ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 446 เพื่อนรู้ใจ
บทที่ 446 เพื่อนรู้ใจ
คำพูดของเว่ยเยวียนทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลินอัน ฮว๋ายชิ่ง ขุนนางบู๊ที่อยู่บนกำแพง ขบวนทหารออกรบ และชาวบ้านตามท้องถนนที่อยู่ด้านล่างกำแพง
สวี่ชีอันหยุดตีกลอง และเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังและกล่าวโดยไม่หันกลับมามองว่า “เว่ยกง ‘ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน’ ไม่มีอะไรเทียบได้กับบทกวีอำลา”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็กล่าวเสียงดังว่า “สู้ให้ข้าน้อยแต่งกวีสักบทเถอะ”
ทั้งสองพูดคุยกันเสียงดังต่อหน้าคนนับพัน
เว่ยเยวียนครุ่นคิดเล็กน้อย โดยคงรอยยิ้มไว้อย่างปกติ “ได้!”
กลุ่มสายตาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันอีกครั้งอย่างทันทีทันใด ปัญญาชนที่อยู่ด้านล่างและขุนนางบุ๋นที่อยู่บนกำแพงต่างก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่มีบทกวีมาเพิ่มความสนุกสนานได้อย่างไร มีผู้เชี่ยวชาญด้านกวีแห่งต้าฟ่งอยู่ที่นี่ บรรดาผู้รู้หนังสือก็อยากจะได้กวีชิ้นเอกอีกสักบทหนึ่ง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหล่าปัญญาชนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และตั้งหน้าตั้งตารอบทกวีของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันไม่ได้หยุดตีกลอง แต่กลับตีแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงกลองดังตุงตุงก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
อันที่จริงเขามีบทกวีในใจที่อยากมอบให้เว่ยเยวียนอยู่แล้ว
หลังจากกลับมาจากฉู่โจว เขาเคยระบายความในใจกับเว่ยเยวียนครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้แผนการของเว่ยเยวียนสำหรับอ๋องสยบแดนเหนือ และรู้ว่าเขามีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูอำนาจทางทหารอีกครั้ง
และเป็นครั้งนั้นเอง ที่สวี่ชีอันเพิ่งตระหนักได้ว่า ขุนนางที่ต่อต้านคนในท้องพระโรงมากมายท่านนี้ ที่จริงแล้ว เขาอยากครอบครองอำนาจทางการทหารอีกครั้งมาโดยตลอด เขาแสดงความปรารถนามุ่งมาดอย่างแรงกล้า แต่กลับร้องขอเท่าใดก็ไม่ได้มา
หลังจากเสร็จสิ้นสงครามที่ด่านซานไห่ตอนนั้น เว่ยเยวียนก็ถูกลิดรอนอำนาจทางทหาร ถูกกดขี่อยู่ในราชสำนักมากว่ายี่สิบปี
เว่ยกง ยี่สิบปีแล้ว ท่านเคยฝันย้อนกลับไปที่สนามรบ และชี้นำประเทศหรือไม่?
เขาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับตีกลองเสียงดัง และกล่าวตะโกนว่า “ยามเมามายส่องกระบี่ใต้แสงเทียน ย้อนฝันถึงเสียงแตรก้องระงมค่าย แบ่งปันเนื้อรสเลิศย่างบนไฟ นอกด่านไกล แว่วกู่เซ่อเสนาะหู เดือนสารทผ่าน เรียกพลสู่สนาม”
เว่ยเยวียนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ มองชายหนุ่มที่อยู่บนกำแพงเมืองด้วยความประหลาดใจ
เป็นบทกวีที่ดี!
เหล่าขุนนางบุ๋นดวงตาเป็นประกาย คำพูดนี้หมายความว่า ยามเมามายและส่องกระบี่ใต้แสงเทียน ราวกับได้กลับไปในช่วงเวลาที่เป็นทหารอีกครั้ง
ผสมผสานกับสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกราวกับได้กลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ทหารที่ถูกเรียกพลสู่สนามรบในปลายฤดูใบไม้ร่วง ชายชุดดำท่านนั้นนำทัพลงสู่สนามรบ
นี่คือคำที่เขียนถึงเว่ยเยวียน
‘ตุงตุงตุง ตุงตุงตุง!’
สวี่ชีอันตีกลองอย่างกระฉับกระเฉง และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ควบอาชาไวว่องดุจเต็กเลา เกาทัณฑ์แผดร้องลั่นดุจสายฟ้า สิ้นสงคราม อุทิศตนฟื้นฟูแผ่นดินเกิด ตราบชีพวาย ให้ชัยนี้ลือขจร!”
ท่านทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อราชสำนัก ท่านปกป้องประเทศเพื่อราชวงศ์ แล้วท่านได้อะไรเป็นการตอบแทน?
ราชสำนักปกปิดคุณงามความดีของท่าน และโอ้อวดคุณูปการของอ๋องสยบแดนเหนือ ค่อยๆ โยกย้ายรัศมีของท่านทีละเล็กละน้อยไปยังสัตว์เดรัจฉานตัวนั้น ที่ก่อคดีสังหารหมู่เพื่อประโยชน์ของตนเอง
ขุนนางบุ๋นและเหล่าปัญญาชนโจมตีท่านทั้งด้วยวาจาและปากกา ตีตราว่าท่านเป็นผู้นำพรรคขันที ราวกับลืมไปแล้วว่าใครรบชนะในสงครามด่านซานไห่ และใครคือผู้กอบกู้ความสงบสุขของต้าฟ่งตลอดยี่สิบปี
ท่านได้อะไรเป็นการตอบแทน?
เขาหยุดลง พร้อมกับเสียงกลองที่หายไปอย่างกะทันหัน
เสียงของสวี่ชีอันดังก้อง แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศกอยู่ลึกๆ กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “แต่อาดูร เกศากลับขาวโพลน”
บรรยากาศบนกำแพงเมืองหยุดนิ่งทันที หวางเจินเหวินและเหล่าขุนนางบุ๋นต่างก็มองสวี่ชีอันด้วยความตกตะลึง พลางคิดทบทวนประโยคสุดท้ายของเขา
ความโศกเศร้าที่ไม่สามารถบรรยายได้ปะทุขึ้นในจิตใจ
สิ่งที่สามารถโน้มน้าวและทำให้ปัญญาชนสะเทือนใจได้มากที่สุด ยังคงเป็นบทกวีมาโดยตลอด
ความจริงแล้ว เหล่าขุนนางบุ๋นที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าเว่ยเยวียนเป็นคนเช่นไร ถึงแม้จะสู้กันหน้าดำหน้าแดง แต่ในใจก็เห็นด้วยกับด้านคุณธรรมของเว่ยเยวียน
เพียงแต่ทัศนคติไม่เหมือนกันเท่านั้น
แต่อาดูร เกศากลับขาวโพลน…
ชั่วเวลานี้ แม้แต่บรรดาขุนนางบุ๋นที่ต่อสู้กับเว่ยเยวียนมาครึ่งชีวิตก็ยังอดที่จะซาบซึ้งไม่ได้
ยายตัวร้ายกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก จนกระทั่งเขาพูดถึงประโยคสุดท้าย ความรู้สึกโศกเศร้าก็พลุ่งพล่านในจิตใจของนางอย่างกะทันหัน
ฮว๋ายชิ่งมองเขาตาไม่กะพริบ ชั้นละอองน้ำบางๆ ปกคลุมอยู่นัยน์ตาของนาง
“ให้ตายสิ บทกวีเศร้าอาดูรอะไรเช่นนี้ ข้าได้ยินแล้วจะหลั่งน้ำตา” เจียงลวี่จงถูใบหน้าและกล่าวพึมพำ
เวลานี้ บรรดาผู้อาวุโสที่เคยเข้าร่วมรบแนวหน้าในสงครามด่านซานไห่ต่างก็น้ำตารื้นที่ขอบตา
“ฮ่าๆๆๆ…”
เว่ยเยวียนกลับหัวเราะขึ้นมา หัวเราะด้วยความเบิกบานอย่างเต็มที่ กระทั่งน้ำหูน้ำตาไหล
‘สวี่ชีอัน เจ้ารู้หรือไม่ ว่าทำไมข้าถึงไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม?‘
‘เพราะสำหรับข้า เจ้าคือเพื่อนรู้ใจ!’
…
ภูเขาชิงหยุน สำนักอวิ๋นลู่
จ้าวโส่วยืนอยู่บนยอดเขา ชายเสื้อคลุมนักปราชญ์และเส้นผมปลิวไปตามสายลม สายตาของเขาทอดยาวออกไปไกล มองกองทัพทหารรบแนวหน้า
“สำนักการศึกษาเติบโตเพราะต้าฟ่ง แต่ลัทธิขงจื๊อกลับอ่อนแอเพราะต้าฟ่ง”
ดวงตาและน้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง ในแววตาไม่แสดงความสุขหรือโศกเศร้าแต่อย่างใด
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ท่ามกลางเสียงกลองอันทรงพลังและสง่าผ่าเผย “เว่ยเยวียน ขอให้กรีธาทัพกลับด้วยชัยชนะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง พลังการลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อก็หายไปในอากาศธาตุ เหลือเพียงความว่างเปล่า
ในวินาทีถัดมา ผลการสะท้อนกลับของวรยุทธ์ก็มาถึง ควันที่ลอยอย่างท่วมท้นอยู่รอบๆ ร่างของจ้าวโส่วก็ทรุดลงดังโครม ที่หว่างคิ้วของเขาแยกออกเป็นร่อง และขยายตัวอย่างรวดเร็วราวกับเปลือกไข่ที่แตก
ลำแสงสว่างจ้าในพระวิหารส่องตรงไปที่ร่างของจ้าวโส่ว จากนั้นร่างที่แตกร้าวก็ค่อยๆ หายเป็นปกติ
“คำพูดที่ยิ่งใหญ่ไม่สามารถพูดได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในขั้นที่เหนือกว่า เว่ยเยวียนเอ๋ยเว่ยเยวียน ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เมื่อสองพันปีก่อนหน้านี้มีปราชญ์ขงจื๊อ ตอนนี้ เผ่ามนุษย์มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้”
จ้าวโส่วกล่าวแล้วก็โค้งคำนับไปทางพระวิหาร “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของรองปราชญ์เอก”
ตั้งแต่ศิลาจารึกของรองปราชญ์เอกเฉิงซื่อแตกออก พลังของพระวิหารก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
…
ในค่ายทหารตั้งกองทัพไว้ทั้งหมดเจ็ดหมื่นนาย นอกจากทหารรักษาวังหนึ่งหมื่นนายแล้ว ทหารอีกหกหมื่นนายคือทหารในเขตเมืองหลวง และกำลังทหารที่ดึงมาจากรัฐอื่นๆ
กองกำลังที่เหลืออยู่ในสามรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เซียงโจว อวี้โจว และจิงโจว
กองทัพทหารเจ็ดหมื่นนายในเมืองหลวง ต้องแบ่งออกเป็นสี่เส้นทางบนบก มุ่งหน้าไปยังสามรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ และสองหมื่นนายในนั้นไปทางน้ำ มุ่งหน้าไปยังฉู่โจวที่อยู่แดนเหนือ
สวี่เอ้อร์หลางก็เป็นหนึ่งในทหารสองหมื่นนาย
เรื่องการเดินทัพ ความจริงแล้วยิ่งมีคนจำนวนมากเท่าใด ก็ยิ่งวุ่นวายมากเท่านั้น ดังนั้น เมื่อมีการเดินทัพขนาดใหญ่ โดยปกติแล้วต้องทำการแบ่งกองทหาร หลังจากนั้นค่อยรวมพลกันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง
กองทัพไร้พรมแดน มองไม่เห็นหัวแถว มองไม่เห็นหางแถว
ขบวนกองทัพทหารออกเดินทางไปตามถนนเส้นหลัก เว่ยเยวียนหันกลับไปมองเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย และนึกถึงบทกวีของเจ้าเด็กหนุ่มอย่างไร้เหตุผล
‘สิ้นสงคราม อุทิศตนฟื้นฟูแผ่นดินเกิด ตราบชีพวาย ให้ชัยนี้ลือขจร แต่อาดูร เกศากลับขาวโพลน…’ เว่ยเยวียนยิ้มและกล่าวกระซิบกับตัวเอง
“ไม่จำเป็นต้องร้องหาความยุติธรรมให้ข้าเลย ซื่อสัตย์ ภักดี เสียสละเพื่อประเทศชาติ ความซื่อสัตย์ของข้าคือพระเจ้าแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ของข้าคือราษฎร เจ้าน่าจะเข้าใจข้า”
กองทัพทหารเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ กองทัพเจ็ดหมื่นนายเงียบสงัดไร้เสียง มีเพียงเสียงล้อรถม้าหมุนไปตามทาง เสียงร้องของม้าศึก และเสียงกระทบกันของชุดเกราะ
ในบรรยากาศที่เสียงเหล่านั้นผสมผสานกัน จู่ๆ บรรดาทหารก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากฟากฟ้า
“ควันไฟลอย ส่งสัญญาณเริ่มสงคราม มองแม่น้ำและภูเขาทางทิศเหนือ สายน้ำมังกรพลิกม้วนสุดสายตา อาชานำพาไกลพันลี้ กระบี่เย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง…หัวใจเสมือนแม่น้ำหวงเหอที่ไหลเวียนไม่เคยแห้งเหือด ต่อสู้มานับยี่สิบปี ใครจะต้านทานได้…”
บางคนหันศีรษะไปทั่วทุกสารทิศด้วยจิตใจเลื่อนลอย บางคนดื่มด่ำอยู่ในเสียงเพลง
“ทิศทางที่กระบี่ยาวชี้ไป ความเกลียดชังกลายเป็นความบ้าคลั่ง กระดูกของพี่น้องผู้มีจิตวิญญาณแห่งความภักดีนับพันถูกฝังอยู่ในต่างแดน…หากต้องตายร้อยครั้งเพื่อตอบแทนครอบครัวและประเทศชาติก็ไม่เสียใจ กลั้นหายใจ ไร้ซึ่งคำพูด มีเพียงเลือดและน้ำตาที่นองหน้า…”
“กีบอาชามุ่งตรงไปทางทิศใต้ มองย้อนกลับไปทางทิศเหนือ ทุ่งหญ้าแห้งตายเหลืองอร่าม ฝุ่นฟุ้งกระจาย ข้าจะปกป้องชายแดนและทวงคืนดินแดนที่สาบสูญ ประเทศที่สง่างามนี้จะได้รับความยินดีจากทั่วทุกมุม”
บนเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป คนที่อยู่บนหลังม้าศึกกำลังร้องเพลงอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับบ้าคลั่ง
ต่อสู้มานับยี่สิบปี ใครจะต้านทานได้?
จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
เว่ยกง!
…
สำนักโหราจารย์ แท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์ในชุดขาวราวกับหิมะ ครั้งนี้เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่ยืนอยู่ที่ขอบ มองขบวนทหารที่ไปออกรบที่นอกเมืองหลวงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ม่านฉากใหญ่ถูกเปิดออกแล้ว” ท่านโหราจารย์กล่าวเสียงเบา
“ม่านฉากใหญ่ถูกเปิดออก?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่ด้านหลัง และกล่าวช้าๆ ว่า “หากเป็นเช่นนั้น จะขาดตัวละครหลักอย่างข้าไปได้อย่างไร ใช่หรือไม่ ไต้ซือ”
ท่านโหราจารย์ไม่สนใจเขา พลางถอนหายใจยาว “ทอดสายตามองต้าฟ่งแล้ว คนที่มีความสามารถในการนำทัพไปตีถึง ‘จิ้งซานเฉิง’ มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้น และเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว”
หยางเชียนฮ่วนอ้าปากค้าง ไร้อำนาจที่จะโต้แย้ง
ท่านโหราจารย์ถอนสายตากลับ และกล่าวว่า “ใจของเจ้าไม่สงบนิ่งพอ แล้วจะเลื่อนขั้นได้อย่างไร?”
หยางเชียนฮ่วนเงียบลงครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ไต้ซือ ข้าไม่ได้ออกไปจากสำนักโหราจารย์หลายวันแล้ว เกรงว่าโลกภายนอกจะไม่รู้จักชื่อเสียงอันโด่งดังของข้า ไม่รู้ว่ามีหยางเชียนฮ่วนอยู่ในสำนักโหราจารย์ ข้าไม่ชอบใจเลย”
เจ้าได้ชื่อเสียงอันโด่งดังนี้มาจากที่ใด?
ท่านโหราจารย์เกือบจะขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “สวี่ชีอันไม่ได้ลงสนามรบ”
หยางเชียนฮ่วนตกตะลึง “เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?”
ท่านโหราจารย์กล่าวพึมพำว่า “แต่เขาตีกลองและแต่งบทกวีอยู่ที่หัวเมือง สายตาของผู้คนนับหมื่นจับจ้องไปที่เขา”
‘ตีกลองและแต่งบทกวีอยู่ที่หัวเมือง สายตาของผู้คนนับหมื่นจับจ้องไปที่เขา…’ หยางเชียนฮ่วนตัวสั่นด้วยความอิจฉา
ไม่นาน เขาก็ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวว่า “ไต้ซือ ข้าอยากเลื่อนขึ้นขั้นสาม!”
ท่านโหราจารย์เผยรอยยิ้ม เวลานี้เอง ฉู่ไฉ่เวยก็วิ่งมา และตะโกนว่า “ไต้ซือ ไต้ซือ ศิษย์พี่ซ่งชิงพาเหล่าศิษย์พี่คนอื่นๆ สร้างปัญหาแล้วเจ้าค่ะ”
“หืม?”
“ศิษย์พี่ซ่งกล่าวว่า งานประพันธ์จำเป็นต้องครึกครื้น พวกเขาปฏิเสธการทำงานที่จำเจและไร้รสชาติ พวกเขาไม่อยากฝึกฝนอาวุธเวทมนตร์เจ้าค่ะ”
ในที่สุด ท่านโหราจารย์ก็ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างสงบว่า “บอกพวกเขาว่า หยางเชียนฮ่วนถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินสามชั้น และถูกสายฟ้าฟาดเป็นการลงโทษ ก็เพราะไม่เชื่อฟังท่านอาจารย์”
ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นเหล่าศิษย์พี่ซ่งก็ทำงานอย่างเชื่อฟังแล้ว ไต้ซือฉลาดจริงๆ ถึงได้คิดกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้”
‘นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับความฉลาดกระมัง…’ หยางเชียนฮ่วนบ่นพึมพำในใจ
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจและขมวดคิ้วอีกครั้ง
ฉู่ไฉ่เวยไม่ได้ตระหนักถึงคำพูดของศิษย์พี่หยางที่แขวะนางทางด้านสติปัญญา และไม่ได้สนใจคิ้วที่ขมวดเป็นปมของท่านโหราจารย์เช่นกัน นางวิ่งเหยาะไปข้างๆ ท่านโหราจารย์ และกวาดสายตามองโต๊ะเป็นอันดับแรก เมื่อเห็นว่ามีเพียงสุรา ไม่มีกับแกล้ม ก็ถอนสายตากลับด้วยความผิดหวัง และกล่าวอย่างลึกลับว่า
“ไต้ซือ ข้ารบกวนท่านสักเรื่องได้หรือไม่เจ้าคะ…”
จู่ๆ ท่านโหราจารย์ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
“ข้าพบคาถาที่ยอดเยี่ยมในหนังสือจารึกหายากเล่มหนึ่ง ท่านช่วยดูแทนข้าได้หรือไม่?”
ขณะที่ฉู่ไฉ่เวยพูด ก็หยิบกระดาษที่พับไว้อย่างเรียบร้อยออกมาจากแขนเสื้อ
…
“วันที่สามแล้วที่เอ้อร์หลางจากไป คิดถึงเขา คิดถึงเขา คิดถึงเขา…”
สวี่ชีอันเขียนไว้ในบันทึกประจำวันของเขา
สองวันแรกเขายุ่งอยู่กับเรื่องกิจการในจวน และหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนเจตนา จนกระทั่งวันนี้ เมื่อดึงเวลาออกมาตรวจสอบบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน เขาก็อ่านไม่ออก ด้วยเหตุนี้เขาถึงเริ่มคิดถึงเอ้อร์หลางขึ้นมา
ก่อนที่สวี่เอ้อร์หลางจะไป เขาได้เขียนบันทึกการใช้ชีวิตประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนลงไปให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าเขาใช้อักษรเฉ่าซูในการเขียนทั้งหมด
เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยาว การใช้อักษรเฉ่าซูในการเขียนจะช่วยประหยัดเวลาได้มาก เขาต้องติดตามกองทัพไปออกรบเร็วๆ นี้ ย่อมไม่มีเวลามากพอที่จะเขียนให้เรียบร้อย
แต่ตัวอักษรเฉ่าซูมีวิธีการเขียนที่ตายตัว หากไม่ใช่ปัญญาชนก็ยากที่จะอ่านให้เข้าใจ
คนที่มีการศึกษาในตระกูล นอกจากเอ้อร์หลางแล้ว ก็มีเพียงหลิงเยวี่ย แต่การศึกษาของหลิงเยวี่ยสิ้นสุดลงแล้ว นางไม่เคยศึกษาตัวอักษรเฉ่าซูมาก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงอ่านไม่ออกเช่นกัน
“บันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนเป็นของสำคัญเช่นนี้ ไม่สามารถให้ใครต่อใครอ่านได้ตามสะดวก จำเป็นต้องหาคนอ่านใหม่แล้ว”
สวี่ชีอันครุ่นคิดจนสมองปั่นป่วน เขาพบว่าปัญญาชนที่ตนเองรู้จักมีจำนวนน้อยมาก ในพรรคฟ้าดินก็มีเพียงฉู่หยวนเจิ่นเพียงคนเดียว แต่เขาก็ตามกองทัพไปออกรบเช่นกัน
ที่จวนก็มีเพียงเอ้อร์หลางที่เป็นปัญญาชนเพียงคนเดียว และเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังให้อารองและอาสะใภ้แปลบันทึกแทนเขา
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พี่ชุน ถิงเฟิง กว่างเสี้ยว สามคนนี้สามารถไว้ใจได้ แต่ระดับการศึกษาของพวกเขาไม่เท่ากับข้า
ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ก็สามารถอ่านได้ แต่การเดินทางไปกลับสองชั่วยามนั้นยาวนานเกินไป อืม แล้วถ้าให้หลี่เมี่ยวเจินพาข้าขึ้นไปบนฟ้า แล้วบินตรงไปที่นั่นล่ะ…
ฮว๋ายชิ่งค่อนข้างเฉลียวฉลาด หากนำบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนไปให้นางแปลโดยตรง นางต้องถามนั่นถามนี่อย่างแน่นอน
จริงสิ หลินอันก็อ่านได้
ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะโง่ แต่ก็ไม่สามารถสบประมาทระดับการศึกษาของนางได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นองค์หญิง ทักษะการเขียนอักษรเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางอยู่แล้ว
สวี่ชีอันครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกหลินอัน
เขาหยิบกองกระดาษหนาเก็บใส่กระเป๋าโดยทันที ก่อนจะขี่ม้าตัวน้อยไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หลังจากเอ้อร์หลางไปออกรบ เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเป็นสวี่เอ้อร์หลาง หรือใช้ตราตำแหน่งซู่จี๋ซื่อเข้าออกเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระอีกต่อไป แต่ไม่เป็นไร เส้นสายของเขายังกว้างขวางมาก
ฆ้องเงินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็สามารถเข้าออกเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระเช่นกัน เนื่องจากการเดินสายตรวจตราเขตพระราชฐานก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของฆ้องเงินมาโดยตลอด
สวี่ชีอันยืมป้ายคาดเอวของพี่ชุน สวมชุดเดิมของตนเอง และเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นหลี่อวี้ชุน ก่อนจะขี่ม้าของพี่ชุนเข้าไปยังเขตพระราชฐานอย่างราบรื่น
…
จวนหลินอัน
สวี่ชีอันเลียนแบบท่าทางของพี่ชุน มาที่ประตูจวน และกล่าวกับทหารรักษาพระองค์ว่า “ข้าคือหลี่อวี้ชุน อดีตผู้บังคับบัญชาของสวี่ชีอัน ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเพื่อนรักกันด้วย ข้ามีเรื่องต้องเข้าเฝ้าองค์หญิงหลินอัน”
เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เขากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อให้สามารถเข้าพบหลินอันได้อย่างราบรื่น มิเช่นนั้น องค์หญิงย่อมไม่สามารถพบกับฆ้องเงินได้ตามอำเภอใจ
ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘สวี่ชีอัน’ หรือตำแหน่งฆ้องเงิน ก็เพียงพอที่จะทำให้ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรู้สึกเคารพเลื่อมใส เขาไม่ได้สอบถามใดๆ และทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “รอสักครู่ขอรับ”
และรีบเข้าไปรายงานในจวนอย่างกระตือรือร้น
เมื่อได้ยินว่าเป็นเพื่อนรักของสวี่ชีอัน หลินอันก็รีบเรียกเขาเข้าไปที่ห้องรับแขกตามคาด
ด้วยดวงตาดอกท้ออันทรงเสน่ห์และเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว ทำให้นึกถึงหญิงงามที่หอคณิกาโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั่งลงที่โต๊ะ นางก็แสดงท่าทางสูงส่ง ซึ่งแตกต่างกับนิสัยใจคอของนางโดยสิ้นเชิง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฆ้องเงินหลี่มาหาข้าด้วยเหตุอันใดรึ?”
“หลินอัน ข้าเอง ข้าไม่สะดวกจะพูดที่นี่ เปลี่ยนไปที่ที่เงียบเชียบกว่านี้เถอะ” สวี่ชีอันกล่าว
ท่าทางที่แสร้งทำเป็นผู้สูงศักดิ์ของยายตัวร้ายมลายหายไปในทันที รอยยิ้มที่ไม่สามารถควบคุมได้ปรากฏขึ้นที่คิ้วและดวงตาของนางแล้ว นางอดกลั้นความรู้สึกอย่างรวดเร็ว พลางมองเหล่านางกำนัลและกล่าวกำชับว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับฆ้องเงินหลี่ พวกเจ้าห้ามรบกวน”
ในห้องทรงพระอักษรที่ไร้ซึ่งนางกำนัลและขันที หลินอันกล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะและนุ่มนวลว่า “ไอหยา เจ้ามาทำไมกัน ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่า หลังจากสวี่ฉือจิ้วไปออกรบแล้ว เจ้าคงไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเขามาเล่นกับข้าที่จวนได้แล้วเสียอีก”
ถ้าแค่มาเล่นกับท่านก็ง่ายมาก องค์หญิงอว๋ายชิ่งช่วยข้า…
สวี่ชีอันเดินไปที่โต๊ะและกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้ามาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเรื่องสำคัญยิ่ง อืม พระองค์อ่านอักษรเฉ่าซูได้หรือไม่? ข้ามีบันทึกที่เป็นตัวอักษรเฉ่าซูฉบับหนึ่ง อยากให้พระองค์อ่านให้ข้าฟัง”
ทันทีที่ยายตัวร้ายได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง นางพยักหน้ารัวราวกับไก่จิกอาหาร “ได้สิ!”
ในที่สุด นางก็มีโอกาสได้แสดงความสามารถอันน่าทึ่งของนางต่อหน้าสุนัขรับใช้
ต่อให้นางจะเป็นบัณฑิตที่ไม่ได้เรื่องก็จริง นั่นก็เป็นแค่การเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แต่ในฐานะที่เป็นองค์หญิง นางจะไม่มีน้ำยาเลยได้อย่างไร…
สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างโต๊ะ พลางหยิบกระดาษบันทึกออกมาจากแขนเสื้อด้วยความปลื้มปีติ
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อ รูม่านตาหยุดนิ่ง
บนโต๊ะมีหนังสือ ‘แผนที่ชีพจรมังกร’ เล่มหนึ่งวางอยู่
…………………………………………………..