ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 452 แหล่งที่มาของคน
บทที่ 452 แหล่งที่มาของคน
ในรัชสมัยต้าฟ่ง เรื่องระหว่างชายและหญิงเป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ แต่มีชื่อเรียกขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและกรณี
ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ปกติระหว่างชายหญิง เรียกว่า ‘ไปอู๋ซานด้วยกัน’ ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติระหว่างชายและหญิงเรียกว่า ‘ไปฟังเพลงที่หอคณิกา’ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเรียกว่า ‘พิศวาสจนตัดแขนเสื้อ’ ส่วนความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างชายหนึ่งคน หญิงสองคน เรียกว่า ‘หนึ่งมังกรและสองหงส์’ ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างชายสองคน หญิงหนึ่งคน เรียกว่า ‘ทำสองสิ่งไปพร้อมๆ กัน’
จะเป็นคำเรียกขั้นสูงขึ้นไปอีกหน่อย
ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างสวี่ชีอันและฝูเซียงเรียกว่า ไม่อาจระบุ
ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันและหวงเซียนเอ๋อร์เรียกว่า ไม่อาจระบุ
“ความสุขในชีวิต” เป็นคำบ่นจากจิตใต้สำนึกของสวี่ชีอัน เป็นคำศัพท์ที่ล้าสมัย แม้แต่ฮว๋ายชิ่งที่เป็นคนมีความสามารถมาก ก็ไม่อาจเข้าใจความหมายของคำนี้ได้อย่างชัดเจน เพียงแค่คาดเดาได้เพียงว่าไม่ใช่คำพูดที่ดีอย่างแน่นอน
หลังจากบ่น สวี่ชีอันก็เขินอายเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะ ‘นึกถึง’ ชีวิตที่ผ่านมา
โชคดีที่ฮว๋ายชิ่งไม่เข้าใจความหมาย ไม่ได้นึกถึงความหมายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ส่งข้อความตอบกลับว่า ‘หนานย่วน รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก ข้าได้อ่านเอกสารสำนวนคดีมาก่อนแล้ว ในปีนั้นเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์ เหตุการณ์แรก ในฤดูใบไม้ร่วงของรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหกนี้ สัตว์ร้ายในหนานย่วนหายตัวไปจากพื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่ทราบที่อยู่ของพวกมัน เฉพาะพื้นที่ในป่าลึกเท่านั้นที่มีร่องรอยของสัตว์
‘เหตุการณ์ที่สอง ไหวอ๋องและฝ่าบาทในครั้งนั้นที่ยังเป็นพระราชโอรสไปล่าสัตว์ในหนานย่วน ในช่วงเวลาที่องค์ชาย กำลังเผชิญหน้าและรับมือกับการโจมตีของหมี ทหารรักษาพระองค์ที่ตามมาทั้งหมดถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บ ไหวอ๋องที่ตกอยู่ในความโกรธ จึงฉีกร่างหมีตัวนั้นให้ตายทั้งเป็น จากนั้นจึงถูกยกย่องจากจักรพรรดิองค์ก่อนและกลายเป็นเสาหลักของเมืองต้าฟ่งในอนาคต’
นางเขียนคำพูดต่อไปสองสามประโยค จากนั้นหยุดชั่วครู่หนึ่งแล้วส่งต่ออีกครั้ง ‘ข้าสงสัยว่าในปีนั้นไหวอ๋องและฝ่าบาท ไม่สามารถหาเหยื่อจากข้างนอกได้ จึงเข้าไปหาในหนานย่วนที่อยู่ในพื้นที่ลึกเข้าไปอีก
‘นอกจากนี้ สภาพร่างกายของจักรพรรดิผู้ล่วงลับก็ยังปกติ แต่เพราะความหลงใหลในสตรีเพศตลอดเวลา…ดังนั้นในปีต่อๆ มา ความเจ็บป่วยของท่านจึงหนักหนาเหมือนภูเขา โหรแห่งสำนักโหราจารย์สามารถยืดอายุของพระองค์ได้เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น หลังจากหนึ่งปีให้หลังพระองค์ก็สวรรคต’
สวี่ชีอันส่งข้อความกลับแล้วถาม ‘สัตว์ร้ายรอบๆ หนานย่วนส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นั้น นี่หมายความว่าอย่างไร สัตว์ร้ายหนีไปอย่างนั้นหรือ?’
หมายเลขหนึ่งตอบว่า ‘อาจจะมีความเป็นไปได้บ้าง สัตว์ร้ายจะมีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับอาณาเขตของพวกมัน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะหนีออกจากอาณาเขตหากไม่ถูกขับไล่ออกไปอย่างรุนแรง นอกจากนี้ นี่ยังถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกมันเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่’
หลังจากพูดจบ นางก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม่ตัดการเชื่อมต่อหรือส่งข้อความ ดูเหมือนจะรอความคิดเห็นจากสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่งข้อความ ‘ข้าจะสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป สามารถพบเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่ ข้าอยากจะบอกรายละเอียดแก่เจ้า’
หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่ได้’
หลังจากพูดจบ นางก็ตัดการเชื่อมต่อ
เฮอะ นางยังคงไม่รู้ว่าข้ารู้ตัวตนของนางแล้ว…สวี่ชีอันเบ้ปากไม่พอใจ
ขณะเก็บชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี เขานอนบนเตียงพลางเอามือรองไว้ข้างหลังศีรษะ คิดทบทวนและวิเคราะห์
“จักรพรรดิผู้ล่วงลับหมกมุ่นอยู่กับสตรีเพศตลอดทั้งปี มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ ตามโชคชะตาที่ว่าผู้ที่มีโชคลาภจะมีชีวิตสั้น สมควรแล้วที่จักรพรรดิผู้ล่วงลับจะตาย…”
“ในปีนั้นสิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องพบในพื้นที่ลึกของหนานย่วนต้องไม่ใช่หมีอย่างแน่นอน ทหารรักษาพระองค์ถูกสังหารและบาดเจ็บทั้งหมดถือเป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่ใช่หมีแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
“อีกอย่าง ในขณะนั้นไหวอ๋องยังเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่ายอดฝีมือของพระราชวังได้ ในขณะที่ยอดฝีมือของพระราชวังซึ่งติดตามเขาทุกคนล้วนเสียชีวิต เขาและจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับไม่ตาย เห็นได้ชัดว่าช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“การคาดเดาที่ถูกต้องที่สุดคือในช่วงวิกฤตในปีนั้น เขาและจักรพรรดิหยวนจิ่งรอดพ้นจากความตายด้วยเหตุผลบางประการ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจึงกลายเป็นผู้รับเคราะห์ หากสามารถหาทางหลบหนีไปได้ ความจริงแล้วจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องควรไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นต่อพระราชวัง จากนั้นก็ขอให้จักรพรรดิผู้ล่วงลับส่งผู้ยอดฝีมือกลับไปจัดการกับมัน อย่างไรก็ตาม บันทึกทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของเหตุการณ์นี้คือ ไหวอ๋องฉีกร่างหมีด้วยมือของตนเองและได้รับการยกย่องจากอดีตจักรพรรดิว่าเป็นเสาหลักของประเทศในอนาคต
“นี่แสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องปกปิดความจริงบางอย่าง”
…
ในคืนเดียวกันนั้น ทางเหนือ อ่าวพระจันทร์เสี้ยว
กองไฟกำลังแผดเผา โต๊ะเตี้ยเต็มไปด้วยวัวและแกะย่าง รวมทั้งเหล้านมหมัก
ชายหญิงเผ่าอนารยชนเต้นรำรอบกองไฟ ร้องเพลงอย่างดุเดือดและร้อนแรง
หลังจากฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิในภาคเหนือเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ลมพัดแรงบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าที่บอบบางของสวี่ซินเหนียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ตามคำแนะนำของเผยหม่านซีโหลว เขาได้ป้ายไขมันแพะบนใบหน้า เพื่อป้องกันผิวแตกจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในภาคเหนือ
กลยุทธ์ของสวี่ซินเหนียนได้ผล กองทัพต้าฟ่งที่แข็งแกร่งจำนวนสามแสนคนบุกไปทางเหนือ โจมตีจิ้งกั๋วอย่างไม่ทันตั้งตัว ในการต่อสู้ครั้งแรกเมื่อวันก่อน ด้วยความร่วมมือของเผ่าอนารยชน พวกเขากวาดล้างกองทัพเกราะไฟจำนวนสามพันคน ทหารม้าหนึ่งพันสี่ร้อยคน และทหารราบห้าพันคน
จากคำพูดของปีศาจทางเหนือ นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดจากการต่อสู้สองเดือน เป็นไปตามที่ควรจะเป็น กองทัพของต้าฟ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและดูแลเป็นพิเศษจากคนป่าเถื่อน
แต่สวี่เอ้อร์หลางรู้ว่าทุกอย่างมีสองด้าน สำหรับการจู่โจมครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความเร็วของการเดินทัพ กองทหารสามหมื่นนายนำอาหารมาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น
หากแนวเสบียงด้านหลังขาด กองทหารสามหมื่นนายนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ขาดแคลนกระสุนและอาหารอย่างร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องยากสำหรับกองทหารขนส่งอาหารที่จะไล่ตามคนของพวกเขา
มีแนวโน้มที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพจิ้งกั๋ว
แม้ว่าพวกสัตว์ประหลาดและคนป่าเถื่อนอ้างว่าสามารถขอยืมอาหารได้ แต่เมื่อสงครามปะทุขึ้น ต่างฝ่ายต่างแตกแยก ใครจะดูแลใครกันแน่?
ตอนนั้นทำได้แค่กลับไปที่ชายแดน และรอโอกาสกลับมาอีกครั้ง แบบนี้จะทำให้พลาดโอกาสมากมาย
สวี่เอ้อร์หลางไม่เคยดื่มเหล้านมหมักมาก่อน ดังนั้นเขาจึงจิบมันแค่เล็กน้อยและดูการเต้นรำของพวกชายหญิง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงจะปรากฏตัวในค่ายทหารในเผ่าพันธุ์ปีศาจและคนป่าเถื่อน ประการแรก การดำรงอยู่ของผู้หญิงเหล่านี้สามารถสนองความต้องการของผู้ชายได้เป็นอย่างดี
ประการที่สอง ผู้หญิงของเผ่าปีศาจและคนป่าเถื่อนมีพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เผยหม่านซีโหลวเหลือบมองสวี่เอ้อร์หลางซึ่งกำลังนั่งตัวตรง ยิ้มและกวักมือปีศาจสาวเจ้าเสน่ห์และสั่งว่า “ดูแลเพื่อนของข้าให้ดีล่ะ”
จากนั้นก็พูดกับสวี่เอ้อร์หลางว่า “ค่ายทหารตกต่ำและน่าเบื่อ ทหารต้องต่อสู้ในสนามรบในกลางวัน และต้องระบายอารมณ์ออกในตอนกลางคืน พี่ฉือจิ้ว นางเป็นของเจ้าในคืนนี้ ไม่ต้องเกรงใจนาง”
ปีศาจสาวทรงเสน่ห์ซุกตัวและคลอเคลียเขาราวกับใยไหม เบียดร่างกายอันอ่อนนุ่มเข้ากับแขนของเขา
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วและผลักออก แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น
การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ข้าจะดื่มด่ำกับภาพลามกอนาจารของผู้หญิงได้อย่างไร… ข้าจะไม่แตะต้องหญิงปีศาจ ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นอะไรกันแน่…ร่างกายที่อ่อนนุ่มนั้น ไม่ ไม่ ไม่ ข้าคิดแบบนั้นไม่ได้ ข้าเป็นปัญญาชน…อย่างน้อยเจ้าก็ต้องอาบน้ำเสียก่อน…
เมื่อพอใจกับอาหารและเครื่องดื่มแล้ว สวี่เอ้อร์หลางยืนยันความตั้งใจดั้งเดิมของปัญญาชนแห่งต้าฟ่ง และไม่ให้โอกาสปีศาจสาว
เมื่อกลับไปที่เต็นท์ทหาร เขาถอดแต่ชุดเกราะที่หนักที่สุดออก ถอดรองเท้าแล้วผล็อยหลับไป
ฉู่หยวนเจิ่นปรากฏตัวในเต็นท์ทหารอย่างเงียบๆ นั่งบนเก้าอี้ ถือดาบ ปิดตาและหลับไป
บรรดาผู้ที่ต่อสู้กับสำนักพ่อมดจะพัฒนานิสัยอย่างหนึ่งคือการนอน โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละสองคน คนหนึ่งนอนพัก อีกคนสังเกตการณ์ เมื่อพบว่าคนที่กำลังนอนอยู่นั้น นอนหลับนิ่งเงียบเป็นตาย เขาจะส่งเสียงเตือนทันที
เหตุผลทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อมดระดับสี่ชื่อเมิ่งอู เขาสามารถฆ่าคนในความฝันได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม สำหรับเมิ่งอูที่จะใช้วิธีนี้ มีข้อจำกัดในแง่ของระยะทางและจำนวนคน บ่อยครั้งหลังจากประสบความสำเร็จในการฆ่าคนหลายสิบคน เขาจะถูกค้นพบ
ในระหว่างการรบที่ด่านซานไห่ เว่ยเยวียนเคยพัฒนาวิธีการต่อต้านเมิ่งอู และส่งยอดฝีมือขั้นสี่และพ่อมดหลายคนไปลาดตระเวนนอกค่ายทหาร ปลอมตัวเป็นหน่วยสอดแนม
เมื่อพบค่ายทหาร พวกโหรได้ค้นหาและกำหนดตำแหน่งของพ่อมดเมิ่งอู จากนั้นยอดฝีมือขั้นสี่ก็ควบคุมไว้ได้
เมิ่งอูคิดที่จะฆ่าคนด้วยวิธีนี้ เขาจึงอยู่ไม่ห่างไกลจากค่ายทหารมากนัก ด้วยความสามารถของยอดฝีมือขั้นสี่ เสริมด้วยความสามารถของโหรในการค้นหาศัตรู พวกเขาจึงสามารถชนะได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
สังเวยชีวิตของทหารส่วนน้อยเพื่อแลกกับเมิ่งอูที่อยู่ในขั้นสี่ นี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่หลวง
ท่ามกลางภวังค์อันมึนงง สวี่เอ้อร์หลางกลับไปที่เมืองหลวงและนั่งที่โต๊ะอาหารค่ำพร้อมกับครอบครัว
ทันนั้นเอง สวี่ผิงจื้อผู้เป็นบิดาก็จับคอของตัวเอง ก่อนจะสิ้นลมหายใจด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เลือดสีดำไหลรินออกมาจากมุมปาก จากนั้นก็ตามด้วยมารดา หลิงเยวี่ยน้องสาวของเขา และพี่ใหญ่…
สวี่เอ้อร์หลางหน้าซีดด้วยความตกใจ มองไปที่หลิงอินน้องสาวอีกคนของเขา รอยยิ้มที่น่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมๆ ของหลิงอิน “เจ้าถูกวางยาพิษเช่นเดียวกับพวกเขา”
ในมือของหลิงอินมีสารหนูอยู่หนึ่งซอง
“หลิงอิน เจ้า…”
สวี่เอ้อร์หลางไม่อยากจะเชื่อ
“เหอะ พวกเจ้าไม่เคยให้ข้าได้กินของดีๆ พวกเจ้าจะต้องตาย” หลิงอินพูดออกมาตามบุคลิกของนาง
ไม่คิดว่าข้าจะมาตายด้วยน้ำมือของหลิงอิน…ขณะที่สวี่เอ้อร์หลางกำลังจะพูด ท้องของเขาก็หดเกร็ง เลือดสีดำไหลออกมาจากมุมปาก ก่อนที่ชีวิตของเขาจะดับสูญลงอย่างรวดเร็ว
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น แสงสีม่วงก็สว่างวาบขึ้นต่อหน้าสวี่เอ้อร์หลาง ในดวงตาของสวี่หลิงอินมีแสงวาบขึ้นมาเช่นกัน นางคร่ำครวญโหยหวน จากนั้นร่างของนางก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
ภายในเต็นท์ทหาร สวี่เอ้อร์หลางลืมตาขึ้นทันที พลิกตัวและลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจ
“นี่เป็นฝีมือของเมิ่งอู”
เขาอ้าปากพูดด้วยเสียงแหบพร่าขณะกดไปที่หน้าอกของตัวเอง จี้หยกที่ฆราวาสจื่อหยางมอบให้เขายังอยู่
จี้หยกนี้ได้รับการปลูกฝังมาหลายปีโดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
ในเวลานี้ เสียงคำรามของปืนใหญ่พลันดังขึ้น เกิดระเบิดทั้งนอกและในค่ายทหาร เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่องแสงสว่างท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
จากนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่าทหารม้าเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา
พวกเขาเผชิญกับการโจมตีตอบโต้จากจิ้งกั๋วเข้าแล้ว
…
กลางดึก
ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองติ้งกวน
พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่บนท้องฟ้า เว่ยเยวียนสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ที่หัวเมืองติ้งกวน มองเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยควันจากปืนใหญ่ ทำลายบ้านเรือนและถนนจนไม่เหลือชิ้นดี ได้ยินเสียงร้องไห้และร้องตะโกนของผู้คน
ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน เมืองติ้งกวนกำลังถูกชำระล้างด้วยเลือดและไฟ กองทหารม้าและทหารราบของต้าฟ่งพุ่งไปที่ถนนในเมืองจนพบกับผู้พิทักษ์แห่งเหยียนกั๋วที่พยายามต่อต้านอย่างดื้อรั้น
เสียงการต่อสู้ดังงขึ้นจากทุกแห่งหน
เว่ยเยวียนถอนสายตาและเหลือบมองที่ศีรษะที่เขาถืออยู่ในมือ ดวงตาเบิกโพลงคู่นั้นแสดงออกถึงความกลัว แม้แต่บนใบหน้าก็มีความกลัวอัดแน่น
แม่ทัพแห่งเมืองติ้งกวน ตูวั่วเฮย
เขาส่ายหัวด้วยความผิดหวัง โยนศีรษะนั้นลงไปจากกำแพงเมืองแล้วพูดเรียบๆ “ยังไม่พอ”
หลังจากนั้น เว่ยเยวียนค่อยๆ กวาดสายตาผ่านถนนซึ่งเต็มไปด้วยศพของทหาร เลือดอาบย้อมกำแพงเมืองที่ทรุดโทรมจนกลายเป็นสีแดงฉาย
ข้างหลังเขา มีแม่ทัพระดับสูงหลายสิบนายยืนนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่บางคนยังคงแสดงท่าทีปกติ พวกเขาไม่เคยพิชิตเมืองใดไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นนัก
แม่ทัพอีกส่วนหนึ่งที่ไม่เคยติดตามเว่ยเยวียนมาก่อน คราวนี้พวกเขาตระหนักถึงคำสี่คำ ใช้ทหารเหมือนเทพเซียน แล้วว่าเป็นอย่างไร
เว่ยเยวียนเลียเลือดจากปลายนิ้วของเขา พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ประกาศคำสั่งข้า สังหารหมู่เมืองนี้!”
ลมเย็นพัดในฤดูใบไม้ร่วง แสงจันทร์สาดส่องมาอย่างเยือกเย็น เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มพลิ้วไหว รูม่านตาของเว่ยเยวียนสะท้อนเงาเปลวไฟของสงคราม
…
วันถัดมา
สวี่ชีอันหาวและลุกขึ้น นั่งยองๆ อยู่ใต้ชายคาบ้าน ล้างหน้าและแปรงฟัน
หลังจากที่เขาล้างหน้าล้างตาเสร็จ จงหลีก็ออกมาพร้อมกับกะละมังไม้ของนาง ต้องการล้างหน้าล้างตาเช่นกัน
เดิมทีจงหลีและสวี่ชีอันจะนั่งอยู่ใต้ชายคาเพื่อล้างหน้าล้างตา แต่เพราะว่าครั้งหนึ่งนางถูกสวี่หลิงเยวี่ยเห็นเข้าโดยบังเอิญ
สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกผิดมากเมื่อเห็นเช่นนั้น ศิษย์พี่จงเป็นถึงแขกของสำนักโหราจารย์ การที่จวนสกลุสวี่ให้แขกมานั่งยองๆ ล้างหน้าล้างตานั้น เป็นเรื่องที่แย่มาก
ในวันเดียวกันนั้นจึงสั่งให้คนใช้เตรียมห้องให้ใหม่ซึ่งสะอาดและสวยงาม จากนั้นก็เชิญจงหลีให้อยู่ต่อ อีกทั้งยังแสดงความจริงใจแก่นาง
บทสนทนาอย่างจริงใจนั้นเต็มไปด้วยคำพูดที่อ่อนโยนและสุภาพ แต่เนื้อหาของบทสนทนากลับแปลความได้ว่า ‘พี่ชายคนโตของข้ายังไม่แต่งงาน ดังนั้นจงอยู่ห่างจากเขา’
ในวันนั้นจงหลีรู้สึกสะเทือนใจมาก แต่สวี่ชีอันยังอุตส่าห์ไปรับนางกลับมาด้วย จงหลีเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด แม้ว่าศิษย์น้องไฉ่เวยและพวกสำนักโหราจารย์จะเรียกนางว่านางไร้สมองและเป็นจอมอมทุกข์ก็ตาม
ความจริงแล้วคนที่ไร้สมองคือฉู่ไฉ่เวยต่างหาก ถึงอย่างไรจงหลีก็ฉลาดกว่านางเสียอีก
ศิษย์พี่จงผู้มีไหวพริบสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังจากบุตรสาวคนโตของบ้านสกุลสวี่ที่มีต่อตนเอง ดังนั้นนางจึงรักษาระยะห่างจากสวี่ต้าหลางอย่างเงียบๆ แน่นอนว่าต้องไม่ให้บุตรสาวตระกูลสวี่เห็นว่านางนั่งเคียงข้างกับเขา หรือแม้แต่พูดคุยกันก็ตาม
หลังอาหารเช้า สวี่ชีอันก็ไล่จงหลีออกไปจากห้อง พูดว่า “เจ้านั่งยองๆ อยู่ข้างนอกดีๆ ล่ะ ห้ามเดินไปมา ห้ามพูดคุยกับคนอื่น อย่า…ได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด”
จงหลีตอบเพียงแค่ “อืม” พยักหน้าอย่างจริงจัง เพื่อแสดงให้เห็นว่านางมีประสบการณ์และดูแลตัวเองได้
หลังจากที่จงหลีจากไป สวี่ชีอันก็หยิบดาบยันต์ออกมาแล้วเปิดใช้งานจิตเดิม “ราชครูตัวน้อย… ข้าชื่อสวี่ชีอัน”
หลังจากที่รอมานาน ราชครูก็ไม่ปรากฏตัว เมื่อสวี่ชีอันคิดว่าการติดต่อนั้นไร้ผล แสงสีทองเจิดจ้าก็ส่องทะลุผ่านหลังคา หญิงสาวรูปร่างอวบท้วมสง่างามในเสื้อคลุมขนนกปรากฏตัวขึ้นในห้อง ก่อนที่แสงสีทองจะค่อยๆ จางหายไป
ข้าอาจเป็นชายคนเดียวในต้าฟ่งที่สามารถเรียกลั่วอวี้เหิงให้ออกมาได้ในทันทีที่ต้องการ เจ้าพูดว่าไม่ต้องการนอนกับข้า ต่อให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ…สวี่ชีอันพอใจเล็กน้อยกับความสำเร็จของเขา แต่เขาก็รู้สึกว่าบ่อปลาของตัวเองเล็กเกินกว่าจะรองรับปลาตัวใหญ่ตัวนี้
อืม ลั่วอวี้เหิงแค่กำลังสืบสวนข้า ไม่ใช่ว่านางต้องบำเพ็ญคู่กับข้า นางยังต้องตรวจสอบจักรพรรดิหยวนจิ่ง…อ๊ะ ความรู้สึกคุ้นเคยนี่มันอะไรกัน ข้า ข้าเป็นปลาในบ่อปลาของคนอื่นด้วยอย่างนั้นหรือ?!
อีกอย่างเสื้อคลุมที่นางใส่วันนี้ก็ต่างจากเมื่อก่อน มีสีสันและสวยขึ้น เมื่อสวมผ้าผูกเอวแบบนี้แล้ว ยิ่งขับเน้นให้เห็นหน้าอกอย่างชัดเจน เอวก็เพรียวบางมากเช่นกัน…ตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ?
เมื่อสวี่ชีอันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลั่วอวี้เหิงมองไปที่เขา ใบหน้าที่สวยงามยังคงเย็นชาเหมือนน้ำค้างแข็ง พูดอย่างเย็นชา “ราชครูตัวน้อยงั้นรึ”
…สวี่ชีอันอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร
หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที ในห้องนั้น ลั่วอวี้เหิงเป็นผู้ริเริ่มบทสนทนา “เกิดอะไรขึ้น?”
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม!”
สวี่ชีอันกระแอมและพูดว่า “ข้ามีความคืบหน้าใหม่แล้วเกี่ยวกับเบาะแสนิกายปฐพีของผู้นำเต๋าแล้ว”
เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องในรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหกให้ลั่วอวี้เหิงฟัง
หลังจากได้ยินดังนั้น นางก็ขมวดคิ้วแน่น ใช้ดวงตาคู่งามมองเขา “แค่นี้เองหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้ามาก็ได้”
สวี่ชีอันถอนหายใจ “ราชครู ข้าเชิญท่านมาที่นี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
ลั่วอวี้เหิงจ้องมองไปที่เขา
สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่ง เป็นระยะเวลานานประมาณหนึ่งถ้วยชา จากนั้นก็ถอนหายใจยาว แล้วกล่าวเสียงเบา “นักบวชเต๋าจินเหลียนถูกมารครอบงำมากี่ปีแล้ว?”
ลั่วอวี้เหิงตกใจ ใบหน้าที่เย็นชาของนางแสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างพบเห็นได้ยาก “เจ้ารู้ว่าจินเหลียนเป็นผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีอย่างนั้นหรือ?”
……………………………………………………..