ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 456 ย้อนรอยความอับอายทางสังคม
บทที่ 456 ย้อนรอยความอับอายทางสังคม
ยามดึก ค่ำคืนในแดนเหนือหนาวเหน็บจนสั่นสะท้านไปถึงกระดูก
สวี่ซินเหนียนที่นอนตะแคงอยู่ข้างกองไฟ ตื่นขึ้นมาเป็นระยะ มือสองข้างวางไว้บนไหล่ของทหารสองนาย พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “โลหิตเดือดพล่าน!”
ทหารสองนายส่งเสียงครางอย่างสบายอารมณ์ ไม่ต้องนอนขดตัวคุดคู้เพื่อรักษาอุณหภูมิในกายอีกต่อไป ความพอใจในห้วงนิทราเผยออกมาเล็กน้อย
กองทัพพันธมิตรระหว่างคณะทูตปีศาจและต้าฟ่งถูกหน่วยทหารม้าติดอาวุธของจิ้งกั๋วโจมตีแตกกระเจิง ทำให้ไม่มีเวลาขนสิ่งของต่างๆ อย่างเสบียงอาหาร หรือของใช้ในชีวิตประจำวันไปด้วย
เมื่อไม่มีกระโจม เตียงนอนและผ้าห่มอุ่นๆ การนอนหลับในแดนเหนือช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นอะไรที่ทรมานมาก เหล่าทหารอาจเป็นไข้หวัด หรือแม้กระทั่งล้มตายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
ในสถานการณ์ที่ขาดแคลนเสบียง เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาย่อมถึงแก่ความตาย
ดังนั้นสวี่เอ้อร์หลางจึงตื่นขึ้นมากลางดึกเป็นระยะและใช้วรยุทธ์ปัดเป่าความหนาวเย็นและทำให้ร่างกายอบอุ่นให้กับเหล่าพวกพ้องทหาร
เขาเป็นถึงบัณฑิตขั้นเจ็ด ระดับกำเนิดปราชญ์ในขั้นนี้นอกจากจะมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนทั่วไปแล้ว ยังสามารถควบคุมประกาศิตขั้นต้นได้
คำพูดคือพลัง!
สวี่เอ้อร์หลางสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลง แข็งแกร่งขึ้น หรือบรรเทาความเจ็บปวดได้ในระดับและขอบเขตหนึ่งๆ…
ที่บอกว่าในระดับหนึ่ง คือต้องรักษาความสมเหตุสมผลเอาไว้
หากยกตัวอย่างให้เจาะจง ก็หมายถึงระดับของสวี่เอ้อร์หลางในตอนนี้ทำได้เพียงกระตุ้นความสามารถในการขับไล่ความหนาวเย็นในกายของเหล่าทหารออกมาเท่านั้น และถ้าเจ้าสำนักจ้าวโส่วอยู่ที่นี่ เพียงแค่เขาขับกลอน ‘ทะเลทรายงามงด นภาสวยสดเดือนมีนา’ เพียงท่อนเดียว
สภาพภูมิอากาศโดยรอบจะเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูใบไม้ผลิ และจะคงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากใช้วรยุทธ์ขับไล่ความหนาวเหน็บให้กับเหล่าทหารทีละคนๆ สวี่เอ้อร์หลางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความเหนื่อยล้าของตนได้ จึงหนิบเนื้อแห้งในแขนเสื้อออกมา และกัดกระชากอย่างแรง
ในตอนนี้เอง เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้นอนหลับ จ้วงหยวนหลางผู้นี้นั่งเอนหลังพิงรถม้า เท้าสองข้างฝังอยู่ในพื้นดิน ที่ขุดเป็นหลุมลึก
‘สีหน้าของเขาดูไม่ปกติเลย ฮืม ชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้รู้จักทำสีหน้าซับซ้อนเป็นกับเขาด้วย’…สวี่เอ้อร์หลางหยัดกายลุกขึ้น เดินไปนั่งข้างฉู่หยวนเจิ่นแล้วพูดว่า
“เกิดอะไรขึ้น หลังจากส่งข้อความไปเมื่อครู่ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย”
“ข้าแค่รู้สึกว่าความเชื่อใจในเพื่อนมนุษย์มันหายวับได้ภายในพริบตา…”
ฉู่หยวนเจิ่นสีหน้าซึมกะทือ จ้องมองสวี่ฉือจิ้วด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว
“เอ้อร์หลาง ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดจาแปลกๆ หรือทำตัวแปลกๆ ใส่เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาหาความนะ พอมานึกย้อนเอาตอนนี้แล้ว ข้าก็ขนลุกขนพองไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนชื่อเสียงชั่วชีวิตถูกทำลายลงในครั้งเดียว”
สวี่เอ้อร์หลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เจ้าหมายถึงตอนที่เจ้าส่งยิ้มให้ข้าข้างถนนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยน่ะหรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นราวกับถูกฟ้าฝ่า “ยะ อย่าพูดเลย…”
ความจริงช่างแจ่มชัด หมายเลขสามคือสวี่ชีอัน เขาสวมรอยเป็นญาติผู้น้องสวี่ซินเหนียนมาโดยตลอด หมายเลขสามกล่าวว่าไม่อยากให้ตัวตนของตนเองถูกเปิดเผย เพราะฉะนั้นตอนที่ได้พบกัน หากไม่เอ่ยถึงหนังสือปฐพีคงจะเป็นการดีที่สุด
หมายเลขสามกล่าวว่า ตนกำลังจะติดตามกองทัพไปออกรบ จะฝากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้พี่ใหญ่เก็บรักษาเป็นการชั่วคราว
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอุบายหลอกลวงเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าหนิงเยี่ยนคือหมายเลขสาม
‘ตะ แต่สวี่เอ้อร์หลางก็ให้ความร่วมมือดีเกินไปเหมือนกัน’
ฉู่หยวนเจิ่นถามอย่างฝืนใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้จักชิ้นส่วนหนังสือปฐพี แต่เจ้ามักจะทำดีกับข้าเสมอ อืม ขออภัย แต่ไม่ว่าข้าจะพูดจาหรือทำตัวแปลกเพียงใด เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบสนองบ้างเลย”
คำพูดมากมายที่เขาคิดว่าไม่ต้องพูดก็เข้าใจกันในตอนนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเอ้อร์หลางไม่รู้จักหนังสือปฐพี จึงไม่เข้าใจไปโดยปริยาย
สวี่ซินเหนียนกล่าวราบเรียบ “พี่ใหญ่เคยอธิบายให้ข้าฟังว่า ไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือทำตัวประหลาดอย่างไร ก็ไม่ต้องแปลกใจ ไม่ต้องส่งยิ้ม พยักหน้า หรือเพิกเฉยต่อเจ้า”
เท้าของฉู่หยวนเจิ่นขุดหลุมลึกลงไปอีกครั้ง
แต่ในไม่ช้า ฉู่หยวนเจิ่นผู้หัวไวก็คิดได้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนสวมรอยเป็นญาติผู้น้องของตนมาโดยตลอด เพื่อให้สมบทบาทจึงโอ้อวด ‘พี่ใหญ่’ ในหนังสือปฐพีเสียใหญ่โต และพูดถึงบ่อยจนแค่คิดเขาก็รู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะแล้ว
หากสวี่หนิงเยี่ยนรู้ว่าข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว คนที่ต้องอับอายควรจะเป็นเขามากกว่า!
หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลแน่!
ฉู่หยวนเจิ่นคลี่ยิ้มออกมาฉับพลัน ความคิดนี้เข้าท่าดีแฮะ
…
เมืองหลวง จวนสกุลสวี่
สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนถูกตบหัว จึงสะดุ้งตื่นทันใด เพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงไม่แปลกใจถ้าเห็นดาบไท่ผิงและจงหลีที่กำลังเคาะศีรษะของตน
จริงๆ เลย ส่งข้อความส่วนตัวมาตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ไอ้คนไร้อารยะนี่ คงไม่ใช่ฮว๋ายชิ่งที่ไม่รู้จักเที่ยวราตรีอีกแล้วใช่หรือไม่…เขาดึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอน จากนั้นหยัดกายลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็จุดเทียน
เขานั่งลง และตรวจสอบข้อความภายใต้แสงเปลวเทียน
หมายเลขสี่ ‘สวี่ชีอัน เจ้าคือหมายเลขสามใช่หรือไม่ เจ้าหลอกลวงพวกเรามาตลอด’
สวี่ชีอันตกตะลึง
ฉู่หยวนเจิ่นรู้ตัวตนของข้าตั้งแต่เมื่อไร
ความแตกตอนไหนเนี่ย
ในที่สุดเขาก็มองเห็นตัวตนของข้าจากจุดอ่อนของสวี่เอ้อร์หลางหรือ?
วินาทีนั้นเอง ความอับอายก็โหมกระหน่ำ กลืนกินเขาทั้งตัวราวกับคลื่นยักษ์ ไม่สิ สึนามิต่างหาก
หลังจากฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก สวี่ชีอันที่ตกอยู่ในความรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างสาหัส และสูญเสีย ‘ความกล้า’ ที่จะตอบกลับไปชั่วขณะ
หลังจากผ่านไปนาน เจ้าคนหน้าด้านสวี่ก็สงบสติอารมณ์ได้ และส่งข้อความตอบกลับ ‘ใช่แล้ว เจ้าเป็นผู้เดียวในพรรคฟ้าดินที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า นอกจากนักบวชเต๋าจินเหลียน’
ไม่ว่าในความเป็นจริงจะน่าอับอายเพียงไร แต่ใน ‘โลกอินเทอร์เน็ต’ นั้นข้ายังเฉียบแหลมและพร้อมทุ่มสุดตัวเสมอ
กุญแจสำคัญคือมีเพียงความสงบเท่านั้นที่จะสยบความอับอายได้
หมายเลขสี่ ‘อ้อ เก็บซ่อนได้แนบเนียนมาก อันที่จริงข้าก็สงสัยมานานแล้วล่ะ แต่เพิ่งจะมากระจ่างเอาตอนนี้’
หมายเลขสาม ‘สมแล้วที่เป็นจ้วงหยวนหลาง’
ระหว่างสองคนนี้ คนหนึ่งโมโหจนอยากจะขี่กระบี่บินกลับไปฟาดเจ้าคนแซ่สวี่สักกระบวนดาบ ส่วนอีกคนก็อับอายจนอยากจะปิดหน้า จนถึงขั้นคิดว่าอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย
แต่พวกเขาทั้งสองต่างจงใจทำเป็นเมินเฉยไปเสีย
หมายเลขสาม ‘เพิ่งรู้ไม่นานนี้หรือ’
หมายเลขสี่ ‘อ๋อ รู้เมื่อสองชั่วยามก่อนน่ะ พอข้าถามถึงเรื่องของสหายร่วมรบของอารองเจ้า เอ้อร์หลางก็สารภาพกับข้าจนหมดเปลือก’
เอ้อร์หลางทำแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า ไม่เห็นจะน่าเชื่อสักนิด ฮะ? เรื่องสหายร่วมรบของอารองหมายถึงอะไรอีกล่ะ…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมกับส่งข้อความไปว่า ‘สหายร่วมรบของอารองข้า?’
‘เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนคนนี้ ตกลงว่าไม่สนใจอยู่แล้ว หรือว่าแสร้งทำกันแน่?’…ฉู่หยวนเจิ่นเล่าเรื่องของโจวเปียวและเจ้าพานอี้ใหม่ตั้งแต่ต้น
โครม!
เสียงเก้าอี้พลิกคว่ำทำให้จงหลีสะดุ้งตื่นขึ้น นางขยี้ตาแล้วผงกหัวขึ้นมอง
เห็นสวี่ชีอันวิ่งไปที่โต๊ะหนังสือด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ฝนหมึก หยิบพู่กันออกมา และขีดเขียนข้อความอย่างขะมักเขม้น…
ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา นางก็เห็นสวี่ชีอันเป่าลมให้หมึกแห้ง พับกระดาษสอดไว้ในหนังสืออย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็พ่นลมหายใจ ก่อนจะบ่นพึมพำ
“ที่แท้หลักการของการบดบังความลับสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“หลักการเป็นอย่างไรหรือ” จงหลีเงี่ยหูฟัง และเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“อย่ามาถาม มันเป็นความลับ” สวี่ชีอันกลอกตาใส่นางหนึ่งที “เจ้าเป็นปัญญาชนแท้ๆ ถามปุถุชนเช่นข้าไม่อายบ้างหรือไง”
จงหลีคอตกด้วยความละอาย ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม และโอบกอดไออุ่นที่เหลืออยู่บนโลกเพียงเล็กน้อย
สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก สงบสติอารมณ์ของตน และส่งข้อความไปว่า “พี่ฉู่ เรื่องนี้ช่วยเก็บเป็นความลับให้ข้าได้หรือไม่’
ฉู่หยวนเจิ่นตอบกลับ ‘ตัวตนของเจ้าหาได้ลึกลับไม่ เหตุใดต้องปกปิดไว้ด้วย’
สวี่ชีอันดูเหมือนจะมองเห็นฉู่หยวนเจิ่นที่กำลังยิ้มเยาะอย่างสะใจจากแดนเหนืออันห่างไกล
หมายเลขสาม ‘ก็ได้ หากจะต้องเปิดเผยจริงๆ ข้าขอสารภาพด้วยตัวเองดีกว่า สิ่งที่ข้าทำในไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ ข้าทำให้พี่ฉู่คิดว่าฉือจิ้วเป็นหมายเลขสามมาโดยตลอด และไว้เนื้อเชื่อใจเขาโดยไม่มีข้อสงสัย ข้าพูดและกระทำในสิ่งที่เลวร้ายมากมาย’
หมายเลขสี่ ‘อันที่จริงข้าไม่สนหรอกว่าตัวตนของเจ้าจะถูกเปิดเผยหรือไม่’
‘สวี่ชีอันเฮงซวย กลับไปถึงเมืองหลวง ข้าจะฟันร่างของเจ้าสักที…’
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ฉู่หยวนเจิ่นก็ส่งข้อความอีก ‘สวี่เอ้อร์หลางรู้เรื่องของหนังสือปฐพีแล้ว และรู้ด้วยว่าครั้งแรกที่พบกัน ข้าและเหิงหย่วนถูกเจ้าหลอก จึงทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าเขา’
…สวี่ชีอันส่งข้อความเป็นการลองเชิง ‘แล้ว?’
ข้ารู้สึกอับอายจนไม่เงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว ขอที่ยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์กับเอ้อร์หลางสักอย่างเถอะ…ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความว่า ‘ข้าก็เลยรู้สึกผิดนิดหน่อย’
หมายเลขสาม ‘เข้าใจแล้ว ถ้ามีเวลาลองต่อกลอนกับเอ้อร์หลางสักหน่อยสิ กลอนขึ้นชื่อของเขามีอยู่ว่า ‘หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน’
หมายเลขสี่ ‘อืม’
หลังจากปลอบใจจ้วงหยวนหลางแล้ว สวี่ชีอันก็กลับไปที่เตียง ยัดชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกลับเข้าไปใต้หมอน แล้วบิดตัวไปมาราวกับหนอน
เพื่อระบายความอัปยศที่ท่วมท้น
ในชีวิตนี้ข้าไม่เคยอับอายขายขี้หน้าเท่านี้มาก่อนเลย…น่าอดสูเหลือเกิน ศักดิ์ศรีและภาพลักษณ์ของสวี่ชีอันผู้นี้ไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว…ตอนนี้ทุกคนยกเว้นเหิงหย่วนต่างรู้เรื่องของข้ากันหมดแล้ว…เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าทุกคนรู้ แต่ทุกคนไม่พูด ก็หมายความว่าข้าชื่อเสียงทางสังคมของข้ายังไม่ตกตายใช่หรือไม่?!
แต่ต่อให้ทุกคนรู้หมดแล้ว แต่ทุกคนช่วยเขาเก็บความลับ จนถึงขั้นที่ช่วยปกปิด และพยายามโน้มน้าวใจผู้อื่นว่าสวี่ฉือจิ้วคือหมายเลขสาม
เช่นนั้นสถานะทางสังคมของเขาก็ยังอยู่รอดปลอดภัยน่ะสิ
ในทางกลับกัน แม้ว่าในอนาคตทุกคนต้องเผยตัวตนออกมา และข้าต้องอับอายทางสังคมก็ไม่มีผลอะไร เพราะรู้กันตั้งแต่แรกแล้ว ตรงกันข้าม คนที่พยายามปกปิดและหลอกลวงผู้อื่นอย่างสุดความสามารถเพื่อข้า คนผู้นั้นต่างหากที่จะต้องอับอายทางสังคม
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย
สบายใจแล้ว อืม รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาสำรวจชีพจรมังกรกับท่านน้าเล็ก
วันถัดมา
หลังจากที่อาบน้ำและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็นั่งรออยู่ในห้อง จากนั้นไม่นาน แสงสีทองเจิดจ้าทว่าไม่เป็นอันตราย ส่องทะลุสันหลังคา จากนั้นร่างสูงระหงงามสง่าของลั่วอวี้เหิงก็ปรากฏตัวออกมา
นางยังคงสวมใส่เสื้อคลุมนักบวชเต๋าเหมือนกับคราวก่อน ที่เน้นเอวคอดกิ่วและทรวงอกอวบอิ่มของนาง
ขับเน้นเสน่ห์ตามฉบับสตรีของนางได้อย่างไม่ต้องสงสัย พร้อมทั้งขับเน้นตัวตนของหญิงสาวที่สัมผัสได้ในชีวิตจริง ลดทอนรัศมีสูงส่งดั่งเทพเซียนที่น่าเกรงขาม เกินอาจเอื้อมลง
“ท่านราชครู!”
สวี่ชีอันทักทายนางอย่างอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบรับสั้นๆ ด้วยท่าทางเย็นชา “อืม” จากนั้นจึงพูดต่อ “ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
แม้ว่าเขาจะมั่นใจในลั่วอวี้เหิงอย่างเต็มที่ แต่เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อีกฝ่ายจะรู้หรือไม่”
“ไม่!”
น้ำเสียงของลั่วอวี้เหิงสงบราบเรียบ นางกล่าวด้วยใบหน้าดั่งรูปสลักอันวิจิตรบรรจงที่ไม่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ข้าจะอำพรางกลิ่นอายให้”
ระบบหลักๆ ใด นอกจากระบบทหารล้วนแต่มีพลังอันฉูดฉาดตระการตา น่าอิจฉาจัง…สวี่ชีอันยิ้มพราย “อย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบลงมือเถิดขอรับ”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า โบกแขนเสื้อของตนหนึ่งครั้ง แสงสีทองก็โอบล้อมตัวสวี่ชีอัน และพาเขาหายวับไปจากในห้อง
เมื่อหลับตาและลืมตาขึ้นอีกครั้ง สวี่ชีอันก็เห็นกลุ่มภูเขาจำลองในสวนหลังบ้านของผิงหย่วนป๋อ พร้อมกับเสียงทรงเสน่ห์ของลั่วอวี้เหิงที่แว่วอยู่ข้างหู “ใช่ที่นี่แน่หรือ”
เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินไปหยุดตรงหน้าภูเขาจำลอง และกดปุ่มอย่างคุ้นเคย
พื้นผิวของภูเขาจำลองเปิดออก เผยให้เห็น ‘ประตู’ ไปสู่ปากถ้ำอันมืดมิด
“ท่านราชครู ที่นี่เป็นถ้ำใต้ดินขอรับ” สวี่ชีอันกล่าว
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าอย่างสงวนท่าที และตามเขาเข้าไปในถ้ำ
ในไม่ช้า ทั้งสองก็มาถึงโถงหิน และได้เห็นแผ่นหินขนาดใหญ่ซึ่งสลักด้วยคาถาที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด
ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่ข้างแผ่นหิน สำรวจดูอย่างใกล้ชิดแล้วกล่าวว่า “วิชาพสุธาหลบหนีประสบความสำเร็จอย่างมาก ดูเหมือนจะเป็นลายมือของศิษย์พี่จินเหลียนจริงๆ”
“ศิษย์พี่จินเหลียน?”
สวี่ชีอันแสดงความสงสัยของตนออกมา
ดูจากข้อมูลตอบกลับในบันทึกของจักรพรรดิผู้ล่วงลับ นักบวชเต๋าจินเหลียนและผู้นำเต๋านิกายมนุษย์คนก่อนเกิดในยุคสมัยเดียวกัน ตอนที่อยู่ในเจี้ยนโจว ร่างอวตารเฮยเหลียนเฒ่าตัณหากลับได้เอ่ยปากขอหลานสาวของลั่วอวี้เหิงไปเป็นคู่บำเพ็ญ
ราชครูผู้สูงส่งสง่างาม อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผู้นำเต๋าสามนิกายมีศักดิ์เท่าเทียมกัน”
ในแง่ของสถานะ ผู้นำเต๋าทั้งสามนิกายล้วนเสมอภาคกัน ดังนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนจึงมีศักดิ์เป็นศิษย์พี่ของนาง แต่ในแง่ของอายุ จินเหลียนเป็นคนรุ่นคราวเดียวกันกับพ่อของนาง เช่นนั้นแล้ว เขาก็ควรจะเป็นอาจารย์ลุงไม่ใช่หรือ?
ขณะที่สวี่ชีอันครุ่นคิด มือก็ล้วงหยิบเอาหนังสือปฐพีออกมา วางลงบนแผ่นหิน
…
ห้องหนังสือ ตำหนักฮว๋ายชิ่ง
ฮว๋ายชิ่งที่เกล้าผมมวยสูงและปล่อยปอยผมห้อยลงมา ท่าทางเกียจคร้านเล็กน้อย นางนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ ภายในห้องหนังสือ โดยมีโต๊ะไม้จันทน์สีม่วงแก่ที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ต้าโจวอยู่เบื้องหน้าของนาง
บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งกางทิ้งไว้ พู่กันขนกระต่ายดำเปื้อนหมึก วางอยู่ข้างพู่กันหยกขาวแน่นิ่ง นางเลื่อนสายตาลง และจ้องมองข้อความบนกระดาษด้วยความมึนงง
หลังจากนิ่งเงียบไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดฮว๋ายชิ่งก็หยิบพู่กันขึ้นและเขียนออกมาเป็นคำๆ ‘รัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก, ป้ายมลทิน, ผู้นำเต๋านิกายปฐพีตกสู่ทางมาร, สังหารหมู่ฉู่โจว, ยาวิญญาณ’ เป็นต้น
สมมติว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีเป็นต้นเหตุของทุกสิ่ง การอนุมานของสวี่ชีอันนั้นถือว่าสมเหตุสมผลและเข้าเค้ามากที่สุด
เบาะแสจำนวนมากที่พบจนถึงตอนนี้เชื่อมโยงเข้าหากันได้ทีละอย่างๆ แม้ว่าจะมีบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผล แต่นี่ก็เป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้ทำการสืบสวนจนกระจ่างชัด
ด้วยเหตุนี้จึงมีบางจุดที่มีรายละเอียดไม่ตรงกัน เช่นสาเหตุที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีป้ายมลทินให้กับเสด็จพ่อและไหวอ๋อง
“เสด็จพ่อต้องการสังหารเหิงหย่วน เพราะเหิงหย่วนเห็นเส้นทางลับในจวนของผิงหย่วนป๋อ กล่าวคือเสด็จพ่อทราบอยู่แล้วถึงการตัวตนของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ตั้งแต่คดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจวจนถึงตอนนี้ เสด็จพ่ออุตส่าห์ทุ่มเทเพื่อผู้นำเต๋านิกายปฐพีมาโดยตลอด เพื่ออะไรกันแน่”
นี่คือสิ่งที่ฮว๋ายชิ่งคิดว่าไร้เหตุผลที่สุด จากมุมมองของนาง หากไม่มีผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ฉันมิตรใดๆ ย่อมไร้ซึ่งความมั่นคง
“เว้นเสียแต่เสด็จพ่อจะถูกควบคุมโดยผู้นำเต๋านิกายปฐพี…นักบวชเต๋าจินเหลียนจะเข้าใจการแก่งแย่งผลประโยชน์ในท้องพระโรง และสำนักต่างๆ อย่างปรุโปร่งหรือไม่
“เหตุการณ์ที่เปิดโปงการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเสด็จพ่อ ไหวอ๋อง และผู้นำเต๋านิกายปฐพี คือคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ซึ่งหมายความว่าคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจวมีความสำคัญต่อพวกเขาอย่างยิ่งยวด หัวใจหลักของคดีนี้คือยาโลหิตและยาวิญญาณ
“ยาวิญญาณสำคัญยิ่ง…”
เวลาดำเนินไปอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่านานเพียงไร ต่างหูแก้วแสนน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มของฮว๋ายชิ่งก็สั่นไหวเล็กน้อย เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าที่มุ่งหน้ามาทางห้องหนังสือจากระยะไกล
นางรีบขยำกระดาษ บีบมันไว้ในมือ แล้วสอดเข้าไปในแขนเสื้อ
หลังจากรอประมาณอึดใจ เสียงฝีเท้าก็หยุดที่ประตู ตามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาของนางกำนัล “องค์หญิงใหญ่ แม่นางไฉ่เวยมาแล้วเพคะ”
ฮว๋ายชิ่งตอบกลับอย่างเย็นชา “ให้นางเข้ามา”
หลังจากที่นางกำนัลขอตัวจากไป ฉู่ไฉ่เวยก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางร่าเริง ถือผลส้มเอาไว้ในมือเล็กๆ ของนางทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยด้วยเสียงหวานใสว่า “ฮว๋ายชิ่ง ข้าอยากกินปลากุ้ยฮวา”
ปลากุ้ยฮวาเป็นอาหารจานพิเศษจากห้องเครื่องในตำหนักฮว๋ายชิ่ง ยืนหนึ่งไม่มีสอง หาทานข้างนอกไม่ได้
ฮว๋ายชิ่งยิ้ม “ได้สิ ข้าจะให้คนไปบอกห้องเครื่องให้”
ฉู่ไฉ่เวยดีใจมาก จึงหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าคาดเอวหนังกวาง และแบ่งให้กับฮว๋ายชิ่ง
หลังจากทานขนมและจิบชาแล้ว ในระหว่างการสนทนาเรื่อยเปื่อย ฮว๋ายชิ่งก็ถามนางด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “ไฉ่เวย เจ้ารู้จักยาวิญญาณหรือไม่”
“เอ๋ เหตุใดวันนี้เจ้าถึงถามหายาวิญญาณล่ะ”
ฉู่ไฉ่เวยจ้องมองเพื่อนสาวของนางด้วยความประหลาดใจ “เมื่อไม่นานมานี้ สวี่ชีอันก็มาขอดูยาวิญญาณที่หอดูดาว แล้วก็ถามคำถามกับข้าอีก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ก็เลยพาเขาไปหอเก็บตำราเสียเลย”
“ยาวิญญาณมีประโยชน์อันใดหรือ” ฮว๋ายชิ่งขอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม
จู่ๆ ฉู่ไฉ่เวยก็ทำสีหน้าที่บอกว่า ‘เจ้าโชคดีนะเนี่ย’ ออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึมฮัม “เดิมทีข้าก็ไม่รู้หรอก แต่คราวก่อนได้อ่านตำรากับสวี่ชีอันแล้ว ก็เลยรู้แล้วล่ะ”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ นางก็เอ่ยขึ้น “ยาวิญญาณถือเป็นของดี สรรพคุณกว้างขวาง ใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตเดิม ใช้เป็นส่วนประกอบเล่นแร่แปรธาตุได้ ปรับแต่งของวิเศษได้ ซ่อมแซมวิญญาณที่เว้าแหว่งได้ และบ่มเพาะอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้”
ซ่อมแซมวิญญาณที่เว้าแหว่ง…ลมหายใจของฮว๋ายชิ่งกระชั้นถี่ขึ้น นางเผลอทำถ้วยชาหลุดมือตกลงไป
…………………………………………………………..