ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 447 ตัวตนของหมายเลขหนึ่ง
บทที่ 447 ตัวตนของหมายเลขหนึ่ง
แผนที่ชีพจรมังกร?
ในห้องเขียนหนังสือของหลินอันมีหนังสือประเภทนี้ได้อย่างไร ไม่สิ หลินอันอ่านหนังสือประเภทนี้ทำไมกัน
รูม่านตาของสวี่ชีอันแข็งทื่อ แผนที่ชีพจรมังกร โดยเฉพาะคำว่า ‘ชีพจรมังกร’ ทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวมากเป็นพิเศษ
ในฐานะที่เป็นบัณฑิตวิทยาลัยตำรวจที่มีประสบการณ์สอบสวนคดีมาหลายปี เพียงแค่หนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้เขาฉุกคิดหลายสิ่งหลายอย่างในทันที
ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นคือ หมายเลขหนึ่งของกลุ่มสนทนาในหนังสือปฐพี ดำรงตำแหน่งสูงในราชสำนัก ก่อนหน้านี้ เขาหรือนางเพิ่งประกาศรับช่วงต่อคดีของเหิงหย่วน และคดีของเหิงหย่วนก็เกี่ยวข้องกับชีพจรมังกร…
ผู้ดำรงตำแหน่งสูงนี้ ไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งขุนนางเพียงอย่างเดียว องค์หญิง ก็ดำรงตำแหน่งสูงเช่นกัน
ไม่กี่วินาทีต่อมา ความคิดที่สองก็ปรากฏขึ้น ไม่สิ หลินอันไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น
ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี ถึงแม้หมายเลขหนึ่งจะชอบเงียบขรึม ไม่พูดไม่จา แต่เมื่อเผอิญเข้าร่วมหัวข้อสนทนา ก็มักแสดงความเฉลียวฉลาดอย่างที่สุด ไม่แพ้ฉู่หยวนเจิ่น
ในฐานะที่หลินอันเป็นหนึ่งในบ่อปลาโง่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะฉลาดเช่นนั้น
นอกจากนี้ ถ้านางคือหมายเลขหนึ่งจริงๆ ด้วยความหลงใหลที่ข้ามีต่อนาง และจิตใจที่ไม่ทันระวังตัวของข้า นางก็น่าจะชี้ขาดได้แล้วว่าข้าคือหมายเลขสาม หากเป็นเช่นนั้น นางคงไม่วาง ‘แผนที่ชีพจรมังกร’ ไว้บนโต๊ะอย่างประเจิดประเจ้อเช่นนี้
ไม่กี่วินาทีต่อมา ความคิดที่สามก็ปรากฏขึ้น หรือว่านางกำลังบอกใบ้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองผ่านวิธีนี้งั้นรึ?!
ความคิดทั้งหมดทั้งมวลปะทุขึ้นในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว สวี่ชีอันรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าผ่าดังเปรี้ยง อารมณ์และความรู้สึกช่างซับซ้อน ด้านหนึ่งเขาก็พยายามให้เหตุผลและคาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าหลินอันคือหมายเลขหนึ่ง
ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังระดมความคิดอย่างหนัก หลินอันก็กระโดดมาที่ข้างโต๊ะอย่างร่าเริง ฝ่ามือเล็กสองข้างตบโต๊ะ ‘เผียะ เผียะ’ เพื่อแสดงความอดใจรอไม่ไหวของนาง และกล่าวกระตุ้นด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “หนังสือล่ะ รีบเอาออกมาให้ข้าดูสิ ข้าจะสอนให้เจ้ารู้จักอักษรเฉ่าซูเอง”
สวี่ชีอันจ้องนางตาไม่กะพริบ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติว่า “รอสักครู่ ข้าน้อยขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
เขาตรงดิ่งออกไปจากห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอการตอบรับจากหลินอัน หลังจากเดินออกไปข้างนอกได้ครึ่งทาง ก็ถามนางกำนัลคนหนึ่งว่า “ห้องน้ำอยู่ที่ใดรึ?”
ความจริงแล้ว เขารู้ว่าห้องน้ำอยู่ที่ใด สำหรับจวนของหลินอัน นอกจากห้องส่วนตัวของหลินอัน ห้องของนางกำนัลและขันทีที่เขาไม่เคยไป สถานที่อื่นๆ เขาล้วนเคยเยี่ยมชมหมดแล้ว
แต่สวี่ชีอันรู้ ก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่อวี้ชุนจะรู้
นางกำนัลเดินนำทางเขาไปที่ห้องน้ำ และชี้ไปทางลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง “ใต้เท้าหลี่ ทางนั้นคือห้องน้ำเจ้าค่ะ”
“ห้องน้ำในจวนขององค์หญิงใหญ่กว่าลานบ้านทั่วไปของคนธรรมดาเสียอีก” สวี่ชีอันกล่าวชื่นชมด้วยสีหน้า ‘ประหลาดใจ’
‘ฆ้องเงินหลี่นี่หยาบคายอะไรเช่นนี้…’ นางกำนัลฝืนยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าวพึมพำในใจ
หลังจากเข้าห้องน้ำไปแล้ว สวี่ชีอันก็หยิบ ‘หนังสือเวทมนตร์แห่งลัทธิขงจื๊อ’ ออกมา และฉีกหน้าที่บันทึกวิชามองปราณ สะบัดมือจุดไฟ ลำแสงสว่างทั้งสองพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา หลังจากนั้นก็จางหายไป
หลังจากรอจนกระทั่งลำแสงเก็บตัวลงอย่างสมบูรณ์ เขาก็ออกจากห้องน้ำ และกลับไปที่ห้องทรงพระอักษรของหลินอัน
สวี่ชีอันกวาดสายตามองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เมื่อพบว่า ‘แผนที่ชีพจรมังกร’ เล่มนั้นที่อยู่บนโต๊ะถูกเก็บไปแล้ว เขาก็เอ่ยถามอย่างสบายๆ “เอ๋ องค์หญิง หนังสือเล่มเมื่อครู่ไปไหนแล้วเล่า?”
หลินอันก็ตอบกลับอย่างง่ายๆ เช่นกัน “ข้าเก็บมันไปแล้ว”
สวี่ชีอันฉวยโอกาสกล่าวต่อเนื่องจากหัวข้อนี้ โดยการแสดงแววตาที่แตกต่างออกไป “เหตุใดองค์หญิงถึงได้สนพระทัยหนังสือจำพวกศึกษาฮวงจุ้ยขึ้นมาเล่า?”
หลินอันเหยียดเอวบางและนุ่มของนาง ก่อนจะกล่าวว่า “บทละครพื้นเมืองเป็นเพียงหนังสือที่ข้าอ่านยามว่าง ข้าชอบเจาะลึกความรู้ที่ไม่เป็นที่นิยมมากกว่า อย่างเช่น อืม ศึกษาฮวงจุ้ย”
นางกำลังพูดปด…สวี่ชีอันเห็นคำโกหกของหลินอันอย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่เขายังคงลำบากใจ เพราะแยกแยะเรื่องโกหกที่นางพูดไม่ออก เป็น ‘ข้าชอบศึกษา’ หรือว่า ‘ข้าอ่านหนังสือฮวงจุ้ยเพราะมีจุดประสงค์อื่น’
เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ?
ระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วรอติดตามสังเกตการณ์นางต่อไป เพื่อระบุตัวตนที่แท้จริงของนาง?
มีผู้ต้องสงสัยหนึ่งคนแล้ว การตรวจสอบหลังจากนี้ก็คงง่ายขึ้นมาก…
แต่ความคิดนี้ก็แตกสลายในวินาทีถัดมา
ในชีวิตของเขา หลินอันคือบุคคลสำคัญระดับแนวหน้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สาวน้อยคนนี้คือหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาสามารถเชื่อใจได้โดยไม่ต้องเผื่อใจ
นางอาจจะโง่ไปบ้าง ไร้เดียงสาไปบ้าง และไม่มีอำนาจพอที่ช่วยอะไรเขามากมาย
แต่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของบุคคลเช่นนี้ สวี่ชีอันถึงได้มีที่พึ่งพิงทางจิตใจในโลกของคนแปลกหน้า
หลินอันเป็นเหมือนคนในครอบครัว แท้จริงแล้ว นางเป็นเหมือนตัวช่วยในการไถ่บาปในจิตใจของเขา
ดังนั้น เขาจึงไม่วางแผนที่จะสืบสวนหลินอันอย่างลับๆ แต่เลือกที่จะตรงประเด็นกับนาง
สวี่ชีอันจ้องดวงตาดอกท้ออันงดงามเป็นประกายของอีกฝ่าย และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า “ไม่นานมานี้ ข้าได้ยินเรื่องสมบัติชิ้นหนึ่ง ชื่อว่า ‘หนังสือปฐพี’ เป็นของวิเศษแห่งนิกายปฐพี ฝ่าบาทเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
หลินอันเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะด้วยความสับสน
“ไม่เคยได้ยินรึ?” สวี่ชีอันถามซ้ำ ราวกับเป็นเรื่องสำคัญมาก
“ไม่เคยได้ยินเลย” หลินอันเปิดปากพูด
ทันทีที่นางเปิดปากพูด วิชามองปราณก็มีปฏิกิริยาในจังหวะเดียวกัน ไม่ได้โกหก
ไม่ได้โกหก นาง…นางไม่ใช่หมายเลขหนึ่ง นางยังคงเป็นหลินอันที่โง่เง่าคนนั้น ดีจริงๆ…
สวี่ชีอันโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกสบายใจที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้นอย่างท่วมท้น
ทันใดนั้น ข้อสงสัยใหม่ก็ปรากฏขึ้นทันที
หลินอันไม่ใช่หมายเลขหนึ่ง แต่จากสิ่งที่ตนเองรู้เกี่ยวกับนาง เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือ เช่นนั้นทำไมนางถึงเลือก ‘แผนที่ชีพจรมังกร’ มาทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
“แล้วท่านอ่านหนังสือเช่นนี้ทำไมกัน” สวี่ชีอันถาม
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึ ปกติข้าก็อ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้มาโดยตลอด” มือเล็กของยายตัวร้ายตบลงบนโต๊ะ หน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับไม่พอใจกับข้อสงสัยของสวี่ชีอันอย่างมาก
นาง…พูดปดอีกแล้ว…สวี่ชีอันอยากปิดหน้าใจจะขาด
ผู้หญิงที่ความรักกำลังเบิกบานในหัวใจ มักจะแสดงด้านที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าผู้ชายที่ตนเองชื่นชอบ แม้จะต้องโกหกก็ตาม!
เมื่อพิจารณาสีหน้าของหลินอัน สวี่ชีอันก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไว้อย่างดี เขายังมีวิธีอื่นในการตรวจสอบ ดังนั้น เขาจึงไม่รีบร้อน และวางกองกระดาษลงบนโต๊ะ พลางกล่าวว่า “องค์หญิง อ่านให้ข้าฟังที”
“จะให้ข้าสอนเจ้าอ่านอักษรเฉ่าซูไม่ใช่รึ?” หลินอันกะพริบตาปริบๆ
“ค่อยเป็นค่อยไป ก้าวหน้าไปตามลำดับ” เขากล่าวอ้างอย่างขอไปที
“โอ้!”
หลินอันถือกองกระดาษที่ไม่หนาและไม่บาง ทันทีที่จ้องมองก็อุทานขึ้นมาทันที “นี่คือบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนไม่ใช่รึ? เจ้าคัดลอกบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนไปทำไมกัน?”
ข้าไม่เพียงแต่คัดลอกบันทึกประจำวันของปู่เจ้า แต่ข้ากำลังตรวจสอบพ่อของเจ้าด้วย…
สวี่ชีอันกล่าวด้วยท่าทีลึกลับว่า “ข้ากำลังตรวจสอบความลับบางอย่างของไหวอ๋อง ถึงแม้จะทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ยังมีความลับอยู่ อืม ตอนนี้ข้ายังไม่ชัดเจนนักว่ารูปธรรมคืออะไร ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถอธิบายให้ท่านฟังอย่างละเอียดได้ องค์หญิง นี่เป็นความลับระหว่างเรา ทรงโปรดอย่าเปิดเผยเรื่องนี้เด็ดขาด”
คำอธิบายของเขามีความหมายลึกซึ้ง ผู้หญิงนิสัยอย่างหลินอัน ถ้าเจ้าไม่บอกนาง นางจะไม่เปิดใจ การเปิดเผยบางส่วนอย่างเหมาะสม และย้ำว่านี่เป็นความลับระหว่างเราทั้งสองคน นางถึงจะเปิดใจกว้าง
แต่ถึงอย่างไรก็เปิดเผยไม่ได้มากเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นองค์หญิง นางก็ยังนับว่าหัวอ่อน เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเจนโลกเหล่านั้น สุดท้ายนางก็อ่อนโยนเกินไป ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถพูดได้ว่ากำลังสืบสวนจักรพรรดิหยวนจิ่ง
หลินอันโง่เขลา ไม่ใช่เพราะนางมีสติปัญญาต่ำ แต่นางไร้เดียงสาและเรียบง่ายเกินไปต่างหาก นางถูกปกป้องเป็นอย่างดีในทุกๆ ด้าน ทำให้นางถูกปลูกฝังเป็นคนเบาปัญญา ราวกับบุคคลทั่วไป
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินอันตามคาด นางแสร้งสงวนท่าทีและกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะเก็บความลับให้เจ้าแล้วกัน”
หนึ่งชั่วยามถัดมา หลินอันอ่านออกเสียงเนื้อหาบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน โดยมีสวี่ชีอันนั่งฟังอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ข้างๆ ในช่วงเวลานั้น เขารินน้ำให้นางสองครั้ง ทุกครั้งล้วนได้รอยยิ้มแสนหวานของยายตัวร้ายเป็นการตอบแทน
สวี่ชีอันได้ฟังขั้นตอน ‘การเทศนา’ ที่ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์และผู้นำเต๋าปฐพีพูดกับจักรพรรดิองค์ก่อนสมดังใจหวัง
จักรพรรดิองค์ก่อนถามผู้นำเต๋านิกายปฐพีอีกครั้ง ถึงความเป็นไปได้ที่จักรพรรดิจะบำเพ็ญธรรม
คำตอบของผู้นำเต๋านิกายปฐพี เหมือนกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ‘การมีอายุยืนยาวเป็นไปได้ การคงอยู่ตลอดไปนั้นเป็นไปไม่ได้’
อายุยืนในที่นี้ หมายถึงการบำรุงร่างกายทำให้อายุยืน การคงอยู่ตลอดไปถึงจะหมายถึงการเป็นอมตะ
หลังจากสนทนามานานเกี่ยวกับการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ จักรพรรดิองค์ก่อนก็ถามผู้นำเต๋านิกายปฐพีว่า ‘จิตวิญญาณหนึ่งแปรสภาพเป็นไตรวิสุทธิเทพ คือสามท่านหนึ่งคน หรือสามท่านสามคน?’
คำตอบของผู้นำเต๋านิกายปฐพีคือ ‘อาจเป็นสามท่านหนึ่งคน หรือสามท่านสามคน หรือหนึ่งคนสามท่าน’
“ฟังแล้วไม่ขัดหูเกินไปหน่อยรึ?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว พลางยกมือขึ้นมาขัดจังหวะหลินอัน “ให้ข้าไตร่ตรองสักครู่”
สามท่านหนึ่งคน หมายความว่าสามคนที่แยกออกจากกัน แท้จริงแล้วคือคนคนเดียวกัน?
สามท่านสามคน หมายถึงพวกเขาก็สามารถเป็นบุคคลทั้งสามที่อิสระ?
หนึ่งคนสามท่านหมายความว่าอะไร ความหมายไม่เหมือนสามท่านหนึ่งคนรึ? หรือว่ามีความหมายตรงกันข้าม?
“ท่านอ่านต่อไปได้” เขากล่าว
หลินอันพยักหน้าและอ่านออกเสียงต่อไป สิ่งที่ทำให้สวี่ชีอันผิดหวังคือ เนื้อหาหลังจากนี้ไม่มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับหนึ่งคนสามท่านแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีไม่ได้อธิบายไว้ หรือว่าอาลักษณ์ขี้เกียจบันทึกกันแน่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะจดทุกคำพูดของจักรพรรดิลงไปในบันทึกประจำวัน หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาลักษณ์ทุกคนก็คงเป็นโรคเอ็นอักเสบ…
เขากล่าวพึมพำในใจ
“ไอหยา ที่แท้เหตุผลที่จักรพรรดิองค์ก่อนตรัสว่า ไหวอ๋องคือเสาหลักของประเทศ ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง…”
จู่ๆ ยายตัวร้ายก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ
นางบังเอิญนึกถึงเรื่องราวในอดีต ครั้งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งยังหนุ่มและไหวอ๋องยังเด็ก ทั้งสองไปที่ทุ่งล่าสัตว์และพบกับหมีดุร้ายตัวหนึ่ง ตอนนั้นทหารรักษาพระองค์ที่อยู่รอบข้างต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไหวอ๋องก็ฉีกทึ้งหมีตัวนั้นอย่างกล้าหาญ
หลังจากจักรพรรดิองค์ก่อนได้ยินเรื่องนี้ ก็กล่าวยกย่องว่าไหวอ๋องคือเสาหลักของประเทศในอนาคต
ในฐานะนักรบ นับประสาอะไรกับการฉีกทึ้งหมีตัวหนึ่ง…สวี่ชีอันคิดดูถูกอยู่ในใจ
ยายตัวร้ายกล่าวต่อไปว่า “แต่เสด็จพ่อและคนอื่นๆ ช่างกล้าหาญจริงๆ ปกติแล้วไม่มีใครสามารถเข้าไปในส่วนลึกของหนานย่วน มีเพียงช่วงล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปในส่วนลึกของหนานย่วนได้ เพราะช่วงเวลานั้นจะมียอดฝีมือของต้าฟ่งคอยปกป้อง จึงไม่จำเป็นต้องกลัวสัตว์ร้าย”
…
ในช่วงวาระสุดท้ายของจักรพรรดิองค์ก่อน ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น ในฐานะกษัตริย์สายพุทธ ทางด้านงานราชการ เขาไม่ได้ขยันหมั่นเพียร แต่ก็ไม่นับว่าขี้เกียจ แต่ทางด้านการใช้ชีวิต เขากลับคัดเลือกคนอยู่บ่อยครั้งเพื่อขยายวังใน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ปัญหา ถึงอย่างไรในยุคนี้ ความคิดในใจของผู้ชายทุกคนล้วนเหมือนคนสมัยก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเข้าสู่วัยชรา ปัญหานี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน มักปรากฏยาอายุวัฒนะประเภทหนึ่งที่มีชื่อว่า ยาหลงหยาง
ยาหลงหยางในที่นี้ ไม่ใช่หลงหยางในความหมายทั่วไป หลง แสดงถึงโอรสสวรรค์ร่างมังกรจริงๆ หยางแสดงถึงความเป็นชาย พลังหยาง
เมื่อรวมกันขึ้นมา ความจริงก็มีสรรพคุณเหมือนกับลิ่วเว่ยตี้หวงหวาน
เมื่อยายตัวร้ายอ่านถึงเนื้อหาเหล่านี้ สีหน้าลำบากใจก็ปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้าย นางก็เห็นชีวิตส่วนตัวของท่านปู่ผ่านบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน แน่นอนว่าจักรพรรดิไม่มีความเป็นส่วนตัว และตัวจักรพรรดิเองก็ไม่สนใจความเป็นส่วนตัวเหล่านี้
พ่อลูกคู่นี้เยี่ยมยอดจริงๆ…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
คนหนึ่งก็คิดถึงกามอารมณ์ทั้งวัน
คนหนึ่งก็เมินสตรีคุณภาพสูงในวังใน
หลังจากอ่านบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนเสร็จสิ้นแล้ว ในที่สุดการสืบเบาะแสนี้ก็สิ้นสุดลง สวี่ชีอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้รับข้อมูลที่สำคัญ
สวี่ชีอันเก็บบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนลงไป ก่อนจะแสดงรอยยิ้มมั่นใจออกมาอย่างกะทันหัน และกล่าวว่า “องค์หญิง แผนที่ชีพจรมังกรเกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ย วิชาความรู้ด้านนี้มีความยากมาก ท่านจำเป็นต้องหาคนมาปรึกษาหารือถึงจะได้ผล ศึกษาอยู่คนเดียวไม่ได้อะไรหรอก ปกติท่านศึกษากับใครรึ?”
เขาเดาว่ายายตัวร้ายเป็นบัณฑิตที่ไม่ฉลาด ดังนั้น เขาจึงตั้งใจกล่าวด้วยความหนักแน่น เพื่อวางแผนโอ้อวดให้นางเกิดความเกรงใจ
เพื่อเห็นแก่หน้าของเขา ยายตัวร้ายย่อมแสร้งทำเป็นเข้าใจดี และต้องตอบโต้อย่างคล้อยตามกับคำพูดของเขาแน่นอน นี่เป็นประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับตอนที่เขากำลังศึกษาเล่าเรียน พวกผู้หญิงชอบสนทนาถึงดาราชาย อันที่จริง สวี่ชีอันไม่ได้สนใจวงการบันเทิง แต่เขาอยากแทรกเข้าไปในกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นหญิง
ด้วยเหตุนั้น เขาจึงแสร้งทำเป็นเข้าใจดี แต่ความจริงเขาเพียงแค่ทำเป็นคล้อยตามกับคำพูดของพวกผู้หญิง ด้วยการกล่าวว่า ‘ใช่ใช่ใช่ ฉันคิดเหมือนเธอเลย’
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว มันต้องศึกษาและพิจารณากับบุคคลอื่น” ยายตัวร้ายเงยหน้าขึ้นไปมอง และกล่าวว่า “ปกติข้าก็ปรึกษาหารือกับฮว๋ายชิ่ง”
ฮว๋ายชิ่ง…สวี่ชีอันตัวสั่นไปทั้งร่าง จนแทบจะยืนไม่ไหว
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามระงับอารมณ์ลง ก่อนจะมองหลินอันและกล่าวว่า “ท่านได้หนังสือเล่มนี้มาจากที่ใด?”
“ข้ายืมมาจากหอสมุดหลวง”
สวี่ชีอันกล่าวกระซิบว่า “องค์หญิงฮว๋ายชิ่งให้ท่านไปยืมมารึ”
ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตาดอกท้อของยายตัวร้ายทันที นางบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกสารภาพ และกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “เจ้าเดาถูกแล้ว”
สวี่ชีอันหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
…
เขาออกจากจวนของหลินอันด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ฮว๋ายชิ่งคือหมายเลขหนึ่ง?!
ปรากฏว่าหมายเลขหนึ่งคือฮว๋ายชิ่งงั้นรึ!
จากการตัดสินครั้งนี้ เขาก็นึกถึงรายละเอียดของอดีตในจิตใจขึ้นมา
หมายเลขหนึ่งลึกลับมาก ดำรงตำแหน่งสูงและเรืองอำนาจในราชสำนัก คนที่มีความเห็นคล้อยตามผู้ลึกลับท่านนี้มีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน
หลินอันก็มีความสอดคล้อง ส่วนฮว๋ายชิ่งยิ่งไม่มีปัญหา นอกจากนี้ เล่ห์เหลี่ยมและความเฉลียวฉลาดของฮว๋ายชิ่งก็สอดคล้องกับหมายเลขหนึ่งอย่างแท้จริง
“ในคดีสำคัญต่างๆ ที่ผ่านมา ข้อมูลที่หมายเลขหนึ่งแสดงออกมานั้น เป็นของผู้ดำรงตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก ข้าจำได้ว่าเรื่องที่องค์รัชทายาทจมทะเลสาบซังผอตายเมื่อห้าปีที่แล้ว ก็เป็นข้อมูลที่ถูกเปิดเผยโดยหมายเลขหนึ่ง แต่องค์ชายก็สามารถสืบเบาะแสที่สอดคล้องนี้ได้เช่นกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าฮว๋ายชิ่งคือหมายเลขหนึ่งด้วยเหตุนี้…
“หมายเลขหนึ่งมักแสดงทัศนคติปกป้องราชสำนักมากเป็นพิเศษ และไม่ค่อยถูกใจหมายเลขสองหลี่เมี่ยวเจินนัก เพราะนางเป็นพวกใช้วิชายุทธ์เป็นเครื่องบ่อนทำลายความสงบ นี่ก็ยังสอดคล้องกับองค์ชายเช่นกัน ไม่สามารถตัดสินได้…
“แต่ถ้าสมมติก่อนว่าฮว๋ายชิ่งคือหมายเลขหนึ่ง เช่นนั้น การที่นางเสนอตัวรับผิดชอบในการสืบที่อยู่ และการเคลื่อนไหวของเหิงหย่วนก็สมเหตุสมผลแล้ว ถึงแม้องค์ชายจะสามารถเข้าวังไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิได้ แต่ก็ทำได้เพียงอยู่ในอาณาเขตที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่สามารถเดินเตร่ในพระราชวังหรือวังในได้ตามอิสระ แต่หากเป็นฮว๋ายชิ่ง นางแทบไม่มีอุปสรรคในพระราชวังแม้แต่น้อย
“นางให้ยายตัวร้ายไปยืมแผนที่ชีพจรมังกรที่หอสมุดหลวง นั่นเป็นเพราะนางต้องรอบคอบ และเนื่องจากยายตัวร้ายเป็นบัณฑิตที่ไม่ฉลาดเท่าใดนัก ไม่ว่านางจะยืมหนังสือเล่มใดก็ไม่ทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้าก็พรากหญิงอันเป็นที่รักของข้าไป…ไม่สิ เพราะหลินอันผู้เป็นที่รักกลายเป็นเครื่องมือ ข้าจึงรู้สึกโกรธ”
สวี่ชีอันนึกถึงรายละเอียดที่มากขึ้น อย่างเช่น ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เขาเคยคุยโวโอ้อวดลี่น่าอยู่ในกลุ่ม ว่าจะผูกมัดองค์หญิงแสนสวยของต้าฟ่งให้เป็นภรรยาของพี่ชายลี่น่า
ตอนนั้นหมายเลขหนึ่งก็แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างยิ่ง
“นอกจากนี้ หากฮว๋ายชิ่งคือหมายเลขหนึ่ง เช่นนั้นนางก็ย่อมรู้ตัวตนของข้านานแล้ว นางฉลาดถึงขนาดนั้น ไม่สามารถหลอกลวงนางได้อย่างแน่นอน…”
สวี่ชีอันขี่อยู่บนหลังม้าด้วยความห่อเหี่ยว เขามีความคิดว่า หากยังคลุมเครือต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
…
เมื่อกลับมาที่จวนสกุลสวี่ อาสะใภ้ก็พาลูกสาวทั้งสอง ยังมีลี่น่าและหลี่เมี่ยวเจินออกไปฟังดนตรีข้างนอกแล้ว
“อาสะใภ้เป็นแม่ที่ใจจืดใจดำจริงๆ เอ้อร์หลางไปออกรบก็เป็นห่วงอยู่ไม่กี่วัน ตอนนี้กลับมาชื่นมื่นอีกครั้งเสียแล้ว คงหลงคิดไปเองว่าเป็นนางฟ้าตัวน้อยกระมัง…”
สวี่ชีอันบ่นนางเล็กน้อย และแทบอยากจะไปฟังเพลงที่หอคณิกาเช่นกัน
แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จริงๆ ในขณะที่วางแผนจะไปอาบน้ำ แล้วปลอมตัวออกจากจวน ไปที่จวน ‘นำโชค’ ของหญิงม่ายที่เขาเลี้ยงดูไว้ด้านนอก
เวลานี้เอง อาการใจสั่นที่คุ้นเคยก็มาถึง เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาโดยจิตใต้สำนึก และอ่านข้อความที่ส่งมา
หมายเลขหนึ่ง ‘มีเบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่ของเหิงหย่วนแล้ว แต่ข้าตามสืบต่อไปคนเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องให้พวกเจ้าช่วยเหลือ’
………………………………………………………