให้ตัวเองดูเท่านั้น
หวางซือมู่สูดหายใจแรง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
…………………………………………………………