ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 455 ความจริงที่หายไป
บทที่ 455 ความจริงที่หายไป
แม้สวี่ซินเหนียนจะดูถูกบิดาและพี่ใหญ่;jkเป็นทหารจอมต่ำช้าอยู่ในใจ แต่บิดาก็คือบิดา ตนเองดูถูกได้ไม่เป็นไร จะให้คนนอกกล่าวใส่ร้ายได้อย่างไร
ดังนั้น เมื่อฟังคำกล่าวหาของเจ้าพานอี้ สวี่ซินเหนียนกำลังคำนวณอายุของตนเองและน้องสาวอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว ยืนยันว่าเป็นญาติของตนเอง ถึงจะหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ สะบัดแขนเสื้อพลางยิ้มหยันกล่าว
“เจ้าพานอี้ เจ้ากล่าวอยู่คำเดียวว่าพ่อข้าเนรคุณ มีหลักฐานหรือไม่? “
ยุทธการด่านซานไห่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ตนเองอายุยี่สิบปี หลิงเยวี่ยอายุสิบแปดปี เวลาไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นเขาและหลิงเยวี่ยไม่ใช่ลูกกำพร้าของตระกูลโจว
เจ้าพานอี้เอือมระอา “คนตายไปตั้งยี่สิบเอ็ดปีแล้ว จะมีหลักฐานอะไรอีก แต่สวี่ผิงจื้อเป็นคนเนรคุณก็คือเนรคุณ ข้าคุ้มหรือที่จะกล่าวใส่ร้ายเขา?”
สวี่เอ้อร์หลางไม่กล่าวอะไร กวักมือ “เข้ามา จับมัดเจ้าอัปลักษณ์นี้ให้ข้า”
ทหารที่ต้มเนื้อให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของด้านนี้อยู่ตลอด เมื่อได้ยินดังนั้น ชักกระบี่ออกจากฝักทีละคน กรูเข้ามา ทหารสามสิบนายรวมทั้งเจ้าพานอี้ถูกห้อมล้อม
ทหารที่อยู่ในอำนาจของเจ้าพานอี้ชักกระบี่ออกมา เผชิญหน้ากับสหายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะบาดเจ็บ แม้จะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่ก็ไม่เกรงกลัวเสียนิดเดียว
อยู่ในสนามรบ ก็เหมือนติดอยู่ในนรก ตั้งแต่การออกทัพ ผลัดกันสู้รบกับทหารม้าของจิ้งกั๋ว ความเกลียดชังได้รับการหล่อเลี้ยงมานานแล้ว และไม่มีใครกลัวความตาย
เจ้าพานอี้กดมือลง ส่งสัญญาณให้ลูกน้องอย่าวู่วาม ‘ถุย’ พ่นเสมหะออกมา พลางกล่าวอย่างไม่สนใคร “ข้าไม่สู้สุดชีวิตกับสหาย ไม่เหมือนบางคน ที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ต่างเป็นเลวระยำหมาที่เนรคุณ”
สีหน้าของสวี่เอ้อร์หลางอึมครึม ตะโกนสั่ง “จับเขาไว้”
ทหารกรูเข้ามา ใช้กระบี่กระแทกเจ้าพานอี้และคนอื่นๆ ทั้งมัดอย่างแน่นหนา และโยนไปไว้อีกฝั่ง จากนั้นก็กลับไปต้มเนื้อม้าต่อ
เจ้าพานอี้ยังคงพูดไปด่าไปอยู่ตรงนั้น บรรพบุรุษของตระกูลสวี่ทั้งสิบแปดรุ่นต่างถูกด่าทอ แม้แต่สตรีที่อยู่ในความอุปการะก็ด้วย
สวี่ซินเหนียนสั่งการให้ลูกน้องปิดปากของเจ้าพานอี้ ทำให้เขาได้เพียงแต่อือๆๆ เท่านั้น ไม่สามารถพ่นคำหยาบคายได้อีก
“เรื่องในบ้านหรือ?”
ฉู่หยวนเจิ่นเห็นเขาขมวดคิ้วแน่น จึงหัวเราะพลางกล่าวหยั่งเชิง
สวี่ซินเหนียนส่ายหน้า สายตามองไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลนัก กล่าวอย่างลังเล “ข้าไม่เชื่อว่าพ่อข้าจะเป็นคนเช่นนี้ แต่คำพูดของเจ้าพานอี้ ทำให้ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเก็บเขาไว้ก่อน”
เมื่อตอนยังเด็ก พี่ใหญ่และท่านแม่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกัน ทำให้ท่านพ่อปวดหัวหนัก ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อมักจะพูดถึงความขัดแย้งของตนเองและท่านลุงบ่อยครั้ง ท่านลุงป้องกันกระบี่แทนท่านพ่อ และเสียชีวิตในสนามรบ
สวี่เอ้อร์หลางฟังตั้งแต่เด็กจนโต ตอนนี้กลับมีโจวเปียวที่ปรากฏตัวออกมาอย่างงุนงง ดูไม่สมเหตุสมผลและแปลกประหลาดอย่างชัดเจน
เขามองไปทางฉู่หยวนเจิ่น กล่าว “เจ้าดูเหมือนจะมีวิธีติดต่อพี่ใหญ่ของข้า?”
‘สวี่เอ้อร์หลางยังคงระมัดระวังยิ่งนัก ที่นี่ไม่มีคนนอก กล่าวถึงหนังสือปฐพีตรงๆ ไปเลยก็ได้แล้วมิใช่หรือ’…ฉู่หยวนเจิ่นเอื้อมมือไปหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา กล่าวถาม “เจ้าต้องการติดต่อหนิงเยี่ยนใช่หรือไม่ ว่ามาสิ เรื่องอะไร”
สวี่ซินเหนียนเหลือบมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างแปลกใจ กล่าว “นำเรื่องที่อยู่ที่นี่บอกเขา ให้เขาไปหาพ่อข้าเพื่อหาข้อพิสูจน์”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็เห็นฉู่หยวนเจิ่นใช้มือต่างพู่กัน เขียนอักษรลงบนพื้นผิวของกระจกหยกชิ้นเล็กนั้น
…
ตะวันในยามสายัณห์ถูกกลืนกินจนลับขอบฟ้าจนหมด ท้องฟ้าสีครามอยู่ไกลออกไป สวี่ชีอันทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ในขณะที่ท้องฟ้าสีครามอยู่ไกลออกไปยังไม่ถูกม่านราตรีปกคลุมจนหมดสิ้น เขาเดินย่อยอาหารอย่างสบายใจอยู่ในลาน และเตะลูกขนไก่เป็นเพื่อนเสี่ยวโต้วติง
เสี่ยวโต้วติงยังไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองให้ดี มักจะเตะลูกขนไก่ลอยออกไปนอกจวน หรือไม่ก็เตะจนพื้นเป็นหลุมออกมา
พลังของนางเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปแล้วกระมัง นางฝึกฝนวิชาออกกำลังของฝ่ายลี่กู่เพียงไม่กี่เดือน ตกลงเป็นนางที่โชคดี หรือว่าข้าที่โชคดีกันแน่…สวี่ชีอันเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง
“ลี่น่า เกิดอะไรขึ้นกับหลินอิน? ความก้าวหน้าดูเกินจริงมากไปแล้ว”
เขาหันหน้าไปมองลี่น่า ที่นั่งปอกเปลือกกินส้มอยู่อีกฝั่ง
เมื่อลี่น่าได้ยินก็ย่นจมูก “ข้าเคยบอกแล้วว่าหลินอินแข็งแรงเหมือนลูกวัว เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดลม เป็นต้นกล้าที่ดีในการบำเพ็ญพรตลี่กู่ เจ้าไม่เชื่อการตัดสินของข้ารึ”
ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ก็ช่างยอดเยี่ยมไปเลย ข้าใกล้จะอิจฉาตาร้อนแล้ว…สวี่ชีอันกุมลูกขนไก่ใว้ในมือ มองหลุมที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของสวี่หลินอิน พลางกล่าวอย่างจนใจ
“ตอนนี้นางยังไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้ ไม่ระวังเสียหน่อยก็จะออกแรงมากเกินไป ด้านการบำเพ็ญพรต ชะลอลงหน่อยเถอะ”
เสี่ยวโต้วติงเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสคนหนึ่ง อีกทั้งยังติดอาสะใภ้แจ เมื่อต้นปีไปเรียนที่สถานศึกษา เมื่อกลับถึงบ้าน ก็จะแบกกระเป๋าใส่ตำราใบเล็กวิ่งอย่างบ้าคลั่งเข้ามายังห้องโถง วิ่งเหมือนวัวกระทิงพุ่งเข้าใส่ก้นลูกท้อกลมๆ ของมารดานาง
ตอนนี้กควบคุมพลังไม่ได้และเผลอออกไปข้างนอกเข้าสักวันหนึ่ง…ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ ไม่แน่บ้านสกุลสวี่อาจมีลูกกำพร้าเพิ่มอีกสามคนก็เป็นได้
“อ้อ!”
ลี่น่าพยักหน้า นางคิดขึ้นมาได้แล้วว่า หลินอินไม่ใช่เด็กของฝ่ายลี่กู่ เด็กของฝ่ายลี่กู่สามารถระเบิดพลังได้ตามอำเภอใจ และไม่กลัวว่าจะทำร้ายครอบครัว
หากทำลายข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ภายในบ้าน ยังต้องระวังบิดามารดาระเบิดพลังตามอำเภอใจใส่อีก
แต่หลินอินทำเช่นนั้นไม่ได้ บ้านสกุลสวี่ล้วนเป็นเพียงคนธรรมดา
สวี่ชีอันพึงพอใจแล้ว คนผิวคล้ำตัวเล็กจากซินเจียงตอนใต้เป็นแม่นางที่ซื่อบื้อ แต่ข้อดีของความซื่อบื้อก็คือไม่หยิ่งผยอง และเชื่อฟัง
คำถามเดียวกัน หากเปลี่ยนเป็นหลี่เมี่ยวเจิน นางคงจะกล่าวว่า ‘วางใจเถอะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การฝึกฝนจะเพิ่มระดับยิ่งขึ้น รับประกันว่าจะทำให้นางควบคุมพละกำลังในเวลาที่สั้นที่สุดให้ได้’
เปลี่ยนเป็นหลินอัน ‘เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียนแล้ว พวกเราไปเล่นด้วยกันเถอะ’
เปลี่ยนเป็นไฉ่เวย ‘การบำเพ็ญพรตน่าเบื่อจะตาย พวกเรามากินกันเถอะ’
เปลี่ยนเป็นฮว๋ายชิ่ง ‘เจ้ากำลังสั่งสอนข้ารึ’
เวลานี้ ความรู้สึกหัวใจเต้นแรงที่คุ้นเคยกลับมาแล้ว สวี่ชีอันทิ้งเสี่ยวโต้วติงกับลี่น่าไว้ และรีบเดินเข้าห้องไปในทันที
เขาคลำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอน เป็นฉู่หยวนเจิ่นที่ส่งคำขอแชทส่วนตัวกับเขา
หมายเลขสาม ‘พี่ฉู่ การสู้รบทางแดนเหนือเป็นเช่นไรบ้าง’
หมายเลขสี่ ‘สู้รบยากยิ่งนัก แต่ถือว่ายังดี ที่มีผู้แพ้และผู้ชนะ ข้าติดต่อเจ้า เพราะจะมาถามถึงเรื่องเรื่องหนึ่งแทนสวี่เอ้อร์หลาง’
หลังจากนั้นไม่นาน ข้อความช่วงที่สองก็ส่งมา หมายเลขสี่ ‘พวกเราพบเข้ากับนายกองธงแห่งเมืองยงโจวคนหนึ่งชื่อเจ้าพานอี้ อ้างว่าเป็นสหายรักกับอารองสวี่ในช่วงสงครามด่านซานไห่
เมื่อเขาเห็นสวี่เอ้อร์หลางก็ด่าทออย่างรุนแรง ดุด่าอารองสวี่ว่าเป็นคนเนรคุณ เหตุผลคือเมื่อตอนนั้นที่เจ้าพานอี้ อารองสวี่ กับอีกคนหนึ่งที่ชื่อโจวเปียว ทั้งสามเป็นสหายรักที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ในระหว่างสู้รบในสนาม
จากนั้น โจวเปียวได้เข้ารับกระบี่แทนอารองสวี่ และเสียชีวิตในสนามรบ อารองสวี่เคยสาบานว่าจะปฏิบัติดีต่อครอบครัวอีกฝ่าย แต่อารองสวี่ผิดสัญญา และในเวลายี่สิบปีมานี้ไม่เคยไปเยี่ยมครอบครัวของโจวเปียวเลย ฉือจิ้วไม่เชื่อว่ามีเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงให้ข้าส่งสารหาเจ้า และรบกวนให้เจ้าไปถามอารองสวี่’
สวี่ชีอันเกือบจะใช้มือที่สั่นเทา เขียนกลับไปว่า ‘รอข้าประเดี๋ยว!’
หลังจากเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้ไปหาอารองทันที แต่กลับรินน้ำให้ตนเองหนึ่งจอก ดื่มอย่างช้าๆ หลังจากดื่มน้ำแล้ว มือก็ยังไม่หายสั่น
“เอี๊ยด…”
เมื่อเปิดประตู สวี่ชีอันก็เดินไปยังห้องปีกตะวันออกด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ เคาะประตูที่มีแสงเทียนลอดออกมา
อารองสวี่สวมชุดสุภาพสำหรับทำงาน เดินมาเปิดประตู ยิ้มแหะแหะกล่าว “หนิงเยี่ยน มีเรื่องอันใดหรือ?”
สวี่ชีอันเปิดปาก และปิดกลับไปอีก ผ่านไปไม่นาน ก็กล่าวถามเสียงเบา “อารอง ท่านรู้จักเจ้าพานอี้หรือไม่”
อารองสวี่เห็นได้ชัดว่าตกตะลึง ตาคมดุจเสือเบิกกว้างเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยความตะลึงงัน “เจ้ารู้จักพี่น้องของข้าที่คบหากันในช่วงสงครามด่านซานไห่เมื่อตอนนั้นได้อย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้ เขาคือพี่น้องที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันของข้าเลยเชียว”
สวี่ชีอันพยักหน้า “หลังจากนั้นเหตุใดจึงไม่ติดต่อแล้วเล่า?”
อารองสวี่ส่ายหัวและหัวเราะ “เจ้าไม่เข้าใจ อาชีพทหาร อยู่กันคนละฟากฟ้า ต่างคนต่างมีหน้าที่ เวลานานไป ความสัมพันธ์ก็จืดจางแล้ว”
สวี่ชีอันยังคงพยักหน้า และถามอีกครั้ง “เช่นนั้นสันนิษฐานว่าท่านก็รู้จักโจวเปียว?”
อารองสวี่พินิจหลานชาย คิ้วเข้มขมวดแน่น “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงรู้จักเจ้าพานอี้กับโจวเปียว”
สวี่ชีอันส่ายหน้าเบาๆ “อารอง ท่านตอบข้ามาก่อน โจวเปียวเสียชีวิตในสนามรบแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่ เป็นพี่น้องที่น่าเสียดายคนหนึ่ง”
“เสียชีวิตได้อย่างไรหรือ?”
“ปีนั้น พวกเราถูกส่งไปสกัดกั้นศพทหารลัทธิพ่อมด โจวเปียวก็เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนั้น” ใบหน้าอารองสวี่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
“ไม่ใช่ป้องกันกระบี่แทนท่านหรอกหรือ”
“กล่าวเพ้อเจ้ออะไรกัน คนที่ป้องกันกระบี่แทนข้าคือพ่อเจ้า”
“…”
ลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยือกเย็นพัดเข้ามา ใต้ระเบียงชายคา โคมไฟสั่นไหวเล็กน้อย แสงเทียนแกว่งไกว ส่องสว่างใบหน้าของสวี่ชีอัน ดูเอาแน่เอานอนไม่ได้
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณอารอง…”
ผ่านไปนานมาก สวี่ชีอันจึงกล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันหลังกลับและจากไป ท่ามกลางสายตาสับสนงุนงงของอารองสวี่
อารองสวี่มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปของหลานชาย ระหว่างกลับห้องนอน อาสะใภ้ที่สวมชุดสีขาวตัวเล็กนั่งอยู่บนเตียง โดยงอขายาวทั้งสองข้าง และอ่านนิทานภาพตอนยาวพื้นบ้านเล่มหนึ่งอยู่
นิทานภาพตอนยาวเป็นตำราสำหรับเด็กโดยเฉพาะ และสำหรับพัฒนาคนที่ไม่รู้อักษรเช่นอาสะใภ้
อาสะใภ้ที่งดงามและอวบอิ่มไม่เงยหน้า ตั้งใจอ่านนิทานภาพตอนยาวอยู่ กล่าว “หนิงเยี่ยนมาหาท่านมีเรื่องอะไรหรือ ข้าได้ยินท่านกำลังกล่าวถึงพี่น้องอะไรนี่”
อารองสวี่ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างสับสน
“น่าแปลก เขาถามถึงพี่น้องทั้งสองที่ฝ่าอันตรายกับข้าในช่วงสงครามด่านซานไห่ คนหนึ่งเสียชีวิตในสนามรบไปแล้ว กับอีกคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลในยงโจว เขาไม่ควรรู้จักจึงจะถูก
“แถมยังถามข้าว่าโจวเปียวป้องกันกระบี่แทนข้าใช่หรือไม่ ในสนามรบข้าอ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ คนนั้นคนนี้ถึงต้องป้องกันกระบี่แทนข้า”
อาสะใภ้เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำที่มีชีวิตชีวาพินิจเขา กล่าวพลางขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน ใครนะ?”
“โจวเปียว เจ้าไม่รู้จัก นั่นเป็นพี่น้องตั้งแต่ข้าเป็นทหาร”
อาสะใภ้ส่ายหน้า “ไม่ ข้าจำเขาได้ ตอนที่เจ้ากลับมาจากการเขียนจดหมาย เหมือนเคยมีการเอ่ยถึงคนคนนี้ กล่าวว่าโชคดีที่มีเขาเจ้าถึงมีชีวิตรอดอะไรทำนองนั้น ข้าจำได้ว่าจดหมายฉบับนั้นแม่ของหนิงเยี่ยนยังอ่านให้ข้าฟัง”
น่าเสียดายที่นั่นเป็นจดหมายตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน หายไปตั้งนานแล้ว
สีหน้าอารองสวี่แข็งทื่อทันที มองภรรยาอย่างไม่เชื่อสายตา เหมือนกับกำลังมองคนบ้าอยู่
…
หมายเลขสาม ‘บอกเอ้อร์หลาง ว่ามีคนคนนี้อยู่จริงๆ เป็นอารองที่ทำให้เขาผิดหวัง’
หลังจากส่งสารเสร็จ สวี่ชีอันก็นำชิ้นส่วนหนังสือปฐพียัดไว้ใต้โต๊ะ กล่าวเสียงเบา “เจ้าออกไปข้างนอกก่อน ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
จงหลีที่อยู่บนเตียงเล็กไม่ไกลนัก เหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง หยิบรองเท้าปักลาย เดินเขย่งเขย่งเท้าจากไป
เมื่อประตูห้องปิดลง สวี่ชีอันนั่งเหี่ยวเฉาอยู่ที่โต๊ะเป็นเวลานานโดยไม่มีการขยับตัว เหมือนกับรูปปั้นก็มิปาน
…
แดนเหนืออันไกลโพ้น ฉู่หยวนเจิ่นที่อ่านสารที่ส่งมาจบแล้ว ก็เงียบไปครู่หนึ่ง หันกลับไปมองสวี่ซินเหนียนที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ในใจของสวี่ซินเหนียนก็กระตุกวูบ อย่างที่คาดไว้ ก็ได้ยินฉู่หยวนเจิ่นกล่าว “หนิงเยี่ยนบอกว่า ที่เจ้าพานอี้กล่าวเป็นเรื่องจริง”
สีหน้าของสวี่ซินเหนียนดูแย่เป็นอย่างยิ่ง เขาเงียบเป็นเวลานานสักพัก และชักกระบี่ออกมา เดินไปทางเจ้าพานอี้
ดวงตาของเจ้าพานอี้เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว จ้องเขม็งไปที่สวี่ซินเหนียน ปากของเขาส่งเสียง ‘อือๆๆ’ ออกมา
เหล่าลูกน้องของเขาเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรู ต่างด่าสาปแช่ง
ทหารที่กินซุปเนื้ออยู่ก็ได้ยินเช่นกันต่างมองเข้ามา
สวี่ซินเหนียนพลิกข้อมือ ตัดเชือกขาดด้วยดาบเพียงครั้งเดียว ขยับมือโยนกระบี่ทิ้งไปอีกฝั่ง โค้งคำนับอย่างจริงใจ”เป็นพ่อข้าที่ไม่ใช่ลูกผู้ชาย หนี้ของบิดาบุตรใช้คืน เจ้าคิดจะทำอย่างไร ข้าแล้วแต่เจ้า”
เจ้าพานอี้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งเหยียดหยามทั้งสงสัย คิดไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงมีท่าทางเปลี่ยนไปยิ่งนัก
เขาหัวเราะเยาะ “คนที่สวี่ผิงจื้อต้องรู้สึกผิดไม่ใช่ข้า เจ้าแสร้งทำเป็นซื่อกับข้าทำไมกัน?”
เจ้าพานอี้ถ่มน้ำลายใส่เท้าของสวี่ซินเหนียน โน้มตัวไปหยิบกระบี่ แก้มัดให้เหล่าลูกน้อง และเตรียมจะพาคนจากไปแล้ว
“รอเดี๋ยว!”
สวี่ซินเหนียนตะโกนให้หยุด กล่าว “เหล่าพี่น้องต่างได้รับบาดเจ็บ และท้องร้อง อยู่พักพันแผล และดื่มซุปเนื้อสักประเดี๋ยวแล้วค่อยไปเถอะ”
เมื่อเห็นเจ้าพานอี้ไม่รับน้ำใจ เขาก็กล่าวขึ้นทันที “เรื่องเจ้ากับพ่อข้า เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเหล่าพี่น้อง เจ้าไม่อาจเพื่อความแค้นของตนเอง จนไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายของทหารต้าฟ่งของข้า”
สวี่ซินเหนียนกล่าวเกลี้ยกล่อมเจ้าพานอี้ได้สำเร็จ เขาไม่ฝืนใจ ยอมอยู่ต่ออย่างฝืนทน และนั่งรอบกองไฟ แบ่งปันซุปเนื้อที่หอมกรุ่นกับเหล่าสหายเดียวกัน ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมา
สวี่ซินเหนียนกลับมาอยู่ข้างกายฉู่หยวนเจิ่น จ้องไปที่กระจกหยกชิ้นเล็กในมือของเขา อย่างรู้สึกอัศจรรย์ “นี่เจ้าใช้ไอ้นี่สื่อสารกับพี่ใหญ่ข้าหรือ?”
ฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงแหะ พลางหัวเราะอย่างสบายๆ “แน่นอน หนังสือปฐพีสามารถส่งสารได้ไกลถึงพันลี้หมื่นลี้…”
รอยยิ้มของเขาหยุดลง หันคอทีละนิด และมองสวี่ซินเหนียนอย่างอึ้งๆ
“เป็นอะไรหรือ?” สวี่ซินเหนียนกล่าวอย่างงุนงง
“เจ้าไม่รู้จักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหรือ” ฉู่หยวนเจิ่นอ้าปากกว้าง และพ่นออกมาทีละคำทีละประโยค
“ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคืออะไรหรือ?” สวี่ซินเหนียนยังคงงุนงง
‘ตึกๆๆ’..ฉู่หยวนเจิ่นก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าวอย่างตกใจ น้ำเสียงค่อนข้างแหลมเล็กน้อย “เจ้าไม่ใช่หมายเลขสาม?!”
“หมายเลขสามคืออะไรหรือ?”
‘เคร้ง’…ชิ้นส่วนปฐพีที่อยู่ในมือฉู่หยวนเจิ่นไถลออกมา ร่วงลงสู่พื้น
…
ดึกดื่นแล้ว สวี่ชีอันลุกออกจากโต๊ะ เปิดหน้าต่าง มองโดยรอบ เห็นจงหลีกอดเข่า นั่งพิงอยู่ใต้หน้าต่างและผล็อยหลับไป
เขาถอนหายใจ ก้มตัวลงแล้วใช้แขนลอดผ่านขาที่นั่งในท่างอเข่าเพื่ออุ้มนางขึ้นมา สัมผัสเรียบเนียนและมีเสน่ห์แผ่ซ่านมาถึงท่อนแขน
เมื่อกลับมายังห้องนอน เขาก็วางจงหลีไว้ที่เตียงนอนเล็กก่อนจะห่มผ้าให้ เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หากไม่ห่มผ้าให้นาง ด้วยรัศมีแห่งความโชคร้ายของนาง พรุ่งนี้เช้าจะต้องเป็นหวัดอย่างแน่นอน
“ฟู่ว…”
หลังจากเป่าเทียน สวี่ชีอันก็มุดเข้าไปในผ้าห่ม พอหัวถึงหมอนก็ผล็อยหลับไป
ช่วงที่ใกล้จะหลับ ความคิดสุดท้ายกลับปรากฏขึ้น ‘ข้าดูเหมือนจะละเลยเรื่องหนึ่งที่สำคัญไป!’
…………………………………………….