ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 449 คำแนะนำของราชครู
บทที่ 449 คำแนะนำของราชครู
หมายเลขสาม ‘วางใจเถิด ข้าไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหิงหย่วนออกมาเช่นกัน’
‘ไม่ได้ช่วยเหิงหย่วนออกมา…ดังนั้นจึงพูดว่าเป็นการสำรวจเบื้องต้นหรือ…’ ทุกคนในพรรคฟ้าดินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ตั้งสติทันทีและรอสวี่ชีอันอธิบายสถานการณ์
หมายเลขสาม ‘ข้าไม่อาจระบุค่ายกลได้ ต้องเป็นพระราชวัง เพราะที่นั่นเป็นถ้ำและมืดสนิท แต่ตามกฎของวิชาพสุธาหลบหนี โดยปกติพระราชวังถูกต้องแล้ว…’
สวี่ชีอันเล่าประสบการณ์ของตัวเองในถ้ำให้ทุกคนในพรรคฟ้าดินฟัง รวมถึงการเคลื่อนไหวอันน่ากลัวที่ราวกับเสียงหายใจ แสงสีทองที่สงสัยว่าจะเป็นเหิงหย่วนและคำเตือนถึงความตายอันไร้สุ้มเสียงของตัวเอง
หมายเลขสี่ ‘ดังนั้น เจ้าจึงไม่อาจระบุที่มาของเสียงประหลาดนั้นได้ว่า เกิดจากชีพจรมังกรหรืออย่างอื่น และในบรรดาพวกเราก็ไม่มีใครเชี่ยวชาญฮวงจุ้ย เอ๊ะ ไม่สิ หญิงผู้โชคร้ายที่จวนเจ้าเป็นโหรขั้นห้า นางรู้ดีที่สุด’
หมายเลขสาม ‘ข้ายังไม่ได้กลับจวนสกุลสวี่ ข้าอยู่ในห้องหินใต้ดิน’
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความว่า ‘ข้าจะไปถามนาง’
จงหลีอาศัยอยู่ที่จวนสกุลสวี่และพักอยู่ในห้องของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันตกใจหน้าถอดสี ส่งข้อความว่า ‘อย่าๆ อย่าไปที่ห้องข้า อย่าไปรบกวนนาง…’
ปฏิกิริยาของเขารุนแรงมาก กำลังหวั่นเกรงอะไรหรือเปล่า กลัวว่าข้าจะเข้าไปในห้องเขาและเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น เช่น ศิษย์พี่หญิงสำนักโหราจารย์ที่เพิ่งบรรเลงเพลงรักกันนอนอยู่บนเตียง
หลี่เมี่ยวเจินคิดเพ้อเจ้อ
หมายเลขสาม ‘ตอนนี้สถานะของนางมั่นคงมาก หากไม่มีใครรบกวน จะไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นชั่วคราว หากเจ้าเข้าไปในห้อง นางจะเกิดปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกและจะเกิดวิกฤตมากมายขึ้นในขณะนั้น’
ขณะที่พูด สวี่ชีอันพึมพำ ข้าเก็บดาบไท่ผิงไว้ในหนังสือปฐพีแล้ว เพื่อไม่ให้จู่ๆ มันก็ไม่ถูกชะตากับจงหลีอีก
หมายเลขสี่ ‘เหมือนเหตุการณ์ที่พวกเราไปตามหาลี่น่าในตอนนั้นหรือ’
ฉู่หยวนเจิ่นนึกถึงตอนไปหาลี่น่าที่ยงโจว เมื่อกระบี่บินร่อนลง จงหลีก็หายตัวไป หาอยู่นานมากถึงพบ ตอนนั้นนางขดตัวอยู่ในโพรงไม่ขยับเขยื้อน
เหตุผลคือ หากนางซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งจะปลอดภัยชั่วคราว ตราบใดที่นางไม่ขยับเขยื้อน ความปลอดภัยก็จะยืดเวลาออกไปนานยิ่งขึ้น และหากนางออกจากโพรง วิกฤตมากมายก็จะเกิดขึ้น
‘เมื่อนึกถึงวันที่จงหลีเกือบถูกดาบไท่ผิงแทงตาย สำลักขนมของสวี่หลิงอินตายและถูกตนสลายวิญญาณ…’ หลี่เมี่ยวเจินเชื่อคำแก้ตัวของสวี่ชีอัน
หมายเลขสาม ‘นอกจากนี้ จงหลีเคยพูดว่า ชีพจรมังกรเป็นการรวมตัวกันของโชคชะตาของประเทศ แม้แต่ท่านโหราจารย์ ก็ไม่อาจควบคุมได้ง่ายๆ ข้าไม่คิดว่าจงหลีจะเข้าใจเรื่องชีพจรมังกรลึกซึ้งอะไร แทนที่จะพูดเรื่องนี้ สู้คิดว่าต่อไปจะรับมืออย่างไรดีกว่า ด้านในถ้ำมีข้อห้าม แม้แต่ข้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย’
กลุ่มแชทหนังสือปฐพีเงียบไปครู่หนึ่ง หมายเลขหนึ่งส่งข้อความว่า ‘เหตุใดพวกเราต้องไปล่ะ’
สวี่ชีอันเอะใจ ‘เจ้าจะบอกว่า ให้บอกเรื่องนี้กับท่านโหราจารย์หรือ’
หมายเลขหนึ่ง ‘หรือไม่ก็ราชครู’
ยอดเยี่ยม เพดานพลังต่อสู้ของเมืองหลวงคือท่านโหราจารย์ ต่อมาคือลัทธิเต๋าขั้นสอง ลั่วอวี้เหิงผู้ทะลวงผ่านช่วงหายนะได้ หากพวกเขาเข้ามายุ่งเกี่ยว เช่นนั้นเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้สมองของตัวเองเลย
สวี่ชีอันปลื้มปีติ ตอนแรกเขาไม่ได้นึกถึงวิธีนี้ หลักๆ เพราะความเคยชินในอาชีพผูกมัดเขา
ไม่ว่าจะเป็นตำรวจในชาติก่อน หรือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในชาตินี้ บทบาทล้วนเป็นผู้นำจัดการปัญหา ดังนั้นเมื่อพบเจอสถานการณ์เดียวกัน เขาจึงคิดจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนโดยไม่รู้ตัว
หมายเลขสี่ ‘อืม หากใต้ดินมีเพียงชีพจรมังกรกับเหิงหย่วน เช่นนั้นท่านโหราจารย์กับราชครูไปแล้วจะทำอะไรได้ แต่ลองดูก็ไม่เป็นไร’
เมื่อคุยธุระเสร็จ หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความถามว่า ‘ฉู่หยวนเจิ่น พวกเจ้าจะถึงชายแดนทางเหนือในอีกสองวัน ใช่หรือไม่’
หมายเลขสี่ ‘กองทัพมาถึงฉู่โจวแล้ว’
หมายเลขสาม ‘เร็วเช่นนี้เชียว’
หมายเลขสี่ ‘แน่นอนว่าความเร็วของเรือรบนั้นเร็วกว่าเรือหลวงทั่วไป ความคล่องแคล่วและรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการทำสงคราม ข้าจะปกป้องสวี่ฉือจิ้วเอง วางใจเถิด’
หมายเลขสาม ‘ขอบคุณมาก’
ข้าอยากพูดว่า สามารถปล่อยให้เอ้อร์หลางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสม แต่ก็ยั้งไว้ สนามรบเกิดการพลิกผันได้ตลอด เรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้สึกว่าสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้จริงๆ
แต่พูดไม่ได้ว่าจะเสียชีวิตทันที
คำพูดเช่นนี้เหมาะจะใช้ในสถานการณ์ที่ข้างกายสวี่เอ้อร์หลางมียอดฝีมือขั้นสามปกป้องและไม่มีทางพลาด
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยมาที่หอดูดาว เขาผูกมันไว้กับราวบันไดหินอ่อนสีขาวและเข้าไปในหอดูดาวเพียงลำพัง
ฉู่ไฉ่เวยไม่อยู่ที่สำนักโหราจารย์ หยางเชียนฮ่วนหายตัวไปนานมากแล้ว สวี่ชีอันทำได้เพียงไปหา ‘คนบ้าวิทยาศาสตร์’ แห่งต้าฟ่ง ‘โปรแกรมเมอร์ผู้หามรุ่มหามค่ำ’ แห่งสำนักโหราจารย์ ซ่งชิงผู้หมกมุ่นกับการเล่นแร่แปรธาตุ
ซ่งชิงเป็นคนรักเดียวใจเดียว จุดนี้เห็นได้จากรอยคล้ำใต้ตาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“คุณชายสวี่มาได้อย่างไร ในที่สุดก็มีเวลามาชี้แนะเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุแล้วหรือ” ซ่งชิงยินดีปรีดาและกางแขนออกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากกอดกัน สวี่ชีอันพินิจพิจารณาซ่งชิงและกล่าวว่า “ระยะนี้ศิษย์พี่ดูไม่ค่อยมีความสุข”
ความหดหู่ของคนบ้าการเล่นแร่แปรธาตุฉายอยู่บนใบหน้า
เมื่อซ่งชิงได้ยิน เขาก็ถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “นี่ไม่ใช่การทำสงครามแล้ว ราชสำนักต้องการให้สำนักโหราจารย์ปรับแต่งอาวุธเวทมนตร์และเสริมกำลังยุทโธปกรณ์ งานที่ซ้ำซากจำเจเช่นนี้เป็นการดูถูกอัจฉริยะเช่นข้า”
ไม่เพียงแค่อัจฉริยะเช่นเจ้าเท่านั้น แต่เป็นบุคคลที่เกลียดงานสายการผลิต…สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “ด้านยุทโธปกรณ์ ตามหลักแล้วจำนวนคลังยุทโธปกรณ์ของราชสำนักคงไม่น้อยเลยทีเดียว”
ซ่งชิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ต้าฟ่งไม่มีสงครามใหญ่มาเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว ยุทโธปกรณ์ขาดการดูแลและรักษา นอกจากนี้ สิ่งที่สำนักโหราจารย์ผลิตออกมา ราคาไม่ใช่ถูกๆ สำหรับบางคน นี่เป็นวิธีหาผลกำไรที่ดีที่สุด เช่น เจ้ากรมกรมทหารในตอนนั้น เช่น ฝ่าบาทผู้มียาเม็ดใหญ่ทุกฤดูกาลของพวกเรา”
ด้านการทุจริต ต้าฟ่งฟอนเฟะจนถึงกระดูกแล้ว แม้แต่สมุหราชเลขาธิการหวาง ก็ถูกบังคับให้รับสินบน แม้แต่เว่ยกง เวลาส่วนใหญ่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการทุจริตของลูกน้องกับขุนนาง…สวี่ชีอันส่ายหน้า
ต่อหน้าอิทธิพลพลุกพล่าน แม้แต่เว่ยเยวียนผู้น่าทึ่งกับสมุหราชเลขาธิการหวางผู้ฉลาดหลักแหลมก็ไม่อาจต้านกระแสน้ำด้วยตัวคนเดียวได้
ด้วยเหตุนี้เว่ยเยวียนถึงเน้นย้ำคำว่า ‘วางตัวให้สำรวม’ กับเขาในตอนนั้น
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วันนี้ข้ามาเยี่ยมท่านโหราจารย์ มีเรื่องสำคัญต้องรายงานท่าน” สวี่ชีอันกล่าว
“ฮึ!”
ซ่งชิงแค่นเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ “ท่านอาจารย์โหราจารย์ละเลยข้า ข้าไม่อยากพบเขา”
คนบ้าวิทยาศาสตร์แน่มาก…สวี่ชีอันชื่นชมในใจ
แต่ด้วยคำขอของสวี่ชีอัน ซ่งชิงจำใจตอบตกลง ขึ้นไปแท่นแปดทิศเพื่อไปพบท่านโหราจารย์ ครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาอย่างมืดมนและสะบัดแขนเสื้อ
“บังเอิญเสียจริง ท่านอาจารย์ไม่อยากพบข้าและไม่อยากพบเจ้า จึงให้ข้าไสหัวกลับมา”
ท่านโหราจารย์ไม่อยากพบข้า…สวี่ชีอันถอนหายใจเงียบๆ และเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”
“อย่าเพิ่งไป ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะมา ข้ามีความคิดมากมายอยากคุยกับเจ้า”
ซ่งชิงดึงสวี่ชีอันไปที่ห้องเล่นแร่แปรธาตุของเขา หลังจากนั่งลง เขาก็เอ่ยว่า “เจ้ารอสักครู่ ข้าจะให้เจ้าดูของสองสามอย่าง”
ซ่งชิงถือจานมา บนจานมี ‘ผลไม้’ รูปร่างประหลาดวางอยู่ แตงโมขนาดเท่ากำปั้น ลูกพีชขนาดเท่าแตงโม แอปริคอทที่มีขนงอกและพวงองุ่นที่โปร่งใสแวววาว ภายในองุ่นมีดวงตา
“ข้าศึกษาวิชาต่อกิ่งที่เจ้าสอนข้าอย่างละเอียด หลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้จึงทดลองอย่างขะมักเขม้น แม้ว่าจะมีความคืบหน้าครั้งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ยังมีปัญหาเล็กน้อย…”
ซ่งชิงชี้แตงโมและพูดว่า “ข้าต่อกิ่งลูกพีชกับแตงโม บางครั้งผลลัพธ์ก็ได้แตงโมขนาดเท่าลูกพีช บางครั้งก็ได้ลูกพีชขนาดเท่าแตงโม สามารถกินได้ ทว่ารสชาติไม่ถูกปากเท่าไหร่ ผลผลิตก็ต่ำ คุณชายสวี่อยากลองชิมหรือไม่”
“ไม่ๆๆ…”
สวี่ชีอันรีบร้อนโบกมือ สายตามองตรง
“ส่วนแอปริคอท ข้าต่อกิ่งต้นแอปริคอทกับนก บนหลังของนกมีต้นแอปริคอตต้นเล็กๆ งอกขึ้นมา สามารถออกผลได้ แต่ไม่สามารถกินได้ ความตั้งใจเดิมของข้าคือทำให้แอปริคอทมีรสเนื้อ ส่วนองุ่น อืม ข้ายังไม่เข้าใจว่าข้างในองุ่นมีดวงตาโตงอกขึ้นมาได้อย่างไร อาจเป็นเพราะเถาองุ่นงอกขึ้นมาจากในดวงตาของม้าที่ตายแล้ว…”
ข้าคิดมาตลอดว่า ในบรรดาลูกศิษย์แปลกประหลาดของท่านโหราจารย์ ซ่งชิงบ้าและอันตรายที่สุด…สวี่ชีอันแสร้งกล่าวชม “ไม่เลว จริงสิ การสร้างร่างกายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ ซ่งชิงมีความสุขมากและกล่าวว่า “ข้ารู้ข้อเรียกร้องของเจ้าแล้ว เพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณชายสวี่ที่มีต่อพวกเรา เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจึงตั้งใจจะสร้างหญิงงามอันดับสองแห้งต้าฟ่งตามรูปลักษณ์ของพระมเหสีให้กับเจ้า น่าเสียดายที่พวกเราไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ของพระมเหสี ต่อมาแม่นางฝูเซียงก็ป่วยเสียชีวิต…เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจึงตัดสินใจจะสร้างแม่นางฝูเซียงออกมา แต่ช่างน่าเสียดาย พวกเรายังไม่เคยเห็นแม่นางฝูเซียง”
ใช่สิ คนบ้าวิทยาศาสตร์เช่นพวกเจ้าจะสนใจสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเช่นผู้หญิงได้อย่างไร พวกนางก็เป็นแค่เมฆลอย…ในหัวของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยช่องโหว่
ซ่งชิงกล่าวต่อ “แน่นอนว่าคนที่พวกเราคุ้นเคยมากที่สุดคือศิษย์น้องไฉ่เวย แต่หลังจากเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหารือกัน ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า พวกบ้ากามเช่นคุณชายสวี่ไม่คู่ควรกับศิษย์น้องไฉ่เวย”
“???”
สวี่ชีอันมองเขาอย่างงุนงง
“อ้อ ข้าพูดค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีเจตนาอื่น” ซ่งชิงรีบร้อนอธิบาย
ไม่มีเจตนาอื่น เพียงแค่ด่าทอข้าเท่านั้น…สวี่ชีอันคิดในใจ
“แต่พวกเราสร้างผู้ชายออกมาหลายคน”
เจ้าอยากจะพูดอะไร สวี่ชีอันมองเขาและเอ่ยเสียงเรียบ “ศิษย์พี่ซ่ง ข้ายังมีธุระอีก ข้าไปก่อนนะ”
โดยไม่สนใจการรั้งของซ่งชิง เขาจากไปอย่างรวดเร็ว
…
หลังออกจากหอดูดาวของสำนักโหราจารย์ สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยพลางครุ่นคิดท่าทีของท่านโหราจารย์อย่างหดหู่
ในช่วงเวลาสำคัญนี้ปิดประตูไม่รับแขก เห็นชัดว่าท่านโหราจารย์ไม่อยากจัดการ หรือเฒ่าเหรียญเงินปากผียังมีเป้าหมายอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่หมายจะลงมือ
ส่วนเป้าหมายอะไร แม้แต่เว่ยเยวียนก็มองไม่เห็นการมีอยู่ของสุดยอดโหรผู้นี้ สวี่ชีอันจึงไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
โชคดีที่เขายังมีขาเรียวงามของลั่วอวี้เหิงให้กอด
เมื่อกลับถึงจวนสกุลสวี่ จงหลีที่วันนี้แยกตัวออกมาและปลอดภัยดีมีความสุขเล็กน้อย
“อย่าขึ้นไปบนหลังคา!”
สวี่ชีอันเตือน จากนั้นก็หยิบดาบยันต์ออกมา ควานเข้าไปในจิตเดิมและถ่ายโอนเสียง “ราชครูๆ ข้าเองสวี่ชีอัน”
ไม่กี่อึดใจต่อมา แสงสีทองที่คนธรรมดามองไม่เห็นก็ส่องลงมา ทะลุผ่านหลังคา ในแสงสีทอง ราชครูหญิงผู้มีเรือนร่างสูงเพรียวและงดงามยืนอยู่
ศีรษะสวมมงกุฎดอกบัว สวมเสื้อคลุมขนนก ใบหน้าอันเย็นชาราวกับเทพธิดาผู้สูงศักดิ์ มองอีกครั้ง ราวกับสตรีสูงวัยผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เฝ้ารอพระคุณและความเมตตา
หลังจากหวงเซียนเอ๋อร์ สวี่ชีอันที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงอีกก็เหลือบมองไปด้านข้าง ตั้งสติ ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสีหน้าปกติ
“ราชครู ข้ามีเรื่องจะหารือกับท่าน”
คำว่าหารือ ดูไม่รู้เรื่องรู้ราวเล็กน้อย แต่ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจ พยักหน้าเล็กน้อยและรอเขาพูดต่อ
“ข้าสอบจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้วพบเบาะแสบางอย่าง…”
สวี่ชีอันสาธยายออกมา เขาอธิบายเรื่องชีพจรมังกร ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้างใต้จวนผิงหย่วนป๋อและสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อคืนนี้อย่างละเอียด
ลั่วอวี้เหิงฉลาดมาก นางเข้าใจความหมายของเขา ริมฝีปากแดงเผยอขึ้น “เจ้าอยากให้ข้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้และหวังว่าข้าจะช่วยเจ้าช่วยเหลือคนหรือ”
สวี่ชีอันพาสาวงามเข้ามานั่ง ทำหน้าหนาพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าหวังว่าราชครูจะช่วย”
ลั่วอวี้เหิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย นัยน์ตางามมองเขาและเอ่ยติดตลก “ช่วยเจ้าช่วยชีวิตคนและแตกหักกับหยวนจิ่งหรือ”
สวี่ชีอันครุ่นคิด “หยวนจิ่งต้องมีปัญหาแน่ ราชครูลงมือเถิด นี่เป็นการแผ่ขยายความยุติธรรม”
ลั่วอวี้เหิงแค่นเสียงเย็น นัยน์ตาคู่งามฉายแววไม่พอใจและเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าไม่รู้แน่ชัดว่าในชีพจรมังกรมีอะไร จึงขอความช่วยเหลือจากข้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พูดตรงๆ คือเจ้าไม่เคยใส่ใจข้าเลย หากในชีพจรมังกรมีปัญหาก็ช่างเถอะ หากมีเพียงภิกษุถูกกักขังไว้ เจ้าจะให้ข้าจัดการอย่างไร ภายหน้าข้ายังสามารถเป็นราชครูได้หรือไม่ ยังสามารถใช้โชคชะตายับยั้งไฟแห่งกรรมได้หรือไม่ จะเป็นหรือตาย เจ้าก็ไม่สนใจ”
ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของนาง
สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไรอีก เขาครุ่นคิดอยู่นานและถอนหายใจ “ข้าช่างผลีผลามจริงๆ ข้าเพียงแค่คิดว่าราชครูเป็นผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ เป็นผู้แข็งแกร่งไร้ที่ติและเป็นสตรีพิเศษอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง ข้าเทิดทูนท่านหมดหัวใจ”
ลั่วอวี้เหิงชะงักและมองเขาอย่างประหลาดใจ
‘ที่แท้ในใจของเขาก็เทินทูนและชื่นชมข้ามากเช่นนี้เชียว’
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “จนข้าลืมไปว่าราชครูก็มีเรื่องลำบากเช่นกัน นี่ไม่ใช่ความตั้งใจจริงของข้า”
คิ้วของลั่วอวี้เหิงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเล็กน้อยและเอ่ยเสียงเบา “หากอยากให้ข้าลงมือ ไม่ยาก เจ้าต้องหาหลักฐานที่เชื่อถือได้มา ไม่ใช่การคาดเดาและเบาะแสที่เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่”
เมื่อพูดจบ ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ลั่วอวี้เหิงนั่งอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าเขาไม่พูดเสียที คิ้วงามประณีตขมวด “มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่”
หืม ราชครูดูเหมือนไม่ค่อยอยากไป แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อ…สวี่ชีอันสังเกตเห็นบรรยากาศผิดแปลกนี้อย่างรวดเร็ว
หากเป็นเมื่อก่อน แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ส่วนใหญ่ก็จะไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ตัวเองเข้าไปอยู่ในบ่อปลาของลั่วอวี้เหิงแล้ว
หญิงสาวผู้สง่างาม เป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์และเยือกเย็นราวกับภาพวาดผู้นี้พิจารณาเรื่องการบำเพ็ญคู่กับเขาอย่างจริงจัง…
ดังนั้นทางด้านลั่วอวี้เหิง จึงปรารถนาจะติดต่อสื่อสารกับเขามากขึ้น เพื่อจะพิจารณาเขาได้ดียิ่งขึ้น
แต่นางเป็นราชครู ผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ นางไม่สะดวกจะแสดงความกระตือรือร้นอันเกินขอบเขตต่อชายหนุ่ม
ดังนั้นจึงเขินอายเล็กน้อย
เวลานี้ ผู้ชายจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเริ่ม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าข้าคิดถูกหรือไม่ อืม ลองดูก็ไม่เสียหาย…เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เลือกใช้คำพูดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยว่า
“ข้าไม่อาจเดินลึกเข้าไปในชีพจรมังกรได้ อีกทั้งเบาะแสของข้าก็กระจัดกระจาย ไม่ทราบว่าราชครูมีคำแนะนำดีๆ หรือไม่”
ขณะที่คุยกัน เขาแสดงสีหน้าคาดหวังและเทิดทูนออกมา
นี้เป็นการหาหัวข้อให้คนสองคน เพื่อ ‘ทำงาน’ ร่วมกันและเป็นการเพิ่มความรู้สึกมีส่วนร่วมของลั่วอวี้เหิง ทำให้การสืบคดีกลายเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ใช่สวี่ชีอันทำเพียงคนเดียว
ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า ใบหน้าของลั่วอวี้เหิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางรับช่วงต่อพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าบอกว่าใต้ดินของจวนผิงหย่วนป๋อมีค่ายกลเคลื่อนย้ายวิชาพสุธาหลบหนีใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันพยักหน้าและมองนางอย่างใจจดใจจ่อ
สายตาอันเทิดทูนและจดจ่อของเขา ดูเหมือนจะทำให้ลั่วอวี้เหิงค่อนข้างมีความสุข รอยยิ้มตรงมุมปากชัดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คนที่สามารถฝึกวิชาพสุธาหลบหนีสำเร็จได้มีน้อยมาก คนที่สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายโดยมีชีพจรมังกรเป็นฐานได้ก็มีน้อยมาก”
“ในบรรดานั้นเกี่ยวข้องทั้งกับฮวงจุ้ยและค่ายกล นอกจากโหรระดับสูงก็มีเพียงนิกายปฐพีที่ถือครองของวิเศษ หนังสือปฐพีเท่านั้นที่จะทำได้ นี่ก็เป็นเบาะแสหนึ่งไม่ใช่หรือ”
…
ด่านชายแดน
กำลังพลหมื่นนายเดินอยู่ในพื้นที่ราบรกร้าง ไม่ว่าจะทหารม้าหรือทหารราบต่างก็นิ่งเงียบอย่างหนัก
ในขบวนยาวเหยียด สวี่เอ้อร์หลางเคี้ยวผลไม้เชื่อมในปาก เขาหันหัวม้า กระทุ้งท้องม้าเบาๆ แยกตัวออกจากขบวนเล็กน้อยและมองไปยังอาสาสมัครกับทหารราบที่ขนย้ายปืนใหญ่กับหน้าไม้อยู่ด้านหลัง
เขาคิดในใจ ‘หากทหารม้าฝ่ายศัตรูจู่โจมในเวลานี้ คงรื้อถอนปืนใหญ่กับหน้าไม้ไม่ทันการณ์…ดังนั้นการสอดแนมจึงสำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด…’
ทว่าปืนใหญ่กับหน้าไม้เป็นเครื่องจักรสังหารในสนามรบ แต่ก็ทำให้ความเร็วในการเดินทางของกองทัพช้าลงอย่างมาก พูดได้แค่ว่ามีทั้งได้และเสีย การรบทัพจับศึกต้องคำนึงถึงข้อดีกับข้อเสีย เช่น ความได้เปรียบ ภูมิประเทศและอื่นๆ ซึ่งไม่มีสูตรตายตัว…
การวางแผนการรบบนกระดาษกับการรบทัพจับศึกจริงๆ เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน ตั้งแต่มาที่ฉู่โจว เขาก็ทำการสรุปและครุ่นคิดตลอด สมองไม่เคยหยุดนิ่งสักวินาที
‘โชคดีที่เอาผลไม้เชื่อมมาเพียงพอ ทำให้ข้าครุ่นคิดได้อย่างหนักหน่วงและจิตใจไม่เหนื่อยล้า อืม จากคำกล่าวของพี่ใหญ่ น้ำตาลเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวที่สมองสามารถกอบโกยได้…’
กองทัพมาถึงฉู่โจวเมื่อวานนี้ หลังจากพักฟื้นหนึ่งคืนก็ออกเดินทางทันที เพื่อไปรวมพลกับกองทัพของหยางเยี่ยน
หยางเยี่ยนเข้าร่วมสงครามก่อนแล้วและสู้รบทั้งใหญ่และเล็กกับทหารม้าหุ้มเกราะของจิ้งกั๋วหลายครั้ง
…………………………………………