ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 450-2 รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก (2)
บทที่ 450 รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก (2)
“ราชครูช่างมีสายตาที่เฉียบแหลม!”
สวี่ชีอันอวยก่อนหนึ่งประโยค แล้วจึงกล่าววิเคราะห์ “ผู้นำเต๋านิกายปฐพีกับจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความเกี่ยวข้องกันจริง เพียงแต่นี่สามารถชี้ให้เห็นอะไรได้เล่า? ช่วงที่อยู่ฉู่โจว ข้าก็ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
อีกอย่าง ผู้นำเต๋านิกายปฐพีตอนนี้ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น สมองเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายและรังแกหญิงสาว เดิมทีเส้นทางนี้ของเขาไม่จำเป็นต้องสืบก็ได้กระมัง?
ราชครูผู้สง่างามล่มชาติล่มเมือง เหลือบมองเขาเล็กน้อย “การสืบคดีไม่ใช่เรื่องที่เจ้ากำลังดำเนินการอยู่หรือ หากข้าทราบ คงไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปสืบหรอกกระมัง?”
มีเหตุผลยิ่งนัก จนข้าถึงกับกล่าวไม่ออก
ต่อมา ลั่วอวี้เหิงสอบถามเรื่องการบำเพ็ญตนของเขาไม่กี่คำ และชี้แนะการบำเพ็ญพรตกระบี่ใจของเขา หลังจากทราบว่าสวี่ชีอันกำลัง ‘สนใจ’ ด่านนี้อยู่ ลั่วอวี้เหิงไตร่ตรองอยู่นาน กล่าว
“การเดินหมากก็คือการเดินหมาก จิตก็คือจิต ไม่มีความหมาย สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือความเข้าใจของจิต ไม่ใช่ผสานรูปแบบ และวางลำดับความสำคัญสลับกัน”
แต่ข้าไม่มี ‘จิต’ นี่ หากการกินฟรีขึ้นอยู่กับจิต ตอนนี้ข้าคงอยู่จุดสูงสุดของชั้นที่สี่แล้วน้าเล็ก…สวี่ชีอันคอตก
“ยิ่งเร่งยิ่งช้า คนรอบข้างต้องใช้เวลาหลายปี หรือมากกว่าสิบปีกว่าจะเข้าใจ เจ้าบำเพ็ญตนแค่หนึ่งเดือน” ลั่วอวี้เหิงกล่าวตักเตือน “ไม่ต้องรีบร้อน”
หยุดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวเสริมอีกครั้ง “แต่ข้าคาดหวัง ภายในสองปีนี้ เจ้าจะบำเพ็ญจิตจนสำเร็จ”
หืม? เหตุใดต้องภายในสองปี มีความสำคัญอย่างไรหรือ?…สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าจะสงบใจลง”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ไม่กล่าวอะไรอีก แปลงกายแสงสีทองและหลบหนีไป
แต่นางไม่ได้กลับไปยังอารามรัตนะ หักเลี้ยวกลางอากาศ ลงสู่ลานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากบ้านสกุลสวี่มากนัก
ในลานเล็กเต็มไปด้วยดอกไม้สดหลากหลายสีสัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวานเยิ้ม ฮูหยินที่ท่าทางธรรมดาคนหนึ่ง เอนตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้วยความสบายใจ กำลังกินส้มที่สุกไว ถึงกระนั้นหน้าตากลับบูดเบี้ยว แต่ก็ยังทนต่อความเปรี้ยวปากอย่างไม่ยอมตาย
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่อีกแล้ว หากโดนคนอื่นจับได้จะทำเยี่ยงไร?” มู่หนานจือกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“นอกจากท่านโหราจารย์ ไม่มีใครสามารถมองเห็นข้าได้” ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างราบเรียบ “หากเจ้าคิดว่าท่านโหราจารย์ปรารถนาในความงามของเจ้า เช่นนั้นข้าก็คงไม่มา”
“เช่นนั้นถือว่าข้ายังมีญาณทัสนะอยู่” มู่หนานจือส่งเสียงอืมอืม
ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจนาง เดินตรงไปยังถังน้ำ เหลือบมองรากบัวเก้าสีที่เติบโตเป็นอย่างดี พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ช่วงนี้ใช้ชีวิตได้ไม่เลว” นางเคลื่อนสายตา พินิจพระมเหสี
“รู้สึกว่าเอวจะหนาเสียแล้ว” พระมเหสีหยิกไปที่เอวเล็กของตนเอง กล่าวอย่างโมโห “ต้องโทษเจ้าโจรหมาสวี่ชีอันนั่น มักจะพาข้าออกไปกินมื้อใหญ่อยู่ตลอด”
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะ เมื่อก่อนตอนที่นางเป็นพระชายาของไหวอ๋อง อาหารอันโอชะล้วนมีพร้อมทุกอย่าง นางกลับไม่ชอบกิน แต่ตอนนี้กลายเป็นฮูหยินน้อยธรรมดาในตลาด กินอาหารพื้นๆ การเจริญอาหารกลับดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ติดอยู่ในจวนอ๋องเป็นเวลายี่สิบปี ในที่สุดนางก็เป็นอิสระแล้ว ความเปล่งปลั่งบนใบหน้าก็ต่างออกไป
นางในตอนนี้ หากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา จะต้องเป็นหญิงสาวที่น่าประทับใจที่สุดในใต้หล้าเป็นแน่
ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หากสวี่ชีอันออกจากเมืองหลวง เจ้าจะตามเขาไปหรือไม่?”
พระมเหสีรีบส่ายหน้า ปฏิเสธ “แน่นอนว่าไม่ไปอยู่แล้ว ข้ามีสิทธิ์อะไรที่จะต้องติดตามเขา ข้าไม่ใช่อนุภรรยาตัวน้อยของเขาเสียหน่อย ข้าเพียงแค่ยืมเงิน และอาศัยบ้านเขาชั่วคราวก็เท่านั้น”
ลั่วอวี้เหิงพึงพอใจกับคำตอบนี้มาก กล่าวราบเรียบ “จำคำกล่าวของเจ้าไว้ หากเจ้ากลับคำ ข้าจะส่งเจ้าขายให้แก่หอคณิกาเสีย”
มู่หนานจือกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าจะทำอะไรนะ!”
ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจนาง
พระมเหสีโยนส้มลูกหนึ่งออกไป “ให้เจ้าชิม วันนี้ข้าไปซื้อมาจากตลาด แพงทีเดียว”
ลั่วอวี้เหิงโบกมือ ส่งส้มกลับไป ไม่มองแม้แต่นิด “ข้าไม่กิน”
พระมเหสีก็กล่าว “จุ๊ๆ ช่างอิจฉาหญิงสาวที่ไม่ต้องเข้าห้องน้ำเช่นเจ้าเสียจริง”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “การพูดจาของเจ้าตอนนี้ ดูเหมือนฮูหยินในตลาดที่หยาบคายคนหนึ่ง”
พระมเหสีหัวเราะแหะแหะ
…
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันกำลังไตร่ตรองว่าจะค้นหาจุดอ่อนของผู้นำเต๋านิกายปฐพีได้อย่างไร
“ผู้นำเต๋านิกายปฐพีจะสืบไม่ได้อย่างแน่นอน ก่อนอื่นข้าไม่ทราบว่านิกายปฐพีอยู่ที่ใด หากทราบก็ไปไม่ได้ นักบวชเต๋าจินเหลียนอาจรายงานข้าให้ส่งหัวคนไป แต่ตอนนี้ ชีพจรมังกรด้านนั้นจะไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะอันตรายเกินไป ไม่ได้รับผลประโยชน์อันใด
“บันทึกประจำวันก็อ่านหมดแล้ว ไม่มีเบาะแสสำคัญอะไร ข้าควรสืบอย่างไร? ไม่สิ ข้าต้องการสืบอะไรอยู่กันแน่?”
สวี่ชีอันทบทวนเบาะแสและลู่ทางความคิดของตนเอง ครั้งแรก เขาสืบจักรพรรดิหยวนจิ่งเพราะอีกฝ่ายสนับสนุนอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ การให้ไม่สมดุลกับการได้รับ ปัญหานี้มีปัญหายิ่ง
สืบเป็นเวลานาน จักรพรรดิหยวนจิ่งมีปัญหาใหญ่จริงๆ แต่มีปัญหาอะไร สวี่ชีอันไม่มีคำตอบและทิศทางที่ชัดเจน
“สิ่งที่ข้าต้องทำคือไขความลับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ยาวิญญาณ การค้ามนุษย์ ชีพจรมังกร สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นเบาะแส แต่ขาดไปเส้นหนึ่ง ที่จะเชื่อมโยงพวกเขาให้ต่อกัน ในยาวิญญาณ มีเงาของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ขณะเดียวกันชีพจรมังกรก็มีเงาของผู้นำเต๋านิกายปฐพีเช่นเดียวกัน…
“ความคิดของลั่วอวี้เหิงถูกต้องแล้ว บางทีผู้นำเต๋านิกายปฐพีอาจจะเป็นเส้นเชื่อมโยงของทุกอย่างเส้นนี้ก็เป็นได้ แต่ข้าจะค้นหาจุดเริ่มต้นได้อย่างไร?
“ข้าเองก็กำลังเข้าใจผิด หากต้องการตามหาจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จะต้องเริ่มต้นจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีเอง ก็สามารถเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาเคยทำได้ ไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียหน่อย”
ทันใดนั้นเขาก็รีบออกจากจวน ขี่แม่ม้าน้อยและรีบตรงไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที
เมื่อมาถึงปากประตูที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็ทิ้งบังเหียน และสะบัดเสื้อคลุม เข้าไปยังที่ทำการเหมือนกลับบ้าน
ทหารที่เฝ้าประตูก็ไม่ได้ห้าม แถมยังหยิบบังเหียนดูแลม้าให้เขาอีก
หลังจากเข้ามาที่ทำการ มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวจอมหื่นกามสองคนนั่น บางทีอาจจะไปเดินลาดตระเวน และไปหอคณิกาเพื่อฟังดนตรีแล้ว
ยังดีหลี่อวี้ชุนฆ้องเงินที่เป็นคนดีมีความรับผิดชอบ เมื่อเห็นสวี่ชีอันมาเยี่ยม หลี่อวี้ชุนดีใจยิ่ง ทั้งดึงเขาเข้าไปด้านในอย่างดีใจ ก่อนจะมองผ่านเขาไปด้านหลัง
“วางใจ แม่นางมอมแมมนั่นไม่ได้ตามข้ามา” สวี่ชีอันเข้าใจท่านนี้เป็นอย่างดี
“ไม่ อย่ากล่าว อย่ากล่าวออกมา…”
หลี่อวี้ชุนใช้แรงโบกมือ “จนถึงตอนนี้ เมื่อข้านึกถึงนาง ยังคงขนลุกไปทั้งตัวอยู่เลย”
ดูเหมือนจงหลีจะทิ้งความเจ็บปวดอย่างหนักในใจให้แก่พี่ชุนเสียแล้ว บาดแผลนั้นใหญ่เท่ากับห้องนอนสองห้องและห้องโถงหนึ่งห้อง…สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวเรื่องไร้สาระ เสนอจุดประสงค์การมาเยี่ยมของเขาออกไป
“หัวหน้า ข้าอยากจะดูคำสารภาพของพ่อค้าเร่ของผิงหย่วนป๋อเมื่อตอนนั้นเสียหน่อย”
“ได้ ข้าจะให้คนไปหยิบมาให้เจ้า” หลี่อวี้ชุนไม่ได้ถามอะไรมาก กวักมือเรียกเจ้าพนักงานมา สั่งให้เขาไปหยิบที่คลังเอกสาร
สำนวนคดีประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องให้แม้กระทั่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปหยิบเอง แค่ส่งเจ้าพนักงานไปก็เพียงพอแล้ว
ทั้งสองนั่งลงดื่มชาและพูดคุยกัน หลี่อวี้ชุนกล่าว “จริงสิ กว่างเสี้ยวจะแต่งงานสิ้นปีนี้ ฤกษ์ยามก็ได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว”
“เรื่องดีนี่!”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา ในใจกล่าวในที่สุดจูกว่างเสี้ยวก็สามารถหลุดพ้นจากซ่งถิงเฟิงสหายเลว และออกจากถนนเส้นเล็กที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งอย่างไม่มีวันหวนกลับได้เสียที
ในระหว่างไปสืบคดีที่อวิ๋นโจวเมื่อปีก่อน จูกว่างเสี้ยวเคยบอกว่ารอหลังจากคดีที่อวิ๋นโจวจบลง จะกลับมาเมืองหลวงเพื่อแต่งงานกับคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็ก
ข้าต้องจ่ายเงินอีกแล้วหรือนี่…ภายใต้รอยยิ้มของสวี่ชีอัน เก็บซ่อนการพูดจาโผงผางตามสัญชาตญาณ ที่มาจากอดีตชาติไว้
จะว่าไปแล้ว เรื่องที่น่าเสียเปรียบที่สุดของชาติที่แล้วก็คือไม่ได้แต่งงาน เพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้น เพื่อนสมัยเด็กต่างแต่งงานกันไปทีละคน ต้องจ่ายเงินแล้วจ่ายเงินเล่า ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้กลับไปแล้ว
คิดแล้วก็ปวดใจ
ไม่นาน เจ้าพนักงานก็กลับมาพร้อมกับสำนวนคดีกองหนาของกลุ่มพ่อค้าเร่
หลังจากผิงหย่วนป๋อเสียชีวิต หัวโจกและลูกกระจ๊อกของกลุ่มพ่อค้าเร่ส่วนใหญ่ต่างถูกจับไปหมดแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่กำลังหลบหนีอยู่เท่านั้น คนที่อยู่ในคุกเหล่านั้นถูกลากไปลงโทษตัดหัวที่ไช่ซื่อโข่วตั้งแต่แรกแล้ว
เหลือเพียงคำสารภาพในช่วงพิจารณาคดีเท่านั้น
สวี่ชีอันเลื่อนผ่านคำสารภาพของลูกกระจ๊อกเล็กๆ ไป และให้ความสำคัญกับการอ่านคำสารภาพของเหล่าหัวโจกส่วนน้อยในองค์กร
หัวหน้าที่อยู่ภายในองค์กรเป็นชายท่านหนึ่งที่ชื่อ ‘เฮยเสีย’
สถานะของเฮยเสียช่างลึกลับ ในตอนที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังไม่ทันได้จับตัวคนคนนี้ เหิงหย่วนก็ฆ่าผิงหย่วนป๋อตาย และก่อกวนแผนการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
สำหรับเหล่าหัวโจกเล็กๆ นี่ พวกเขาไม่ทราบแม้กระทั่งว่าตนเองกำลังรับใช้ให้แก่ผิงหย่วนป๋ออยู่ มีหน้าที่เพียงหลอกล่อเด็กและหญิงสาวที่อยู่ตามลำพัง แม้กระทั่งชายหนุ่มที่โตแล้ว
ชายถูกขายไปเป็นทาสและกรรมกร ส่วนหญิงสาวถูกขายให้กับหอคณิกา หรือไม่ก็เหลือไว้ให้เหล่าพี่น้องในองค์กรหยอกเย้าเล่น
สำหรับเรื่องที่ผิงหย่วนป๋อแอบส่งคนไปยังพระราชวัง ยิ่งไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
“ด้วยฐานะของผิงหย่วนป๋อ จะต้องไม่ออกหน้าเพื่อติดต่อกับองค์กรพ่อค้าเร่ด้วยตนเองอย่างแน่นอน เฮยเสียคนนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังไม่ทันได้จับเขา เหิงหย่วนก็ตามฆ่าผิงหย่วนป๋อถึงจวนแล้ว…”
สวี่ชีอันถอนหายใจ “งูเหลือมที่อยู่ในเรื่องเล่าของฝูเซียง จะหมายถึงเฮยเสียคนนี้หรือไม่? เขาทราบว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังสืบตนเองอยู่ ด้วยเหตุนี้หลังจากแอบรายงานจักรพรรดิหยวนจิ่ง และได้รับเจตนารมณ์ของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว ก็นำข้อมูลเปิดเผยให้แก่เหิงหย่วน ยืมมือฆ่าของเหิงหย่วนฆ่าปิดปาก?”
การคาดเดานี้แวบเข้ามาในความคิด
นั่นเป็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น จุดจบของเฮยเสีย หากไม่หลบหนีออกจากเมืองหลวงไปไกล ก็ถูกฆ่าปิดปากแล้ว
คนคนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องสืบ
สวี่ชีอันอ่านคำสารภาพต่อไป อ่านไปอ่านมา รายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา กลับชักนำความสนใจของเขา
มีคำสารภาพบางส่วน ออกโดยหัวโจกเล็กๆ ท่านหนึ่งที่ชื่อ ‘เตาเหยีย’ ในคำสารภาพของเตาเหยีย กล่าวถึงช่วงที่ตนเองเข้าสู่วงการ และติดตามผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ชื่อลู่เหยีย
ลู่เหยียคนนี้ เรียกตนเองในองค์กรพ่อค้าเร่ว่าหยวนเหล่า เมื่อตอนที่เตาเหยียเป็นหนุ่มก็ติดตามไปกับเขาแล้ว เมื่อลู่เหยียแก่ตัวลงก็ค่อยๆ ห่างออกมา คอยสนับสนุนคนสนิทที่เชื่อใจท่านนี้ขึ้นตำแหน่ง
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของข้อมูลบรรทัดนี้คือ เตาเหยียเริ่มต้นเข้าสู่วงการเมื่ออายุยี่สิบปี จนถึงตอนนี้อายุสี่สิบสามแล้ว
ก่อนจะเป็นเตาเหยีย ก็ยังมีลู่เหยีย นั่นหมายความว่า การมีอยู่ขององค์กรพ่อค้าเร่กินเวลาอย่างน้อยสามสิบปี
องค์กรพ่อค้าเร่ถือกำเนิดขึ้นอย่างน้อยสามสิบปีแล้ว หากเปรียบเทียบกัน จักรพรรดิหยวนจิ่งเองก็บำเพ็ญธรรมมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบเอ็ดปี…สวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ
“ครอบครัวของลู่เหยียคนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
เขานำคำสารภาพส่วนนั้นส่งให้หลี่อวี้ชุนดู
หลี่อวี้ชุนส่ายหน้า “คดีนี้ข้าไม่ได้จัดการ ไม่ค่อยทราบแน่ชัด ข้าช่วยเจ้าถามแล้วกัน”
เขาหยิบคำสารภาพ ลุกจากไป หลังจากประมาณหนึ่งเค่อ หลี่อวี้ชุนก็กลับมา กล่าว
“ลู่เหยียเสียชีวิตเพราะป่วยตั้งนานแล้ว ตามกฎหมายของต้าฟ่ง หากกระทำความผิดค้ามนุษย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของสถานการณ์ถึงจะตัดสินลงโทษเป็นการแล่เนื้อเถือหนัง ตัดศีรษะ เนรเทศ หรือลงโทษด้วยการทุบตี บิดาเสียชีวิตบุตรชดใช้ ความผิดชั้นสอง
“ความผิดของลู่เหยีย ต้องได้รับการตัดสินให้แล่เนื้อเถือหนัง เนื่องจากสาเหตุการป่วยจนเสียชีวิต บุตรชายของเขาต้องชดใช้แทน ความผิดชั้นสอง ตอนนี้ได้เนรเทศไปชายแดนแล้ว ภรรยาที่แต่งงานครั้งแรกของลู่เหยียยังมีชีวิตอยู่”
สวี่ชีอันดื่มน้ำใบชาแห้งหนึ่งอึก ลุกขึ้นพลางกล่าว “พาข้าไปหานาง”
…
แม้ลู่เหยียจะเก็บรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบจนนับไม่ถ้วนในช่วงที่อายุยังน้อย แต่ก็ทราบดีว่าอาชีพของตนเอง ‘อันตราย’ จึงเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้แต่เนิ่นๆ ซื้อบ้านหลังหนึ่งในเมืองชั้นใน และเก็บทรัพย์สินไว้ไม่น้อย
หลังจากบุตรชายของเขาถูกเนรเทศ ภรรยาที่แต่งครั้งแรกของลู่เหยียก็พาครอบครัวเข้าไปอยู่ในจวน เดิมทียังคงสามารถใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีกินดี
ทำอย่างไรได้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างเป็นพวกที่ต่อรองยาก ครอบครัวของคนค้ามนุษย์ที่กรรโชกบ่อยๆ ก็บีบคั้นเอาเงินผิดกฎหมายของพวกเขามาทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของลู่เหยียก็ย้ายกลับไปเมืองหลวงชั้นนอกอีกครั้ง ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในจวนเล็กแห่งหนึ่งที่เมืองเป่ย มีหลานชายหนึ่งคน ลูกสะใภ้หนึ่งคน และย่าหนึ่งคน
หลี่อวี้ชุนพาสวี่ชีอันไปเคาะประตูที่ลานเล็ก คนที่มาเปิดประตูคือฮูหยินที่ดูท่าทางอ่อนแอแต่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง
นางกำลังซักเสื้อผ้า สวมกระโปรงผ้าทอหยาบๆ ดูธรรมดายิ่งนัก
ในลานมีเด็กคนหนึ่งกำลังขี่ม้าไม้ไผ่ และฮูหยินผู้เฒ่าที่ผมขาวหยักศกคนหนึ่งโรยรำข้าวเลี้ยงไก่อยู่
เมื่อเห็นหลี่อวี้ชุนที่สวมชุดต่างจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินน้อยสีหน้าก็ดูเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง ภายหลังทำท่ายอมจำนน ตัวสั่นไปทั้งตัว จากตอนแรกปากจัดยิ่งกลับทิ้งที่ตักขยะ ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน
“พลทหารรังแกคน พลทหารมารังแกคนอีกแล้ว พวกเจ้าจะบีบคั้นข้าจนตายก็ได้ ต่อให้ข้าตายไป ก็จะต้องทำให้คนที่ยังอยู่รู้แจ้งเห็นจริงถึงใบหน้าสารเลวของพวกเจ้ากลุ่มนี้…”
นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อฮูหยินสมัยยังสาวก็เป็นคนที่ถึกทน ไม่น่าแปลก ที่จะเป็นถึงภรรยาที่แต่งงานครั้งแรกของหัวโจกค้ามนุษย์
หลี่อวี้ชุนก้าวขึ้นมาข้างหน้าหลายก้าว กล่าวดุด่า “หุบปาก หากยังโหวกเหวกโวยวายอีกครั้ง ข้าจะจับหลานชายของเจ้าไปขายเสีย”
ดูเหมือนคำกล่าวนั้นจะไปสะกิดเกล็ดใต้คอมังกรของฮูหยินผู้เฒ่าเข้า นางจึงเงียบเสียงลง จ้องหลี่อวี้ชุนและสวี่ชีอันอย่างอาฆาตแค้น
สวี่ชีอันปิดประตู อ้อมผ่านอึไก่กองหนึ่ง เดินตรงมาจนถึงเบื้องหน้าอูหยินผู้เฒ่า กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอถามท่านไม่กี่คำถาม ตอบมาตามความจริงด้วย”
รอฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า เขาจึงกล่าวถาม “ลู่เหยียคือหยวนเหล่าของกลุ่มพ่อค้ามนุษย์ใช่หรือไม่?”
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าเปล่งประกาย กล่าว “หยวนเหล่าอะไรกัน ข้าเป็นแค่แม่บ้านคนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“อ้อ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
สวี่ชีอันพยักหน้าในทันที พลางลากฮูหยินน้อยเข้าไปทางห้องนอน กล่าวอย่างแสยะยิ้ม “แม่นางน้อยช่างน่ารักเสียจริง ข้าขอเข้าห้องกับเจ้าเพื่อผ่อนคลายสักครั้ง”
ไม่คาดคิดว่าฮูหยินน้อยไม่แม้แต่จะร้องตะโกนโวยวาย แต่ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แอบชำเลืองมองสวี่ชีอันด้วยความเขินอาย
สวี่ชีอันกล่าวอย่างโกรธเคือง “จากนั้นค่อยเอาไปขายที่หอคณิกา”
ฮูหยินน้อยถึงได้กรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา “ท่านแม่ รีบช่วยข้าด้วย…”
“เอาเจ้าเด็กเปรตนี่ไปขายด้วย” เขากล่าวเสริมอีกครั้ง
ฮูหยินเฒ่ารีบกอดหลานชายไว้แน่น กล่าวเสียงดัง “อย่า อย่า ข้าจะบอก ข้าจะบอกทั้งหมด”
ฮูหยินเฒ่าบอกสวี่ชีอันว่า เดิมทีลู่เหยียเป็นเพียงคนใฝ่ต่ำที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ทำอะไรทั้งวัน ยังดีที่มีความสามารถในการต่อสู้ และผูกมิตรกับกลุ่มนักเลงในตลาดกลุ่มหนึ่ง
จนมีวันหนึ่ง มีคนไหว้วานให้เขาไป ‘เล่นงาน’ คนหลายคน ต่อมา จากไหว้วานแปรเปลี่ยนเป็นรับกองกำลังอาวุธ กลุ่มคนค้ามนุษย์จึงก่อตัวขึ้น ลู่เหยียพาเหล่าพี่น้องเข้าร่วมในองค์กร จึงร่ำรวยขึ้นเช่นนี้
“เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?” สวี่ชีอันถาม
ฮูหยินเฒ่านึกย้อนครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว กล่าว “หากจำไม่ผิด น่าจะเป็นรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก”
จุดเปลี่ยนชีวิตที่แสนยากลำบากในช่วงปีที่ผ่านมา มีความสำคัญสำหรับนางยิ่งนัก ความประทับใจยังถือว่าลึกซึ้งนัก
รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก เหตุใดถึงฟังดูคุ้นเสียจริง…สวี่ชีอันบ่นในใจอยู่ครู่เดียว ทันใดนั้นร่างกายพลันสั่นสะท้าน ท่าทีที่แสดงบนใบหน้าหยุดค้างในทันที
ตามบันทึกประจำวันของจักรพรรดิพระองค์ก่อน รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก จักรพรรดิพระองค์ก่อนเชื้อเชิญผู้นำเต๋านิกายปฐพีเข้าวังเพื่ออภิปรายเรื่องการเมือง
ตามบันทึกประจำวันของจักรพรรดิพระองค์ก่อน รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก ไหวอ๋องกับหยวนจิ่งกำลังล่าสัตว์ในส่วนลึกของหนานย่วน เผชิญหน้ากับการโจมตีของหมี จนทหารรักษาพระองค์ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บ
รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก มีคนไหว้วานให้ลู่เหยียลักลอบปล้นคน และคนเหล่านี้ถูกลักลอบส่งเข้าไปในพระราชวัง จากนี้จึงสามารถคาดเดาได้ว่า ค่ายกลวิชาพสุธาหลบหนีของจวนผิงหย่วนป๋อ ถูกสร้างขึ้นในรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก
เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในปีเดียวกัน
ผ่านไปนานแสนนาน สวี่ชีอันพยายามรวบรวมพละกำลังทั้งหมดของร่างกายเพื่อกล่าวพึมพํา “ผู้นำเต๋าปฐพี…”
…………………………………………………………