ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 439 ความกลัว
บทที่ 439 ความกลัว
อาจเป็นเพราะข้าอวดดีเกินไป คิดว่าหลังจากพูดคุยกันแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วจะสามารถเจาะลึกเข้าไปถึงตัวตนของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ได้…
อย่างไรก็ตาม นางเก่งมากจริงๆ ถ้าข้าไม่ถามเกี่ยวกับสมาชิกในบ้านสกุลสวี่ที่เหลือ คงโดนรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกไปแล้ว…
หวางซือมู่เปรียบเสมือนศัตรูตัวฉกาจ นางเชี่ยวชาญการต่อสู้ในระดับครอบครัว ย่อมรู้ดีว่ายอดฝีมือที่แท้จริงไม่เคยเปิดเผยด้านร้ายกาจของตนเองออกมา ผู้หญิงเหล่านั้นที่หลงระเริงไปกับความเสน่หา และเอาแต่เขียนคำว่าจองหองลงบนใบหน้าของตนเอง ความจริงแล้วพวกนางไม่ได้เก่งกาจอะไร เพียงอยากเอาอกเอาใจผู้ชายเท่านั้น
จนกระทั่งความเสน่หาหมดลง พวกนางก็หมดประโยชน์จนถูกเขี่ยทิ้ง ไร้โอกาสผลักดันตัวเองให้กลับมาเป็นคนโปรด
ผู้ที่รู้จักเก็บงำความสามารถ ถึงจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง รูปลักษณ์ผิวเผินภายนอกของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่นั้น แม้แต่ดวงตาของนางที่ดูเหมือนจะมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งยังถูกหลอก
เมื่อเปรียบเทียบน้องสาวคนรองของตระกูลสวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กับแม่ของนางแล้ว ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน
นางรู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่มีไหวพริบและรู้จักใช้กลอุบายอันแยบยล จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานประชุมกวีวันนั้น
‘ข้าสงสัยเกี่ยวกับตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ นางต้องน่าเกรงขามถึงเพียงใดกัน จึงทำให้ฆ้องเงินสวี่ผู้มีนิสัยดื้อรั้นถึงขั้นยอมย้ายออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ฆ้องเงินสวี่กลายเป็นคนมีอำนาจ เขากลับไม่เคยแม้แต่จะละทิ้งครอบครัวของตนเอง ทั้งยังคงเคารพนางอยู่เสมอ…”
หวางซือมู่ทั้งกลัว ทั้งอยากรู้อยากเห็น
ความคิดที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากความกระตือรือร้นของฮว๋ายชิ่งเมื่อเห็นตำราพิชัยสงคราม สร้างความกระหายใคร่รู้เป็นอันมาก
หวางซือมู่มาที่จวนสกุลสวี่ในวันนี้เพื่อจุดประสงค์สามประการ ประการแรก เพื่อหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ ประการที่สอง สืบเรื่องราวภายในของจวนสกุลสวี่ รวมถึงสถานการณ์ภายในบ้าน การเงิน และแง่มุมต่างๆ ของการตกแต่งบ้าน
ประการที่สาม ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวตนและงานอดิเรกของสมาชิกในบ้านสกุลสวี่ เพื่อให้แน่ใจว่าใครจะชนะหรือใครจะเป็นฝ่ายควบคุมใครในอนาคต
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว นี่ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ในอนาคตหากนางได้แต่งงานกับเอ้อร์หลางจริงๆ ก็เท่ากับว่านางต้องแต่งเข้าบ้านหลังนี้
นางค่อยๆ ตัดสินความตื้นลึกหนาบางของนายหญิงของบ้านสกุลสวี่…พบว่าล้ำลึกเกินไป คาดเดาไม่ได้!
ก่อนที่จะถึงวันนั้น นางต้องฉวยโอกาสตรวจสอบภูมิหลังของจวนสกุลสวี่เสียก่อน
ทั้งสองคุยกันและเดินเล่นรอบคฤหาสน์ของบ้านสกุลสวี่ การเดินเล่นครั้งนี้ หวางซือมู่ค่อนข้างพอใจกับบ้าน หากนางต้องอยู่ที่นี่ในอนาคต ก็ไม่ได้รู้สึกอับอายขายหน้า
แต่ปัญหาเดียวที่พบก็คือ…
“ดูเหมือนจะมีทหารอารักขาน้อยไปหน่อย” หวางซือมู่แกล้งทำเป็นพูดแบบสบายๆ
“เพราะไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อ พี่ใหญ่ หรือพี่รอง ทุกคนไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องจ้างทหารอารักขา จึงจ้างแต่คนเฝ้ายามธรรมดาเท่านั้น” สวี่หลิงเยวี่ยอธิบาย
หวางซือมู่พยักหน้าเล็กน้อย ความจริงแล้วจวนใหญ่เช่นนี้ควรมีทหารอารักขาเฝ้าอยู่สักหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ง่ายดายมาก เช่น การขโมย นอกจากนี้ เป็นไปไม่ได้ที่สมาชิกผู้ชายจะอยู่บ้านตลอดเวลา ยิ่งเมื่อสมาชิกผู้หญิงในบ้านงดงามราวกับบุปผาเช่นนี้ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ จุดอ่อนของจวนสกุลสวี่ก็คือความปลอดภัย…หวางซือมู่ลอบขมวดคิ้ว แม้ว่านางจะสามารถนำทหารอารักขาส่วนตนมาได้ แต่การกระทำดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยที่ก่อเกิดความขัดแย้งในครอบครัว และเป็นการไม่ไว้หน้าครอบครัวของสามี
สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจ “รากฐานของบ้านสกุลสวี่นั้นตื้นเขิน ไม่อาจวางกำลังคนอย่างเอิกเกริกเช่นนั้นได้”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ก็เหลือบมองคุณหนูหวางด้วยความสงบ เมื่อเห็นว่าหว่างคิ้วของนางมีรอยย่น สวี่หลิงเยวี่ยจึงยิ้มอย่างพึงพอใจเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง พวกนางเดินผ่านห้องส่วนตัวของสวี่หลิงเยวี่ย หวางซือมู่มองไปที่ห้องนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะตกตะลึงทันที เพราะเผอิญพบเห็นคนที่นางไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอ…เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์!
เหตุใดนางถึงมาอยู่ในจวนสกุลสวี่? นางอยู่ในจวนสกุลสวี่ได้อย่างไร?
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสับสน ถึงกระนั้นหวางซือมู่ก็ทำความเคารพอย่างจริงใจ กล่าวเบาๆ “ข้าเคยพบท่านแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินเองก็มองเห็นว่าที่ภรรยาของสวี่เอ้อร์หลาง นางพยักหน้าและตอบอย่างใจเย็น “คุณหนูหวาง”
ในฐานะเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ และจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน หลี่เมี่ยวเจินยังคงสง่าผ่าเผย ทัศนคติที่แสดงออกไม่หยาบคาย แต่ยังสะท้อนพฤติกรรมไปในทางเดียวกันกับยอดฝีมือแห่งยุทธภพ วีรบุรุษหญิงแห่งยุค
หวางซือมู่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เข้าไปในห้อง ครั้นเหลือบมองซูซู ในใจพลันรู้สึกแปลกประหลาด เนื่องจากความงามของหญิงสาวในชุดขาวผู้นี้ทำให้นางรู้สึกอัศจรรย์ใจ
ยังมีหลี่เมี่ยวเจินอีกคน…เหตุใดจวนสกุลสวี่ถึงได้มีสาวงามอาศัยอยู่ร่วมชายคามากมายเช่นนี้
หวางซือมู่ลอบตกใจอยู่ภายใน สีหน้ายังคงสงบพลางเผยรอยยิ้ม “ท่านเป็นแขกของบ้านนี้หรือ?”
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหัว “เปล่า ข้าอาศัยอยู่ในจวนสกุลสวี่มาหลายเดือนแล้ว”
‘อาศัยอยู่ในจวนสกุลสวี่เป็นเวลาหลายเดือน…แต่กลับไม่ใช่แขกของจวนสกุลสวี่?’ หวางซือมู่พลันตระหนักได้ทันที ไม่น่าแปลกใจเลยที่จวนสกุลสสวี่ไม่ต้องการจ้างทหารอารักขา
มีทั้งสาวน้อยเผ่าพันธุ์กู่ที่แข็งแกร่งจากซินเจียงตอนใต้ หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ หัวหน้ากองร้อยกองดาบสวี่ผิงจื้อ รวมถึงฆ้องเงินสวี่ซึ่งมีอำนาจเหนือนิกายสวรรค์และมนุษย์อยู่ทั้งคน
แตกต่างจากจวนสกุลหวางของนาง ที่ไม่มีใครมีพลังต่อสู้ระดับสูงเพียงนั้น แล้วทหารอารักขาธรรมดามีความจำเป็นตรงไหนกัน?
‘แม้ว่าจวนสกุลสวี่จะมีรากฐานทางราชการที่น้อยนิด แต่ในด้านยุทธภพกลับมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งและน่ากลัวในบางแง่มุม…’ หวางซือมู่คิดในใจว่านางพอใจภูมิหลังทางการทหารมากกว่า
นางมองไปที่ซูซูและยิ้ม “แม่นางท่านนี้คือ…”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวเบาๆ “นางชื่อซูซู เป็นน้องสาวของข้า”
ต่อหน้าคนนอก นางไม่เคยบอกว่าซูซูเป็นสาวใช้
“ยินดีที่ได้พบ แม่นางซูซู” หวางซือมู่ทักทายอย่างอบอุ่น “แม่นางซูซูเก่งเรื่องงานปักจริงๆ เก่งกว่าข้ามากทีเดียว”
ซูซูยิ้มและพูดว่า “ฐานะทางบ้านของข้าไม่ดี แม้ว่าข้าจะแต่งงานแล้ว แต่ก็เป็นได้แค่อนุภรรยา ทั้งยังต้องทำงาน อดนึกอิจฉาคุณหนูหวางไม่ได้ที่เกิดมาในตระกูลที่ดี มีฐานะร่ำรวย ได้รับการดูแลที่ดี แทบไม่ต้องทำอะไรเลย”
‘มาแล้ว มาแล้ว…’ ดวงตาของสวี่หลิงเยวี่ยเป็นประกาย ไม่เสียเวลาที่พาหวางซือมู่มาที่นี่
‘แม่นางซูซูคนนี้ดูเหมือนจะตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอนางเองนะ!’ แววตาของหวางซือมู่หรี่เล็กลง คาดเดาได้ไม่ยาก ‘ผู้หญิงที่ชื่อซูซูคนนี้ชื่นชอบเอ้อร์หลางอย่างนั้นหรือ?’
‘นางรู้ตัวว่าไม่สามารถสู้ข้าได้ ดังนั้นนางจึงพูดอะไรบางอย่างออกมา เช่น เป็นอนุภรรยา โดยอาศัยการสนับสนุนจากเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ แล้วทิ่มแทงข้าด้วยคำพูดเหมือนเข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้าฝ้าย…’
หวางซือมู่หัวเราะออกมา การแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายที่คุ้นเคยนี้ ทำให้นางรู้สึกว่า ‘เงา’ ของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่เปิดเผยออกมาเสียที
น้ำเสียงของคุณหนูหวางนุ่มนวล
“อนุภรรยาก็มีความทุกข์ของอนุภรรยา นายหญิงก็มีความทุกข์ของนายหญิง แม่นางอย่ารู้สึกเสียใจกับตัวเองเลย แต่ว่าในโลกนี้มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นเท่าไหร่ ความสามารถยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจากการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย การเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อยหรืออนุภรรยาดูเหมือนว่าจะสบายที่สุด ถูกหรือไม่ พี่ซูซู”
ซูซูพูดด้วยความประหลาดใจ “อย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่านายหญิงสวี่ใช้ชีวิตค่อนข้างสบาย สามีของนางสนใจและรักใคร่นาง และลูกๆ ของนางก็เป็นเด็กกตัญญู อย่างไรก็ตามคุณหนูหวางเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
‘นี่นางกำลังเยาะเย้ยข้าใช่หรือไม่…’ คุณหนูหวางคิดในใจ
หลี่เมี่ยวเจินที่กำลังยืนฟังบทสนทนาอยู่ข้างๆ ซูซูและคุณหนูตระกูลหวางที่กำลังตอบโต้ด้วยถ้อยคำแปลกๆ ทั้งคู่เป็นยอดฝืมือการต่อสู้ในบ้านระดับไต้ซือ ดังนั้นคำพูดอันเฉียบคมของพวกนางจึงถูกซ่อนอยู่ภายใต้เสียงหัวเราะที่ดูผ่อนคลาย
อีกทั้งจิตใจยังมั่นคงเหมือนสุนัขแก่ ไม่มีความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
หลี่เมี่ยวเจินไม่เคยประสบกับเรื่องแบบนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงฟังด้วยความเพลิดเพลิน ทว่านางงุนงงเล็กน้อย หวางซือมู่เป็นว่าที่ภรรยาของสวี่เอ้อร์หลาง ซูซูก็เป็นสนมของสวี่หนิงเยี่ยน สองคนนี้จะทะเลาะกันทำไม?
นางเหลือบมองสวี่หลิงเยวี่ยอีกครั้ง น้องสาวของตระกูลสวี่เผยท่าทีไร้เดียงสาและอ่อนโยน นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่านางไม่เข้าใจการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเลย
‘แกะที่ดูอ่อนแอเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดต่างหากล่ะ…’ หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆ จากบนหลังคา นางสัมผัสเสียงนั้นได้อย่างรวดเร็ว
นางกลอกตา สวี่หนิงเยี่ยนเองก็เข้ามาฟังการโต้เถียงครั้งนี้ด้วย…
เจ้าบ้านี่!
หลี่เมี่ยวเจินกลอกตา รู้สึกว่าต้องการเติมไฟให้ลุกโชนเพื่อไม่ให้ผู้ชายคนนี้ยืนฟังอยู่เฉยๆ ดังนั้นนางจึงหาโอกาสที่จะแทรกหัวข้อเข้าไป กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“พูดถึงเรื่องนี้ น้องซูซูมาจากครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่ของนางเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน นางจึงมาอาศัยอยู่กับข้า การมาที่เมืองหลวงในครั้งนี้ นางคงไม่จากไปไหนอีกแล้ว”
แสงที่คมชัดส่องประกายในดวงตาของหวางซือมู่ “เอ๊ะ? ไม่ไปไหนอีกแล้ว?”
‘ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้อยากเป็นสนมของสวี่เอ้อร์หลางจริงหรือ? สวี่เอ้อร์หลางกล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีทางรับอนุภรรยาเข้าบ้าน เหอะ ที่ไม่มีอนุภรรยา จริงๆ คงเป็นเพราะยังไม่มีอนุภรรยาที่เป็นทางการน่ะสิ!’
ในใจของหวางซือมู่หนักอึ้งขึ้นมาในทันที
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวต่อไปว่า “ซูซูและสวี่หนิงเยี่ยนมีความสัมพันธ์ที่ดี ข้าวางแผนที่จะให้ซูซูอยู่ในจวนสกุลสวี่ ไม่ต้องการเป็นภรรยา เพียงแค่อนุภรรยาก็พอแล้ว”
‘อ๊ะ! อนุภรรยาของสวี่หนิงเยี่ยน? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร’
หวางซือมู่เผยรอยยิ้มที่เป็นมิตรอย่างจริงใจ
‘อ้อ รักกันกับพี่ใหญ่สินะ…’ ดวงตาของสวี่หลิงเยวี่ยก็ฉายแววคมชัด ยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจพร้อมพูดว่า
“พี่ซูซูปกปิดได้เก่งมาก ข้าไม่เคยรู้เลยว่าพี่กับพี่ใหญ่รักกัน ดีจังเลย หลังจากที่แม่นางฝูเซียงจากไป พี่ใหญ่ก็ไม่มีความสุขอีกเลย ตอนนี้ก็ดีแล้วที่มีพี่ซูซู พี่ใหญ่จะได้ค่อยๆ มีความสุขเสียที”
‘นี่เปรียบเทียบข้ากับผู้หญิงโสเภณีใช่หรือไม่…’ ซูซูเหลือบมองสวี่หลิงเยวี่ย
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ เดินจากไป สวี่หนิงเยี่ยนมาอย่างเงียบๆ และออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
ไฟที่อธิบายไม่ถูกกำลังเผาไหม้ข้า ด้วยนิสัยของหลิงเยวี่ย เกรงว่าจะไม่ใช่นางที่ต้องการซ่อนเข็มไว้ในเสื้อผ้าของข้า…ไม่ได้ จะปล่อยอาสะใภ้ไปโดยไม่ได้รับโทษไม่ได้ ข้าอยากเห็นนางไม่มีพลังที่จะต่อสู้ ข้าต้องยึดมั่นในความตั้งใจแรกเอาไว้…สวี่ชีอันมีใบหน้าที่หม่นหมอง เดินไปที่ห้องโถงด้านใน
อาสะใภ้กำลังถือหม้อทองแดงใบเล็กๆ ก้มตัวรดน้ำต้นไม้ที่นางรัก
“เฮ้!”
สวี่ชีอันทำเสียงนั้นเพราะตั้งใจดึงความสนใจของอาสะใภ้และพูดว่า
“อาสะใภ้ ข้าเพิ่งเห็นหลิงเยวี่ยพาคุณหนูหวางไปดูการเย็บปักถักร้อย นางมาอยู่ที่นี่ในฐานะแขก แล้วจะให้นางทำงานได้อย่างไร”
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินดังนั้นนางก็ร้อนรนทันที “แบบนี้ไม่ได้สิ หลิงเยวี่ยก็ไม่ฉลาดไปกว่าหลิงอินเท่าไหร่ นางซื่อสัตย์เกินไป รู้แต่วิธีทำงานบ้านงานเรือนทั้งวัน ในอนาคตหากแต่งงานแล้ว นางจะไม่กลายเป็นสาวใช้สำหรับแม่สามีในอนาคตหรอกหรือ
“คุณหนูหวางเป็นถึงบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการ จะพานางไปดูการเย็บปักถักร้อยทำไมกัน ทำให้อาโมโหแล้วนะ”
หลังจากพูดไป อาสะใภ้ก็นึกขึ้นได้และพูดว่า “หนิงเยี่ยน ดูเหมือนที่บ้านไม่มีถ้วยแก้ว มีแต่จานกระเบื้องทั่วไป ตอนนี้ยังเร็วไปสำหรับมื้อกลางวัน เจ้าช่วยออกไปซื้อของให้อาหน่อยได้หรือไม่?”
อาสะใภ้พูดด้วยท่าทีที่เป็นมิตร “มีถ้วยแก้วสักสองสามใบ อย่างน้อยก็ช่วยเชิดหน้าชูตาจวนของเราได้ จะปล่อยให้คุณหนูตระกูลหวางดูถูกไม่ได้เด็ดขาด”
“ได้ขอรับ อาสะใภ้รีบไปเถอะ” สวี่ชีอันรีบพูด
อาสะใภ้เดินจากไป
เอาใจช่วยนะอาสะใภ้ อาสะใภ้เดินช้าๆ ล่ะ… เมื่อมองตามแผ่นหลังที่กระตือรือร้นของอาสะใภ้ สวี่ชีอันก็ยกยิ้ม
ถ้าออกไปซื้อถ้วยแก้ว คงใช้เวลาไปกลับนานพอสมควร เห็นทีคงพลาดการเห็นอาสะใภ้เข้าร่วมวงสงครามกับคุณหนูหวางเป็นแน่
สวี่ชีอันคิดไปคิดมาก็หยิบกระจกหยกขนาดเล็กออกมา แล้ววางชุดถ้วยชามเคลือบเลือดมังกรที่ยึดมาได้จากจวนส่วนตัวของเฉากั๋วกงลงบนโต๊ะ
จากนั้นก็นำเครื่องลายครามลายมังกรและหงส์ขนาดเล็ก และจานกระเบื้องเคลือบสีฟ้าและสีขาวออกมา ก่อนจะส่งพวกมันไปที่ห้องครัว เพื่อให้แม่ครัวสามารถใช้จานเหล่านี้สำหรับตั้งโต๊ะอาหาร
…
อีกด้านหนึ่ง อาสะใภ้รีบก้าวสั้นๆ เข้าไปในห้องส่วนตัวของลูกสาวอย่างเร่งรีบ
บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างตึงเครียด ผู้หญิงสามคนกำลังแข่งขันกันอย่างลับๆ เหมือนกับยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ ดูเหมือนต้องการแข่งขันกันเพื่อประชันความแข็งแกร่งภายใน ทว่าพวกนางอยู่ในภาวะชะงักงัน เพราะไม่มีใครสามารถโค่นใครลงได้
“เย็บปักถักร้อยอะไรกัน”
อาสะใภ้เข้ามาในห้อง ทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดในทันที พลังภายในที่ปล่อยออกมาจากยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบ เปรียบเสมือนกระแสน้ำที่ค่อยๆ เปลี่ยนทิศ
“เจ้ารู้แต่วิธีทำงานเหล่านี้ตลอดทั้งวัน ตอนนี้เจ้าเป็นถึงบุตรสาวคนโตของจวนสกุลสวี่ ต้องตระหนักถึงตัวตนของตนเองให้มากกว่านี้หน่อย เข้าใจหรือไม่” อาสะใภ้ตำหนิลูกสาวของนาง
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” สวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าลง
ซูซูยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของนายหญิงสวี่ จากนั้นก็กดข่ม ‘ความคิดชั่วร้าย’ ลงตามเดิม แล้วก้มหน้าเย็บเสื้อคลุมต่อ
‘ทันทีที่นางมา นางก็ปรามหลิงเยวี่ยและซูซูอย่างอยู่หมัด…’ หวางซือมู่เห็นด้วยตาตัวเอง จึงเชื่ออย่างจริงใจ ตอนที่นางอยู่ในจวนของตนเอง สิ่งที่มารดาเคยสั่งสอนล้วนเป็นจริงทั้งหมดจนนางไม่อาจปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นได้
สำหรับสวี่หลิงเยวี่ยและซูซูเมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงของบ้านสกุลสวี่ สิ่งที่นางเห็นคือการถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์ โดยที่พวกนางก็ไม่คิดโต้กลับแม้แต่น้อย
เมื่ออาสะใภ้เห็นว่าหวางซือมู่ไม่ได้เย็บผ้า นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าตั้งแต่นางมาถึงที่นี่ คงจะนั่งและพูดคุยกันเท่านั้นกระมัง
นางอธิบายกับหวางซือมู่ “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ปกติแล้วข้าไม่สนใจร้านค้าและที่ทางเกษตรกรรมภายนอกมากนัก ตลอดจนเงินปันผลจากสำนักโหราจารย์ สิ่งเหล่านี้หลิงเยวี่ยเป็นคนจัดการ นางยุ่งอยู่กับงานเหล่านั้นทุกวันจนชินเป็นนิสัยเสียแล้ว”
‘มาแล้วสินะ นางเริ่มโจมตีข้าแล้ว…ความหมายของนางก็คือหากข้าต้องการจัดการบัญชีของครอบครัวในอนาคต ข้าต้องผ่านหลิงเยวี่ยไปให้ได้เสียก่อน…’ หวางซือมู่คิดในใจ
หลังจากที่อาสะใภ้เข้ามา ภายในห้องมีแต่ความประนีประนอม
สวี่ชีอันยืนอยู่บนหลังคา ฟังการสนทนาที่ไร้เดียงสาของผู้หญิงในห้อง อดไม่ได้ที่จะชื่นชมหวางซือมู่
นางเก็บท่าทีและนิสัยของนางได้เป็นอย่างดี เผยท่าทีของผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อย พยายามสร้างความประทับใจให้อาสะใภ้และครอบครัวของเรา
ตามที่คาดไว้ บุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวางต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
…
เมื่อใกล้เวลาอาหารกลางวัน อาสะใภ้พาคุณหนูหวางและสมาชิกในครอบครัวไปที่ห้องโถงชั้นในเพื่อเตรียมอาหาร
อาหารในแต่ละมื้อเป็นหนึ่งในเกณฑ์ในการวัดมาตรฐานทางฐานะของจวนสกุลสวี่ หากมีแขก อาหารจะมากเป็นพิเศษ ทว่าสิ่งที่หวางซือมู่สังเกตไม่ใช่อาหาร แต่เป็นเครื่องถ้วยชามลายครามต่างหาก
อาสะใภ้เชื้อเชิญให้คุณหนูหวางนั่งลง หวางซือมู่เหลือบมองจานอาหารบนโต๊ะทั้งหมดที่เพิ่งยกมาวาง ดูเหมือนไม่มีใครแตะต้องพวกมันมาก่อน นี่ก็ถึงเวลาอาหารแล้ว ทั้งตรงนี้ยังเป็นโต๊ะอาหารหลัก เห็นๆ กันอยู่ว่าในบ้านก็มีผู้ชาย แล้วทำไมถึงให้พวกนางทานก่อนล่ะ?
หวางซือมู่กล่าวลองเชิง “เหตุใดข้าจึงไม่เห็นฆ้องเงินสวี่?”
อาสะใภ้โบกมือและพูดอย่างเป็นกันเอง “เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน จึงไม่สะดวกที่จะร่วมโต๊ะกับเจ้า ดังนั้นข้าจึงให้เขากินในห้องของตัวเอง”
…ใจของหวางซือมู่เต้นไม่เป็นจังหวะ มองไปที่นายหญิงบ้านสกุลสวี่อย่างลึกซึ้งพลางคิดในใจว่า ‘เหตุใดท่านถึงได้กลัวนางนัก ฆ้องเงินสวี่?!’
คราวนี้อาสะใภ้อาสะใภ้หยิบเหยือกหยกขึ้นมาและกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น “นี่คือเหล้าหวานที่หมักไว้ในบ้าน ลองชิมดูนะ”
……………………………………………………..