ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 457 หวนคิดถึง
บทที่ 457 หวนคิดถึง
หลังจากถ่ายเทพลังปราณ เศษชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีก็ส่องประกายระยิบระยับขมุกขมัว พร่างพรายราวกับสายน้ำไหล จุดชนวนการร่ายมนตร์ให้ดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า
สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหินโดยปริยาย ครู่ต่อมาประกายแวววาวพลันแผ่ขยายกว้างไร้สุ้มเสียง กลืนกินคนทั้งสองและพาพวกเขาเข้าไปยังห้องศิลา
อีกครั้งแล้วที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ร่างกายของสวี่ชีอันตึงเครียดขึ้นมาเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จึงอดนึกถึงฉากการ ‘ตาย’ ที่ไร้สุ้มเสียงครั้งก่อนของตัวเองอย่างเสียไม่ได้
ครั้นคิดถึงความน่าสะพรึงกลัวนั่น สถานการณ์คับขันตรงหน้าก็เริ่มคงตัว
ในเวลานี้เขารู้สึกคล้ายกับถูกตีน้อยๆ ที่แขน ก่อนเสียงของลั่วอวี้เหิงจะดังขึ้นที่ข้างหู “ตามหลังข้ามา!”
แส้ขนจามรีหวดตีเขาอีกครั้งราวกับสื่อว่าให้เขาตามมา
มืดเกินไปแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย ข้าต้องคอยเอื้อมมือคลำไปข้างหน้า จะจับโดนบั้นท้ายของน้าเล็กหรือเปล่าล่ะนี่? มีหวังถูกฆ่าตายคาที่แน่…เขาขบคิดขณะก้าวเดินช้าๆ
ทางเดินนั้นเงียบสงัดทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด หลังจากเดินไปได้สักพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็แน่นขนัดภายในอก เตรียมพร้อมเผชิญกับเสียงลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวนั่นและแรงกดดันอันหนักหน่วงของภูเขาไท่
แต่ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่มีอะไรรอคอยอยู่ ทั้งลมก็สงบนิ่ง
หืม?
เขาเดินตามลั่วอวี้เหิงต่อไปอย่างข่มอารมณ์ ผ่านไปไม่กี่นาทีก็มีแสงสีทองนวลอ่อนแต่บริสุทธิ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
คราวที่แล้วข้าก็ ‘ตาย’ ที่นี่ สวี่ชีอันพึมพำในใจ หยุดนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
เชื่อเหลือเกินว่าด้วยวิธีการและการฝึกฝนของลั่วอวี้เหิง ไม่จำเป็นต้องพึ่งคำเตือนชี้แนะของเขาให้มากความ หากเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ น้าเล็กย่อมจัดการได้อย่างไร้ที่ติอยู่แล้ว
ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นเพียงร่างอวตารของน้องสะใภ้เท่านั้น…เฮ้ หากร่างอวตารของนางเกิดจัดการไม่ได้ ร่างจริงนี้ของข้าจะไม่ถูกบดจนป่นปี้เป็นผุยผงเหมือนยาเม็ดหรือ? ครั้นครุ่นคิด สวี่ชีอันก็ตะลึงงันครู่หนึ่ง
ขณะที่จินตนาการกำลังโลดแล่น ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสีทองสะท้อนออกมาจากร่างของลั่วอวี้เหิง มันสว่างแต่ไม่พร่างพราย ส่องสว่างออกไปในความมืดรอบตัว
น้องสะใภ้หันหน้ากลับมา บัดนี้ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและงดงามของนางราวกับรูปปั้นทองคำเจิดจ้า ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ที่นี่ไม่มีสิ่งผิดปกติ มีเพียงพระภิกษุหนึ่งรูป”
ไม่มีสิ่งผิดปกติ?! สวี่ชีอันตกตะลึงอีกครั้ง
แล้วแรงกดดันอันหนักหน่วงเล่า ทั้งเสียงหายใจที่น่าสะพรึงกลัวอีก?
ด้วยความสงสัย เขาและลั่วอวี้เหิงหันเหไปทางแสงสีทองที่แผ่กลิ่นอายสำนักพุทธออกมา
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาพลันเห็นห้องลับกว้างขวางอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางของห้องลับมีเตียงหินและเตายาทองสัมฤทธิ์ ที่ด้านข้างของเตียงหินเป็นเหวลึกลงไป
บนเตียงหิน ปรากฏพระภิกษุร่างสูงกำยำกำลังนั่งอยู่ พร้อมด้วยลูกประคำสีทองขนาดเท่ากำปั้นที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะของเขา
ดวงตาของเขาปิดสนิท แสดงถึงการไร้ชีวสัญญาณมานานแล้ว
ไต้ซือเหิงหย่วน…ภายในอกของสวี่ชีอันเจ็บปวดเหลือแสน เจ็บปวดเสียจนเจียนขาดใจ
ในชั่วพริบตาภาพต่างๆ ในอดีตของเหิงหย่วนพลันผุดขึ้นมาในหัว ทั้งความคับใจที่อีกฝ่ายเคยถามตัวเขาถึงความต้องการทางการเงินหรือความขยันขันแข็งที่อีกฝ่ายคอยดูแลหญิงหม้ายผู้โดดเดี่ยวในสถานรับเลี้ยงเด็ก…
ลั่วอวี้เหิงจ้องไปที่ลูกประคำขนาดเท่ากำปั้นครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อัฐิธาตุและระดับเต๋าอรหันต์ขั้นสองควบแน่นกัน”
หลังจากหยุดชะงัก นางก็มองไปที่สวี่ชีอัน “เขาแค่แกล้งตายเท่านั้น”
แค่แกล้งตาย…ความโศกเศร้าที่ปั่นป่วนของสวี่ชีอันยังคงติดค้างอยู่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางหันไปถาม
“อัฐิธาตุเป็นระดับเต๋าของอรหันต์ก็จริง แต่เหิงหย่วนไม่สามารถเป็นยอดฝีมือขั้นสองได้”
เว้นแต่ว่าเหิงหย่วนจะเป็นภิกษุขั้นสองของสำนักพุทธที่ซ่อนตัวอยู่ ทว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด
ลั่วอวี้เหิงบ่นพึมพำ
“เมื่อห้าร้อยก่อน สำนักพุทธเคยรุ่งเรืองในที่ราบตอนกลาง คิดๆ ดูแล้วอาจยังคงเหลือพระภิกษุในสมัยนั้นอยู่ เหตุผลที่เขามีอัฐิธาตุ มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิดหรือไม่ก็ได้อัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าพระอรหันต์เป็นอมตะนี่”
หลังกล่าวจบ เขาก็พร่ำบ่นในใจ แนวทางบำเพ็ญของสำนักพุทธนั้นเสถียรกว่าลัทธิเต๋าของเจ้ามากโข ลัทธิเต๋าสามนิกายของพวกเจ้าล้วนไปในทางอบายมุข
ลั่วอวี้เหิงเหล่มองเขา เอ่ยเสียงเบา
“ตามแนวทางฉานซือของสำนักพุทธ นักพรตระดับสี่คือผู้ที่อยู่ในสภาวะสร้างรากฐาน นักพรตต้องมีความมุ่งมั่น ยิ่งปณิธานมากเท่าไร ระดับเต๋าก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ระดับเต๋าที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ เมื่อระดับเต๋าถูกควบแน่นเป็นหนึ่ง จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระอรหันต์ย่อมเป็นพระอรหันต์สืบไป ไม่มีคุณสมบัติเป็นพระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุนี้จึงมีวิถีการกลับชาติมาเกิดใหม่ หากพระอรหันต์ต้องการบรรลุระดับหนึ่งก็ต้องกลับชาติเพื่อบำเพ็ญใหม่และสละทุกอย่างในชีวิตนี้ สำหรับการกลับชาติมาเกิดของพระอรหันต์ในแต่ละครั้ง สำนักพุทธจะพยายามค้นหาพวกเขาอย่างสุดกำลัง จากนั้นก็จะนำอัฐิธาตุจากชาติที่แล้วมาสถิตไว้ในร่างกายของคนพวกนั้นเพื่อคุ้มครองรักษา เมื่อห้าร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อได้ส่งเสริมการขจัดศาสนาพุทธและบังคับให้สำนักพุทธกลับคืนสู่ดินแดนประจิมทิศ จึงมีความเป็นไปได้ยิ่งว่าอัฐิธาตุนี้อาจหลงเหลือมาจากในปีนั้น ด้วยเหตุนี้พระรูปนี้จึงอาจได้รับอัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องเป็นการกลับชาติมาเกิดของพระอรหันต์”
นี่สินะคือความลับของเหิงหย่วน นี่สินะคือเหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีให้กับเขา…ไม่ว่าเหิงหย่วนจะพระอรหันต์ที่กลับชาติมาเกิดหรือได้รับอัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเขาย่อมไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน…อัฐิธาตุมีจิตวิญญาณจึงปกป้องไต้ซือเหิงหย่วนให้เขาพ้นจากวิกฤติงั้นสินะ? ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้
ขณะนั้นเองเขาพลันนึกถึงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่เคยเรียกเขาว่าพุทธบุตร
การที่เขาแคล้วคลาดจากภัยเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาคือพระอรหันต์คนใดคนหนึ่งที่กลับชาติมาเกิด?
ในขณะที่ความคิดของเขากำลังลอยล่อง ลั่วอวี้เหิงพลันเหยียดนิ้วออกและแตะเบาๆ ที่บนอัฐิธาตุ
นางใช้วิธีลับของลัทธิเต๋าในการปลุกจิตเดิม ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่รุกล้ำ
อัฐิธาตุค่อยๆ เปล่งรัศมีอันนุ่มนวล
ไม่กี่วินาทีต่อมาสวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่ตายแล้วเต้นกระเพื่อมอีกครั้งในอกของเหิงหย่วน เลือดลมเริ่มไหลเวียน สิบวินาทีต่อมาเปลือกตาของภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ก็เบิกโพลงด้วยความสั่นสะท้าน
“คุณชายสวี่? ราชครู?”
หลังจากมองไปรอบๆ อย่างงุนงง เหิงหย่วนก็เห็นสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงเปล่งแสงสีทองอร่าม
“ไต้ซือไต้ซือ ชีวิตของท่านช่างยิ่งใหญ่จริงๆ!” สวี่ชีอันหัวเราะออกมา
ขณะที่เหิงหย่วนกำลังจะเอ่ย อีกฝ่ายกลับมีท่าทีตื่นตกใจ ให้ความรู้สึกราวกับแมวที่พองขนฟูฟ่อง ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังทิศทางของเตายาทองสัมฤทธิ์ ก่อนพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
‘ขนแมว’ ที่ตั้งตรงค่อยๆ ลู่ลงบรรจบกัน เหิงหย่วนถอนหายใจแผ่วเบา หว่างคิ้วผ่อนคลายมากขึ้น
ปฏิกิริยาของเหิงหย่วนทำให้สวี่ชีอันหวาดหวั่นพรั่นพรึงเล็กน้อย เขาพูดครู่หนึ่งและอธิบายสั้นๆ ว่าเขาค้นพบทางลับและวิธีช่วยเหลือราชครูได้อย่างไร
จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านที่นี่?”
ในเวลานี้หลังจากที่ฟังคำอธิบายของสวี่ชีอันและตรวจสอบรายละเอียดแล้ว เหิงหย่วนก็เชื่อว่าทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นของจริง
เขากลืนอัฐิธาตุในทันที ประนมมือทั้งสองแล้วพูดว่า “หลังจากที่ข้าถูกสายลับของไหวอ๋องนำตัวไปในวันนั้น พวกเขาก็ส่งข้ามาที่นี่ผ่านค่ายกลลำเลียงของจวนผิงหย่วนป๋อ ที่นี่ ที่นี่…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่งยวด “มีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ที่นี่”
สิ่งชั่วร้าย?!
ใบหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล้ามเนื้อหลังบิดเกร็งจนบิดเบี้ยว ทั้งเส้นขนก็ลุกซู่
“เขาต้องการกลืนกินข้า แต่เพราะอัฐิธาตุจึงทำไม่สำเร็จ แต่อัฐิธาตุไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ไม่ช้าก็เร็วสักวันมันอาจจะถูกเขาสังเคราะห์ เพื่อที่จะต่อสู้กับเขา ข้าจึงตกอยู่ในภวังค์ พยายามปลุกกระตุ้นอัฐิธาตุสุดแรงเกิด” เหิงหย่วนมีสีหน้าขมขื่น
“เขามีลักษณะอย่างไร?” สวี่ชีอันถามอย่างรวดเร็ว
“ความรู้สึกที่เขามอบให้นั้นคล้ายกับเต๋ามารนิกายปฐพีมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย ราวกับเพียงมองแวบเดียวก็สามารถดำดิ่งสู่ความชั่วร้ายของเขาได้เลย ความโหดร้าย ความโลภและตัณหา…ความคิดชั่วร้ายทุกชนิดก่อตัวขึ้น นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเลือกเข้าสู่ ‘นิพพาน’ เพราะไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจป้องกันตัวเองจากการต่อสู้กับเขาได้” เหิงหย่วนกล่าวทั้งที่ในใจยังคงหวาดกลัว
ต้องเป็นร่างอวตารของผู้นำเต๋าอีกคนแน่นอน! สวี่ชีอันมองไปที่ลั่วอวี้เหิงอย่างตระหนักได้ เมื่อเห็นว่านางกำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองฝ่ายจึงเข้าใจตรงกันโดยทันที
“แล้วคนอื่นล่ะ?”
สวี่ชีอันกวาดสายตามองห้องหิน ก่อนจะพบสถานที่ผิดปกติหนึ่ง ห้องลับถูกปิดเอาไว้และมันก็ไม่มีทางเดินลงไปยังพื้น
เขามองไปยังเหวลึกทางด้านขวาของเตียงหินทันที ไม่แน่ว่าชายคนนั้นอาจอยู่ใต้เหวลึกลงไป
เหิงหย่วนขมวดคิ้ว “ไม่นานมานี้ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแรงกดดันจากภายนอกหายไปแล้ว…”
เขายังคงทอดสายตาไปที่เหวลึก
ลั่วอวี้เหิงลอยขึ้นช้าๆ ก่อนกระโจนลงสู่ก้นเหว
เป็นเวลากว่าห้านาที ลั่วอวี้เหิงก็ขึ้นมาพร้อมกับแสงสีทอง เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันเห็นความโกรธแค้นในดวงตาและการแสดงออกของนาง
“ราชครู?” เขาเรียกอย่างหยั่งเชิง
“ด้านล่างปลอดภัย” ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มีอะไรอยู่ใต้เหวลึกนั่นกัน นางถึงได้ดูย่ำแย่ขนาดนี้? ด้วยความสงสัยสวี่ชีอันจึงถามความคิดเห็นของนาง “ข้าอยากลองลงไปดู”
มุมปากเรียวบางของลั่วอวี้เหิงยิ้มยั่วเย้า “แล้วแต่เจ้า”
สวี่ชีอันพาร่างดำดิ่งลงไปในเหว เคลื่อนไหวร่างอย่างอิสระ หลังผ่านไปสิบวินาทีก็เกิดเสียงดังโครมคราม เขาพุ่งทะยานตัวเองไปที่ก้นเหว
‘ทหารช่างหยาบคายเสียจริง ห้าวหาญไม่เบาทีเดียว’…อีกฝ่ายพึมพำในใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ มาจากทางด้านหลัง เป็นเหิงหย่วนที่พุ่งทะยานตัวเองลงมา
จอมยุทธ์ภิกษุหยาบคายพอกันเลย! สวี่ชีอันกล่าวเสริมในใจ
เหิงหย่วนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกใต้เท้าสวี่เยาะเย้ยพลันอ้าปากถุยน้ำลายออกมา แสงสีทองนุ่มนวลโอฬารส่องผ่านความมืดทำให้ทั้งสองมองเห็นบรรยากาศใต้ดินได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าของสวี่ชีอันหยุดชะงักทันที
จากวิสัยทัศน์ที่มองเห็นได้ มีกระดูกอยู่ทุกอาณาบริเวณ ทั้งกะโหลก ซี่โครง กระดูกขา และกระดูกมือ…พวกมันทับซ้อนกันจนกลายเป็นคำสี่คำ ‘พะเนินกระดูก’
เป็นการยากที่จะประเมินได้ว่าที่แห่งนี้มีผู้เสียชีวิตเท่าไร เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่กองกระดูกได้ถูกสะสม
คนเหล่านี้คือผู้ที่ผิงหย่วนป๋อลักพาตัวมาจากเมืองหลวงและบริเวณโดยรอบในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา
มีทั้งชายหญิงและแม้กระทั่งเด็ก
พวกเขาถูกส่งไปยังด้านล่างของพระราชวัง ภายใต้เขาอันคดเคี้ยวที่ซึ่งพวกเขาถูกสังหารและถูกพรากชีวิตไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
สี่สิบปีมีคนตายที่นี่กี่คนแล้ว…กล้ามเนื้อแก้มของสวี่ชีอันกระตุกเล็กน้อย คำพูดสามคำเล็ดลอดผ่านไรฟัน “เดรัจฉาน!”
คล้ายกับว่าเขาได้กลับไปยังฉู่โจว กลับไปในความทรงจำของเจิ้งซิ่งไหว ภาพที่ผู้คนล้มตายลงเหมือนรากหญ้า
“อมิตตาพุทธ…”
เหิงหย่วนประนมมือ ก้มศีรษะสวดพระนามของพระพุทธเจ้า ร่างกำยำพลันสั่นสะท้าน
ด้วยเมตตาธรรมในใจของเขา ก้นบึ้งของจิตใจจึงเต็มไปด้วยความโกรธมหาศาล ความโกรธของมารระดับเพชรไร้พ่าย
เนื้อตัวที่สั่นเทาไม่ได้เกิดจากความกลัว แต่เกิดจากความโกรธ
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน สวี่ชีอันก็สงบอารมณ์ที่ปั่นป่วนลง มองไปยังสถานที่ที่ซึ่งไม่มีกระดูกปกคลุมอยู่ นั่นคือแผ่นหินขนาดใหญ่ที่สลักอักขระบิดเบี้ยวพิสดาร
ค่ายกลลำเลียงนี้เป็นหนทางเดียวที่จะออกไปสู่โลกภายนอกสินะ?
ผู้นำเต๋านิกายปฐพีคงใช้มันผ่านออกไปแล้วงั้นเหรอ?
ทำไมต้องออกไป แล้วทำไมถึงเลือกออกไปในเวลานี้…การสำรวจครั้งก่อนของข้าทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกหรือเปล่า?
“ราชครู”
เขาเงยหน้าขึ้นร้องเรียก
แสงสีทองโปรยลงมาเหนือศีรษะพร้อมกับลั่วอวี้เหิงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ทอดมองลงมายังพวกเขา หุบเหวและพะเนินกระดูก
ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสียงเบา “คราวก่อนเจ้าอาจจะเข้ามาสร้างความตกใจ ทำให้เขาเลือกที่จะหนีจนเผลอทำหนังสือปฐพีหาย ข้าจะลองเคลื่อนย้ายไปตรวจสอบที่นั่น ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปก่อน ไปรอข้าที่จวนผิงหย่วนป๋อ”
อีกฟากหนึ่งของค่ายกลอาจเป็นกับดัก
นางถือโอกาสใช้ร่างอวตารไร้ตัวตนทำตัวเป็นเบี้ย ตราบใดที่ตัดการเชื่อมต่อระหว่างร่างจริงกับร่างอวตารได้ทันเวลาก็จะสามารถหลีกเลี่ยภัยจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีได้
สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีออกมา ก่อนจะควบคุมพลังปราณส่งไปที่แผ่นหิน จากนั้นความว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มด้วยพลังปราณ
แสงสลัวพลันสว่างวาบขึ้น จุดประกายให้อักขระเปิดกลไกค่ายกลลำเลียง
ลั่วอวี้เหิงกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางค่ายกลลำเลียง หลังจากสัมผัสแสงนวลอ่อนร่างของนางก็หายไปถูกเคลื่อนย้ายไปยังปลายอีกด้านหนึ่งของค่ายกล
สวี่ชีอันหวนนึกถึงชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี ก่อนจะรีบอพยพออกจากห้องลับไปพร้อมกับเหิงหย่วน วิ่งเอาเป็นเอาตายไปตามทางเดิน จากนั้นก็เคลื่อนย้ายกลับไปยังจวนผิงหย่วนป๋อ
ทั้งสองออกจากถ้ำหิน เดินออกจากภูเขาเจี่ย สวี่ชีอันใช้เวลานี้บอกเหิงหย่วนเกี่ยวกับ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างจักรพรรดิหยวนจิ่งกับผู้นำเต๋านิกายปฐพีและเล่าเรื่องราวของคดีลับชิ้นใหญ่นั้น
นอกจากนี้ยังบอกเขาถึงเรื่องที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนปลูกฝังผู้นำเต๋านิกายปฐพีด้วย
เหิงหย่วนพูดไม่ออกเป็นเวลานานพลางถอนหายใจ “เป็นเช่นนี้เอง อาตมาไม่คิดเลยว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจะเข้าไปพัวพันกับแผนชั่วร้ายของยอดฝีมือขั้นสองได้ หืม ใต้เท้าสวี่มีชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีได้อย่างไร?”
ใบหน้าของสวี่ชีอันเรียบนิ่ง “ครั้นเอ้อร์หลางไปศึกทางตอนเหนือ ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีหมายเลขสามจึงถูกส่งมาให้ข้าปกป้องเป็นการชั่วคราว”
ไต้ซือเหิงหย่วน ท่านคือความแข็งแกร่งสุดท้ายของข้า…
เหิงหย่วนที่ไว้วางใจใต้เท้าสวี่ไม่แพ้กันพลันพยักหน้าโดยไร้ข้อสงสัย
พวกเขารออยู่ที่หลังสวนเป็นเวลานาน จนกระทั่งแสงสีทองที่คนทั่วไปมองไม่เห็นบินโฉบลงมาบนหิน
ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่บนหิน ส่ายหัวเบาๆ “อีกฟากเป็นจวนร้างหลังหนึ่งที่อยู่ในเมืองชั้นใน”
จวนร้าง? ปลายอีกด้านไม่ใช่พระราชวัง แต่เป็นจวนร้าง?
สวี่ชีอันตกอยู่ในความเงียบ
ผู้นำเต๋านิกายปฐพีถอนทัพไปแล้ว นี่…หนีได้แยบยลเกินไปแล้ว เขาไปที่ไหนกัน? เพียงถูกข้ารบกวนจึงตกใจจนวิ่งหนีหายไปงั้นหรือ?
หรือไปที่พระราชวัง?
แล้วท่านโหราจารย์ล่ะ? ท่านโหราจารย์รู้หรือไม่ว่าเขาจากไปแล้ว ท่านโหราจารย์จะนั่งดูดายปล่อยให้เขาเข้าไปในพระราชวังหรือเปล่า?
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน ลั่วอวี้เหิงจึงเอ่ยถาม “เบาะแสถูกตีแตกแล้วเหรอ?”
สวี่ชีอันส่ายหัวทั้งพยักหน้า “ร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพีถอนทัพไปแล้ว บางทีข้าอาจทำให้เขาตื่นตระหนกเมื่อครั้งแรกที่เข้าไปสำรวจที่นั่น แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือเขาไปโดยรีบเร่งเกินไป ทั้งที่หลบซ่อนก็จัดการได้ไม่ดีนัก”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วและพูดว่า “บางทีสำหรับผู้นำเต๋านิกายปฐพี เป้าหมายอาจสำเร็จแล้ว ส่วนเมืองหลวงจะเป็นอย่างไรคงไม่เกี่ยวข้องกับเขากระมัง?”
สวี่ชีอันมองไปที่เขา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว? ต่อให้ผู้นำเต๋านิกายปฐพีจะไม่สนใจสถานการณ์ของจักรพรรดิหยวนจิ่ง เดิมทีเขาก็สามารถจากไปได้อย่างอิสระอยู่แล้ว”
สวี่ชีอันถูไถใบหน้า พ่นลมหายใจออกมา “เอาเถอะ ข้าจะไปหาท่านโหราจารย์เดี๋ยวนี้แหละ”
การที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีถอนทัพ ทำให้คดีนี้ไร้เบาะแสอีกครั้ง แม้ว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีจะไม่ได้ยอมรับกับปาก ทั้งการคาดเดาของเขาก็เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้สลักสำคัญอะไร
เพราะกองกระดูกใต้พื้นดินถือเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด
เว่ยกงไม่อยู่แล้ว เรื่องนี้มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้นที่จะจัดการได้ แต่เกรงว่าท่านโหราจารย์อาจไม่ยอมพบเขาเหมือนครั้งก่อน
“ตอนนี้พอมาลองคิดดู ท่านโหราจารย์คงรู้เรื่องพวกนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญแค่ไหน โชคดีที่เขาไม่ต้องการพบข้าครั้งที่ต้องไปสำรวจเขาคดเคี้ยวเมื่อคราวก่อน แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ด้วย?” เขาเอ่ยเสียงเบา
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ผิดปกติจริงๆ ด้วย”
ขณะที่สวี่ชีอันกำลังตอบกลับ เขาพลันรู้สึกราวกับมีคนตบเข้าที่ด้านหลังศีรษะ เขาลูบท้ายทอยตัวเองก่อนจะหยิบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีออกมา
หมายเลขหนึ่งส่งข้อความลับถึงหมายเลขสาม
อยากจะตบกลับสักฉาดจริงๆ ท้ายทอยขององค์หญิงจะให้ความรู้สึกยังไงกันนะ…เขาพึมพำพลางกดตอบรับ
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าอยู่ที่จวนสกุลสวี่ รีบกลับมา’
หมายเลขสาม ‘เกิดอะไรขึ้น? จริงสิ ข้าช่วยเหิงหย่วนออกมาได้แล้วนะ’
ฮว๋ายชิ่งหายไปกว่าครึ่งค่อนวัน หลังจากนั้นนานนมก็ส่งสารกลับมาด้วยความสงสัย ‘ปลอดภัยไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?’
ที่นางหมายถึงคงเป็นผู้คนได้รับการช่วยเหลือโดยปลอดภัยไม่เป็นอะไรสินะ?
หมายเลขสาม ‘ไม่มีอันตรายจริงๆ ซักไซ้โดยละเอียดได้เลย ว่าแต่ท่านติดต่อข้ามามีเรื่องอะไร?’
หมายเลขหนึ่ง ‘คดีของเจ้ามีบางอย่างผิดปกติ ไว้กลับมาที่จวนค่อยพูดคุยกัน’
…………………………………………………