ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 441 กลอุบายเฉียบคม
บทที่ 441 กลอุบายเฉียบคม
“หากเจ้าความสามารถ คิดจะพาเขากลับทางเหนือด้วยก็สุดแล้วแต่เจ้าเลย แต่ก่อนหน้านั้น อย่ามาขวางเรื่องของข้า” เผยหม่านซีโหลวเอ่ยเสียงนิ่ง
“เรื่องของเจ้า…”
หวงเซียนเอ๋อร์มองดูเล็บตัวเองแล้วเก็บท่าทีอวดดีกลับพลางกล่าวว่า “ข้าว่านะ คนที่เย่อหยิ่งจองหองแบบเจ้า เหตุใดถึงยอมแพ้ให้กับคนที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนกันล่ะ”
“หลายวันมานี้ ข้าลองสอบถามดูแล้ว ถึงแม้สวี่ชีอันจะเป็นอัจฉริยะกวีแห่งยุค แต่กลับไม่เคยฉายแววด้านกลยุทธ์ทางทหาร ข้าจึงสงสัยว่าเว่ยเยวียนอาจเป็นคนเขียนตำราพิชัยสงครามเล่มนั้นต่างหาก ดังนั้นข้าจึงอยากจะไปพบเขาแล้วลองทดสอบดู แน่นอนว่า หากเขาเป็นคนเขียนตำราพิชัยสงครามเล่มนั้นจริงๆ…”
เผยหม่านซีโหลวเงียบงันไปพักหนึ่งก็กำหมัดเบาๆ ในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นและคาดหวังเล็กน้อย
“ข้าก็อยากจะสอบถามเกี่ยวกับวิธีการพลิกสถานการณ์ของศึกทางเหนือจากเขาสักสองสามข้อ กลยุทธ์ทางทหารแบบนี้ทุกคนมักจะมีความเห็นแตกต่างกันไป บางทีมันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะในสมรภูมิได้เลย”
หวงเซียนเอ๋อร์หน้ามุ่ย “เกินจริงไปกระมัง”
รถม้าหยุดลง ทั้งสองเลิกม่านขึ้นและลงจากรถ
เหล่าจางผู้เฝ้าประตูเดินนำพวกเขาเข้าประตู เมื่อหวงเซียนเอ๋อร์เข้าสู่จวนสกุลสวี่นางก็มองซ้ายแลขวาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยนี่นา!”
ช่วงนี้นางตามเผยหม่านซีโหลวไปวิ่งเล่นสังสรรค์อยู่ในจวนของขุนนางเมืองหลวงมากมาย เคยเห็นจวนอันงดงามหรูหราก็มาก แต่รูปแบบและอาคารของจวนสกุลสวี่นั้นถือว่าอยู่ในระดับพอกินพอใช้
พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยหินสีเขียว ด้านหน้าคืออาคารที่มีลักษณะโอ่อ่าและมุมหลังคาสองข้างเชิดขึ้น นี่คือโถงด้านนอกสำหรับรับแขกของจวนสกุลสวี่
ดวงตาของหวงเซียนเอ๋อร์สว่างไสว นางเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสีดำ คลุมด้วยเสื้อคลุมปักดิ้นเงินดิ้นทองและใส่เครื่องประดับหรูหรากำลังยืนอยู่ที่ประตูโถงด้านนอก
และกำลังมองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม
องคาพยพบนใบหน้าราวกับแกะสลักและเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษผู้แข็งกร้าว แต่กลับไม่หยาบกระด้าง พอมองดูดีๆ ก็จะพบว่าความจริงแล้วงดงามมากทีเดียว
เพียงแต่ดวงตาของเขาเฉียบคม ร่างกายกำยำ กล้ามเนื้อเป็นสีข้าวสาลี ทำให้เขาดูแตกต่างจากญาติผู้น้องที่งดงามของตนโดยสิ้นเชิง
‘ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็คู่ควรให้ข้ารักข้าชอบแล้ว’…รอยยิ้มของหวงเซียนเอ๋อร์เผยเสน่หาออกมาโดยไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันเคยพบพวกเขาในงานชุมนุมวรรณกรรมมาแล้ว ดังนั้นจึงเพียงกวาดตามอง ไม่ได้จ้องมองอะไรมาก
อืม ปีศาจสาวหวงเซียนเอ๋อร์ยังคงพราวเสน่ห์เช่นเคย! เขาพึมพำอยู่ในใจแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ทั้งสองท่านเชิญด้านใน!”
‘เขาเพียงแค่เหลือบมองข้าเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เผยความลุ่มหลวงตกตะลึงแบบที่บุรุษทั่วไปควรมี แต่ข้ากับเขาเพิ่งเจอกันครั้งแรกมิใช่หรือ…
‘ต้องไม่ใช่เพราะข้าไม่มีเสน่ห์มากพอหรอก แต่เป็นเพราะฆ้องเงินสวี่ผู้นี้อาจจะมีความต้านทานต่อเสน่ห์ความงามที่แรงมากๆ หรือไม่ก็ ข่าวลือที่แพร่ไปทั่วเมืองหลวงเกี่ยวกับเขาและคณิกาสำนักสังคีตนั้น ความจริงเป็นแค่เรื่องหลอกลวงที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นก็ได้’…หวงเซียนเอ๋อร์ที่ฉลาดและมีไหวพริบสังเกตรายละเอียดนี้และเก็บมันไว้ในใจของตนเงียบๆ
‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็แสดงว่าฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่คนธรรมดา การจะยั่วยวนเขานั้นก็เป็นเรื่องยาก’
‘แบบนี้ก็สนุกดีไม่ใช่หรือ หากแค่โบกมือก็คลานขึ้นเตียงได้ เช่นนั้นก็ไม่ท้าทายน่ะสิ…ได้ยินมาว่ามีสตรีจากสกุลดีไม่รู้ตั้งกี่คนที่ชื่นชมเขาอยู่ด้วย’
‘ฮึ ข้าจะนอนกับคนหนุ่มผู้โดดเด่นที่สุดในต้าฟ่งให้ดู!’
‘ข้าจะต้องเกี้ยวชายหนุ่มที่สตรีนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงใฝ่ฝันขึ้นเตียงให้ได้!’
‘ลองคิดดูสิ ชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่สุดในต้าฟ่ง ฆ้องเงินสวี่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ใฝ่ฝันของสตรีนับไม่ถ้วนในเมืองหลวง แต่กลับถูกชาวต่างแดนเช่นนางลวงขึ้นเตียงได้ แบบนั้นจะสะใจเพียงใดและคงเป็นเรื่องที่สุขใจอย่างยิ่ง’
นอกจากเป็นการเปลี่ยนทัศนคติของสตรีในเมืองหลวงแล้ว เมื่อกลับไปที่เผ่า นางก็ยังสามารถคุยโวต่อหน้าพวกพี่สาวน้องสาว และทำให้พวกจิ้งจอกนั่นอิจฉาริษยาได้อีกด้วย
สวี่ชีอันนำทูตปีศาจทั้งสองเข้าไปในห้องแล้วสั่งให้คนรับใช้ยกชามาให้ จากนั้นก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานแล้วเอ่ยติดตลก
“รู้ทั้งรู้ว่าข้ากับองค์จักรพรรดิไม่กินเส้นกัน แต่พวกท่านก็ยังมาเยี่ยมเยียน ต้องการจะหาที่ตายให้ข้าหรือนี่”
เนื่องจากสองคนนี้เป็นคนจากเผ่าปีศาจ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเตือนสตรีในบ้านล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้อย่าออกมาวิ่งเล่นนอกห้อง
เผยหม่านซีโหลวรับมารยาท เขาจิบชาพอเป็นพิธีแล้วเอ่ยติดตลกด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
“บุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งล้วนรู้กันไปทั่วแล้ว ข้าเพียงสงสัยว่าฆ้องเงินสวี่จะจัดการกับมันอย่างไร”
สวี่ชีอันแย้มยิ้มแต่ไม่ตอบกลับ เพียงเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เป็นฆ้องเงินมานานแล้ว”
เผยหม่านซีโหลวหยุดหัวข้อนั้นไว้แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ในวันที่จัดงานชุมนุมวรรณกรรม ข้าได้เห็นตำราพิชัยสงครามของคุณชายสวี่ ราวกับได้เห็นเทพเทวดามาโปรดเชียวล่ะ ความจริงแล้วข้านั้นชื่นชมคุณชายสวี่มานานแล้ว”
หวงเซียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ “บ่าวก็เคารพเลื่อมใสคุณชายสวี่มานานแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางนุ่มละมุน ยามเอ่ยพูดราวกับกำลังออดอ้อน
สวี่ชีอันกลับทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางโปรยเสน่ห์ของมนุษย์จิ้งจอกคนงามผู้นี้ ใบหน้าก็เพียงแต้มยิ้มบางๆ
“ความอัจฉริยะของคุณชายเผยหม่านก็ทำให้ข้าประหลาดใจเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าคนจากชนเผ่าภายนอกจะมีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย ท่านถึงกับสามารถใช้ความอัจฉริยะของตัวเองเอาชนะความเคารพชื่นชมจากต้าฟ่งได้”
หวงเซียนเอ๋อร์ย่นปากแล้วเอ่ยเสียงหวาน “แล้วบ่าวล่ะ บ่าวเอาชนะความชื่นชมของคุณชายได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจ้าน่ะหรือ ปีศาจจิ้งจอกอย่างพวกเจ้าเอาชนะความชื่นชมของทั้งวงราชการได้ตั้งนานแล้ว…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ เขาเพียงยิ้มแผ่วเบาให้กับคำพูดหยอกเย้าเช่นนี้
นางจิ้งจอกจากเผ่าจิ้งจอกนั้น ตอนนี้ได้รับคำชมในทางที่ดีจากแวดวงราชการของต้าฟ่งอย่างเป็นเอกฉันท์ มีการพูดถึงแบบส่วนตัวเป็นอย่างมากในวงราชการของเมืองหลวง แม้แต่สวี่เอ้อร์หลางก็ยังได้ยินมา ยามที่คุยกับพี่ใหญ่ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย
“แต่ถึงจะเป็นข้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับม้าเหล็กของจิ้งกั๋วก็รู้สึกว่าตึงมือเป็นพิเศษ ทหารม้าเหล็กเผ่าเทพนั้นแข็งแรงกำยำ เป็นเรื่องที่ทุกคนในจิ่วโจวล้วนรู้กันดี แต่ความห้าวหาญของบุคคลนั้นเป็นอาวุธที่ใหญ่ยิ่งกว่า” เผยหม่านซีโหลวเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ที่เรามาเยี่ยมเยียนในคราวนี้ ซีโหลวต้องการขอคำแนะนำจากคุณชายสวี่สักหน่อยน่ะ”
ขอคำแนะนำ? ข้าเป็นแค่ครูพักลักจำเท่านั้น ข้าไม่ได้เป็นคนเขียนตำราพิชัยสงครามซุนจื่อสักหน่อย ซุนจื่อต่างหากที่เป็นคนเขียน ชื่อหนังสือก็บอกไว้ชัดแล้วไม่ใช่หรือ…ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการรบอย่างเจ้าจะมาขอคำแนะนำอะไรจากข้า
สวี่ชีอันพร่ำบ่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเรียบๆ ว่า “ข้าเขียนอยู่ในหนังสือทหารแล้วว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา รอยยิ้มที่มุมปากของเผยหม่านซีโหลวก็กว้างขึ้นกว่าเดิม จนเกิดความยอมรับในขั้นแรกต่อความสามารถของฆ้องเงินสวี่ผู้นี้ ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า
“ข้าร้อนใจเกินไป อืม จิ้งกั๋วมีทหารม้าสองประเภท ประเภทแรกถูกเรียกว่าทัพเกราะไฟ ซึ่งมาจากเกราะที่ทำจากวัสดุพิเศษบนร่าง พาหนะของพวกเขาคือสัตว์เกล็ดเขาเดียว เป็นสัตว์ประหลาดที่มีคุณภาพการทำศึกค่อนข้างสูงและเป็นพันธุ์ผสมกับสัตว์ประหลาดชื่อ ‘จา’ ของจิ้งกั๋ว สัตว์ร้ายตัวนี้มีพลังแข็งแกร่งจนน่ากลัว เกล็ดของมันมีพลังป้องกันอันน่าสะพรึง ยามที่เขาเดียวบนหัวพุ่งเข้ามาจู่โจม ก็ไม่มีสิ่งใดที่เอาชนะไม่ได้ แม้แต่ทหารม้าหนักที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอนารยชน เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าตนจะชนะแน่นอน เพราะทัพเกราะไฟมีมากถึงสี่หมื่น ส่วนทหารม้าอีกประเภทของพวกเขาก็คือทหารม้าเหล็กทั่วไป”
ทหารม้าหนักที่เกิดจากสัตว์ประหลาดสี่หมื่นตัว มิน่าเล่าถึงสามารถกวาดล้างชนเผ่าปีศาจได้…สวี่ชีอันแอบตกตะลึง
เผยหม่านซีโหลวกล่าวต่อ “แต่ก็ไม่ควรประมาททหารม้าเบาของพวกเขาเช่นกัน พวกมันห้อตะบึงดุจดั่งเพลิง หลังจากทหารม้าหนักจู่โจมเข้ามาแล้ว ทหารม้าเบาก็จะรับหน้าที่จัดการกับกองทัพศัตรูที่แตกพล่าน เมื่อสองฝ่ายร่วมมือกัน อุปสรรคใดๆ ล้วนฝ่าฟันไปได้ทั้งนั้น นอกจากนั้น ทางด้านเหนือส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่ราบลุ่ม ไม่เหมือนกับภาคกลางที่มีภูเขาลำธารหนาแน่น ที่หากหาภูมิประเทศดีๆ ก็สามารถควบคุมกองทัพประหลาดของจิ้งกั๋วได้แล้ว เช่นนั้นขอถามฆ้องเงินสวี่หน่อยเถิดว่า เผ่าเทพทางเหนือของข้าควรจะจัดการอย่างไรดี”
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าเป็นข้านะ วิ่งหนีป่าราบไปแล้ว จะไปสนใจเขาทำไม…ตอนนั้น ต้นฉบับของสวี่เอ้อร์หลางพลันวาบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน ทันใดนั้นเขาก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า
“หากเป็นกองทัพของต้าฟ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับทหารม้าเหล็กแบบนี้ที่ทางเหนือ ก็ต้องใช้ปืนใหญ่กับหน้าไม้สลับกันระดมยิงเข้าไป”
เผยหม่านซีโหลวส่ายหน้าแล้วกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ จิ้งกั๋วก็มีทหารม้าเบาที่ห้อตะบึงได้อย่างรวดเร็วยิ่ง แค่แยกกระบวนทัพแล้วต้านการระเบิดสองระลอกแรกได้ ก็สามารถทำลายกองทหารปืนใหญ่ของต้าฟ่งได้แล้ว”
สวี่ชีอันกล่าว “มีสองวิธี ทำกับดักไม้ดักกวางให้ห่างจากทหารปืนใหญ่ร้อยก้าว หรือไม่ก็ทำเป็นหลุมดักม้า แค่ทุบพื้นลงไป ขุดให้เป็นหลุมลึกประมาณหนึ่ง ทีนี้ก็สามารถลดการโจมตีของทหารม้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว”
ทหารม้าเบาเทียบกับทหารม้าหนักไม่ได้ จึงไม่อาจละเลยได้ พอความเร็วในการโจมตีจะถูกขัดขวาง จึงต้องใช้ปืนใหญ่และหน้าไม้ให้มากหน่อย ฮ่าฮ่า การศึกไม่มีรูปแบบตายตัว ไม่มีข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศ แต่ต้องเรียนรู้ที่จะสร้างข้อได้เปรียบให้กับตัวเอง
‘หลุมดักม้า ไม้ดักกวาง…ข้าก็มีแผนการที่คล้ายๆ กัน แต่ตอนนี้มีวิธีการที่จะสร้าง ‘ข้อได้เปรียบทางพื้นดิน’ ในที่ราบเพิ่มขึ้นอีกสองอย่างแล้ว’…ดวงตาของเผยหม่านซีโหลวเป็นประกาย เขานิ่งเงียบเพื่อจดจำ จากนั้นก็แย้มยิ้มอย่างล้ำลึก
“คุณชายสวี่อาจจะยังไม่ทราบ จิ้งกั๋วก็มีปืนใหญ่และหน้าไม้เช่นกัน เท่าที่ข้ารู้ อดีตเจ้ากรมทหารของต้าฟ่งของพวกท่านเป็นคนส่งสิ่งเหล่านี้ให้สำนักพ่อมดเอง แค่หลุมดักม้ากับไม้ดักกวาง เกรงว่าคงยากจะต่อกรกับทหารม้าของจิ้งกั๋วได้”
บัดซบ ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้? ไม่ได้มาขอคำแนะนำหรือไง เจ้ามาเพื่อทำเรื่องยุ่งมากกว่าล่ะมั้ง…สวี่ชีอันอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขา
เผยหม่านซีโหลวผู้นี้ไม่ใช่แค่มาขอคำแนะนำหรอก แต่มาหยั่งเชิงความรู้ตื้นลึกของเขา เพราะตนถูกเขา ‘โจมตีจนถึงตาย’ ในงานชุมนุมวรรณกรรมอย่างไรเล่า ก็เลยรู้สึกไม่ยินยอมล่ะสิ
โชคดีที่เมื่อคืนข้าอ่านกลยุทธ์บางอย่างของเอ้อร์หลางแล้ว…สวี่ชีอันหัวเราะร่า “แล้วไม่นำทหารม้าของทั้งเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนออกมาใช้หรือ”
เขาเปลี่ยนความคิดอย่างยืดหยุ่น โดยชักนำกองทัพของเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนเข้ามาในการศึกด้วยเพื่อเสริมจุดอ่อนด้านพลังต่อสู้ให้กับฝ่ายตน ในความคิดของสวี่เอ้อร์หลาง เดิมเขาก็นับเอากองทัพของสองเผ่านั้นไว้ในกลยุทธ์อยู่แล้ว
เผยหม่านซีโหลวราวกับกำลังคุยเล่นอยู่ “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็พอจะมีกำลังพอๆ กันแล้ว”
“ไม่ ไม่ใช่มีกำลังพอๆ กัน”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “หากต้าฟ่งกับสองเผ่าร่วมมือกัน ก็จะมีโอกาสสยบกองทัพจิ้งกั๋วอย่างแน่นอน แม้ว่าในมือของพวกเขาจะมีปืนใหญ่จำนวนหนึ่งก็ตาม ยิ่งมีอาวุธมากเท่าใด พื้นที่ที่จะทำการได้ก็ยิ่งเยอะเท่านั้น อ่า ข้าจะยกตัวอย่างเล็กๆ ให้ฟัง ได้ยินมาว่านักรบทุกคนของฝ่ายพฤกษาสุวรรณแห่งเผ่าอนารยชนล้วนเลี้ยงแมงมุมปีกนกไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นกองทัพอสูรบินได้เพียงหนึ่งเดียวในสิบสองฝ่าย นอกจากนี้ นักรบของฝ่ายพฤกษาสุวรรณยังเชี่ยวชาญด้านการยิงอีกด้วย”
เผยหม่านซีโหลวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “แม้กองทัพอสูรบินของฝ่ายพฤกษาสุวรรณจะเชี่ยวชาญด้านการยิง แต่ลูกธนูก็ยากจะเจอเข้าเกราะของทัพเกราะไฟได้ ยอดฝีมือบางคนอาจจะทำได้ แต่ในสนามรบขนาดใหญ่ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ”
สวี่ชีอันยิ้ม “พี่เผยหม่านคงยังไม่ยืดหยุ่นพอ เหตุใดต้องหวังให้ใช้ลูกธนูสร้างความเสียหายเล่า ในเมื่อความเสียหายนั้นไม่อาจเป็นภัยคุกคามต่อทัพเกราะไฟได้ พวกเราก็เปลี่ยนวิธีเสียสิ อย่างเช่น ราดน้ำมันตะเกียงลงบนลูกธนู เกราะของทหารม้าหนักนั้นถอดยาก เมื่อถูกย้อมด้วยน้ำมันตะเกียง ไฟก็จะลุกโชนขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็เผาชุดเกราะจนแดงก่ำแล้ว ถอดก็ยังถอดไม่ได้ อย่างไรก็สลัดไม่หลุด เมื่อถึงตอนนั้น เกราะหนักที่พวกเขาต่างภาคภูมิใจก็จะกลายเป็นจุดอ่อนถึงตายที่สุดไปแล้ว”
กลยุทธ์นี้ก็มาจากความคิดของเอ้อร์หลางอีกเช่นกัน
เผยหม่านซีโหลวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขายากจะรักษาความสงบในใจได้จึงเอ่ยพึมพำเสียงเบา
“ใช่ ในเมื่อลูกธนูทำอะไรไม่ได้ แล้วเหตุใดไม่ลองใช้ไฟโจมตีเล่า เกราะเหล็กของทหารม้าหนักยากจะถอดออกได้เอง เมื่อถูกย้อมด้วยน้ำมันตะเกียง ต่อให้พวกเขาไม่ตายก็ถูกเผาจนเจ็บหนัก กองทัพอสูรบินของฝ่ายพฤกษาสุวรรณยิงธนูลงจากฟ้าสูง ทัพเกราะไฟอย่างไรก็หลบไม่พ้น เป็นไปได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งเลย…”
ยิ่งเขาคิดเช่นนี้เท่าไหร่ก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น เหมือนถูกยอดฝีมือของโลกเปิดทางสว่างให้ก็ไม่ปาน
“คุณชายสวี่สมกับเป็นปรมาจารย์แห่งการศึกจริงๆ ทั้งเชี่ยวชาญการใช้อาวุธและเครื่องมือ ทั้งยังเข้ากับแนวทางการศึกของข้าอีก การพูดคุยคราวนี้เรียกได้ว่าตื่นขึ้นมาจากฝันเลยล่ะ น่าเสียดาย คนที่เชี่ยวชาญการศึกในเผ่าเทพนั้นมีน้อยนัก หากมีคนมาพูดคุยกับข้าเร็วกว่านี้ บางที บางทีอาจจะคิดวิธีออกได้ตั้งนานแล้ว เผ่าเทพของข้าก็คงไม่ต้องสะบักสะบอมเช่นนี้หรอก”
แม้แต่หวงเซียนเอ๋อร์ที่ไม่เชี่ยวชาญการศึกก็เข้าใจความยอดเยี่ยมของกลยุทธ์นี้เช่นกัน
แววตาที่นางมองสวี่ชีอันก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
นี่ไม่ใช่การล่าบริสุทธิ์อีกต่อไป บุรุษผู้นี้ทำให้ในใจของนางมีความชื่นชมอันบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้ว เป็นความชื่นชมของสตรีที่มีต่อวีรบุรุษล้วนๆ
‘เสียกิริยาแล้ว เสียกิริยาแล้ว!’
เผยหม่านซีโหลวดื่มชาลงไปเพื่อระงับความตื่นเต้นในใจ ขณะเดียวกันเขาก็มีความคิดที่ ‘โลภ’ ยิ่งกว่านั้นขึ้นมา
สวี่ชีอันก็ไม่มีความคิดจะปกปิดในการพูดคุยอันดุเดือดเช่นนี้ด้วย แล้วเหตุใดไม่ถือโอกาสนี้เรียนรู้ยุทธวิธีเพิ่มเติมจากปากของปรมาจารย์การศึกผู้นี้กันเล่า
ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ในอุดมคติที่สามารถโจมตีครั้งเดียวก็ได้ชัย
ตอนนี้เผยหม่านซีโหลวเชื่ออย่างสมบูรณ์ว่า ‘ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ’ เล่มนั้นมาจากมือของสวี่ชีอันจริงๆ และเป็นของแท้แน่นอน
ดังนั้น เขาจึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“แม้ว่าแผนนี้จะดี แต่ครั้งนี้สำนักพ่อมดเหิมเกริมนัก พวกเขาไม่ได้มีแค่ทหารม้าเหล็กของจิ้งกั๋วเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ด้วยพลังของปีศาจจู๋จิ่ว แม้จะบาดเจ็บก็ไม่ถึงกับทำให้เซี่ยโฮ่วยวี่ซูโกรธเกรี้ยวขนาดนั้นหรอก กองทัพของจิ้งกั๋วมีพ่อมดขั้นสามหนึ่งคน และพ่อมดขั้นสี่อีกไม่น้อย พวกเขาสามารถควบคุมศพทหารได้ และสามารถกระตุ้นปราณโลหิตของมนุษย์และอสูรได้เป็นวงกว้าง ทำให้พลังต่อสู้ทะยานขึ้นมากภายในระเวลาอันสั้น
“สาเหตุที่ทหารม้าเหล็กของจิ้งกั๋วดุดันเหี้ยมโหดในครั้งนี้นั้น คุณชายสวี่มีความรู้กว้างขวาง เช่นนั้นก็คงจะรู้ดีอยู่แล้ว สนามรบคือบ้านของพ่อมด บทบาทของพ่อมดขั้นสามในสนามรบนั้นดียิ่งกว่าร่างอมตะขั้นสามเสียอีก ข้าขอบังอาจถามหน่อยเถิดว่า มีกลยุทธ์ใดที่จะโจมตีจุดสำคัญและตัดสินผลลัพธ์ในขั้นสุดท้ายได้หรือไม่”
‘ร่างอมตะ’ คือชื่อเรียกของจอมยุทธ์ขั้นสาม
ได้คืบจะเอาศอกหรือ เจ้ายังอยากจะได้กลยุทธ์ตัดสินแพ้ชนะในคราวเดียวอีก
เจ้านี่มันไม่รู้จักพอเสียจริง สุดยอดเหลือเกิน…สวี่ชีอันบ่นในใจ เมื่อเหลือบมองเผยหม่านซีโหลวและหวงเซียนเอ๋อร์ก็พบว่าใบหน้าของพวกเขาจริงจัง อีกทั้งดวงตาของพวกเขาก็จดจ่อราวกับคิดจริงๆ ว่าเขาสามารถเอ่ยกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมบางอย่างออกมาได้
‘ต้นฉบับ’ ของเอ้อร์หลางก็ไม่ได้พูดถึงกลยุทธ์เช่นนี้ด้วยสิ…เขาบ่นในใจ คิดที่จะพูดอีกสักสองสามคำ แต่จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา เป็นการบอกอ้อมๆ ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
บทพูดก็คิดมาหมดแล้ว แค่บอกไปว่า ‘สนามรบเปลี่ยนแปลงได้ภายในพริบตา การมาพูดคุยเรื่องกลศึกในกระดาษจะแก้ไขได้อย่างไร’
“ความแข็งแกร่งของทัพจิ้งกั๋วเป็นอย่างไรบ้าง มีทหารม้ามากแค่ไหน มีปืนใหญ่มากเท่าใด มีทหารราบเยอะหรือไม่” สวี่ชีอันถาม
เผยหม่านซีโหลวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ในศึกที่ด่านซานไห่ จำนวนของทัพเกราะไฟมากถึงห้าหมื่น แต่ล้วนถูกทำลายในการต่อสู้ครั้งนั้นไปหมดแล้ว เมื่อผ่านการฟื้นฟูถึงยี่สิบปี ข้าจึงคาดเดาว่าทัพเกราะไฟคงมีไม่เกินห้าหมื่นแน่ เพราะไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถของทหารม้าหรือว่าการฝึกสัตว์รบ ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องหนึ่งในพัน การฝึกฝนนั้นยากอย่างมาก
ส่วนทหารม้าเบา จำนวนกลับไม่มากเท่า จิ้งกั๋วได้ทุ่มกำลังฝึกฝนทัพเกราะไฟ จึงเป็นการยากที่จะเพิ่มทหารม้าเบาให้มากขึ้นกว่าเดิม ความจริงแล้วทหารม้าเบามีอยู่เพื่อชดเชยจุดอ่อนของทัพเกราะไฟได้ในระดับหนึ่ง และตอนนี้ทหารม้าเบาแปดหมื่นนายก็กำลังทำศึกอยู่ที่ภาคเหนือ”
ทรัพยากรทั้งหมดของจิ้งกั๋วล้วนใช้เพื่อฝึกกองทัพสินะ…สวี่ชีอันจิบชาแล้วเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว”
เขากำลังจะพูดตามบทที่เตรียมไว้ว่าให้ทำเหมือนศึกขับไล่พวกอนารยชน แต่ก็พลันตกตะลึงขึ้นมา บทสนทนาเมื่อสักครู่วาบเข้ามาในหัวอีกครั้งราวกับภาพฉาย
จิ้งกั๋วมีทหารม้าหนักมากที่สุดสี่หมื่น ทหารม้าเบาถูกแยกออกมาเพื่อทำศึกกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนที่แดนเหนือ…
ในสามสิบหกกลยุทธ์ จู่ๆ ก็มีหนึ่งกลยุทธ์ผุดขึ้นมาในใจ
เขาวางถ้วยชาลงแล้วกวาดตามองทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่แสนสงบนิ่ง “แล้วเหตุใดไม่ลองลอบโจมตีเมืองหลวงของจิ้งกั๋วเล่า”
‘เพล้ง!’
ถ้วยน้ำชาในมือตกลงบนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เผยหม่านซีโหลวพลันหายใจรุนแรงขึ้นมาจนหน้าอกของเขาสั่นไหว
…………………………………………………….