ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (1)
บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (1)
เวลานี้เอง ฮว๋ายชิ่งก็รู้สึกว่าในหัวมีเสียงระเบิดดัง ‘ตู้ม’ ขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกตื่นตระหนกแบบที่ถูกผู้คนล่วงรู้ความลับที่ตนปกปิดไว้ลึกที่สุดอย่างไร้ปรานี จนก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นมา
‘เขา เขารู้ว่าข้าคือหมายเลขหนึ่งและรู้ตัวตนของข้ามานานแล้วหรือ?!’
‘สองสามวันนี้เขาแอบส่งจดหมายให้ข้าไม่หยุด อยากจะขอนัดพบข้าหลายต่อหลายครั้งแต่ข้าก็ปฏิเสธเสียงแข็งไป เขา…ตอนนั้นเขาจะคิดอย่างไร จะต้องแอบยิ้มอยู่ในใจแน่ ไม่สิ เขาอาจถึงขั้นหัวเราะออกมาเลยแน่ๆ…’
‘เขาไม่เพียงแต่รู้ตัวตนของข้าเท่านั้น แต่ยังป่าวประกาศต่อหน้าหลี่เมี่ยวเจินอีกด้วย…’
ใบหน้างดงามประณีตของธิดาคนโตแห่งองค์จักรพรรดิแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อเทียบจากความฉลาดเฉียบแหลมของนาง นี่ถือเป็นสีหน้าที่ย่ำแย่ที่สุดเลยก็ว่าได้
ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินก็เบิกกว้างขึ้นเช่นกัน ปากเล็กๆ ก็อ้าค้างจนสามารถใส่ไข่ไก่ลงไปได้ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินข่าวอันสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้
‘หมายเลขหนึ่งคือฮว๋ายชิ่ง คือองค์หญิงของราชวงศ์ คือธิดาคนโตแห่งจักรพรรดิหยวนจิ่ง!’
หลังจากตกตะลึง หลี่เมี่ยวเจินก็นึกถึงคำพูดติดปากของตนที่ชอบโพล่งขึ้นมาในพรรคฟ้าดิน ทั้ง ‘ข้าจะแทงจักรพรรดิหยวนจิ่งให้ตายไปเลย’ ‘จักรพรรดิหยวนจิ่งตายหรือยัง’ ‘จักรพรรดิหยวนจิ่งจะตายเมื่อไหร่กัน!’
หนังศีรษะของเทพธิดานิกายสวรรค์ชาหนึบ ขนที่คอลุกพรึบเกรียวกราว นางพลันเกิดความคิดที่อยากจะพุ่งตัวออกจากห้องแล้วกระโดดลงไปในบ่อน้ำ
อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีให้ได้
ดวงตาของฮว๋ายชิ่งสั่นไหว นางฟื้นคืนกลับมามีท่าทีเยือกเย็นดังเดิมแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “รู้ตั้งแต่เมื่อใดหรือ บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ คุณชายสวี่”
…ฮว๋ายชิ่งช่างเป็นคนสองบุคลิกจริงๆ! สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อเล็กน้อยแล้วกระแอมไอออกมา จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตาก
“รู้จากเรื่องในช่วงนี้นี่แหละ อืม อย่างเช่นพระองค์ทรงใช้ความฉลาดสั่งให้หลินอันไปยืมหนังสือมาจากหอสมุดหลวง”
ขณะที่พูด สวี่ชีอันก็เหลือบมองหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดในใจว่า ดีจริงๆ ทุกคนจะได้มาอับอายไปพร้อมๆ กัน
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า สีหน้านิ่งสงบ “คุณชายสวี่เป็นคนฉลาดจริงๆ สมแล้วที่เป็นปัญญาชนผู้ร่ำเรียนวิชาปราชญ์ ไม่แพ้พี่ใหญ่ของเจ้าที่ขวางกองทัพแปดพันด้วยตัวคนเดียวในอวิ๋นโจวคนนั้นเลย”
สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ “ชมเกินไปแล้วๆ พระองค์ต่างหากที่เป็นผู้ที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในพรรคฟ้าดิน ใช้ภาพล่าสัตว์ในฤดูสารทมาดึงดูดความสนใจในการล่าสัตว์ของหลินอันแล้วซ่อนตัวเองไว้อย่างดี”
ฮว๋ายชิ่งหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณชายสวี่เก่งกาจจริงเชียว คนอื่นเล่ารู้หรือไม่”
“ยะ อย่าพูดเลย…” หลี่เมี่ยวเจินปิดหน้าเงียบๆ
สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งเงียบไปพร้อมกัน ต่างก็ตั้งหน้าตรงไม่พูดอะไร
ขอแค่เราไม่อาย คนอื่นก็จะอายแทน
สวี่ชีอันมองหน้าธิดาคนโตของจักรพรรดิผู้มีสีหน้าสงบนิ่งไม่ตะลึงลาน ในใจก็เอ่ยพึมพำอยู่สองสามประโยค
ถ้าไม่ใช่เมื่อกี้เห็นเจ้าอึ้งงันไปละก็ ข้าก็คิดจริงๆ แล้วว่าเจ้าเป็นพวกไม่ละอายและไร้มโนธรรม…
หลี่เมี่ยวเจินกระแอมไอแล้วมองดูพวกเขา ก่อนเอ่ยแนะนำขึ้นมา “เรื่องในวันนี้ก็ให้พวกเราสามคนรู้เท่านั้นพอ ดีหรือไม่”
“ข้าไม่มีความเห็น” สวี่ชีอันพยักหน้าอย่าง ‘ใจเย็น’
เมี่ยวเจินช่วยได้ดีจริงๆ!
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าแล้วเหลือบมองเขาเล็กน้อย “มีใครอีกบ้างที่รู้ตัวตนของเจ้า”
สวี่ชีอันตอบกลับ “ไม่มีแล้ว มีแค่พวกเจ้าสองคน”
ละเว้นลี่น่าไปโดยอัตโนมัติ
จากนั้นก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฮว๋ายชิ่งเริ่มนำกลับเข้าสู่หัวข้อที่ถูกต้อง “สืบคดีกระจ่างแล้วหรือ”
สวี่ชีอันรับคำ ‘อืม’ แล้วกล่าวต่อ “แต่ก่อนหน้านั้น พวกท่านสองคนโปรดตอบคำถามของข้าก่อน องค์หญิง พระองค์ทรงได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “เมี่ยวเจิน เจ้าได้รับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตอนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไปนิกายสวรรค์ใช่หรือไม่”
หลี่เมี่ยวเจินไม่อาจซ่อนความประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าสืบคดีจนกระจ่างแล้วจริงๆ อย่างแรกต้องบอกพวกเจ้าเรื่องหนึ่งก่อนเลยว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนก็คือผู้นำเต๋านิกายปฐพี”
สีหน้าของฮว๋ายชิ่งและหลี่เมี่ยวเจินชะงักนิ่งโดยพลัน
สีหน้าของฮว๋ายชิ่งเคร่งเครียดจริงจังเกินใคร นางเอ่ยเน้นทีละคำ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“ผู้นำเต๋านิกายปฐพีตกสู่ทางมาร แต่ไม่ได้ตกลงไปเต็มตัว จิตดีถูกแยกออกมาแล้วกลายเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียน เมี่ยวเจิน เจ้าน่าจะจำได้ ตอนที่เจ้าปกป้องเมล็ดบัว นักบวชเต๋าจินเหลียนได้ผูกมัดเฮยเหลียนเอาไว้คนเดียว ทั้งยังพัวพันกับจิตมารสายนั้นของเขาด้วย” สวี่ชีอันมองไปยังเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว “ตอนนั้นข้าสับสนอยู่จริงๆ แม้จะเป็นจิตมารเพียงสายเดียว แต่ก็เป็นจิตมารขั้นสองที่ผ่านการบ่มเพาะแล้ว อีกทั้งนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ไม่ใช่แม้แต่ขั้นสาม เช่นนั้นเขาต้านมันได้อย่างไร เพียงแต่…”
เพียงแต่เจ้าขี้เกียจใช้สมองคิดน่ะสิ! สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ
ถ้าฮว๋ายชิ่งอยู่ด้วยในตอนนั้นก็คงจะคิดอะไรได้มากกว่านี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ฮว๋ายชิ่งเป็นไก่อ่อนและไม่ได้ฝึกตน
สวี่ชีอันไม่ได้หยุดชะงัก เขาเล่าการคาดเดาของตนกับลั่วอวี้เหิงให้คนทั้งสองฟังอย่างไม่หมกเม็ด การเล่าครั้งนี้ เขาได้ซ่อนชื่อของลั่วอวี้เหิงเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยออกมา
เขาไม่สะดวกใจจะพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนกับราชครู เว้นแต่ว่าราชครูจะเป็นผู้อนุญาต
ในระหว่างนั้น สีหน้าของฮว๋ายชิ่งเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ทั้งตกตะลึง โกรธเกรี้ยว และมืดหม่น…ตอนสุดท้ายสีหน้าก็เหมือนคนจมน้ำ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่นิด ราวกับเสียความสามารถในการพูดไป
สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินแข็งค้างในท่าอ้าปากตาโต เหมือนกับหุ่นเชิดแข็งๆ ตัวหนึ่ง
ปีนั้นผู้นำเต๋านิกายปฐพีดูเหมือนจะปกติ แต่ความจริงมีสัญญาณที่จะตกสู่ทางมารแล้ว ไหวอ๋องและหยวนจิ่งพบเขาที่หนานย่วน ดังนั้นจึงแปดเปื้อนมลทินมาด้วยและกลายเป็นคนบ้าที่ดูเหมือนจะปกติ แต่ความจริงจิตใจบิดเบี้ยววิปริตเช่นนี้
เพราะอย่างนั้น ไหวอ๋องจึงได้สังหารล้างเมืองและหลอมยาเพื่อประโยชน์ส่วนตน
เพราะอย่างนั้น แม้จักรพรรดิหยวนจิ่งจะรู้ว่าหากมีโชคชะตาติดกายจะไม่อาจมีอายุยืนได้ แต่ก็ยังไม่ยอมจำนน
คนธรรมดาไม่ทำกันอย่างนี้ แต่หากเป็นคนกึ่งเสียสติที่มีจิตใจบิดเบี้ยวเล่า
“ที่แท้ ผู้กระทำผิดทั้งหมดก็คือนักบวชเต๋าจินเหลียน…” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงราวกับทอดถอนใจ
“ดังนั้น วันนั้นเจ้าจึงนัดให้ข้ามาพบเป็นการส่วนตัวแต่ไม่ใช้หนังสือปฐพีมาส่งข้อความ เพราะกลัวว่าจะถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนเห็น และไม่เชื่อใจนักบวชเต๋าจินเหลียนด้วย” ฮว๋ายชิ่งยชิงกล่าวเสียงต่ำ
“ใช่ ข้าไม่แน่ใจว่านักบวชเต๋าจินเหลียนรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่ ข้า ข้าไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไหร่” สวี่ชีอันถอนหายใจ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า เป็นใครก็ต้องทำเช่นนี้ทั้งนั้น เดิมคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเชื่อถือแท้ๆ แต่ผลคือเขากลับกลายเป็นต้นเหตุของความผิดบาปทุกอย่าง
“ความผิดปกติที่ใต้ดินของชีพจรมังกรนั้น มาจากร่างแยกอีกร่างของนักบวชเต๋าจินเหลียนหรือ” หลี่เมี่ยวเจินถาม
‘บัดซบ ข้ายังไม่ได้สืบความจริงของคดีนี้เลย ตามหลังสวี่ชีอันอยู่ตั้งเยอะ เป็นเพราะเขาไม่ยอมแบ่งปันเบาะแสกับข้านั่นแหละ’…เทพธิดานิกายสวรรค์กอบกู้ศักดิ์ศรีให้ตัวเอง
“ไม่รู้ จากนี้อีกครึ่งเดือนข้าจะไปตรวจสอบที่ชีพจรมังกรอีกครั้ง ครั้งนี้จะต้องมีผลลัพธ์แน่นอน” สวี่ชีอันไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไรครั้งนี้ถึงจะมีผลลัพธ์
หลี่เมี่ยวเจินและฮว๋ายชิ่งก็ไม่ได้ถามเพิ่ม
“ดังนั้น ความจริงแล้วยาวิญญาณก็คือสิ่งจำเป็นสำหรับชีพจรมังกรใต้ดิน และยาอายุวัฒนะเหล่านั้นที่เสด็จพ่อหลอมขึ้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ” ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิด
“น่าจะเป็นอย่างนั้น” สวี่ชีอันกล่าว
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เสด็จพ่อจะยัง…ยังสามารถขจัดมลพิษที่ปนเปื้อนออกไปได้หรือไม่”
สวี่ชีอันกล่าว “อันดับแรกพวกเราต้องเข้าใจในธรรมชาติของมลพิษนี้ก่อน ถ้าอุปนิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนไป เช่นนั้นก็ยากจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิม แต่ถ้าเขาอยู่ภายใต้การควบคุม เช่นนั้นบางทีนักบวชเต๋าจินเหลียนอาจจะมีวิธีช่วย”
อย่างแรกคือตัวเองย่ำแย่ไปแล้ว นิสัยของคนทั้งคนพังเละเทะ ยากจะฟื้นคืนกลับได้ แต่ถ้าเป็นในกรณีหลัง เพียงแค่ต้องปลดปล่อยออกจากการควบคุม จากนั้นเขาก็จะสามารถฟื้นคืนมาได้
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินดังนั้นก็เอ่ยแทรกว่า “ไม่สิ แม้ว่าอุปนิสัยจะย่ำแย่ไปแล้ว แต่ถ้าภิกษุชั้นสูงของสำนักพุทธสามารถช่วยได้ ก็อาจช่วยให้หยวนจิ่งกระจ่างใจเห็นธรรมและฟื้นกลับมาเป็นตัวเขาจริงๆ ก็ได้นะ”
ดวงตาของฮว๋ายชิ่งสว่างวาบเล็กน้อย
“อ้อ แล้วเรื่องเหล่านี้ต้องบอกลี่น่าหรือไม่” จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินถาม
“บอกนางทำไม” สวี่ชีอันถามกลับ
ฮว๋ายชิ่งไม่พูดอะไร แต่แววตาที่มองไปยังหลี่เมี่ยวเจินก็แสดงความหมายเดียวกัน
“เวลาสู้กันค่อยเรียกนางไปก็พอ เรื่องใช้สมองแบบนี้ไม่จำเป็นหรอก อย่าไปทำให้คนเขาลำบากใจเลย” สวี่ชีอันกล่าว
‘มีเหตุผล!’ หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าช้าๆ
หลังจากตกลงรอดูสถานการณ์อีกครึ่งเดือน สวี่ชีอันก็ไปส่งฮว๋ายชิ่งออกจากจวน
ก่อนจากไป ฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ครึ่งเดือนหลัง หากความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย เจ้าก็ไม่ต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว”
‘ทุกคนและท่านโหราจารย์จะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหา ‘กึ่งเสียสติ’ ของเสด็จพ่อได้อย่างแน่นอน’
ไม่อาจตัดใจจากข้าล่ะสิ…สวี่ชีอันยิ้มและไม่ตอบ
ผ่านไปพักหนึ่งฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยขึ้นอีก “ช่วงนี้ข้าจะตรวจสอบเบาะแสทั้งหมดอีกครั้ง หากมีปัญหาใด เดี๋ยวข้าจะแจ้งพวกเจ้า”
เมื่อพูดจบก็ขึ้นไปบนรถม้าแล้วออกจากท้องถนน
…
กำแพงเมืองแตกหัก ภายในป้อมปราการ
เหล่าแม่ทัพนายกองขั้นสูงของต้าฟ่งมารวมตัวกันในห้องโถงและโต้เถียงกันอย่างดุเดือด
เว่ยเยวียนราวกับทำเป็นหูหนวก เขายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าแผนที่ภูมิลักษณ์โดยไม่เอ่ยคำ
ตอนนี้ผ่านมาสิบวันแล้วหลังจากบุกโจมตีเมืองติ้งกวน กองทัพทะลวงกำแพงเมืองราวกับคมดาบที่แทงลงไปในดินแดนเบื้องหลังของเหยียนกั๋ว
ตอนนี้ได้ยึดเมืองหน้าด่านทั้งเจ็ดแห่งเอาไว้หมดแล้ว รวมเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ และเมืองที่อยู่ ณ ปัจจุบันมีชื่อว่าเมืองซวีเฉิง ซึ่งเป็นทางผ่านสุดท้ายก่อนไปถึงเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว
เพียงแค่ก้าวเดียวก็สามารถไปถึงเมืองหลวงของเหยียนกั๋วได้แล้ว สิบวัน…เว่ยเยวียนใช้เวลาเพียงสิบวันก็โค่นล้มอาณาจักรที่ได้ชื่อว่ามีอันตรายนับไม่ถ้วนจนกระเจิง
ส่วนเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว จะตีหรือไม่ตีนั้น ในหมู่แม่ทัพต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันอย่างยิ่ง
เพราะกองทัพต้าฟ่งตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นใหญ่หลวง นั่นคือพวกเขาขาดเสบียง!
“เหตุใดเสบียงอาหารแห้งยังไม่มาอีกเล่า ถ้าตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ สามวันก่อนเสบียงชุดแรกก็ควรส่งมาถึงแล้วนี่ เราตีต่อไปไม่ได้แล้ว ทำศึกแนวหน้าลากยาวเกินไป เสบียงของพวกเราขาดไปแล้ว หากไม่มีอาหาร ไม่มีปืนใหญ่ ไม่มีหน้าไม้ แล้วจะบุกอย่างไร”
แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จากเมืองติ้งกวนถึงเมืองซวีเฉิง พวกเราสูญเสียทหารไปกว่าครึ่ง อีกทั้งเมืองหลวงของเหยียนกั๋วก็มีภูเขารายล้อมสองด้าน อาศัยกำลังทหารตอนนี้ของเราไม่สามารถเอาชนะได้เลย หากเป็นไปตามที่คาด เมืองหลวงของเหยียนกั๋วก็จะต้องมีพ่อมดขั้นสามหนึ่งคนรักษาการณ์อยู่อย่างแน่นอน”
นายพลหนุ่มผู้นี้มีนามว่าจ้าวอิง เกิดในตระกูลทหาร เป็นยอดฝีมือขั้นสี่ และเป็นผู้โดดเด่นในหมู่ชายหนุ่มแห่งต้าฟ่ง
เขาสนับสนุนให้ถอนทัพ นับว่าเป็นหัวหน้าในฝ่ายอนุรักษนิยม
ส่วนฝ่ายต่อต้านนำโดยหนานกงเชี่ยนโหรว เขาสนับสนุนการโจมตีเหยียนกั๋วเพื่อยึดครองในคราวเดียว
“ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือหกสิบลี้ก็จะเป็นเมืองหลวงของเหยียนกั๋วแล้ว หลังจากโจมตีเมืองซวี เสบียงและกระสุนของพวกเราก็จะมีมาเสริมและสามารถออกรบต่อไปได้” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยเสียงเรียบ
“ที่พวกเรารบมาจนถึงตรงนี้ก็อาศัยคำว่า ‘คล่องแคล่งรวดเร็ว’ ทั้งนั้น หากถอยทัพก็เท่ากับให้โอกาสพักหายใจกับเหยียนกั๋วน่ะสิ แต่ถ้าเราโจมตีเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว อาวุธและเสบียงอาหารก็สามารถเติมเต็มได้
การได้ชัยชนะยิ่งใหญ่แบบนี้มา ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับไวของท่านพ่อบุญธรรม ที่เกือบจะทำลายกองกำลังของทัพเหยียนได้แล้ว ตอนนี้กำลังของทัพฟ่งราวกับสายรุ้งที่พุ่งพรวดขึ้นมา แต่หากนำกองกำลังไร้พ่ายนี้ถอยทัพไป ก็ยากจะรบชนะได้หากต้องเผชิญหน้ากับเมืองที่ยิ่งใหญ่อันตรายอย่างเมืองหลวงของเหยียนกั๋วที่มีกองทัพเสริมของคังกั๋ว”
จ้าวอิงจ้องเขม็งไปยังหนานกงเชี่ยนโหรวแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“ความรวดเร็วคล่องแคล่วไม่เหมาะจะนำมาใช้กับเมืองหลวงของเหยียน เมืองหลวงเหยียนรายล้อมด้วยภูเขาทั้งสองด้าน ป้องกันง่ายโจมตียาก ในภูเขาก็มีกองทัพสัตว์บินรักษาอยู่ อยู่คนละชั้นกับเมืองอื่นๆ ด้วยซ้ำ อีกอย่าง แม้พวกเราจะยึดเมืองทั้งเจ็ดได้ แต่ตลอดทางที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือว่าชาวยุทธภพก็ดี ไหนจะพวกทหารของเหยียนกั๋วที่พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเมืองหลวงของเหยียนทั้งสิ้น
หากเมืองแตก ทุกคนก็ต้องตาย นี่คือฉันทามติของพวกเขา ตอนนี้เมืองหลวงเหยียนจะต้องรวบรวมกำลังในเมืองมาป้องกันเมืองอย่างถึงที่สุด ซึ่งกองทัพของเรายังรับมือไม่ไหว และเมื่อเราสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจากการโจมตีเมือง นั่นคือเวลาที่อีกฝ่ายจะโต้กลับได้ นั่นอาจจะมีความเสี่ยงที่จะถูกกำจัดทั้งกองทัพด้วยซ้ำ เช่นนั้นไม่สู้ถอยเพื่อพักฟื้น จากนั้นเติมเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วค่อยบุกอีกครั้ง”
เมืองหลวงเหยียนง่ายต่อการป้องกันแต่ยากที่จะโจมตี แม่ทัพส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นฝ่ายอนุรักษนิยมจึงมีมากกว่าฝ่ายต่อต้าน
สาเหตุที่พวกเขายังคงโต้เถียงกันอยู่นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าความคาดหวังต่อเว่ยเยวียน
“พักผ่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้ออกเดินทาง กองทัพจะต้องประชิดกำแพงเมือง” เว่ยเยวียนชี้ไปยังเมืองหลวงของเหยียนกั๋วบนแผนที่
การทะเลาะวิวาทสิ้นสุดลง
………………………………………………………………..