ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 448 ขั้นแรกของการสืบเสาะ
บทที่ 448 ขั้นแรกของการสืบเสาะ
เมื่อเห็นข้อความของหมายเลขหนึ่ง สวี่ชีอันก็รู้สึกร้อนตัวและละอายใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดันนั้นเขาจึงไม่ตอบสนองในทันที
หมายเลขสอง ‘เจ้ามีเบาะแสของเหิงหย่วน? เร็วเช่นนี้เลยรึ?’
สมแล้วที่เป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน กระตือรือร้นในการสาธารณประโยชน์และกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง! สวี่ชีอันชื่นชมอย่างเงียบๆ
ในเวลาเดียวกัน สวี่ชีอันก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา สมแล้วที่เป็นฮว๋ายชิ่ง สมแล้วที่เป็นบัณฑิตหญิงหัวกะทิอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง ศักยภาพช่างน่าทึ่งจริงๆ
หนึ่ง ‘ระหว่างฆ่าผิงหย่วนป๋อ เหิงหย่วนบังเอิญเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น นี่คือการคาดเดาของหมายเลขสาม ตกลงแล้วเขาเห็นอะไรกันแน่? ไม่มีทางคาดเดาได้ ข้ารู้สึกสับสนเพราะเหตุนี้ กระทั่งนอนก็ยังหลับตาไม่ลง’
จิตวิญญาณในการขบคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย คือมาตรฐานของบัณฑิตหัวกะทิ สมแล้วที่เป็นฮว๋ายชิ่ง ถ้าตอนนั้นข้ามีจิตวิญญาณเช่นนี้ มหาวิทยาลัยชิงหวาคงกวักมือเรียกข้าไปแล้ว…ไม่สิ พูดเช่นนี้ไม่ได้ ควรจะเป็น ข้าไม่เคยให้โอกาสมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกมันจะดีเพียงใด ข้าก็เป็นนักเรียนที่พวกมันรับไม่ได้…
สวี่ชีอันถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พลางบ่นอุบอิบอย่างเงียบๆ
หมายเลขหนึ่งยังคงส่งข้อความต่อไปว่า ‘ด้วยอุปนิสัยขี้สงสัยของฝ่าบาทของพวกเรา เขาจะต้องฆ่าปิดปากเหิงหย่วนอย่างแน่นอน แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่า ตอนนี้เขายังไม่ตาย เช่นนั้น เขาย่อมถูกคุมขังอยู่ในสถานที่ที่ฝ่าบาทสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา แต่หลังจากที่สายลับของไหวอ๋องพาเหิงหย่วนเข้ามาในเมืองชั้นใน ก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย แล้วเขาไปที่ใดกันแน่?’
ฮว๋ายชิ่งระมัดระวังจริงๆ คำก็ฝ่าบาท สองคำก็ฝ่าบาท เห็นๆ กันอยู่ว่านั่นคือเสด็จพ่อของเจ้า…
ตอนนี้สวี่ชีอันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะแขวะฮว๋ายชิ่ง จนกระทั่งคิดหาวิธีทำให้นางติดกับ
หมายเลขหนึ่ง ‘ต่อมา การคาดเดาเกี่ยวกับการหนีลงใต้ดินของหมายเลขสี่ ทำให้ข้าเจาะออกมาจากปัญหาที่แก้ไม่ได้ครั้งก่อน มีชีพจรมังกรอยู่ใต้ดินของเมืองหลวง ชีพจรมังกรขยายไปทุกทิศทาง หากใช้วิธีหนีลงใต้ดิน ก็สามารถใช้ชีพจรมังกรเป็นพื้นฐานในการเดินทางได้ ดังนั้น ข้าจึงตรวจสอบจวนของผิงหยวนป๋อ และพบว่าจวนหลังนั้นคือจวนพระราชทาน ซึ่งจวนที่จักรพรรดิมอบให้ขุนนาง เป็นสิ่งที่มีข้อกำหนดเฉพาะ ตัวอย่างเช่น สถานที่ที่มีตำแหน่งฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยม ถึงจะมีคุณสมบัติในการสร้างจวนดังกล่าว และในเมืองหลวง สถานที่ที่มีตำแหน่งฮวงจุ้ยดีที่สุด ตั้งอยู่บนชีพจรมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากแอบเข้าไปในจวนของผิงหย่วนป๋อ ข้าก็พบเส้นทางลับในสวนหินประดับด้านหลังจวน…’
หมายเลขหนึ่งบอกรายละเอียดของเรื่องราวให้ทุกคนในพรรคฟ้าดินได้ทราบ
ที่แท้จวนของผิงหย่วนป๋อก็มี ‘อุโมงค์ใต้ดิน’ จริงๆ เช่นนั้นก็สามารถตรงเข้าไปในพระราชวังผ่านค่ายกลใต้ดินได้ใช่หรือไม่?
แม้ว่าทุกคนในพรรคฟ้าดินจะประหลาดใจ แต่สุดท้ายก็สอดคล้องกับเหตุผลเดิม ดังนั้น พวกเขาจึงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว และรู้สึกยินดีกับความคืบหน้าของคดี
ถึงแม้หมายเลขหนึ่งจะไม่เปิดเผยตัว แต่สติปัญญาและความสามารถก็ควรค่าแก่การไว้วางใจ เพียงแค่เป็นรองสวี่ชีอันในแง่ของการสืบสวนคดีเท่านั้น…
หลี่เมี่ยวเจินพองแก้มด้วยความกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย
ฮึ่ย! เป็นเพราะสวี่ชีอันที่หมกเม็ด ไม่ยินยอมถ่ายทอดทักษะของเขามาให้ตนเอง ดังนั้น ระดับทักษะการสืบสวนของนางจึงก้าวหน้าเพียงน้อยนิด
ทางด้านทิศเหนือที่ห่างไกล ฉู่หยวนเจิ่นที่โดยสารอยู่บนเรือรบส่งข้อความมาว่า ‘จะเปิดใช้งานแผ่นหินนี้อย่างไร? ต้องใช้วัตถุที่มีข้อกำหนดพิเศษ หรือว่าสัจจคาถาบางตอน?’
หมายเลขหนึ่ง ‘ต้องใช้วัตถุที่มีข้อกำหนดพิเศษ ถึงจะสามารถกระตุ้นคาถายืมดินหลีกหนีที่จารึกอยู่ในแผ่นหินได้ นอกจากนี้ เป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนคาถายืมดินหลีกหนีได้ด้วยตนเอง คนทั่วจิ่วโจวที่สามารถเปลี่ยนคาถายืมดินหลีกหนีให้เป็นค่ายกลได้มีจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้’
หมายเลขสาม ‘ไม่น่าจะเป็นสำนักโหราจารย์กระมัง’
เมื่อสวี่ชีอันถามคำถาม สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองคือสมาคมโหรลึกลับ หากไม่ใช่สำนักโหราจารย์ คนที่สามารถจัดเรียงค่ายกลนี้ให้คงอยู่ ก็มีเพียงสมาคมโหรลึกลับที่มีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับราชสำนักเท่านั้น
แต่หากเป็นเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่สมาคมโหรลึกลับจะเป็นพันธมิตรกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ
จักรพรรดิและกบฏมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันงั้นรึ?
ระดับความเหลวไหลเหมือนกับคู่ปรับสองคนที่ตกหลุมรักกันอย่างกะทันหัน และละทิ้งเทพธิดาไปเกลือกกลิ้งกันอยู่บนเตียง…
หมายเลขสี่ ‘เอ๋ ตอนนี้สวี่ชีอันเป็นนายท่านของหนังสือปฐพีไม่ใช่รึ?’
ภายในพรรคฟ้าดินเงียบสงัดลงทันที
สวี่ชีอันรู้สึกราวกับสมุดปกเหลืองที่ตนเองเก็บรวบรวมและซ่อนไว้อย่างดี ถูกคนอื่นหยิบไปประจานเขาในที่สาธารณะ ศีรษะของเขาเริ่มชาเล็กน้อย
หมายเลขสาม ‘เรื่องนั้นค่อยพูดกันทีหลัง คุยเรื่องสำคัญกันก่อน หมายเลขหนึ่ง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าตัดสินได้อย่างไร ว่าค่ายกลจำเป็นต้องใช้วัตถุที่มีข้อกำหนดพิเศษ ไม่ใช่สัจจคาถา?’
หมายเลขหนึ่งไม่สนใจเขา
อืม จากการคาดเดาในฐานะนักสืบที่มีประสบการณ์มาหลายปี มีความเป็นไปได้มากที่นางจะขอความช่วยเหลือจากฉู่ไฉ่เวยแล้ว ฮว๋ายชิ่งและไฉ่เวยเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด…ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่เคยเข้าใจว่าปลาหัวโตที่โง่เขลาจะเป็นเพื่อนสนิทกับปลาโลมาแสนฉลาดได้อย่างไร…
หมายเลขหนึ่งหลีกเลี่ยงการตอบคำตอบของหมายเลขสาม และส่งข้อความต่อไปว่า ‘ข้าพอจะควบคุมวิธีการเปิดใช้งานแผ่นหินได้ เศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสามารถทำงานนี้ได้’
เมื่อเห็นข้อความนี้ ในบรรดาทั้งสี่คน นอกจากฉู่หยวนเจิ่นและลี่น่าแล้ว หลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอันก็เข้าใจได้ทันที
รูปแบบของหนังสือปฐพีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผนึกเทพแห่งฟ้าดิน หนังสือปฐพีสามารถเปิดใช้งานค่ายกล ‘ยืมดินหลีกหนี’ ได้ จึงไม่น่าแปลกอะไร
แต่ที่ทั้งสองรู้สึกประหลาดใจคือ หมายเลขหนึ่งรู้เรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร?
หมายเลขสี่ ‘ใช้หนังสือปฐพีเป็นค่ายกลในการเปิดใช้งานแผ่นหินได้ด้วยรึ? จะเป็นไปได้อย่างไร?’
แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวอักษร แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึง ‘สีหน้า’ อันประหลาดใจของอีกด้านได้เป็นอย่างดี และเขาก็เป็นคนที่สวี่ชีอันคุ้นเคย จึงจินตนาการได้ถึงภาพที่เขาครุ่นคิดอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ข้อบกพร่องทั่วไปของคนฉลาดคือ คิดมากเกินไป!
สวี่ชีอันจึงอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับภูมิหลังของหนังสือปฐพี
หมายเลขสี่ ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้านึกว่า…’
เมื่อสักครู่ เขานึกถึงการเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะคิดมากเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรแล้ว หมายเลขหนึ่งก็กลับมาเข้าหัวข้ออีกครั้งหนึ่ง โดยการส่งข้อความว่า ‘สิ่งที่ข้าต้องการความช่วยเหลือคือ ยอดฝีมือท่านหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอและเชื่อใจได้ ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเพื่อเปิดใช้งานแผ่นหิน มันอันตรายมาก เพราะเจ้าจะไม่รู้ว่าค่ายกลอีกด้านคืออะไร บางทีเจ้าอาจจะกลับมาไม่ได้’
กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบลงอีกครั้ง
บุคคลที่สามารถเชื่อใจได้ ควรจะเป็นสมาชิกภายในของพรรคฟ้าดิน
สำหรับบุคคลที่ฝึกฝนจนแข็งแกร่ง และมีความสามารถเพียงพอในการปกป้องตนเอง…คงมีแต่สวี่ชีอันเท่านั้น การป้องกันตัวของเขา เรียกได้ว่าเป็น ‘ร่างอมตะ’ ที่แข็งแกร่งที่สุด
สวี่ชีอันถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะส่งข้อความว่า ‘ให้ข้าทำเถอะ!’
ถึงแม้จะมองหาทหารขั้นสี่ ก็อาจจะไม่เหมาะสมไปมากกว่าเขา นอกจากนี้ ยอดฝีมือขั้นสี่ที่สามารถเชื่อใจได้ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ล้วนตามเว่ยเยวียนไปออกรบหมดแล้ว
แต่เหิงหย่วนยังต้องมีชีวิตรอด ตาหัวล้านคือเพื่อน คือพันธมิตร แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เหิงหย่วนเป็นคนดี
หมายเลขสอง ‘ระวังด้วย’
หมายเลขสี่ ‘ถ้ารู้สึกถึงอันตราย ต้องกลับทันที ระวังตัวให้มากด้วย’
ตัวเขาอยู่ห่างเป็นพันลี้ ไม่สามารถทำอะไรได้ และทำได้เพียงกล่าวคำอวยพรอันจืดชืดเหล่านี้
หมายเลขหนึ่งไม่ได้พูดอะไร แต่จิตของสวี่ชีอันสัมผัสได้ถึงข้อความ ‘ส่วนตัว’ ที่หมายเลขหนึ่งส่งมา
หมายเลขหนึ่ง ‘วิธีการเปิดใช้งานแผ่นหินนั้นง่ายมาก วางหนังสือปฐพีลงบนค่ายกล และถ่ายทอดพลังปราณลงไปก็ได้แล้ว ก่อนลงมือ เจ้าควรไปที่สำนักโหราจารย์เพื่อถามหาวรยุทธ์ปกปิดกลิ่นอายจะดีที่สุด และใช้ทักษะลั่นประกาศิตแห่งลัทธิขงจื๊ออีกครั้ง เพื่อปกปิดการดำรงอยู่ของร่างกายเจ้า ด้วยวิธีนี้ เจ้าอาจจะตรวจจับการซ่อนตัวของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเงียบๆ’
นางกล่าวเสร็จสิ้นแล้วก็เงียบไป ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังเก็บหนังสือปฐพี จู่ๆ นางก็ส่งข้อความมาว่า ‘ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง’
นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าข้าไม่ควรพาตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงตายเพื่อช่วยเหิงหย่วนงั้นรึ? สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างเงียบๆ
หากหมายเลขหนึ่งคือฮว๋ายชิ่ง ในสายตาของนาง ‘มิตรภาพทางไกล’ คนหนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไรมากมาย จะเทียบกับเขาได้อย่างไร
…
เรือรบหลายสิบลำต่อยาวเป็นแถว แล่นอยู่บนคลองอย่างเป็นระเบียบ
บนเรือรบลำหนึ่ง ฉู่หยวนเจิ่นที่เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเรียบร้อยแล้ว ก็เคาะประตูห้องของสวี่เอ้อร์หลาง
“ฉือจิ้ว เจ้ามอบของนั่นให้สวี่หนิงเยี่ยน ข้าก็จะทำหน้าที่เป็นนายหน้าส่งข่าวก็แล้วกัน มีบางเรื่องที่เจ้าต้องรู้เอาไว้”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวไปด้วย พลางเดินเข้าไปในห้องด้วย และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อืม ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากพูดเรื่องนั้นอย่างเปิดเผย บนกำแพงเรือมีหู พวกเรา…”
เขาคลี่กระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ก่อนจะให้พู่กันขีดเขียนลงบนกระดาษ จากนั้นก็ยื่นให้สวี่เอ้อร์หลางอ่าน
‘เหอะๆ…’
เปลวเพลิงลุกโชน เผากระดาษเป็นเถ้าถ่าน ก่อนจะค่อยๆ ตกลงมา
มียอดฝีมือที่หูไวตาสว่างอยู่บนเรือมากมาย ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก และจากไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อส่งฉู่หยวนเจิ่นออกไปจากห้องด้วยสายตา ในสมองของสวี่เอ้อร์หลางก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
‘เขาพูดอะไรอีก?’
‘เขาพยายามจะพูดอะไร?’
‘นี่ข้าความจำเสื่อมแล้วรึ?’
จู่ๆ คำพูดของพี่ชายใหญ่ที่กำชับเขาเป็นการส่วนตัวก่อนออกเดินทาง ก็ผุดขึ้นมาในสมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ‘ไม่ว่าฉู่หยวนเจิ่นจะถามคำถามที่แปลกประหลาดอะไรกับเจ้า พูดเรื่องแปลกอะไรกับเจ้า เจ้าไม่ต้องไปสนใจและนิ่งเฉยเอาไว้ เอ้อร์หลางเอ๋ย พี่ชายใหญ่จะไม่ขอให้เจ้าพูดว่า ‘เตียวเสี้ยนของพี่ใหญ่อยู่บนเอว’ ข้าขอเพียงให้เจ้าช่วยปกป้องชื่อเสียงอันโด่งดังของพี่ใหญ่ก็แล้วกัน’
นี่คือสิ่งที่พี่ชายใหญ่พูด เรื่องแปลกๆ และคำถามแปลกๆ? สวี่เอ้อร์หลางทำท่าครุ่นคิด
เขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ และนั่งศึกษาตำราทหารอยู่ที่โต๊ะ หากเดินทางไปตามคลอง จากเมืองหลวงไปฉู่โจวก็ใช้เวลาไม่ถึงสิบวัน และตอนนี้ก็ผ่านไปสามวันแล้ว อีกไม่ช้าก็เข้าวันที่สี่
การเดินทางสู่สงครามผ่านไปครึ่งทางแล้ว เขาใกล้จะเผชิญหน้ากับสนามรบเป็นครั้งแรกในชีวิต
…
สวี่ชีอันนั่งอาบแดดอยู่บนเก้าอี้หวายในจวนหลังเล็กของหญิงม่าย ส่วนพระมเหสีก็นั่งแกะเมล็ดแตงโมอยู่บนม้านั่งข้างๆ เขา
ทั้งสองพูดคุยแก้เขินกันอย่างสบายๆ
บทสนทนาส่วนใหญ่ของพระมเหสีล้วนเกี่ยวกับการได้รู้จักป้าหวางในวันนี้ การได้รู้จักป้าหลี่เมื่อวาน และแน่นอนว่าจะขาดป้าจาง ผู้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สุดไปไม่ได้
มักเป็นเรื่องหยุมหยิมภายในที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แต่ฟังแล้วก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
“ผักที่พ่อค้าส่งมาเมื่อวานไม่สดใหม่เอาเสียเลย ข้าเลยวางแผนจะเปลี่ยนพ่อค้าใหม่” พระมเหสีกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
อันที่จริงเป็นเพราะสายตาของพ่อค้าคนนั้นที่มองนางด้วยความเสน่หาอย่างมาก แม้ว่าจะเก็บซ่อนไว้อย่างดี แต่มู่หนานจือเป็นคนอย่างไร? นางเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในต้าฟ่ง นางเคยเห็นสายตาที่คล้ายกันนี้มานับพัน
ตอนที่นางสวมผ้าคลุมหน้าก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ชายเกิดความประทับใจต่อนางได้ ตราบใดที่ติดต่อกันมานาน พวกเขาก็จะชื่นชอบนางจนหน้ามืดตามัว
พ่อค้าคนนั้นมาส่งผักทุกวัน แม้จะไม่พูดอะไรมาก และไม่ได้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกันมากนัก แต่เขาก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากเสน่ห์ที่หาตัวจับยากของนาง ถูกแล้วที่จะเปลี่ยนพ่อค้าโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น ตนเองที่เป็นหญิงม่ายอยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว อาจเผชิญหน้ากับผู้ชายอันตรายที่มีเจตนาไม่ดี
‘เฮ้อ ใครบอกว่าข้างามเช่นนั้นกันนะ เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามก็ถือเป็นกรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน…’
พระมเหสีกระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเองอยู่เพียงคนเดียว
“เจ้าคือนายหญิงของจวน เจ้าอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน” สวี่ชีอันพยักหน้า
พระมเหสีดีใจขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เขามักจะให้อิสระและอำนาจสูงสุดแก่นางเสมอ และไม่เคยคิดระแคะระคายเกี่ยวกับการตัดสินใจของนางเลย เสียอยู่ข้อเดียวคือท่าทีห่อเหี่ยวราวกับอมทุกข์ เวลารับประทานอาหารที่นางทำ
“วันนี้พวกเราออกไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ” สวี่ชีอันกล่าวชักชวน
“ไม่ ข้าจะกินที่จวน” พระมเหสีกล่าวด้วยท่าทีน้อยใจ
“ข้าอยากกินมื้อใหญ่”
“ชาชั้นเลว อาหารจืดชืด ถึงจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง”
เจ้าเป็นอาหารจืดชืดที่ไหนกัน เจ้าเป็นอาหารรสเลิศต่างหาก…สวี่ชีอันแขวะอย่างดุเดือด
ผ่านไปสองวันแล้ว นับตั้งแต่การประชุมภายในครั้งล่าสุดของพรรคฟ้าดิน และผ่านไปหกวันแล้ว นับตั้งแต่ขบวนทหารออกรบ
สวี่ชีอันกำลังวางแผนช่วยเหิงหย่วน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเตรียมไพ่ใบสุดท้ายทั้งสี่ใบให้กับตนเอง
ไพ่ใบที่หนึ่ง ‘ดาบสลักขงจื๊อ!’
เมื่อวานเขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่ เพื่อยืมดาบสลักขงจื๊อจากจ้าวโส่ว แต่ได้รับข่าวว่าดาบสลักไม่ได้อยู่ที่สำนัก
ไม่มีไพ่ใบล่างสุดของกล่องแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ตื่นตกใจ ไพ่ใบที่สอง ‘ท่านโหราจารย์!’
เขามุ่งหน้าไปที่สำนักโหราจารย์อีกครั้ง ให้ไฉ่เวยไปแจ้งท่านโหราจารย์ ว่าตนเองกำลังจะลงมือทำเรื่องใหญ่
เท่านี้ก็พอแล้ว
ไพ่ใบที่สาม ‘ดาบยันต์ของท่านน้าเล็ก’
เจตนาดาบของยอดฝีมือขั้นสอง แม้แต่ทหารขั้นสามก็ยังได้รับบาดเจ็บ เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยชีวิตเขาในยามวิกฤต ยิ่งไปกว่านั้น ในสถานที่อย่างเช่นเมืองหลวง เพียงแค่เคลื่อนไหวอย่างอึกทึกครึกโครม ก็สามารถดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน ในนั้นย่อมรวมถึงท่านโหราจารย์และลั่วอวี้เหิงอย่างแน่นอน
ไพ่ใบที่สี่ ‘เสินซู’
ตั้งแต่กลับมาจากฉู่โจว เทพขี้เกียจองค์นี้ก็เอาแต่หลับสนิทมาโดยตลอด ตะโกนปลุกเท่าใดก็ไม่ยอมตื่น ไพ่ใบนี้จะสามารถใช้ได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่อย่างไรก็ยังเป็นไพ่ใบที่หนึ่ง
“รอเว่ยเยวียนกลับมาจากการรบ ข้าจะไปจากเมืองหลวงแล้ว พาครอบครัวไปด้วย” สวี่ชีอันมองนางและกล่าวเตือน
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงเอาแต่พูดเรื่องนี้ต่อหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า
พระมเหสีตอบรับเพียงแค่ “อืม” ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขอให้เจ้าโชคดี”
…
กลางดึก
สวี่ชีอันสวมชุดพรางตัว ผ่านถนนในเมืองชั้นในอย่างเงียบๆ เขาไม่สามารถซ่อนการกระทำของตนเองได้ แต่กองดาบที่เฝ้าอยู่รอบๆ และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เฝ้าระวังอยู่บนหลังคากลับเพิกเฉยเขาราวกับ ‘รู้กัน’
สวี่ชีอันใช้วรยุทธ์ขงจื๊อปกปิดร่างของตนเอง ไม่นาน เขาก็มาถึงจวนของผิงหย่วนป๋อ
จากข้อมูลของหมายเลขหนึ่ง มีการระบุว่าพบอุโมงค์ใต้ดินบริเวณหินประดับที่สวนด้านหลังจวน
หลังจากกดกลไก และทางเข้าถ้ำปรากฏออกมา เขาก็เจาะเข้าไปด้านใน ถือคบเพลิง พลางเคลื่อนตัวเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหมายเลขหนึ่งสำรวจมาแล้วว่า ภายในอุโมงค์ไม่มีกับดักอะไร
ในไม่ช้า สวี่ชีอันก็มาถึงปลายทางของห้องที่สร้างด้วยหิน เห็นแผ่นหินที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองจั้ง
“แผ่นหินขนาดใหญ่เช่นนี้ สามารถเคลื่อนย้ายผู้คนได้เป็นสิบคนในคราวเดียว ผิงหย่วนป๋อคงใช้สิ่งนี้เคลื่อนย้ายคนที่ลักพาตัวมาอย่างผิดกฎหมายไปยังพระราชวังชั้นใน…”
สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างแผ่นหิน พลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาวางบนแผ่นหิน พลางถ่ายทอดพลังปราณลงไป
ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเปล่งแสงขึ้นเล็กน้อย เป็นแสงสว่างที่มีความขมุกขมัว แสงริบหรี่เหล่านี้เป็นเหมือนสายน้ำที่ไหลเข้าสู่คาถาทีละตัวๆ ทำให้พวกมันเปล่งแสงสว่างขึ้น
ค่ายกลบนแผ่นหินถูกกระตุ้นแล้ว
สวี่ชีอันรีบขึ้นไปเหยียบบนแผ่นหินทันที ครู่ต่อมา ร่างของเขาก็หายเข้าไปในแผ่นหิน
แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า จากนั้น สวี่ชีอันก็ปรากฏตัวขึ้นในความมืดอันเงียบสงัด ไร้ซึ่งร่องรอยของแหล่งกำเนิดแสง
สัญชาตญาณของนักรบยังไม่เตือนภาวะวิกฤต!
เขากระชับดาบยันต์ของลั่วอวี้เหิงไว้แน่น พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะ ‘ล่องหน’ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กล้าจุดคบไฟ ตาเนื้อของมนุษย์ถูกกำหนดให้ไม่สามารถมองเห็นในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิท
ไม่ว่าฐานการฝึกฝนจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังไม่สามารถ
และเขาก็ไม่กล้าปล่อยพลังจิตออกไปสำรวจบริเวณรอบๆ เช่นกัน ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างช้าๆ พลางโบกแขนเพื่อทดสอบพื้นที่ด้านหน้า
โชคดีหากด้านหน้าเป็นหน้าผาหรือกำแพง เพราะสัญชาตญาณนักรบที่มีต่อภัยอันตรายจะตอบสนองกลับมาทันที
นับว่าเป็นเครื่องตรวจจับอันตรายอีกรูปแบบหนึ่ง
หลังจากก้าวช้าๆ เช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง ใบหูของสวี่ชีอันก็รับรู้ได้ถึงเสียงอันแปลกประหลาด
‘ฟู่ ฟู่…’
ในความมืดเบื้องหน้า มีเสียงแปลกๆ ลอยมา ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังหายใจ
นี่ความจุปอดใหญ่แค่ไหนกันเชียว? สวี่ชีอันพึมพำในใจด้วยความหวาดผวา
ยิ่งเดินไปไกลมากเท่าใด ‘เสียงหายใจ’ ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น สวี่ชีอันรู้สึกว่าเริ่มมีเม็ดเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากตนเอง
อะไรซ่อนอยู่ใต้พระราชวัง?
สวี่ชีอันกระชับดาบยันต์ในมืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทันทีที่สัมผัสถึงภัยอันตราย เขาก็จะได้กระตุ้นดาบยันต์ได้โดยตรง
การเคลื่อนไหวในส่วนลึกของความมืด ทำให้เขารู้สึกอันตรายอย่างขีดสุด ยิ่งเข้าใกล้ ร่างกายก็ยิ่งสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขาย่องไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ในที่สุด แสงสีทองจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า
แสงสีทองเผยให้เห็นกลิ่นอายของอัศวินที่เคร่งขรึม คล้ายกับระดับเพชรไร้พ่าย แต่ค่อนข้างแตกต่าง
แสงทองแห่งสำนักพุทธ คือเหิงหย่วนงั้นรึ? เหิงหย่วนถูกพามาที่นี่จริงๆ รึ? แสงสีทองนั่นคืออะไร การสนับสนุนของเหิงหย่วน เป็นความลับของเขารึ? ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในสมองของสวี่ชีอันอย่างไม่ขาดสาย
ขณะที่เขากำลังจะก้าวไปข้างหน้า จู่ๆ ก็มีภาพปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาอย่างกะทันหัน
เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็ตายอย่างไร้กลิ่นไร้เสียง โดยไร้ซึ่งลางสังหรณ์ ร่างกายเหี่ยวแห้งลงราวกับมัมมี่…
การเตือนภัยอันตรายระดับวิกฤตของนักรบ!
สวี่ชีอันถอยออกไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันหลังกลับ และเร่งฝีเท้าเล็กน้อย เพื่ออพยพออกจากสถานที่อันตรายแห่งนี้
ในห้องที่สร้างด้วยหินใต้จวนของผิงหย่วนป๋อ คาถาบนแผ่นหินเปล่งแสงขมุกขมัวอีกครั้ง ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ
สวี่ชีอันโน้มตัวลงไปหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมา และเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะจากไป แต่กลับจุดตะเกียงน้ำมันจำนวนหนึ่ง
จากนั้น เขาก็นั่งพิงแผ่นหิน และพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ
“ตรวจสอบไอ้จักรพรรดิสุนัขมานานเช่นนี้ ในที่สุดก็มีความคืบหน้าเสียที” สวี่ชีอันยกยิ้มในความมืดสลัวอย่างเงียบๆ
การเคลื่อนไหวจากส่วนลึกของความมืด ราวกับเสียงหายใจ มันคืออะไร?
เสียงการสร้างชีพจรมังกร? อืม สถานที่นั้นไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด น่าจะเป็นศูนย์กลางของชีพจรมังกร
“เหิงหย่วนถูกขังอยู่ในชีพจรมังกร แสงสีทองนั่นกำลังต้านทานชีพจรมังกรอยู่งั้นรึ? อีกอย่าง พลังเพชฌฆาตเงียบที่จะทำให้ข้าตายอย่างไร้กลิ่นไร้เสียงคืออะไร เป็นค่ายกลรึ?”
สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และส่งข้อความว่า ‘ข้าเคลื่อนตัวผ่านแผ่นหินมาแล้ว จากการตรวจสอบค่ายกลอีกด้านเบื้องต้น ข้าได้รับข้อมูลบางอย่าง’
หมายเลขหนึ่ง ‘ใช่พระราชวังหรือไม่? สถานที่ที่เชื่อมกับค่ายกลคือพระราชวังใช่หรือไม่? เจ้าตกอยู่ในอันตรายหรือไม่’
หมายเลขสอง ‘เจ้าพบอะไร? อืม เจ้าไม่บาดเจ็บกระมัง’
หมายเลขสี่ ‘ได้ผลเร็วมาก ช่วยไต้ซือเหิงหย่วนออกมาแล้วรึ’
นอกจากลี่น่าที่กำลังหลับสนิท และนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ปลีกวิเวก สมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็ตอบสนองข้อความของสวี่ชีอัน ราวกับตั้งใจไม่นอนและรอข่าวจากเขา
……………………………………………………..