ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 451 หนานย่วน
บทที่ 451 หนานย่วน
ความผิดปกติทั้งหมดของจักรพรรดิหยวนจิ่งเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างในรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหกและเกี่ยวข้องกับผู้นำเต๋านิกายปฐพี…
ข้าเดาถูกแล้ว ผู้นำเต๋านิกายปฐพีเป็นสายใยที่เชื่อมโยงเบาะแสทั้งหมด เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ในกรณีนี้ชัดเจนแล้วว่าต้องตรวจสอบอะไรต่อไปและตรวจสอบที่ใด
เป้าหมายต่อไปที่ต้องติดตามคือพื้นที่ล่าสัตว์ของราชสำนัก…หนานย่วน!
สมัยที่ไหวอ๋องอายุยังน้อยและจักรพรรดิหยวนจิ่งยังเป็นวัยรุ่น พวกเขาถูกโจมตีจากสัตว์ร้ายในหนานย่วน ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดถูกฆ่าตายและบาดเจ็บ ท้ายที่สุดไหวอ๋องก็สังหารหมีที่ดุร้ายตัวนั้น รอดพ้นจากวิกฤตได้
คำอธิบายนี้มีช่องโหว่มากเกินไป ในบรรดาทหารรักษาพระองค์ของพระราชโอรสทั้งสอง ต้องมียอดฝีมือในหมู่พวกเขา หรือไม่ก็มีจำนวนค่อนข้างมาก หมีดุร้ายขนาดไหนกันที่จะสามารถฆ่ายอดฝีมือทั้งหมดได้?
หรือจะเป็นวิญญาณหมีดำ?
ในขณะนั้นข้าคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล เพียงแค่ไม่มีเบาะแสที่จะเปรียบเทียบเหตุการณ์ก่อนและหลังได้ และการที่ได้รับข้อมูลชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียว ไม่ได้อธิบายปัญหาที่มากเกินไปขนาดนี้ได้
ท้ายที่สุดแล้ว บันทึกชีวประวัตินี้สามารถแก้ไขได้ ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอาลักษณ์หรือจักรพรรดิผู้ล่วงลับกำลังโอ้อวดไหวอ๋อง และประวัติการแย่งชิงบัลลังก์ยกระดับภาพลักษณ์ของเขา ราชสำนักทำเกินไป
ความคิดในใจของสวี่ชีอันสั่นไหว แต่ความตกใจค่อยๆ ลดลงและกลายเป็นปกติ เขามองไปที่หลี่อวี้ชุน “หัวหน้า ไปกันเถอะ ข้าได้คำตอบที่ต้องการแล้ว”
หลี่อวี้ชุนพยักหน้า
หญิงชรามองดูทั้งสองก้าวออกจากประตูโรงพยาบาล มองดูร่างนั้นจนเดินหายไป กอดหลานชายแน่น และพึมพำว่า “เมื่อไหร่กันนะที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้กลายเป็นคนขาดสติ ไร้สำนึก ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี?”
นางมองไปที่ลูกสะใภ้ทันที พอเห็นนางกำลังจ้องมองไปที่ประตูบ้าน ความโกรธของนางก็พวยพุ่งออกไปตำหนิความคิดของอีกฝ่าย แล้วดุด่าอย่างรุนแรง
“นังแพศยา เห็นผู้ชายหน้าตาดีถึงกับหุบขาไม่ได้เลยสินะ ตราบใดที่หญิงแก่อย่างข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าได้คิดที่จะแต่งงานใหม่ จงมีชีวิตอยู่และเป็นม่ายจนกว่าข้าจะตายจาก”
…
หลังจากกล่าวคำอำลากับหลี่อวี้ชุนแล้ว สวี่ชีอันก็ขี่แม่ม้าน้อยอันเป็นที่รักของเขากลับไปที่จวนสกุลสวี่อย่างรวดเร็ว
เขาวิ่งกลับไปที่ห้องและพบบันทึกชีวประวัติของจักรพรรดิผู้ล่วงลับที่เอ้อร์หลางทิ้งไว้บนชั้นหนังสือ เขาพลิกหนังสือเสียงดัง จนไปหยุดที่รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก
เขาไม่เข้าใจเนื้อหาที่เขียนด้วยอักษรเฉ่าซู ความจริงแล้วเขาแทบจะไม่มีวันทำความเข้าใจมันได้
“ถ้าข้าจำไม่ผิด รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก ในปีนี้ ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีเข้าวังเป็นครั้งแรก ในปีนี้ ผิงหย่วนป๋อส่งคนเข้าวังอย่างเป็นทางการ ในปีนี้ ไหวอ๋องและจักรพรรดิหยวนจิ่งได้พบกับหมีที่ดุร้ายในหนานย่วน…
“นอกจากนี้ บันทึกชีวประวัติของจักรพรรดิผู้ล่วงลับรัชศกเจินเต๋อจบลงในปีที่สามสิบ นั่นหมายความว่าสี่ปีต่อมาจักรพรรดิผู้ล่วงลับทรงสิ้นพระชนม์ อืม ข้าไม่เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาก่อน ข้าลองถามพวกนักวิชาการดูดีกว่า”
สวี่ชีอันนั่งลงที่โต๊ะและหยิบเศษของหนังสือปฐพีออกมา ในขณะที่เขากำลังจะส่งหนังสือ เขากลับกระแทกนิ้วเปลี่ยนเป็นการพูดคุยส่วนตัวและเชื่อมโยงจิตใจกับชิ้นส่วนหมายเลขหนึ่งของหนังสือปฐพี
หมายเลขหนึ่งไม่สนใจเขา แถมยัง ‘ตบ’ เขาหนึ่งที
สวี่ชีอันอดทนและเริ่มการพูดคุยส่วนตัว เมื่อหมายเลขหนึ่งเห็นดังนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไปและยอมรับการติดต่อจากเขา ‘เกิดอะไรขึ้น’
หมายเลขสาม ‘จักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคตเมื่อใด?’
หมายเลขหนึ่ง ‘รัชศกเจินเต๋อปีที่สามสิบ เหตุใดเจ้าถึงถามคำถามนี้’
หมายเลขสาม ‘มันเกี่ยวข้องกับการสอบสวนน่ะสิ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องถาม ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในหนานย่วน ยิ่งละเอียดยิ่งดี โดยเฉพาะสถานการณ์ในรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก แล้วก็สภาพร่างกายของจักรพรรดิตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีอาการเจ็บป่วยหรือไม่? สาเหตุของการเจ็บป่วยเป็นอย่างไร?’
หมายเลขหนึ่ง ‘หนานย่วนเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของราชสำนัก ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางใต้ มีรัศมีพื้นที่สองร้อยหกสิบลี้ ในหนานย่วนมีพระราชวังสี่แห่ง ตั้งชื่อตามประตูทั้งสี่ทิศ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก หนานย่วนเป็นพื้นที่ต้องห้าม ในพื้นที่นั้นแทบไม่มีคน ไม่มีการทำปศุสัตว์ มีเพียงผู้ดูแลทะเลสาบที่เป็นคนดูแลและจัดการ’
ผู้ดูแลทะเลสาบ? หืม คนเลี้ยงปลาหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นข้าที่เป็นราชาแห่งท้องทะเลก็เป็นผู้ดูแลทะเลสาบได้น่ะสิ… สวี่ชีอันถอนหายใจ ส่งข้อความต่อไป
หมายเลขสาม ‘ผู้ดูแลทะเลสาบคืออะไร?’
หมายเลขหนึ่ง ‘ผู้ที่สามารถเป็นขันทีได้’
สวี่ชีอันหนีบขาของเขาทันที “…”
หมายเลขหนึ่ง ‘สำหรับสถานการณ์รัชศกเจินเต๋อในปีที่ยี่สิบหก ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ข้าไม่สามารถตอบอะไรเจ้าได้ในตอนนี้’
หลังจากหยุดไปชั่ว หมายเลขหนึ่งก็ส่งข้อความมา ‘ก่อนที่จักรพรรดิจะทรงสวรรคตหนึ่งปีนั้น เขามีปัญหาสุขภาพ และเสียชีวิตด้วยอาการป่วยหลังจากอดทนมาหนึ่งปี ส่วนเรื่องน่าสงสัยอย่างอื่น ต้องให้ข้าไปตรวจสำนวนคดีก่อนถึงจะให้คำตอบเจ้าได้’
หมายเลขสาม ‘ถ้าอย่างนั้นฝากเรื่องนี้ให้เจ้าดูแลด้วย ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถให้คำตอบข้าได้โดยเร็วที่สุด ฝั่งข้าพบเบาะแสบางอย่าง แต่ยังไม่แน่ใจนัก ต้องรอความคิดเห็นจากเจ้า’
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของฮว๋ายชิ่งแล้ว นางจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำงานให้สำเร็จ ส่วนตัวข้านั้น รอฟังความคืบหน้าจากนางอยู่ที่นี่
นี่คือข้อดีของฮว๋ายชิ่ง หากนางกลายเป็นยายตัวร้าย เพียงแค่อ่านนิทานเล่มเล็กเพียงเล่มเดียว นางก็ลืมไปหมดทุกอย่าง
…
จากสามอาณาจักรทางตะวันออกเฉียงเหนือ จิ้งกั๋วอยู่ทางเหนือสุด ถัดจากอาณาเขตของเผ่าปีศาจทางเหนือ เหยียนกั๋วอยู่ตรงกลาง หันหน้าไปทางแผ่นดินสามรัฐของต้าฟ่ง คังกั๋วอยู่ทางใต้ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ติดกับทะเล
ทั้งสามอาณาจักรมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง จิ้งกั๋วทหารม้าเหล็กกล้าหาญนั้นไม่มีใครเทียบได้ หลังจากการรบที่ด่านซานไห่ พวกเผ่าอนารยชนจากทางเหนือตกจากบัลลังก์ของทหารม้าเหล็กกลุ่มแรกในจิ่วโจว จิ้งกั๋วจึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้
อาณาเขตของเหยียนกั๋วเต็มไปด้วยยอดเขาและภูเขาที่อันตราย เมืองสำคัญส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในสถานที่ที่ง่ายต่อการป้องกันและโจมตีได้ยาก
นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยในเหยียนกั๋วยังมีทักษะการล่าสัตว์และเชี่ยวชาญด้านการยิง
นอกเหนือจากการครอบครองความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์แล้ว เหยียนกั๋วยังมีกองทัพแนวหน้า และกองทัพทางอากาศ
ภูมิศาสตร์ของจิ่วโจว ลองติจูดตะวันออก มีหยกสีเขียวจำนวนมากในภูเขาตงถง มีไม้ที่มีรูปร่างเหมือนต้นอัลเดอร์ น้ำของมันมีสีแดงเหมือนเลือด มีชื่อเรียกว่าข้าวฟ่าง พวกกิหมีกินสิ่งนี้เป็นอาหาร
กิหมีเป็นสัตว์ประหลาดหายากชนิดหนึ่ง ที่มีปีกกว้างสามเมตร หัวเป็นสุนัขและหางเหมือนหนู สามารถบินได้เป็นระยะห้าร้อยลี้ต่อวัน
ภูเขาตงถงอยู่ตรงกลางของเหยียนกั๋ว หากฝ่ายพฤกษาสุวรรณมีแมงมุม เหยียนกั๋วเองก็มีกองทัพอากาศ
ข้อเสียคือจำนวนกองทัพกิหมีนั้นหายากกว่ากองทัพชุดเกราะไฟ มีเพียงนักฆ่าที่สามารถควบคุมได้
ชายแดนเหยียนกั๋ว เมืองติ้งกวน
เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ที่ติดชายแดน เมืองติ้งกวนมีกองกำลัง เสบียง และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอสำหรับป้องกันการโจมตีของกองทัพต้าฟ่ง หากสำนักพ่อมดต้องการป้องกันไม่ให้กองทัพโจมตีที่ราบภาคกลาง เมืองติ้งกวนสามารถโจมตีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอยู่ในสถานะพร้อมที่จะต่อสู้ได้ตลอดเวลา
เมื่อสองวันก่อน เมืองติ้งกวนเข้าสู่สภาวะเตือนภัยสูงสุด ห้ามพ่อค้าจากสองประเทศและพลเรือนเข้าออก กองทัพออกลาดตระเวนในเมืองทั้งคืน หน่วยสอดแนมนอกเมืองก็คอยส่งข้อความลับ
กองทัพต้าฟ่งมาแล้ว!
ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือมีมั่นคงมาหลายปีแล้ว ในที่สุดสงครามก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ตูวั่วเฮยสวมชุดเกราะสีสดใส เหน็บมีดไว้ที่เอว ล้อมรอบด้วยรองแม่ทัพและผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ปีนขึ้นไปที่หัวเมืองติ้งกวนซึ่งเป็นที่ราบห่างไกล
เขาคือผู้บัญชาการทหารเมืองติ้งกวน เป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพ
พระอาทิตย์ยามเช้ากำลังขึ้น ฤดูใบไม้ร่วงคืบคลานเข้ามาแล้ว เนินเขาสีเขียวปกคลุมไปด้วยสีเหลืองหม่น
“ว่ากันว่าเว่ยเยวียนเป็นวีรบุรุษในตำนานของต้าฟ่ง แม่ทัพอย่างข้าอยากรู้อยู่เสมอมาว่าเว่ยเยวียนจะสามารถทำลายล้างเมืองติ้งกวนแห่งเหยียนกั๋วของเราได้หรือไม่” ตูวั่วเฮยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาเป็นชายหนุ่มที่มีพลังแข็งแกร่งของกองทัพเหยียนกั๋ว สมัยที่เกิดสงครามด่านซานไห่ เขาเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น มีหน้าที่รับผิดชอบอยู่เบื้องหลังของประเทศ
ต่างจากเว่ยเยวียนมีชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน
“ไม่ควรมีใครที่สามารถเอาชนะเว่ยเยวียนในสนามรบได้ ในความคิดของข้า แม้แต่เซี่ยโฮ่วยวี่ซูยังด้อยกว่าเว่ยเยวียนอยู่มาก” รองแม่ทัพที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราถอนหายใจ แล้วเยาะเย้ยว่า
“แต่การต่อสู้ระหว่างสองกองทัพกับการป้องกันเมืองนั้นไม่เหมือนกัน ท่านแม่ทัพ ถ้าท่านสามารถทำให้เว่ยเยวียนล้มเหลวในเมืองติ้งกวนได้ ท่านจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในจิ่วโจว”
ตั้งแต่สมัยโบราณ ความยากลำบากในสงครามด้านการปิดล้อมเป็นเรื่องยากที่สุด มักต้องใช้กำลังทหารถึงสิบเท่าหรือมากกว่าสิบเท่าเข้าไปจัดการ หากพบบางเมืองที่ครองทำเลดี… ไม่ว่าแม่ทัพจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็หนีไม่พ้นปวดเศียรเวียนเกล้าและหมดกำลังใจไปในที่สุด
หากยังยืนกรานว่าจะเดินหน้าต่อ ผลลัพธ์ของสงครามอาจออกมาในทางตรงกันข้าม
ในหน้าประวัติศาสตร์มีกรณีตัวอย่างในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นหลายครั้ง
ตูวั่วเฮยหัวเราะและพูดช้าๆ “ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามประมาท”
หัวใจของเขาร้อนรุ่ม เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเว่ยเยวียนได้หรือไม่ เมื่อกองทัพทั้งสองต่อสู้กัน คงต้องอาศัยจุดแข็งด้านการปกป้องเมืองของเขาเท่านั้น มิฉะนั้นจักรพรรดิคงไม่ไว้วางใจให้เขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการชายแดนเป็นแน่
เมืองติ้งกวนตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำเทาเทาซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้าย ขนาบด้วยภูเขาสูงชันที่อยู่ทางด้านขวา ซึ่งมีความแข็งแกร่งราวกับทองคำ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ตูวั่วเฮยได้ส่งคนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อขุดหิน ใช้เวลาร่วมสองปีถึงกลายเป็นเส้นทางสายหลักสำหรับเดินทัพ ดังนั้นบริเวณด้านข้างของกำแพงเมืองจึงเต็มไปด้วยก้อนหิน
แม้แต่อุปกรณ์ปิดล้อมหรือบันไดก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ถ้ายังดันทุรังเดินหน้ากวาดล้าง พวกเขาจะกลายเป็นเป้าหมายที่มีชีวิตทันที
“ฮึ่ม…”
เสียงคำรามมาจากฟากฟ้าในระยะไกล แม่ทัพและทหารที่หัวเมืองรู้ทันทีว่านั่นคือเสียงของกิหมี
เมื่อมองไปตามเสียง เงาสีดำบินมาจากที่ไกลๆ ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เป็นสัตว์ร้ายที่พวกเขารออยู่จริงๆ
สัตว์ร้ายบินได้ซึ่งมีหัวเป็นสุนัขและหางเป็นหนู ร่อนลงบนเส้นทางม้าอันกว้างขวาง หุบปีกลง ดวงตาดุร้ายสีแดงเข้มของมันแข็งกร้าว มองตรงไปข้างหน้าราวกับมันเป็นทหารมนุษย์ที่กำลังยืนเฝ้ายามอยู่
ลำตัวของกิหมีถูกปกคลุมด้วยหนังที่แข็งแรง ด้านหลังมีหน่วยสอดแนมคนหนึ่งบังคับบังเหียนอยู่ด้านหลัง หน่วยสอดแนมคนนั้นปลด ‘เข็มขัดนิรภัย’ ที่ต้นขาและเอวออก ก่อนจะกระโดดลงจากหลังของกิหมี รีบวิ่งไปที่ด้านหน้าของตูวั่วเฮย กำหมัดและพูดว่า
“ท่านแม่ทัพ กองทัพต้าฟ่งอยู่ห่างจากเมืองติ้งกวนเพียงยี่สิบลี้”
ใบหน้าของผู้คนในเมืองพลันเคร่งขรึมขึ้นในทันใด
ตูวั่วเฮยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ส่งต่อหนังสือลายลักษณ์อักษรจากข้า ข้าตูวั่วเฮย ผู้พิทักษ์แห่งเมืองติ้งกวน ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว แต่ในสายตาของข้า เจ้าเป็นเพียงขันทีลวงโลก โลกไม่สมควรจารึกชื่อของเจ้า…”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการกางกระดาษ ปากกา และหมึกออกมาแล้วเขียนอย่างรวดเร็ว
หนังสือลายลักษณ์อักษรของตูวั่วเฮยไม่มีเนื้อหาอย่างอื่น นอกจากเป็นการดูถูกเว่ยเยวียนว่าที่เขาชนะการต่อสู้ที่ด่านซานไห่เป็นเพราะโคจรปราณ ประณามว่าเขาโกง ต่อว่าว่าเขาเป็นขันทีที่สมควรตายไปนานแล้ว แม้แต่บรรพบุรุษของเขาก็ยังประณามเขา
ต้องการด่าทออย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ต้องการว่าร้ายอย่างไรก็เขียนลงไปอย่างนั้น
ในท้ายที่สุด เขาเสนอว่าต้องการแข่งขันกับเว่ยเยวียน ให้กองทัพเทพต้าฟ่งทุบง้าวของเขาให้หักฝังอยู่ในทราย แปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือ หากเจ้ากล้าก็เข้ามา
หลังจากที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการเขียนเสร็จแล้ว ขณะรอให้หมึกแห้งก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ทัพ แผนการนี้ก็เพื่อยั่วยุเว่ยเยวียนใช่หรือไม่?”
ตูวั่วเฮยพยักหน้า “เป็นเพียงหนึ่งในวัตถุประสงค์”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการถามอย่างนอบน้อม “ยังมีวัตถุประสงค์อื่นอีกหรือ?”
ตูวั่วเฮยหัวเราะเยาะเย้ยและเย็นชา “ข้าก็แค่อยากดูถูกขันทีคนนี้เท่านั้น”
กำแพงเมืองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บรรยากาศที่จริงจังเมื่อครู่พลันหายไป
ตูวั่วเฮยพูดอีกครั้ง “ระดับเว่ยเยวียน ข้าเกรงว่าคงไม่ง่ายที่จะยั่วยุ ดังนั้นทุกๆ สิบห้านาที พวกเราจะประณามเขาหนึ่งครั้ง ทุกคนร่วมกันประณาม คนยิ่งมากคำประณามยิ่งมาก”
รองแม่ทัพหัวเราะและพูดว่า “ยินดีที่ได้ทำให้เทพเจ้าแห่งกองทัพต้าฟ่งอับอายขายหน้า”
ทุกคนยิ่งหัวเราะดังลั่นกว่าเดิม
…
เมืองหลวง
ในพระตำหนักฝั่งวังตะวันออก หลินอันกำลังเล่นหมากเรียงห้าตัวกับองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทบางครั้งเป็นคนใจร้อน แต่เมื่ออยู่กับนาง เขาเป็นคนอดทน สำหรับน้องสาวที่ทั้งสวยและแสนซน เป็นเรื่องปกติที่พี่ชายจะตามใจ
“ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว…”
หลินอันขว้างตัวหมากรุกออกไปด้วยความโกรธ ทำแก้มป่องและบ่นว่า “จิตใจของท่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ที่จริงแล้วเสด็จพี่ไม่ต้องการอยู่กับข้าเลยแม้แต่น้อย”
‘เป็นเพราะข้าน่าเบื่อ เป็นเพราะการเล่นที่ไม่สนุกอีกต่อไป หรือเป็นเพราะช่วงนี้ฮว๋ายชิ่งทำให้เจ้ารำคาญใจกันล่ะ?’ องค์รัชทายาทพึมพำในใจและพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“หลินอัน ตัวข้ายุ่งอยู่กับงานทุกวัน จะมีเวลามาเล่นกับเจ้าได้อย่างไร”
หลินอันขมวดคิ้ว “แล้วจะปล่อยให้ข้าเล่นกับพวกสาวใช้หรือ? ข้าอยากเล่นกับเสด็จพี่มากกว่า”
ถึงสาวใช้ในวังและขันทีจะคอยเล่นเป็นเพื่อนเล่นนาง แต่พวกเขาจะสามารถเปรียบเทียบกับญาติมิตรได้อย่างไร
เมื่อหลินอันยังทรงพระเยาว์ นางเอาแต่ติดตามองค์รัชทายาทต้อยๆ เด็กหญงตัวน้อยสวมใส่ชุดกระโปรงไม่ว่าองค์รัชทายาทจะวิ่งไปที่ใด นางก็จะตามไปทุกที่ จนเมื่อนางโตขึ้นก็ถูกนางสนมเฉินยุให้ไปหาเรื่องฮว๋ายชิ่ง
ในเวลานี้ ขันทีเดินมาที่ประตู แล้วพูดเบาๆ ว่า “องค์รัชทายาท องค์หญิงฮว๋ายชิ่งมาถึงวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สองพี่น้องมองหน้ากัน องค์รัชทายาทก็พึมพำ “นางมาทำอะไรในตำหนักตะวันออก”
องค์รัชทายาทอนุญาตให้นำฮว๋ายชิ่งเข้ามาทันที นางสวมชุดหรูหราสง่างามเช่นทุกครั้ง ฮว๋ายชิ่งผู้งดงามดั่งภาพวาด ก้าวข้ามธรณีประตู คำนับองค์รัชทายาท แล้วเหลือบมองที่หลินอัน
“ฮว๋ายชิ่ง มาหาข้าเจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
องค์รัชทายาทตรัสถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ฮว๋ายชิ่งยิ้มเบาๆ “ข้าได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทมี ‘ภาพล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง’ ของเหยียนฮว่าเซิ่ง ที่นี่การล่าในฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามาแล้ว จู่ๆ ตัวข้าก็สนใจในความงามของรูปนั้น และต้องการนำมันกลับไปคัดลอก”
องค์รัชทายาทลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะให้คนของข้าส่งรูปนั้นไปให้เจ้า”
แม้ว่าบรรดาเสด็จแม่ที่อยู่วังหลังจะมีบรรยากาศที่คุกรุ่น แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องยังคงต้องรักษาไว้
ต้องการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ… ยายตัวร้ายตาโตเป็นประกาย พูดอย่างมีความสุขว่า “เสด็จพี่ พวกเราไปล่าสัตว์ที่หนานย่วนกันเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์รัชทายาทก็ขมวดคิ้วและส่ายหัว “เหตุใดถึงอยากไปที่หนานย่วน ระยะทางไกลถึงเพียงนั้น”
ยายตัวร้ายบิดเอวของนางและพูดอย่างร่าเริง “ไม่เห็นจะไกลเลย พวกเราขี่ม้าไปก็ได้นี่ เสด็จพี่ พาข้าไปที่นั่นเถอะนะ”
องค์รัชทายาทไม่สามารถทนต่อการรบเร้าของนางได้มากที่สุด เขาเองก็รักใคร่เอ็นดูนางมากเช่นเดียวกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง จำใจเอ่ยอย่างหมดหนทาง “เอาล่ะ เอาล่ะ วันนี้ข้าจะจัดการงานให้หมด แล้วพรุ่งนี้ไปที่นั่นแต่เช้ากัน”
เขายังมีสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสส่งหลินอันและฮว๋ายชิ่งออกไป
การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากจักรพรรดิหยวนจิ่งหมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญธรรม ในปีก่อนๆ การล่าในฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไรนัก พระราชโอรสและพระราชธิดาจะไปล่าสัตว์ในหนานย่วนด้วยตัวเอง เพียงแค่รายงานให้ทราบเท่านั้น
สำหรับหลินอันการล่าสัตว์เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุด ไม่สำคัญว่านางจะสามารถจับคันธนูได้หรือไม่ก็ตาม
เหมือนกับชีวิตก่อนหน้านี้ของสวี่ชีอัน เด็กผู้หญิงบางคนติดการเล่นเกม ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นมือใหม่หรือไม่
หลังจากที่หลินอันกลับไปที่คฤหาสน์ สาวใช้ในวังก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อรายงานทันทีและพูดว่า “องค์หญิงรอง องค์หญิงฮว๋ายชิ่งมีรับสั่งให้หาพระองค์เมื่อสักครู่นี้เพคะ”
‘ฮว๋ายชิ่งมาหาข้า? แล้วเมื่อครู่นี้เหตุใดนางไม่พูดอะไรกับข้าที่ตำหนักฝั่งตะวันออกเลยเล่า?’ หลินอันกะพริบตาปริบ ทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย
‘อ๊ะ อย่าเพิ่งไปสนใจ สนใจเรื่องของตัวเองก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้จะออกไปล่าสัตว์ที่หนานย่วน…’
…
กลางดึก
ระหว่างที่สวี่ชีอันหลับ เขารู้สึกว่าศีรษะของเขาถูกเคาะ นี่คือปฏิกิริยาการตอบรับของจิตวิญญาณ ไม่ใช่ว่าเขาถูกเคาะที่ศีรษะจริงๆ
คนเดียวในห้องที่สามารถเคาะหัวเขาได้มีเพียงหนึ่งคนกับมีดหนึ่งเล่ม จงหลีมักจะสะกิดเรียกเขาเบาๆ ที่ขา พร้อมกับเรียกเขาเบาๆ
แต่ถ้าเป็นดาบไท่ผิงจะใช้ปลายดาบสะกิดเขาเสียงดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ ไม่ค่อยอ่อนโยนนัก
จิตวิญญาณส่งสัญญาณเตือนเช่นนี้ หมายความมีคนต้องการขอพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว… สวี่ชีอันสะลึมสะลือ ยื่นมือออกแล้วดึงชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีออกมา จากนั้นเขาก็รู้ว่าใครกำลังคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
หมายเลขหนึ่ง ฮว๋ายชิ่ง
หลังจากยอมรับคำขอคุยส่วนตัวของฮว๋ายชิ่ง เขาก็ส่งข้อความไปว่า ‘เหตุใดถึงส่งข้อความหาข้ากลางดึกเช่นนี้เล่า หรือท่านขาดความสุขในชีวิตกัน’
……………………………………………………..