ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 440 พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
บทที่ 440 พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
หวางซือมู่หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้นางตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับแก้วเหล้า มันเป็นสีบุษราคัมที่เจือจนปนสีแดงเล็กน้อย
เมื่อมองแวบแรกหวางซือมู่คิดว่ามันเป็นถ้วยหยกธรรมดา แต่กลับพบว่ามันคือแก้วกระเบื้องเคลือบ
สีเหมือนหยก แต่มีสีแดงเข้มเหมือนเลือดอยู่ข้างใน…มือของหวางซือมู่สั่น และเหล้าหวานของอาสะใภ้ก็หกลงบนโต๊ะและชุดของนาง
“ตายแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังถึงเพียงนี้”
อาสะใภ้รีบโยนเหยือกและถ้วยทิ้งไปข้างๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเหล้าบนชุดของหวางซือมู่
‘แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกร?!’
หวางซือมู่ตกตะลึง แก้วกระเบื้องเคลือบเดิมทีนั้นเป็นของล้ำค่า แค่แก้วกระเบื้องเคลือบสีเลือดมังกรดินเผาที่หายากมากในแดนประจิม อีกทั้งผลิตออกมาจำนวนน้อย
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างแดนประจิมกับที่ราบตอนกลางใกล้ชิดกัน แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรมักถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการ และกระจายลงสู่ที่ราบภาคกลาง ซึ่งมักจะนำมาทำเป็นภาชนะและแก้วเหล้า เมื่อฝ่าบาทมีงานเลี้ยงให้แก่พวกขุนนางถึงจะหยิบมาใช้
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างแดนประจิมและที่ราบภาคกลางค่อยๆ ห่างเหินกันมากขึ้น แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรไม่ได้กระจายไปสู่ที่ราบตอนกลางเป็นเวลาหลายปี และในเมืองหลวงเริ่มหายากมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่บ้าน บางครั้งอาจจะหยิบออกมาใช้เอง
แต่ไม่ใช่สำหรับงานเลี้ยงอย่างแน่นอน
นางชำเลืองมองอย่างรวดเร็วและพบว่าโต๊ะเต็มไปด้วยกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรครบชุด มูลค่าของพวกมันสามารถซื้อจวนสกุลสวี่ได้ถึงสองหลัง
หลังจากที่อาสะใภ้เช็ดทำความสะอาด นางยังคงรินเหล้าให้ และพูดว่า “เจ้าเหนื่อยใช่หรือไม่?”
มีความกังวลในน้ำเสียงของนาง
‘จุ๊ๆ หรือนี่คือการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่ง? นางมองข้าออกอย่างทะลุปรุโปร่ง สิ่งที่นายหญิงบ้านสกุลสวี่ต้องการให้ข้าทราบหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่?…’
หวางซือมู่เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร นางสะดุ้งเล็กน้อยและตระหนักว่านายหญิงบ้านสกุลสวี่เคารพและเห็นคุณค่าในตัวนาง
“มาสิ ลองชิมอาหารเหล่านี้ดู ทุกจานล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะของจวนสกุลสวี่ของเรา เจ้าไม่สามารถหาทานข้างนอกได้”
อาสะใภ้แนะนำอาหารทุกจานบนโต๊ะอย่างอบอุ่น แสดงบทบาทนายหญิงและแม่ยายในอนาคตอย่างเต็มที่
มีบางจานที่หวางซือมู่ไม่เคยทานมาก่อน ทำให้ดวงตาของนางเปล่งประกาย
เป็ดย่างหนังบางกรอบ ห่อด้วยแป้งบางๆ อร่อยและอิ่มท้อง หน้าตาอาหารดูไม่น่าทาน แต่รสชาตินุ่มในปาก หัวสิงโตน้ำแดงรสชาติเค็มปานกลาง หอม กรอบแต่ไม่มันเยิ้มจนเกินไป…
‘แม้ว่าจวนสกุลสวี่จะเป็นตระกูลที่ ‘มาใหม่’ แต่ไม่ควรมองข้ามเรื่องการเงิน…’ ขณะที่หวางซือมู่คิดแบบนี้ สายตาของนางหรี่ลง จ้องตรงไปที่ถ้วยลายครามขนาดเล็กที่ใส่ซุปไก่!
ในใจคิดว่า ผิดแล้ว!
หวางซือมู่มาจากตระกูลขุนนาง นางมีพรสวรรค์และมีความสามารถในการวิเคราะห์งานศิลปะ นางเห็นอย่างรวดเร็วว่าถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะนั้นไม่ธรรมดา และแต่ละชิ้นเป็นของโบราณ
เป็นแหล่งรวบรวมโบราณวัตถุล้ำค่า…
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว ใครกันจะใช้ของเก่าพวกนี้เป็นข้าวของเครื่องใช้ในประจำวันได้?
บรรยากาศการรับประทานอาหารอันเงียบสงบ คุณหนูหวางตกใจ
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว หวางซือมู่ก็หันไปสังเกตบรรดาญาติผู้หญิงที่โต๊ะ ‘แม่นางซูซูไม่ได้มาร่วมโต๊ะทานอาหารเย็น ซึ่งหมายความว่าแม้ว่านางจะแต่งงานเข้ามาในบ้านสกุลสวี่ นางก็เป็นได้แค่อนุภรรยา
หลี่เมี่ยวเจินมีบุคลิกที่อ่อนโยนและอบอุ่น ซึ่งสอดคล้องกับสถานะเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์
สวี่หลิงอินและแม่นางเผ่าพันธุ์กู่จากซินเจียงตอนใต้คนนี้ ทำให้หวางซือมู่ประหลาดใจ ในใจคิดว่าทานอาหารแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ไม่กลัวสำลักหรือร้อนเลยหรือ หรือว่าพวกเขาแสดงละครให้ข้าดูอยู่?
คงเป็นเรื่องน่ากลัวมาก หากแม่นางคนนี้สามารถแสดงละครได้ถึงขนาดนี้
แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อการแสดง คนอย่างนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ที่เข้มงวดในการปกครองครอบครัว จะยอมทนกับท่าทางที่หยาบคายแบบนี้ได้อย่างไร…’
หวางซือมู่ที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาหารมื้อนี้ก็จบลง
นางสรุปในใจ ‘แม้ว่านายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่จะยอดเยี่ยม แต่นางก็ไม่ใช่นายหญิงที่ก้าวร้าว ตรงกันข้าม นางเป็นคนอ่อนโยนและตรงไปตรงมาเหมือนกับหญิงสาว
ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก
สวี่หลิงเยวี่ยสืบทอดมาตรฐานของแม่ได้ไม่เกินสามหรือสี่คะแนนเท่านั้น ในมุมมองของหวางซือมู่ นางเป็นยอดฝีมือแต่ไม่ใช่คู่แข่ง
สำหรับน้องสาวแห่งบ้านสกุลสวี่ นางยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบเลย’
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว หวางซือมู่เห็นเสี่ยวโต้วติงกำลังเล่นอยู่ที่ลานบ้าน นางจึงพบโอกาสที่จะออกมาตามลำพัง ถือจานเค้กในมือ พร้อมกวักมือเรียก และพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“หลิงอิน มาหาพี่ตรงนี้สิจ๊ะ”
สวี่หลิงอินเมื่อเห็นอาหาร รีบเดินเข้ามา
นางเป็นเด็กชอบกินมาก ตราบใดที่มีอาหารจะสามารถควบคุมนางได้ง่าย…หวางซือมู่ดีใจมากและพูดเบาๆ “ข้าได้ยินจากพี่สาวของเจ้าว่าเจ้าถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกหรือ?”
สวี่หลิงอินจดจ่ออยู่กับเค้กและพูดอย่างเจ็บปวดขณะกินไปด้วย “มีเด็กอ้วนตัวเล็กขโมยอาหารของข้า…”
นางประกาศเสียงดังทันที “ข้าถูกแกล้งโดยไม่มีเหตุผล ช่วยข้าเอาคืนหน่อย”
สวี่หลิงเยวี่ยไม่ได้โกหก มีคนรังแกนางจริงๆ นั่นเป็นสาเหตุที่นางไม่ไปโรงเรียน เด็กน้อยที่น่าสงสาร…หวางซือมู่ลูบศีรษะของนางและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“แล้วเจ้ายังอยากไปโรงเรียนอีกหรือไม่?”
เสี่ยวโต้วติงส่ายหัว
“ถ้าให้พี่สอนหนังสือเจ้าล่ะ ดีหรือไม่?”
เสี่ยวโต้วติงเหลือบมองที่ขนมและพยักหน้า
หวางซือมู่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ นางสามารถสอนความรู้บางอย่างให้กับเด็กน้อยได้อย่างรวดเร็ว รอนางกลับถึงบ้าน เด็กน้อยจะแสดงความรู้ใหม่ๆ ออกมา ‘โดยไม่ได้ตั้งใจ’
นายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่จะต้องถามอย่างแน่นอน และสวี่หลิงอินจะบอกนางถึงสิ่งที่ข้าแอบสอนให้นางอ่านหนังสือ
จากนั้น หลังจากนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ทราบจะต้องขอบคุณข้า แต่ข้าก็จะไม่รับความดีความชอบนั้น…“มาสิ ข้าจะสอนเลขให้เจ้า”
…
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินแล้ว สวี่ซินเหนียนขี่ม้าออกจากเขตพระราชฐานและรีบกลับบ้าน
เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ในใจ ด้วยนิสัยของหวางซือมู่ค่อนข้างแข็งแกร่งและแน่วแน่ แต่แม่ของเขานั้นเป็นคนที่หากพอใจหรือไม่พอใจอะไรจะแสดงออกทางสีหน้าทันที
ถ้าหวางซือมู่ลองเชิงอะไรบางอย่างและทำให้แม่ไม่พอใจ เกรงว่าแม่คงจะแสดงความไม่พอใจออกมาทันที
นอกจากนี้ ในบ้านยังเต็มไปด้วยปีศาจและผี รวมทั้งหลิงอิน ลี่น่า เทพธิดานิกายสวรรค์ ผีสาวซูซู และพี่ชายคนโตที่นิสัยผีเข้าผีออก…
สวี่เอ้อร์หลางรู้สึกว่าเขาต้องกลับมาควบคุมสงครามครั้งนี้อีกครั้ง
หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์ ก็เดินไปรอบๆ ห้องโถงทั้งด้านนอกและด้านใน เขาไม่เห็นหวางซือมู่ แต่กลับพบสาวใช้สองคนของนางยืนอยู่ในห้องโถง
ถามไปว่า “แล้วนายหญิงล่ะ?”
“อยู่ที่ลานบ้านเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างสุภาพ
สวี่เอ้อร์หลางเดินออกจากห้องโถงด้านใน หันไปทางลานบ้าน และพบว่าหวางซือมู่นั่งอยู่ที่โต๊ะหิน ราวกับบุปผากระดาษที่ไร้ชีวิตชีวา นั่งตะลึงงัน
สวี่หลิงอินยืนอยู่ข้างๆ กินขนมและเหลือบมองที่พี่สะใภ้ในอนาคต พลางคิดว่าหากกินเสร็จแล้ว จะหนีไปอย่างรวดเร็ว
‘หัวใจของสวี่เอ้อร์หลางหนักอึ้ง พลางคิดว่า เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ ข้ามาช้าไปใช่หรือไม่…’
“ซือมู่ ซือมู่…”
เขาเดินไปหา และเขย่าไหล่ของหวางซือมู่เบาๆ
หวางซือมู่เงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาที่ไม่แสดงอะไร มองเขาอย่างว่างเปล่า
ไม่กี่วินาทีต่อมา หวางซือมู่ก็หลุดออกมาจากความโศกเศร้า จับมือเขาแน่นแล้วพูดด้วยน้ำตา “เอ้อร์หลาง น้องสาวของเจ้าโกรธข้า!”
“เจ้ากับหลิงเยวี่ยทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ?”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว ในสมองของเขานึกถึงความเป็นไปได้ขึ้นมาทันที หวางซือมู่และสวี่หลิงเยวี่ยทะเลาะกัน บนใบหน้าของสวี่หลิงเยวี่ย มีคำว่า หาก ‘เสียใจ’ ก็ไปบอกพี่ใหญ่เถอะ
พี่ใหญ่ต้องพูดอะไรที่น่ารำคาญ เพื่อทำให้หวางซือมู่โกรธมากแน่ๆ พี่ใหญ่คนนี้เป็นคนที่มีนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
หวางซือมู่ส่ายหัวมองไปที่สวี่หลิงอินที่ไร้หัวใจ และสะอื้นออกมา “นางต่างหากล่ะ…ข้าอุตส่าห์เห็นใจอยากจะสอนเลขให้นาง แต่นาง นางแค่อยากจะกวนประสาทข้า”
สวี่เอ้อร์หลางสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองดูนางด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจ “เจ้า เหตุใดเจ้าถึงหาเรื่องใส่ตัว? พวกหนุ่มๆ ของสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น หลี่เต้าฉาง ฉู่หยวนเจิ่น พวกเขาต่างก็เคยถูกหลิงอินกวนประสาทมาแล้ว นับประสาอะไรกับเจ้า?”
หวางซือมู่ไม่เชื่อและพูดว่า “แต่ แต่ว่าหลิงเยวี่ยบอกว่า ที่หลิงอินไม่ไปโรงเรียนเพราะนางถูกรังแกที่โรงเรียน และนี่ก็เป็นความจริงด้วย ข้าก็เลยคิดที่จะช่วยสอน…”
ดูเหมือนว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและหยุดพูด
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ
บนสันเขาในระยะไกล สวี่ชีอันหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้
หลี่เมี่ยวเจินเตะเขา แต่ตัวเขาเองก็ลำบากที่จะหยุดหัวเราะเช่นกัน
“ข้า ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดฉู่หยวนเจิ่นถึงโกรธขนาดนั้น ฮ่าฮ่า เจ้าบ้านั่นพยายามสอนเลขให้กับหลิงอินด้วย ไม่ไหว ไม่ไหว ข้าหัวเราะจนปวดท้องไปหมด…”
สวี่ชีอันจับท้อง หัวเราะจนน้ำตาไหล ในที่สุดเขาก็รู้ว่าฉู่หยวนเจิ่นกำลังเผชิญกับอะไรในสำนักอวิ๋นลู่
“น้องสาวคนโตของเจ้าใจดำจริงๆ” หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะ
“ไปเลย เจ้าก็ใจดำ” สวี่ชีอันกล่าว
หลี่เมี่ยวเจินแสดงสีหน้าจริงจัง
สวี่เอ้อร์หลางมองไปรอบๆ และเห็นว่ามีเพียงเสี่ยวโต้วติงคนเดียว จากนั้นเขาจึงนั่งลง มองไปที่เขาและพูดคำหวานๆ ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมหวางซือมู่ได้
จากนั้น ในสมองของเขามีภาพที่สวี่หลิงเยวี่ยมาหาและพูดกับเขาเงียบๆ เมื่อคืนก่อน
“ซือมู่ เมื่อคืนนี้ข้าคิดเรื่องนี้อยู่นาน”
รอให้หวางซือมู่มองมาที่เขา จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ แล้วพูดต่อ “นับตั้งแต่พี่ใหญ่ทำให้ฝ่าบาททรงขุ่นเคือง จริงๆ แล้วสถานการณ์ในบ้านสกุลสวี่ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายมาโดยตลอด”
“ความหมายของพี่ใหญ่คือ อยากให้ทุกคนในครอบครัวออกจากเมืองหลวง สำหรับข้า การที่จะอยู่ที่เมืองหลวงอยู่ไม่อยู่ เป็นการตัดสินใจของข้าเอง ข้าเรียนหนักมากว่าสิบปี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะมีชื่อเสียงอย่างที่เป็นอยู่จนวันนี้ และข้าจะไม่ออกจากเมืองหลวงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“แต่ว่า ข้าอยากจะรออีกสักหน่อย เมื่อข้ามีตำแหน่งที่สูงขึ้นและมีสถานะของครอบครัวใหญ่โตขึ้น จากนั้นค่อยแต่งงานกับเจ้า มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะเจ้า เพียงเพราะเจ้าเลือกผู้ชายที่ไม่คู่ควร”
หวางซือมู่จับมือเขา ไม่มีแม้แต่ความเสียใจ ในดวงตามีแต่ความอ่อนโยนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ก่อนพลบค่ำ อาสะใภ้ได้มอบของขวัญมากมายให้กับหวางซือมู่ รวมทั้งสร้อยข้อมือหยกที่นางสวมใส่มาหลายปี
หวางซือมู่ออกไปพร้อมกับสาวใช้ของนาง และเมื่อนางมองย้อนกลับไป นางเห็นนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่พร้อมกับลูกสาวสองคนยืนออกมาส่ง สวี่หลิงอินโบกมืออย่างมีความสุข
สายตาของนางมองกวาดไปที่พวกเขาทั้งสามคนนั้น มองไปที่ชายคาด้านบน สวี่ชีอันยืนอยู่บนจุดสูงสุด พยักหน้าและยิ้มให้นาง หลี่เมี่ยวเจินและหญิงสาวที่ผมเผ้าไม่เรียบร้อยอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของเขา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่านางจะผิดหวังในวันนี้ แต่นางก็รู้สึกโล่งใจจากครอบครัวนี้ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสบายใจ
ช่วงเวลาแห่งความสงบสุข
…
หลังพลบค่ำที่จวนสกุลหวาง
บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ สมุหราชเลขาธิการหวางเหลือบมองไปที่บุตรสาวและพูดว่า
“เจ้ามีเรื่องกังวลในใจ กำลังคิดอะไรอยู่ อ้อ ใช่ วันนี้เจ้าไปที่จวนสกุลสวี่มา เป็นอย่างไรบ้าง?”
พี่รองกล่าวว่า “บ้านสกุลสวี่เพิ่งจะมีอำนวจและมีฐานะได้ไม่นาน ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถทำให้น้องสาวของข้าพอใจในทุกด้านได้ใช่หรือไม่”
พี่ใหญ่ขมวดคิ้ว “ในกรณีนี้ ถ้าเจ้าแต่งงานกับสวี่ฉือจิ้วในอนาคต สินสอดที่ได้คงทำให้มีฐานะขึ้นในระดับหนึ่งนะ”
เมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองได้ยินสิ่งนี้ พวกนางก็รู้สึกเหนือกว่าในใจ
“ครอบครัวของพวกเขาใช้แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรเป็นแก้วเหล้า ใช้ของโบราณล้ำค่าสำหรับใส่อาหาร และพวกเขาเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ การปฏิบัติงานเกี่ยวกับผงปรุงรสไก่ทั้งหมดในราชสำนักทุกปี จะแบ่งผลกำไรหนึ่งเท่าให้กับจวนสกุลสวี่” หวางซือมู่กล่าวเบาๆ
“อะไรนะ? การปฏิบัติงานเกี่ยวกับผงปรุงรสไก่ทั้งหมดในราชสำนักทุกปีจะแบ่งผลกำไรหนึ่งเท่า?”
พี่รองที่อยู่ในแวดวงธุรกิจตกตะลึง นี่เป็นความมั่งคั่งจำนวนมหาศาลที่ไม่สามารถจินตนาการได้
“ใช้แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรเป็นแก้วเหล้า…” สีหน้าของพี่ใหญ่ดูหม่นหมอง
พี่สะใภ้สองคนดูอิจฉา
ฮูหยินหวางยิ้มอย่างพอใจและถามว่า “แล้วนายหญิงของบ้านนั้นล่ะ? ดูจากฝีมือของซือมู่แล้ว คงจะควบคุมนางได้ไม่ยากสินะ”
สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา เขารู้อยู่ว่าบุตรสาวของเขาอยู่ในระดับใด
หวางซือมู่กล่าวอย่างเงียบๆ “นายหญิงของบ้านสกุลสวี่…เป็นคนที่ล้ำลึกมาก คาดเดาได้ยากยิ่ง”
ตระกูลหวางมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
พี่ใหญ่ถอนหายใจ “บ้านสกุลสวี่ไม่ง่ายจริงๆ ว่าแต่ ท่านพ่อ การเจรจาเป็นอย่างไรบ้าง?”
เขาไม่ได้คาดหวังให้บิดาของเขาตอบ เพราะเขาเคยถามคำถามเดียวกันนี้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับของราชสำนัก หวางเจินเหวินไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของเขา
“บทสรุปจะมีออกมาให้เห็นไม่เกินสามวัน” หวางเจินเหวินกล่าวเบาๆ
การเจรจาระหว่างต้าฟ่งและเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์ในตอนนี้และในอนาคต ผลประโยชน์ในอนาคตแค่จะถูกเพิ่มเข้ามาเท่านั้น และผลประโยชน์ในตอนนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
และสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทำได้คือเป็นม้าศึก แร่เหล็ก ขนสัตว์ และดินแดนที่ถูกยกให้
…
ตอนกลางคืนที่ห้องอ่านหนังสือ
หลังจากฟังบันทึกชีวิตของจักรพรรดิผู้ล่วงลับแล้ว สวี่ชีอันก็หยิบ ‘ต้นฉบับ’ ของสวี่เอ้อร์หลางขึ้นมา พบว่าเป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้กับทหารม้าจิ้งกั๋ว
สวี่เอ้อร์หลางดื่มชาและพูดว่า “นี่คือการคาดเดาของข้าเอง”
เอ้อร์หลางมีคุณสมบัติควรค่าแก่การเป็นหัวหน้าในตำราพิชัยสงคราม เขาเขียนได้ดี และมีความคิดที่ชัดเจน แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดถึงจะเป็นสงครามแค่ในกระดาษหรือว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง
หลังจากที่สวี่ชีอันอ่านแล้ว เขาก็ยื่น ‘ต้นฉบับ’ ส่งคืนให้เอ้อร์หลาง
…
ลึกลงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีหุบเขาที่มืดมิดตัดกับมหาสมุทร
คลื่นกระทบโขดหินและหน้าผา ทำให้เกิดเสียงก้องกังวาน ฟองคลื่นสีขาวที่สาดกระเซ็นราวกับสิงโตหิมะและมังกร
ใจกลางหุบเขามีแท่นบูชาสูงร้อยจั้ง และบนแท่นบูชานั้นมีรูปปั้นหินขนาดใหญ่วางอยู่สองรูป
รูปปั้นหินสวมเสื้อคลุม มงกุฎของลัทธิขงจื๊อ มีเครายาวถึงหน้าอก เป็นรูปปั้นของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อ
เขาขมวดคิ้ว
รูปปั้นหินอีกรูปหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวและมงกุฎหนาม มีใบหน้าหล่อเหลาและสง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้
แสงแรกในตอนเช้าส่องบนแท่นบูชา รูปปั้นที่สวมมงกุฎหนามก็สั่นสะท้านในทันใด
ห่างออกไปจากแท่นบูชาจะเป็นนครรัฐขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของสำนักพ่อมด
นครรัฐนี้เรียกว่า ‘จิ้งกั๋ว’ ชื่อของภูเขาคือชื่อเมือง และชื่อประเทศที่มีชื่อว่าจิ้งกั๋วก็มาจากภูเขาแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของแท่นบูชา
ในโลกนี้เมื่อพ่อมดเทพไม่ปรากฏในโลก พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่คือผู้นำสูงสุดของสำนักพ่อมด อันดับแรกของระบบพ่อมดคือ พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่!
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ร่วมสมัยชื่อซ่าหลุนอากู่ ซึ่งเป็นมหาอำนาจระดับสูงสุดที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เมื่อท่านโหราจารย์รุ่นแรกยังสามารถไม่ทำงานได้เต็มเวลา ตัวตนของเขาก็คือลูกศิษย์ของมหาอำนาจโบราณแห่งนี้
ภาพของซ่าหลุนอากู่เป็นชายชราสวมเสื้อคลุมและหมวก เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในวังสูงตระหง่านและใหญ่โตในเมืองหุบเขาจิ้ง
แต่พวกเขากลับสร้างกระท่อมมุงจากที่เชิงเขาจิ้ง และเลี้ยงฝูงแกะ ทุกเช้าพ่อมดแห่งเมืองหุบเขาจิ้ง จะได้เห็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่คนนี้ร้องเพลงพื้นบ้าน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็ขับฝูงแกะขึ้นไปบนภูเขาชั้นใน
ซ่าหลุนอากู่นำเหยือกออกจากเอว จิบเหล้าโสม ผิวปากอย่างพอใจ จากนั้นเคาะกิ่งไม้ที่ต้อนแกะเบาๆ บนพื้น
“อีเอ๋อร์ปู้ มานี่!”
พ่อมดซึ่งสวมเสื้อคลุมและหมวกก็ปรากฏตัวขึ้นตรงที่กิ่งก้านต้นไม้ที่ชี้ไปมา
“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่!”
พ่อมดชื่ออีเอ๋อร์ปู้คำนับ
“อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือยัง?” ซ่าหลุนอากู่พูดด้วยรอยยิ้ม
อีเอ๋อร์ปู้พยักหน้า พูดเสียงต่ำ “พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่เป็นขุมพลังลึกลับที่ปรากฏในฉู่โจวตอนนี้ เขาผู้นั้นเป็นใคร ข้ายังไม่สามารถหาตัวตนของเขาได้”
“ท่านสามารถค้นพบตัวตนเขาได้แน่นอน เพราะท่านเป็นพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่”
ซ่าหลุนอากู่แสดงสีหน้าใจดี “อย่าไปสนใจเขาเลย นั่นคือคนที่สำนักพุทธจะต้องปวดหัว คนที่เราต้องเผชิญหน้าด้วยคือเว่ยเยวียน เทพพ่อมดเพิ่งบรรลุวัตถุประสงค์”
“ในที่สุดเทพพ่อมดก็สามารถเปิดเผยพลังของเขาและส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงได้?” อีเอ๋อร์ปู้รู้สึกประหลาดใจ
ซ่าหลุนอากู่ไม่ตอบ กางฝ่ามือออก ไม่รู้ว่ามีแหวนปานจื่อปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ พูดว่า “ไปบอกพวกคนในจิ้งกั๋วว่าภายในสามเดือน ให้ก้าวข้ามพรมแดนทางเหนือ”
หลังจากที่อีเอ๋อร์ปู้ออกไปแล้ว ซ่าหลุนอากู่ก็เหลือบมองไปยังแท่นบูชาที่อยู่ไกลออกไปและพึมพำ
“ให้ข้าไปที่เมืองหลวงต้าฟ่งเพื่อค้นหาลูกศิษย์ตัวปัญหาคนนั้น…ในดินแดนต้าฟ่ง ข้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ มันน่าปวดหัวเสียจริง”
ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจ
ด้วยการถอนหายใจนี้ เมืองหุบเขาจิ้งที่มีแดดจ้าก็ถูกปกคลุมด้วยเมฆในทันที ลมกระโชกแรง ฟ้าแลบและฟ้าร้อง
…
เช้าวันเดียวกันนั้นเอง หวงเซียนเอ๋อร์และเผยหม่านซีโหลวขึ้นรถม้าและมาถึงประตูจวนสกุลสวี่ตามเวลานัด
หวงเซียนเอ๋อร์ที่มีใบหน้าไม่สนใจอะไรกลับมีเสน่ห์ด้วยใบหน้าที่งดงาม นางเลียริมฝีปากและพูดอย่างตื่นเต้น “ข้ารอแทบไม่ไหวแล้วที่จะพบกับฆ้องเงินสวี่ในตำนาน”
เผยหม่านซีโหลวถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือและพูดด้วยรอยยิ้ม
“การเจรจาสิ้นสุดลง เราจะออกจากเมืองหลวงหลังจากพบกับสวี่ชีอัน ทหารม้าจิ้งกั๋วที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกลยุทธ์ที่ทรงพลัง ข้ามีคำถามสองสามข้อที่จะถามเขา สำหรับเจ้า ขอแค่เป็นแจกันที่ข้าถูกใจ อยู่ที่ว่าเจ้าจะพาเขานอนกับเจ้าได้หรือไม่ อยู่ที่ความสามารถของเจ้าแล้ว”
หวงเซียนเอ๋อร์เลียริมฝีปากสีแดงและพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ชายน่ะนะ น้อยคนนักที่ไม่สนใจผู้หญิง ที่ไม่สนใจมักเป็นเพราะผู้หญิงสวยไม่มากพอ
“ยิ่งเขาทะลึ่งมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมีวิธีจัดการได้มากเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้าเขาอยากจะนอนกับข้าจริงๆ เขาทำได้แค่อ้อนวอนขอความเมตตา แล้วเรียกข้าว่าที่รัก”
นางมั่นใจว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือของนางแน่
…………………………………………………………….