ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 445 ลั่นกลองรบ
บทที่ 445 ลั่นกลองรบ
‘โจรสาว’ ที่สวมชุดดำเหลียวซ้ายแลขวา ก้มศีรษะ ก้มตัว มุดเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินด้วยความระมัดระวัง
‘ฟู่ ’
ในความมืดมิด นางเป่าลมออกจากปาก เกิดประกายไฟขึ้น เปลวไฟลุกไหม้อย่างเงียบๆ
คบไฟปล่อยรัศมีสีส้ม ขับไล่ความมืดโดยรอบ นางยกคบไฟขึ้นพินิจพิเคราะห์ผนังถ้ำ ร่องรอยการขุดเจาะโดยแรงงานคนชัดเจนมาก
มือข้างที่ว่างของหญิงชุดดำเอื้อมไปที่เอว ตรงนั้นมีมีดสั้นเหน็บอยู่
ใบมีดสั้นค่อยๆ ถูกปลดออกจากฝัก โดยไม่มีเสียงแม้แต่น้อย รัศมีของไฟกระทบคมดาบ ปรากฏความมืด กลืนกินแสงไฟ
อาวุธชนิดนี้เรียกว่าเขี้ยวดำ ทำจากเหล็กสีดำและเขี้ยวมังกร ใช้เวลาหลอมเป็นเวลาหนึ่งเดือน เป็นหนึ่งในผลงานที่ซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์ภาคภูมิใจที่สุด
นอกจากนี้ ปรมาจารย์ค่ายกลหยางเชียนฮ่วน ยังได้บันทึกค่ายกลสำหรับเขี้ยวดำด้วยตนเอง ทำให้มันกลายเป็นอาวุธวิเศษ เป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นยอดชิ้นหนึ่ง
เขี้ยวดำมีค่ายกลสามชั้น ชั้นแรกเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้คมมีด เพื่อทำให้มันแหลมคมยิ่งขึ้น สามารถตัดเหล็กได้ง่ายเหมือนโคลน ชั้นที่สองเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวดาบ เพื่อทำให้มันทนทานยิ่งขึ้น แม้แต่ทหารขั้นสี่ก็ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ ชั้นที่สามเป็นการเคลื่อนที่ในระยะสั้น เคลื่อนไหวอย่างไร้ร่องรอย เหมาะสำหรับการจู่โจมในระยะประชิด
หญิงชุดดำมือข้างหนึ่งถือคบไฟ อีกมือหนึ่งถือเขี้ยวดำบิดไปด้านหลัง ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ
ระหว่างทาง นางไม่พบการซุ่มโจมตี ทางเดินในอุโมงค์ใต้ดินใต้ดินไม่ยาว ไม่นานนักก็เดินถึงปลายทาง ที่ปลายทางเป็นห้องหิน
การตกแต่งห้องหินห้องนี้เรียบง่ายมาก ตรงกลางเป็นแผ่นหินคล้ายกับแผ่นหินของโม่หิน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองจั้ง บนแผ่นหินมีการแกะสลักอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ถี่ยิบ บนผนังหินมีตะเกียงน้ำมันฝังอยู่
นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
หญิงชุดดำสำรวจอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินอ้อมผนัง ตรวจดูตะเกียงน้ำมันทุกดวง มีฝุ่นขังในตะเกียง ไส้ตะเกียงแห้งกรัง ไม่มีใครเติมน้ำมันให้มันเป็นเวลานาน
ตะเกียงน้ำมันแต่ละดวงสามารถหยิบออกมาได้ง่ายๆ ไม่มีกลไกใดๆ เมื่อเคาะบนผนังจะมีเสียงสะท้อนก้องกังวาน นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าในผนังไม่มีอะไรลึกลับ ไม่มีกลไกใดๆ
หลังจากตรวจสอบรอบๆ แล้ว หญิงชุดดำก็เดินเข้าไปใกล้แผ่นหิน ลองเคาะด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ คบไฟก็ถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น นางจึงจุดคบไฟอีกอันหนึ่ง
‘จวนผิงหย่วนป๋อเป็นจวนที่ได้รับพระราชทาน มาตรฐานในการสร้างตำหนักของพระราชวงศ์นั้นเข้มงวดยิ่งนัก จะต้องเลือกสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีที่สุด ในเมืองหลวงจะมีตำแหน่งอะไรดีไปกว่าการตั้งอยู่ในทิศมังกร ดังนั้นนี่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นทางหลบหนีทางดินต่อ
‘หลี่เมี่ยวเจินเคยกล่าวว่า การหลบหนีทางดินนั้นฝึกยาก ไม่มีความเป็นไปได้ที่สายลับผิงหย่วนป๋อและไหวอ๋องจะสามารถควบคุมเคล็ดลับนี้ได้ ดังนั้น แผ่นหินนี้จึงเป็นค่ายกลของการหลบหนีทางดินต่อ มันต้องใช้วิธีพิเศษจึงจะสามารถเปิดใช้งานได้ หลังจากเปิดใช้งานแล้ว ก็จะส่งต่อไปยังสถานที่ที่เหมาะสม สถานที่นั้นคือที่ไหนกันนะ ที่ไหนสักแห่งในพระราชวัง?
‘ในตอนแรก เหิงหย่วนบุกเข้าไปในตำหนักด้วยความโกรธ ผิงหย่วนป๋อจะต้องเคยคิดที่จะหนีเข้าไปในอุโมงค์แห่งนี้ และหลบหนีต่อ แต่เขาทำไม่สำเร็จ บางทีเขาอาจจะถูกเหิงหย่วนสังหารทันทีที่เปิดเส้นทางลับ…
‘แต่เหิงหย่วนไม่รู้เรื่องอื่นเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงหลายเรื่องราวโดยอาศัยทางลับเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การสร้างทางลับในจวนของขุนนางช้้นสูงก็เป็นเรื่องปกติ แต่…ในสายตาของเขา นี่เป็นข้อพิรุธยิ่งใหญ่ ดังนั้นเหิงหย่วนจึงต้องตาย
‘จนถึงตอนนี้ การคาดการณ์ของข้าก็ได้รับการยืนยันแล้ว ว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ไม่รู้ว่าสวี่ชีอันคิดไม่ถึง หรือมองข้ามไป ข้ามักจะรู้สึกว่าเขารู้มากยิ่งกว่า อย่างเช่น เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องรวบรวมคนเป็นระยะ และฝ่าบาทใช้ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นทำอะไร’
หญิงชุดดำครุ่นคิด
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน นางก็ถอนหายใจ หยุดคิด จ้องไปที่แผ่นหินอย่างละเอียด ท่องจำเป็นเวลาสิบนาที ประทับรายละเอียดทั้งหมดอย่างแม่นยำลงในสมอง
จากนั้น นางก็ถือคบไฟ ออกไปจากห้องลับอย่างรวดเร็ว
…
วันที่สิบแปดเดือนหก ต้นฤดูใบไม้ร่วง!
หลังจากการเซ่นไหว้สามครั้งเสร็จสิ้นลง ในที่สุดก็ถึงวันออกรบของกองทัพ
เช้าตรู่วันนี้ เว่ยเยวียนนำบรรดานายทหารชั้นสูง ขี่ม้าออกเดินทางจากถนนสายหลักของเขตพระราชฐาน มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองหลวง
‘การสร้างความสนใจ’ เป็นกระบวนการที่ขาดไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมา การประกาศผลสอบและการออกรบต่างเป็นเรื่องสำคัญของชาติ จึงจำเป็นต้องมีการสร้างความสนใจ ประกาศให้รู้โดยทั่วกัน
ท่ามกลางกองกำลังทหารที่เกรียงไกรนับร้อยคน เว่ยเยวียนอยู่หน้าสุด เขายังคงสวมชุดดำ จอนทั้งสองข้างขาว ท่วงท่าสง่างามเหมือนดังที่เป็นมา
ชาวบ้านยืนอยู่เต็มสองข้างทางของถนนสายหลัก หลังจากป่าวประกาศและอุ่นเครื่องเป็นเวลานาน ชาวบ้านได้รับรู้เรื่องการสู้รบมานานแล้ว จึงมามุงดูกองกำลังทหารออกเดินทางอย่างเงียบๆ
ท่ามกลางฝูงชน ชายชราผมหงอกขาวจ้องไปที่ชุดดำนั้นเขม็ง จู่ๆ ก็น้ำตานองหน้า ร้องไห้โฮออกมา
“ท่านพ่อ ท่านร้องไห้ทำไม”
ข้างกายชายชรา ชายหนุ่มถามอย่างงุนงง
“เว่ยกง ในที่สุดเว่ยกงก็นำกองกำลังทหารแล้ว…”
ชายชรากำมือลูกชายแน่น ทั้งสุขและทุกข์ปนเปกัน “ตอนที่พ่อเป็นทหาร ได้ติดตามเว่ยกงไปด่านซานไห่ แล้วก็กลับมาพร้อมเขา เผลอแป๊บเดียวผ่านไปยี่สิบเอ็ดปีแล้ว เว่ยกงยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่จอนขาวแล้ว ในเวลานั้น ข้าจำได้ว่าฝ่าบาททรงยืนอยู่บนกำแพงเมือง ตีกลองด้วยพระองค์เอง เพื่อส่งเว่ยกงออกเดินทาง”
‘ฝ่าบาททรงตีกลอง…’ ลูกชายเบิกตากว้าง สีหน้าไม่เชื่อ
ผู้เฒ่าหลายคน เมื่อเห็นภาพที่นักพรตชุดดำเดินนำกองกำลังทหาร ต่างพากันนึกถึงสงครามที่ด่านซานไห่ในเวลานั้น
นึกขึ้นมาได้ว่าต้าฟ่งยังมีเทพแห่งกองทัพอีกท่าหนึ่ง นึกถึงนักพรตชุดดำท่านนี้ที่กดดันจนอ๋องสยบแดนเหนือหมดหนทางออกหน้า
โดยเฉพาะชายชราที่เคยเป็นทหาร ได้เห็นภาพที่เว่ยชิงอีเป็นผู้นำกองกำลังทหารอีกครั้ง ทั้งน้ำตานอง ทั้งตื้นตันใจ ทั้งสุขและทุกข์ปนเปกัน
“เว่ยกง เว่ยกงหรือนี่…”
“ยี่สิบปีแล้ว ยี่สิบปีเต็มๆ ในที่สุดก็ได้เห็นเว่ยกงเป็นผู้นำกองกำลังทหารอีกครั้ง”
“หลายปีมานี้ ข้าเกือบจะลืมภาพเว่ยกงนำกองกำลังทหารเดินทัพไปทางทิศตะวันตก เว่ยกง เหตุใดหลังจากสงครามที่ด่านซานไห่ ท่านจึงได้หลบซ่อนอยู่ในราชสำนัก ท่านรู้หรือไม่ว่าพี่น้องทุกคนในเวลานั้นรู้สึกเสียใจเพียงใด…”
คนหนุ่มสาวยากที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนรุ่นก่อน ยากที่จะเข้าใจว่าในอดีตชายชุดดำท่านนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ที่ข้างทาง สวี่ผิงจื้อผู้รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย เพ่งมองออกไปก็รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
“ใต้เท้าหัวหน้ากองร้อย ในเวลานั้นท่านก็เคยทำสงครามที่ด่านซานไห่ด้วยใช่หรือไม่ เว่ยกง เก่งกาจเช่นนั้นจริงหรือไม่”
ทหารจากกองดาบถามเสียงต่ำ
“สำหรับคนรุ่นเรา เว่ยกงอยู่ หัวใจของทหารก็อยู่ เขาเป็นคนที่ทำให้คนเต็มใจยอมตายเพื่อเขา” สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ
“คนหนุ่มสาวรุ่นพวกเจ้า ยากที่จะเข้าใจพวกเราในเวลานั้น แต่ว่าไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน อืม รอจนกว่ารบกับสำนักพ่อมดเสร็จก่อน”
“ข้าได้ยินมาว่า สงครามที่ด่านซานไห่ ฝ่าบาททรงตีกลองที่บนกำแพงเมืองด้วยพระองค์เอง?” ทหารจากกองดาบอีกคนหนึ่งถาม
“สงครามที่ด่านซานไห่ เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของประเทศ ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา ครั้งนี้ไม่ได้เห็นแล้ว” สวี่ผิงจื้อกล่าวอย่างเสียดาย
ด้านหลังเว่ยเยวียน เจียงลวี่จงและชายชราที่ติดตามเว่ยเยวียนออกรบ ได้ยินการสนทนาของผู้คนข้างทาง ก็อดที่จะนึกถึงอดีตขึ้นมาไม่ได้
เมื่อครั้งทำสงครามที่ด่านซานไห่ กองกำลังทั้งชาติของต้าฟ่งได้เข้าร่วมสงคราม ผู้สวมชุดคลุมลายมังกรทรงยืนตีกลองอยู่ที่กำแพงเมืองเพื่อส่งทุกคนออกรบ เป็นที่เชิดหน้าชูตายิ่งนัก
หากฝ่าบาทสามารถตีกลองเพื่อส่งเหล่าทหารออกรบอีกครั้ง จะดีเพียงใด
กลุ่มชายชราในเวลานั้นคิดจากก้นบึ้งของหัวใจ
เพียงแต่ฝ่าบาทไม่ใช่จักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาในเวลานั้นอีกแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งในเวลานั้นทรงพระปรีชาสามารถ ทรงมีความวิริยะในกิจการบ้านเมือง กวาดล้างความเหลาะแหละของจักรพรรดิพระองค์ก่อนไปจนหมดสิ้น
ฝ่าบาทในเวลานี้งมงายอยู่กับการบำเพ็ญธรรม และทรงเกียจคร้านในการบริหารบ้านเมืองมาเป็นเวลาหลายปี
ทรงเปลี่ยนไปนานมากแล้ว
บนกำแพงเมือง ขุนนางบุ๋นซึ่งนำโดยหวางเจินเหวิน ผู้นำทางการทหารที่นำโดยกงหลายคน และกลุ่มพระราชวงศ์ที่นำโดยองค์รัชทายาท เข้าแถวเรียงหน้ากระดานอยู่บนกำแพงเมือง จ้องมองกองกำลังทหารที่เคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ จากปลายถนนสายหลักอันกว้างขวางด้านล่างอย่างเงียบๆ
“นึกถึงสมัยนั้น เมื่อเว่ยเยวียนออกรบ ฝ่าบาททรงเสด็จขึ้นสู่กำแพงเมือง ตีกลองส่งพวกเขาออกรบ จึงทำให้ทุกคนในเมืองหลวงมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” หวางเจินเหวินกล่าวด้วยความสะเทือนใจ
เหล่าขุนนางชราที่เคยผ่านสงครามที่ด่านซานไห่ต่างพากันตกอยู่ในภวังค์
“ข้ายังคิดว่าทำไมไม่มีใครตีกลองบนกำแพงเมือง ที่แท้เป็นเพราะไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพออีกแล้ว” เจ้ากรมกรมทหารก็พูดขึ้นทันที
ยี่สิบปีก่อน เขายังไม่ได้เป็นใช่ขุนนางในเมืองหลวง ยังดำรงตำแหน่งอยู่ต่างเมือง
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาขององค์รัชทายาท องค์ชายสี่และคนอื่นๆ ก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย หากสามารถทำตามเสด็จพ่อในเวลานั้น ตีกลองส่งกองกำลังทหารออกรบ คงจะกลายเป็นจุดสนใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม พระราชวงศ์ส่วนใหญ่ล้วนได้แต่คิด ไม่กล้าทำเช่นนั้นจริงๆ
เวลานี้คนที่ทำเรื่องนี้ได้มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือองค์รัชทายาทตำหนักบูรพา ส่วนอีกคนหนึ่งคือองค์ชายสี่ พระราชโอรสของฮองเฮา
หลินอันที่สวมชุดชาววังสีแดงเพลิงยืนอยู่ข้างองค์รัชทายาท เม้มพระโอษฐ์ พลางจินตนาการถึงภาพนั้น แล้วก็ทรงเพ้อฝันไปครู่หนึ่ง
‘ในเวลานั้น เสด็จพ่อจะต้องทรงสง่าผ่าเผยไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน อยากเห็นภาพที่เสด็จพ่อทรงตีกลองส่งกองกำลังทหารออกรบอีกครั้งจริงๆ ’
ฮว๋ายชิ่งก็แสดงท่าทีรอคอยออกมาเช่นกัน อะไรคือสิ่งที่ทุกคนจ้องตาไม่กะพริบ อะไรคือความเชิดหน้าชูตา
จอหงวนที่ได้รับการประกาศรายชื่อขี่ม้าแห่รอบเมืองนับเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ที่สร้างผลงานในงานชุมนุมวรรณกรรมที่สามารถสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลังก็นับด้วย เว่ยเยวียนในเวลานี้นับเป็นหนึ่งในนั้น เสด็จพ่อที่ทรงสวมชุดคลุมลายมังกรผู้ทรงเสด็จขึ้นกำแพงเมือง เพื่อตีกลองส่งกองกำลังทหารออกรบก็นับเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ต่างทรงสนพระทัย
“ในเมื่อเสด็จพ่อไม่เสด็จมา ถ้าเช่นนั้นข้าจะตีกลองเอง กองกำลังทหารออกรบ จะไม่มีใครตีกลองได้อย่างไร” องค์รัชทายาททรงตรัสอย่างตื่นเต้น
พระองค์ทรงรู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นการทำเกินหน้าที่อยู่บ้าง แต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่ข้อห้ามในระบบพิธีการ ถึงแม้เสด็จพ่อทรงทราบ อย่างมากก็แค่ทรงไม่พอพระทัย แต่พระองค์จะได้รับชื่อเสียงบารมีมากมาย
หลังจากทรงไตร่ตรองแล้ว องค์รัชทายาทก็ทรงอยากจะลองดู
องค์ชายสี่ทรงขมวดพระขนง ขณะที่กำลังจะทรงโต้แย้ง ก็ได้ยินเสียงฮว๋ายชิ่งตรัสว่า “พี่สี่ ท่านมีคุณสมบัติไม่พอ”
องค์ชายสี่ทรงพิโรธและตรัสว่า “แล้วใครกันที่มีคุณสมบัติมากพอบ้าง”
พูดขึ้นมาแล้ว ในบรรดาพระราชโอรส องค์ชายสี่นับว่าค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว พระองค์ทรงเป็นทหารอันดับเจ็ด
ฮว๋ายชิ่งส่ายพระพักตร์ และไม่ได้ตอบ
“องค์รัชทายาท!”
หวางเจินเหวินกั้นไว้ สกัดไม่ให้องค์รัชทายาททรงเสด็จไปที่กลอง และกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“พูดตามฐานะแล้ว พระองค์ทรงทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม จะทำให้ฝ่าบาททรงขุ่นเคือง พูดตามชื่อเสียง พระองค์ยังทรงขาดคุณสมบัติเล็กน้อย สำหรับเว่ยเยวียน พระองค์ยังคงขาดคุณสมบัติบางอย่าง”
องค์รัชทายาททรงขมวดพระขนง “ถ้าเช่นนั้นตามความเห็นของท่านสมุหราชเลขาธิการ ใครมีคุณสมบัติกัน”
หวางเจินเหวินเหลือบมองข้ามพระอังสาของพระองค์ มองไปที่บันได แล้วยิ้ม “คนที่มีคุณสมบัติมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนหันไปทันที เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่ง ห้อยดาบยาว เขาเดินช้ามาก ทหารรักษาพระองค์สองฝั่งตัวสั่น ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ พยายามชักดาบ แต่อย่างไรก็ชักไม่ออก
ดวงพระเนตรงามของฮว๋ายชิ่งและหลินอัน เป็นประกายพร้อมกันด้วยความบังเอิญ
“สวี่ชีอัน!”
ในบรรดาขุนนางชั้นสูง มีคนกัดฟันพูดขึ้น
สวี่ชีอันไม่สนใจ พยักหน้าให้หวางเจินเหวิน และเดินตรงไปที่กลอง
สายพระเนตรขององค์ชายสี่กระตุกเล็กน้อย ยังคงนิ่งเงียบ
สายพระเนตรขององค์รัชทายาทจ้องมาที่เขาอย่างเฉียบขาด ทรงสกัดเขา ขวางทางไว้
“เสด็จพี่องค์รัชทายาท ทรงหลีกทางเร็วเพคะ” พระกัประของหลินอันดีดออกผลักพระองค์ครั้งหนึ่ง
“พูดตามฐานะ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวเสด็จพ่อ พูดตามชื่อเสียงบารมี ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันสรรเสริญเขา สำหรับเว่ยเยวียน เขามีคุณสมบัติอย่างยิ่ง” องค์รัชทายาททรงส่งพระสุรเสียง ‘หึ’ แล้วจึงทรงหลบไปด้านข้าง
สวี่ชีอันหยิบไม้ตีกลองขึ้นมา แล้วออกแรงตีกลอง
…
‘ตึง!’
‘ตึง!’
‘ตึงตึงตึง…’
เสียงกลองที่ดังมาจากกำแพงเมือง ดังก้องครั้งหนึ่งก่อน ตามติดมาด้วยสองครั้ง จากนั้นเสียงกลองก็ดังรัวเหมือนสายฝน ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงเว่ยเยวียนทุกคนในที่นั้นบางคนเงยหน้า บางคนชำเลืองมองไปทางกำแพงเมือง
บนกำแพงเมืองมีคนตีกลอง!
“ดูสิ เขาคือฆ้องเงินสวี่”
ท่ามกลางฝูงชน มีเสียงตะโกนด้วยความประหลาดใจดังขึ้น
“ฆ้องเงินสวี่กำลังตีกลอง”
“ฆ้องเงินสวี่กำลังตีกลองเพื่อส่งกองกำลังทหารออกรบ”
อารมณ์ของผู้คนฮึกเหิมขึ้นมาทันใด ตะโกนเสียงดัง คึกคักไปทั่วทั่วทุกสารทิศ
หลินอันมองดูผู้คนด้านล่างที มองแผ่นหลังของสวี่ชีอันที พระองค์ทรงแย้มพระสรวลสดใสและไร้เดียงสา
มุมพระโอษฐ์ของฮว๋ายชิ่งกระตุกเล็กน้อย
เจียงลวี่จงและคนอื่นๆ หรี่ตา มองไปที่ร่างของชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านอยู่บนกำแพงเมือง ฟังเสียงไชโยโห่ร้องอย่างฮึกเหิมของผู้คน งุนงงเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
ในตอนนั้น ที่ผู้สวมเสื้อคลุมมังกรทรงตีกลองบนกำแพงเมือง ผู้คนในเมืองก็ส่งเสียงไชโยโห่ร้องเหมือนน้ำเดือด
ยี่สิบปีผ่านไปในพริบตา คนที่ตีกลองเปลี่ยนไปแล้ว แต่เสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนยังคงเหมือนเดิม
พวกเขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมาจากใจ
เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้น จ้องไปที่ชายหนุ่มบนกำแพงเมือง ในแววตาที่สับสนมีความปลาบปลื้มผ่านเข้ามาแวบหนึ่ง
ยี่สิบปีที่แล้วมีเว่ยเยวียน ยี่สิบปีต่อมามีสวี่ชีอัน
ดีมาก!
ในเวลานี้ หากได้กวีอีกสักบทคงจะดียิ่งกว่านี้
ดังนั้น เว่ยเยวียนจึงหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “สวี่ชีอันมีบทกวีส่งกองกำลังทหารออกรบหรือไม่”
……………………………………………………