ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 460 กองทัพอภินิหาร
บทที่ 460 กองทัพอภินิหาร
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
ปืนใหญ่และธนูหน้าไม้ยังคงระเบิดในค่ายทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง สำหรับทหารธรรมดาทั่วไป คลื่นแรงกระแทกที่เกิดจากการระเบิดนั้นร้ายแรงถึงชีวิต
ต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันด้วยอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง กองทัพของต้าฟ่งเกือบจะบดขยี้กองทัพของคังกั๋วจนจมกองเลือด นี่คือหนึ่งในที่พึ่งของต้าฟ่งในการปกครองจิ่วโจว แม้ว่าสำนักพ่อมดจะแอบยึดครองปืนใหญ่และหน้าไม้ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีโหรคอยบำรุงรักษา ประสิทธิภาพของอาวุธเวทมนตร์และอานุภาพของกระสุนปืนใหญ่ก็จะลดลงอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธเวทมนตร์ยังได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประสิทธิภาพระหว่างอาวุธรุ่นเก่าและอาวุธรุ่นใหม่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
หนานกงเชี่ยนโหรวนำทหารม้าติดอาวุธออกจากกองบัญชาการสูงสุด เพื่อหลบหลีกจากพื้นที่การกระหน่ำยิงปืนใหญ่และธนูหน้าไม้ ก่อนจะบุกโจมตีจากทางด้านขวาของกองทัพทหารคังกั๋ว
กองทัพคังกั๋วตระหนักได้อย่างรวดเร็วถึงการเข้าใกล้ของทหารม้าติดอาวุธกลุ่มนี้ ปืนใหญ่และธนูหน้าไม้ยังคงกระหน่ำยิงอย่างต่อเนื่อง ปะทะกับแรงกระสุนของกองทัพต้าฟ่ง พลธนูและพลปืนใหญ่ต่างก็ยิงอย่างไม่ลดละ เพื่อจู่โจมทหารม้าติดอาวุธที่มีจำนวนทะลุหมื่น
หลังจากยิงอยู่หลายรอบ พลธนูและพลปืนใหญ่ก็ล่าถอยออกไปอย่างไม่ลังเล เวลานี้เอง ทหารม้าในกองทัพคังกั๋วกว่าสามพันนายก็พุ่งออกมาพร้อมกับดาบโม่เตาในมือ
ดาบโม่เตาถือกำเนิดขึ้นในช่วงแรกของสมัยต้าโจว มันมีน้ำหนักราวยี่สิบกิโลกรัม และหล่อขึ้นจากเหล็กชั้นดี มีเพียงทหารชั้นยอดเท่านั้นที่สามารถแตะต้องมันได้ ตอนนั้นที่ต้าโจวยังไม่มีโหร ก็พึ่งพาพลดาบโม่เตากว่าสองหมื่นนายในการสร้างความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้
พลดาบโม่เตาทุกนายล้วนเป็นผู้หลอมจิตขั้นสูงสุด การควงดาบโม่เตาจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา หากอยู่ภายใต้ดาบโม่เตาแล้ว พลทหารม้าธรรมดาล้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ มันถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อต่อกรกับทหารม้าติดอาวุธ
ต้าโจวเป็นราชวงศ์ที่สถาปนาประเทศด้วยศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริง และยังเป็นราชวงศ์ที่มีวิทยายุทธ์อันรุ่งโรจน์ที่สุด
ในช่วงกลางและปลายราชวงศ์ต้าโจว กำลังของชาติก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ชื่อเสียงอันโด่งดังของพลดาบโม่เตาไหลลงสู่ที่ต่ำดุจสายน้ำ เมื่อถึงราชวงศ์ต้าฟ่ง เนื่องจากความสามารถทางด้านวิทยายุทธของทหารมีจำกัด ดังนั้น พลดาบโม่เตาจึงหายไปจากเวทีประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง
แต่พลดาบโม่เตาในตะวันออกเฉียงเหนือ กลับถูกรักษาไว้มาโดยตลอด และสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ เหตุผลก็คือ พ่อมดของสำนักพ่อมดสามารถกระตุ้นศักยภาพของทหาร ยกระดับพลังชีวิต จนกระทั่งบรรลุผลในการยกระดับประสิทธิภาพในการรบอย่างพุ่งทะยานในระยะเวลาอันสั้น
เป็นผลให้เกณฑ์ของพลดาบโม่เตาต่ำลงอย่างมาก
พลดาบโม่เตากว่าสามพันนาย พุ่งโจมตีทหารม้าติดอาวุธของต้าฟ่งกว่าหมื่นนายอย่างฮึกเหิม โดยไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
สัมผัสแห่งความดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันทรงเสน่ห์ของหนานกงเชี่ยนโหรว จิ่วโจวรู้เพียงว่ากองทหารม้าของเผ่าอนารยชนได้รับการยกย่อง หลังจากสงครามที่ด่านซานไห่ จิ้งกั๋วก็ได้รับการยกย่องอีกครั้ง
กองทหารม้าของต้าฟ่งทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
เป็นเช่นนั้นจริงๆ รึ?
สาเหตุที่กองทหารม้าของต้าฟ่งมีน้อยนิด เป็นเพราะขาดม้าศึกที่ยอดเยี่ยม และทุ่งที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงม้า
ปริมาณน้อย ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา เว่ยเยวียนได้สรุปเหตุผลของการพ่ายแพ้ครั้งเล็กๆ มากกว่าสิบครั้งในสงครามด่านซานไห่ ว่าเป็นเพราะทหารม้าเสียเปรียบอย่างร้ายแรง
ต้าฟ่งไม่มีพลดาบโม่เตาที่องอาจ การฝึกฝนพลังการต่อสู้ทางทหารก็ไม่สามารถเทียบได้กับสมัยรุ่งเรืองของต้าโจว แล้วจะเพิ่มพลังอานุภาพของทหารม้าติดอาวุธบนพื้นฐานของต้นฉบับได้อย่างไร?
การตัดสินใจของเว่ยเยวียนคือ ประกอบอุปกรณ์!
ต้าฟ่งไม่มีพ่อมด ซึ่งสามารถกระตุ้นศักยภาพของทหาร หรือเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ และยังไม่มีทหารที่แข็งแกร่งเหมือนต้าโจว
แต่ต้าฟ่งมีสำนักโหราจารย์ มีโหร
น้อยคนนักที่จะรู้เหตุผลว่าทำไมเว่ยเยวียนถึงเข้าออกหอดูดาวอยู่บ่อยครั้งในช่วงยี่สิบปีนี้ แต่หลังจากการต่อสู้ เว่ยเยวียนได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ และทรัพยากรทางการเงินทั้งหมดเพื่อสร้างชุดเกราะของทหารม้าติดอาวุธกว่าหมื่นชุดในตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้
พลดาบโม่เตาที่ต้าฟ่งได้ทอดทิ้งไปนาน เป็นเพียงแค่ของเก่าภายใต้เศษฝุ่นในประวัติศาสตร์เท่านั้น!
ทหารม้าติดอาวุธกว่าหมื่นคนฆ่าพลดาบโม่เตาอย่างอุกอาจจนพ่ายแพ้ย่อยยับ
หนานกงเชี่ยนโหรวเป็นผู้นำทัพ รูม่านตาสีน้ำตาลถูกแทนที่ด้วยสีแดงเลือด เส้นเลือดสีน้ำเงินปูดโปนออกมาบนใบหน้า เขาเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนอสุรกายตนหนึ่งที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพคังกั๋ว หรือกองทัพต้าฟ่งอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตา นายทหารชั้นสูงจำนวนมากต่างก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ในการล้อมโจมตีเมืองครั้งก่อน ทหารม้าติดอาวุธนั้นไร้ประโยชน์จริงๆ ด้วยเหตุนี้ แม้กระทั่งตนเองก็ยังไม่รู้พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของทหารม้าติดอาวุธกลุ่มนี้ นอกจากเว่ยเยวียนและหนานกงเชี่ยนโหรว
เวลานี้เอง เสียงสวดมนต์อันไร้ซึ่งตัวตนก็ดังก้องกังวานเป็นชั้นๆ ท่ามกลางกองทัพคังกั๋ว ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ไม่เข้าใจเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงของบทสวดนั้น
จิตวิญญาณทั่วทั้งสนามรบถูกกระตุ้น พลดาบโม่เตาที่เพิ่งตายไปเมื่อสักครู่และตัวยังอุ่นอยู่กลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง บางคนสูญเสียศีรษะ บางคนสูญเสียแขน หน้าอกบางคนถูกเสียบทะลุ แต่พวกเขาลุกขึ้นยืน และกลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
สำหรับพ่อมด ตราบใดที่ศพไม่ฉีกออกจากกันหรือถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน นั่นก็จะเป็นแหล่งที่มาของกำลังที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
‘โฮก…’
เสียงคำรามอย่างต่อเนื่องดังมาจากที่สูงในระยะไกล สัตว์มีปีกขนาดมหึมากระพือปีกบินร่อนอยู่บนอากาศเหนือกองทัพต้าฟ่ง ปล่อยวัตถุต่างๆ ลงมา เช่น ก้อนหินและน้ำมันก๊าด
ประตูเมืองหลวงเหยียนเปิดออก กองกำลังของเหยียนกั๋วก็เคลื่อนพลกันออกมา พยายามโจมตีกองทัพของคังกั๋วทั้งสองด้าน
“ยกโล่!”
เฉินอิง บุคคลผู้มีพรสวรรค์ทางด้านทหาร เป็นผู้นำทัพทหารรักษาพระองค์กว่าหนึ่งหมื่นสองพันนาย ออกคำสั่งอย่างเป็นระเบียบ “ขบวนปืนใหญ่หนึ่งหกแปดโยกย้าย ขบวนหน้าไม้สองสี่โยกย้าย จู่โจมข้าศึกตามที่ข้าโจมตี…”
เขาตะโกนเสียงดัง พลางโบกสะบัดธงในมือเพื่อถ่ายทอดคำสั่งออกไป
เหล่าทหารราบยกโล่ขึ้นเพื่อต้านทานการโจมตีจากอากาศ ปืนใหญ่และธนูหน้าไม้บางส่วนเปลี่ยนทิศทาง เปิดฉากยิงกองทัพเหยียนกั๋วที่เคลื่อนตัวออกมาจากเมือง
ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนของปืนใหญ่ เฉินอิงนำทัพทหารม้าห้าพันนาย ทหารราบหนึ่งหมื่นนาย ออกไปต่อต้านกองทัพเหยียนกั๋วอย่างดุดัน
…
สงครามต่อสู้กันจากกลางวันจนกระทั่งเข้าสู่กลางคืน กองทัพเหยียนกั๋วทิ้งศพไว้มากกว่าแปดพันศพและล่าถอยกลับไปยังคูเมือง กองทัพคังกั๋วสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน และล่าถอยออกไปถึงสามสิบลี้
กองทัพต้าฟ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากเข็ญอย่างยิ่ง ซึ่งมีเหตุผลสามประการสำหรับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้
หนึ่ง ความพ่ายแพ้ทางด้านสงคราม
เมืองหลวงเหยียนนั้นป้องกันง่ายแต่โจมตียาก ยากยิ่งกว่าเมืองทั้งเจ็ดที่ถูกปราบปรามไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมือมากมายในเมืองหลวงเหยียน ทั้งกำลังทางทหารที่แข็งแกร่ง และพ่อมดขั้นสามที่นั่งบัญชาการด้วยตนเอง คิดจะเอาชนะในเวลาอันสั้น คงยากราวกับปีนขึ้นไปบนฟ้า
ประกอบกับกำลังเสริมอย่างกองทัพคังกั๋ว หากคิดจะล้อมโจมตีอีกครั้ง ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
สอง เส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกตัดขาด
หากไม่มีเส้นทางส่งกำลังบำรุง กองทัพต้าฟ่งก็เปรียบเสมือนห้องใต้หลังคาที่ไม่มีรากฐาน ซึ่งรอเวลาถล่มลงมาเท่านั้น
กองไฟลุกโชนอยู่ในค่ายทหาร
มีเฉินอิงผู้นำพรรคชิงจ้วง และหนานกงเชี่ยนโหรวผู้นำพรรคเว่ยเยวียนมาร่วมมือกัน
เฉินอิงยืนอยู่หน้าแผนผังจำลองที่ทำด้วยทราย พลางชี้ไปที่แม่น้ำและภูเขา “ข้าชายตามองเพียงน้อยนิดก็เข้าใจกลยุทธ์ของคังกั๋วและเหยียนกั๋วทั้งหมด พวกเขาจะปิดกั้นเราให้อยู่ภายในเมืองหลวงเหยียน จนกระทั่งกระสุนหมดเสบียงเกลี้ยง หรือหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง หลังจากนั้น พวกเขาก็จะแล่เนื้อแบ่งกันกิน เสบียงของพวกเราใกล้จะหมด วันมะรืนนี้คงต้องฆ่าม้าเอาเนื้อแล้ว”
นายทหารชั้นสูงท่านหนึ่งเผยอริมฝีปากเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ข้าจะไปปล้นสะดมและเสบียงอาหารเอง มีหมู่บ้านหลายแห่งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองหลวงเหยียน ถึงอย่างไรก็ต้องได้ของกินมาบ้าง ฆ่าม้าไม่ได้ ไม่ได้อย่างแน่นอน”
เฉินอิงตอบกลับเพียง “อืม” และกล่าวต่อไปว่า “นายพลจ้าว เช่นนั้นก็ฝากท่านด้วย ภารกิจที่เว่ยกงมอบให้เรา คือให้ยืนหยัดและอดทนไว้จนถึงสิบวัน ตอนนี้ผ่านไปหกวันแล้ว ทนอีกสี่วัน อีกสี่วันพวกเราจะถอนกำลัง”
หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาก็กวาดสายตามองนายทหารชั้นสูงทุกคน เมื่อเห็นพวกเขาไม่ได้สนใจมากนัก ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ว่ากันตามจริง สงครามสนามนี้ช่างยุ่งเหยิงนัก สิ่งที่ยุ่งเหยิงกว่าคือเสบียงถูกตัดขาด จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของเว่ยกง แต่คำสั่งทางทหารสำคัญยิ่งยวดดุจภูผา แม้ว่าเว่ยกงจะให้ข้าฝ่าภูเขามีดทะเลไฟ ข้าก็จะสู้ไม่ขยิบตา ตอนนี้พวกเรายังเหลือพี่น้องอีกสามหมื่นคน หลังจากนี้สี่วัน ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะรอดกี่คน แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สำนักพ่อมดรังแกผู้อื่นมากเกินไป ทั้งสมคบคิดกับข้าราชสำนัก ยักยอกกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ต้าฟ่งของพวกเรา สนับสนุนกลุ่มโจรในอวิ๋นโจว ราษฎรเดือดร้อนจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ตอนนี้ยังพยายามยึดครองทางเหนือ เข้าล้อมชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของต้าฟ่งทั้งสองแห่ง ต่อให้กองทัพทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ ก็ต้องทำลายกำลังทหารของเหยียนกั๋วและคังกั๋ว พวกท่านทุกคน กลัวตายหรือไม่?”
“กลัวอะไรกัน ถ้ากล้าลงสนามรบ ย่อมไม่กลัวตายแล้ว” นายทหารชั้นสูงคนหนึ่งกล่าวตำหนิเล็กน้อย
“ก็แค่สี่วันไม่ใช่รึ อีกสี่วันข้าก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังตามเดิม”
“เว่ยกงให้พวกเรายื้อเวลาไว้ อย่าว่าแต่สี่วัน สี่สิบวัน ข้าก็ต้องทำภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์”
ทุกคนหันไปมองหนานกงเชี่ยนโหรว ฆ้องทองคำที่ไม่มีใครเทียบได้ท่านนี้กล่าวเสียงเบาว่า “คืนนี้ข้าจะนำทัพทหารม้าติดอาวุธหนึ่งหมื่นนายออกไป”
เฉินอิงจ้องเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “ภารกิจของเว่ยกง?”
หนานกงเชี่ยนโหรวตอบรับเพียงคำว่า “อืม”
เฉินอิงมองเขาอยู่นาน ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “ตกลง ท่านจัดการเรื่องของตนเองไปเถอะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
หนานกงเชี่ยนโหรวไม่ได้ใส่ใจนัก และหมุนตัวเดินจากไป
ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากค่ายทหาร จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน หนานกงเชี่ยนโหรวค่อยๆ กวาดตามองใบหน้าของทุกคนอย่างละเอียด เขาหายใจเข้าลึกๆ พลางยกกำปั้นขึ้นมาและกล่าวว่า “ทุกท่าน รักษาตัวด้วย!”
“รักษาตัวด้วย!”
นายพลกล่าวอย่างเคร่งขรึม
หนานกงเชี่ยนโหรวถอดหมวกเกราะออก ก่อนจะวางลงที่พื้นช้าๆ แล้วโค้งตัวคำนับอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
…
เมืองหลวงเหยียน
เทียนส่องแสงเจิดจ้าในท้องพระโรง หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียนั่งอยู่บนบัลลังก์ ฟังการสนทนาของเหล้าข้าราชบริพาร
เมื่อเทียบกับความยากเข็ญของกองทัพต้าฟ่ง บรรยากาศที่นี่ดูผ่อนคลายกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเต็มไปด้วยความสุขอันชื่นมื่น
ปกป้องเมืองมาหกวัน กองทัพของต้าฟ่งล้อมโจมตีได้เพียงวันแรกเท่านั้น หลังจากทิ้งศพไว้นับพันและพ่ายแพ้อย่างสิ้นหวัง ก็ไร้ซึ่งวี่แววในการล้อมโจมตีครั้งที่สอง
ส่วนฝ่ายตนเองนั้นกลับกัน เนื่องจากการมาถึงของกำลังเสริมจากคังกั๋ว จึงเกิดการโจมตีทั้งสองด้าน ตัดขาดเส้นทางส่งกำลังบำรุงของต้าฟ่ง และตัดขาดเสบียงอาหารของพวกเขา
ตราบใดที่ยังยื้อเวลาออกไปได้อีกไม่กี่วัน เมื่อไม่สามารถล้อมโจมตีได้อีกต่อไป ต้าฟ่งก็ทำได้เพียงถอนทัพ และกองกำลังทหารที่เหลืออยู่ของพวกเขา กล่าวคือ เมืองหลวงเหยียนมั่นคงดุจภูเขาไท่ ไม่เกรงกลัวทหารที่อ่อนแอของต้าฟ่ง
หากพวกเขาถอนทัพไปแล้ว เหยียนกั๋วและคังกั๋วก็จะสามารถไล่โจมตีได้
ลัทธิแม่มดก็จะเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ
ด้วยวิธีนี้ ที่เรียกกันว่าเทพสงครามแห่งต้าฟ่งก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
สถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้ทุกคนในเหยียนกั๋วมีความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า ชื่อเสียงอันโด่งดังของเว่ยเยวียนที่สะสมมาในสงครามด่านซานไห่ก็เริ่มลดลงอย่างมากในช่วงเวลาอันสั้น
“เฮอๆ ดูเหมือนเทพสงครามของต้าฟ่งท่านนี้จะไม่เชี่ยวชาญในการล้อมโจมตี
“อาจเป็นเพราะการต่อสู้ในราชสำนักตลอดยี่สิบปีได้ดูดกลืนกำลังอันฮึกเหิมของเขาไปแล้ว อีกอย่าง เขาไม่ได้นำทัพมายี่สิบปี สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมก็จริง แต่คนเปลี่ยนไปนานแล้ว
“การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเราเหยียนกั๋วจะเหยียบย่ำชื่อเสียงของเว่ยเยวียนให้สั่นสะเทือนไปทั่วจิ่วโจว
“คิดจะโจมตีถึงแท่นบูชาหลักด้วยกองทหารม้าหนึ่งแสนนายงั้นรึ? ช่างเป็นความปรารถนาที่อยู่เหนือเหตุผล”
เว่ยเยวียนเป็นผู้นำกองทัพในการบุกขึ้นทางเหนือ และพบกับการต่อต้านอันแข็งแกร่งที่เหยียนกั๋ว ในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และหนีกลับไปที่ชายแดนต้าฟ่งพร้อมกับทหารที่เหลือ…เรื่องนี้จะต้องได้รับการบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียหันไปมองราชครูอีเอ๋อร์ปู้ที่ถือไม้เท้าสีทองอยู่ในมือ และสวมเสื้อคลุมยาว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านราชครูอีเอ๋อร์ปู้ รอให้เอาชนะเว่ยเยวียน พวกเราก็จะสามารถแบ่งทหารไว้ข้างหลัง ช่วยคังกั๋วสงบศึกแดนเหนือได้ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องยากสำหรับต้าฟ่งที่จะส่งกำลังเสริม สถานที่สามหมื่นลี้ข้างหลัง ก็จะเข้าสู่อาณาเขตสำนักพ่อมดของข้า”
อีเอ๋อร์ปู้กล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องศึกแดนเหนือไม่ต้องรีบร้อน คำสั่งของแท่นบูชาหลักคือ กำจัดกองทัพของต้าฟ่งภายในอาณาเขตชายแดนให้สูญสิ้น โดยเฉพาะเว่ยเยวียน อย่าปล่อยให้เขากลับต้าฟ่งเด็ดขาด”
หนู่เอ่อร์เฮ่อตกตะลึง และแอบขมวดคิ้ว
เขาไม่เข้าใจว่าคำสั่งของแท่นบูชาหลักมีประโยชน์อย่างไร สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเสมอคือผลลัพธ์ระยะยาวและสถานการณ์โดยรวม ไม่ใช่บางสิ่ง หรือใครบางคน
การเอาชนะต้าฟ่ง และยึดอาณาเขตทางเหนือ สำคัญกว่าการฆ่าเว่ยเยวียนเสียอีก
อีเอ๋อร์ปู้กล่าวต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม การที่สามารถสกัดกั้นให้เว่ยเยวียนอยู่ในอาณาเขตเหยียนกั๋วได้ ช่างเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจริงๆ ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะขอให้แท่นบูชาหลักบันทึกคุณงามความดีของเจ้าแทนเจ้าเอง”
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียยกยิ้ม “ขอบคุณท่านราชครู”
ทันใดนั้น อีเอ๋อร์ปู้ก็เอียงศีรษะไปด้านข้างอย่างกะทันหัน และทำท่าทีราวกับกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง
เสียงระงมที่ไม่มีตัวตนดังก้องอยู่ที่ข้างหู ราวกับเสียงของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน ราวกับมาจากอีกโลกหนึ่ง
สีหน้าของอีเอ๋อร์ปู้เปลี่ยนจากไม่รู้สึกรู้สาเป็นจริงจัง จากจริงจังเป็นหน้าดำหน้าแดง การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจนทำให้หนู่เอ่อร์เฮ่อตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง
“พ่อมดกำลังเรียกข้า…เว่ยเยวียน?!”
อีเอ๋อร์ปู้กลายร่างเป็นลำแสงสีดำ พุ่งออกไปจากห้องโถง และหายไปในความมืดอย่างฉับพลัน
“เว่ยเยวียน?”
หนู่เอ่อร์เฮ่อขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทีงุนงง
ขุนนางชั้นสูงและผู้บัญชาการทหารในราชสำนัก ต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยความสับสนชั่วขณะ
เว่ยเยวียนทำอะไร ถึงได้ทำให้ราชครูอีเอ๋อร์ปู้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้?
ห่างจากเมืองหลวงเหยียนหมื่นลี้ ในเมืองหลวงของคังกั๋ว ก็มีลำแสงสีดำทะลุผ่านท้องฟ้า และพุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็วเช่นกัน
…
เวลาใกล้รุ่งอรุณ หนานกงเชี่ยนโหรวนำทหารม้าติดอาวุธออกเดินทาง ในที่สุดก็ถึงยังสถานที่ที่เว่ยเยวียนกำหนดไว้
ที่นี่คือหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้าน และลำธารขนาดย่อม
หนานกงเชี่ยนโหรวปล่อยให้เหล่าทหารม้าพักผ่อนในสถานที่ ในระหว่างการเดินขบวนครั้งนี้ เขาปฏิบัติตามกฎที่เว่ยเยวียนกำหนดอย่างเคร่งครัด คือหยุดพักแปรงขนม้าทุกๆ สิบลี้ ให้อาหารและน้ำม้าทุกๆ สามสิบลี้
กองไฟลุกโชน ซุปผักในหม้อเดือดปุดๆ
เสบียงเหล่านี้ถูกปล้นมาจากหมู่บ้านตามทาง ส่วนผักเป็นสิ่งที่นำมาเอง เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ หนานกงเชี่ยนโหรวก็นึกถึงเจ้าคนกะล่อนคนนั้นที่แย่งชิงความโปรดปรานกับเขา
ก่อนที่กองทัพจะออกรบ สวี่ชีอันได้เสนอแผนให้กับเว่ยเยวียน โดยการตากผักให้แห้ง แล้วอังไฟเพื่อไล่ความชื้นออกให้หมด หลังจากนั้นก็ปิดผนึกด้วยไส้แกะ
ทหารแต่ละคนพกผักตากแห้งหนึ่งกิโลกรัม มันมีน้ำหนักเบา แต่หลังจากแช่น้ำแล้วกลับมีปริมาณมาก โรยเกลือสักหนึ่งหยิบมือ รสชาติของมันก็ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้
หนานกงเชี่ยนโหรวยกซดซุปผักและใช้มือหยิบข้าว ในขณะที่รับประทาน ก็พลางพิจารณาถึงจุดประสงค์ที่ท่านพ่อบุญธรรมให้เขาแยกตัวออกมาจากกองทัพ
ทิศทางที่เว่ยเยวียนมอบให้คือทิศใต้ ซึ่งสวนทางกับเส้นทางการเดินขบวนของกองทัพ
หนานกงเชี่ยนโหรวตระหนักได้รางๆ ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ท่านพ่อบุญธรรมทุ่มเททั้งกายและใจในการวางแผน สร้างชุดเกราะของทหารม้าติดอาวุธเหล่านี้กว่าหมื่นชุด บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในจุดประสงค์อื่น
ดังนั้น เขาจึงต้องแยกตัวออกจากกองทัพ ความคิดของท่านพ่อบุญธรรมคือ พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ทหารม้าติดอาวุธกลุ่มนี้เกิดการสูญเสียอย่างหนัก
แต่จะมีความหมายอะไร?
ในขณะที่หนานกงเชี่ยนโหรวคิดเช่นนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ด้านหลัง “พวก…”
เขาหันศีรษะไปมองอย่างรวดเร็ว เห็นโหรชุดขาวธรรมดาคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามายืนด้านหลังตนเองตั้งแต่เมื่อใด
โหรชุดขาวท่านนี้มีใบหน้านุ่มนวลตามแบบฉบับคนที่ราบกลาง ใบหน้ามน เบ้าตาตื้น ริมฝีปากหนา ให้ความรู้สึกเรียบง่าย
หนานกงเชี่ยนโหรวกระโดดรักษาระยะห่างตามสัญชาตญาณนักรบ พลางชักดาบออกมาและตะโกนว่า “เจ้าเป็นใคร”
ทหารม้าติดอาวุธต่างก็โยนถ้วยทิ้งไป พลางชักดาบแล้วขึ้นหลังม้า แสดงให้เห็นถึงกองทหารที่มีความสามารถระดับสูง
โหรชุดขาวกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจ้า…”
หนานกงเชี่ยนโหรวตะโกนอีกครั้ง “เจ้าเป็นใคร”
โหรชุดขาวปรากฏตัวที่ด้านหลังอย่างไร้กลิ่นไร้เสียง การฝึกฝนของเขาต้องอยู่เหนือหยางเชียนฮ่วนอย่างแน่นอน
โหรชุดขาวกล่าวว่า “มาสาย…”
ในที่สุด เขาก็กล่าวจบประโยคทั้งหมด ‘พวกเจ้ามาสาย?!’
ในที่สุดหนานกงเชี่ยนโหรวก็เข้าใจถ้อยคำของอีกฝ่าย และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้ากำลังรอข้ารึ? ท่านพ่อบุญธรรมส่งเจ้ามาใช่หรือไม่?”
โหรชุดขาวพยักหน้า
หนานกงเชี่ยนโหรวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรีบถามว่า “ท่านเป็นใคร? ท่านพ่อบุญธรรมให้พวกเรามาหาท่าน มีแผนอะไรรึ?”
โหรชุดขาวมองเขาด้วยความสงบ และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคือท่านโหราจารย์…”
สีหน้าของหนานกงเชี่ยนโหรวเปลี่ยนไปอย่างมาก
ท่านโหราจารย์?
เขาเป็นท่านโหราจารย์?!
ไม่ เขาจะเป็นท่านโหราจารย์ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเจอท่านโหราจารย์สักหน่อย…
เดี๋ยวก่อน นี่อาจจะไม่ใช่ร่างของท่านโหราจารย์ แต่เป็นร่างอวตารก็ได้ ใช่ เช่นนี้ถึงจะอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่ด้านหลังข้า แต่ข้ากลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่นิดเดียว…
ท่านพ่อบุญธรรมให้พวกเรามาพบท่านโหราจารย์ เขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?
หนานกงเชี่ยนโหรวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อท่านโหราจารย์ หลังจากนั้นก็ได้ยินโหรชุดขาวกล่าวว่า “ลูกศิษย์ลำดับสอง!”
ลูกศิษย์คนที่สอง? หนานกงเชี่ยนโหรวตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบสนองด้วยอารมณ์รุนแรง “เจ้าคือลูกศิษย์ลำดับสองของท่านโหราจารย์?!”
โหรชุดขาวยกยิ้มเล็กน้อย พลางพยักหน้าอย่างสุขุม
ผิวหน้าของหนานกงเชี่ยนโหรวกระตุกอย่างต่อเนื่อง
เขาพยายามระงับความโกรธของตนเองลง และถามว่า “ท่านพ่อบุญธรรมมีแผนการอย่างไร?”
โหรชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้า…”
หลังจากนั้นก็จมดิ่งสู่ความเงียบงัน
จากประสบการณ์เมื่อสักครู่ หนานกงเชี่ยนโหรวจึงไม่รีบร้อน และรอคอยอย่างอดทน โดยการถือโอกาสรำลึกถึงตัวตนของโหรท่านนี้ ลูกศิษย์อันดับสองของท่านโหราจารย์อยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี หนานกงเชี่ยนโหรวเคยได้ยินเรื่องของเขา แต่ไม่เคยพบเขามาก่อน
คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเจอกันโดยบังเอิญ ลูกศิษย์ลำดับสองท่านนี้ อืม กล่าวได้ว่าเขาสมควรเป็นลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์
สิบนาทีต่อมา ในที่สุด โหรชุดขาวก็กลั้นประโยคครึ่งหลังเอาไว้ “ไม่รู้! ข้าไม่รู้”
สีหน้าของหนานกงเชี่ยนโหรวดูน่ากลัวเล็กน้อย
โหรชุดขาวหัวเราะหนานกงเชี่ยนโหรวอย่างไร้มารยาท พลางยกมือขึ้นและสะบัดเล็กน้อย กำจัดการคงอยู่ของหนานกงเชี่ยนโหรว กำจัดการคงอยู่ของหน่วยทหารม้าติดอาวุธครบมือกว่าหมื่นคน
…
เวลารุ่งสาง แสงสีทองยามรุ่งอรุณสาดกระทบผิวน้ำทะเล เกิดเป็นระลอกคลื่นสีทองที่กระจัดกระจายเป็นชั้นๆ
หอสังเกตการณ์สูงตระหง่าน ณ จิ้งซาน
ทหารยามที่สวมเสื้อคลุมและหมวกขนแกะหาวฟอดใหญ่ ก่อนจะปลดถุงน้ำพกพาที่เอวออกมา และยกขึ้นจิบเหล้านมหมัก
หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สภาพอากาศในจิ้งซานก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลมทะเลและกรวดพัดเข้ามาปะทะใบหน้า ราวกับเข็มเล่มเล็กๆ ขีดข่วนผิวหน้าทีละน้อย จนกระทั่งแห้งกร้าน
ทหารยามเหลือบมองแท่นบูชาสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไป เห็นเงาตะคุ่มของรูปปั้นทั้งสองที่ยืนหยัดมามากกว่าพันปี
สำหรับคนธรรมดาที่มีอายุขัยไม่ถึงหกสิบปี รูปปั้นทั้งสองนี้ดูเหมือนจะเป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง
“เฮ้ยเฮ้ย ตื่นได้แล้ว ใกล้ได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว”
ทหารยามที่ดื่มเหล้านมม้า ปลุกสหายร่วมงานให้ตื่น
สหายขยี้ตาตื่นมาพร้อมกับรอยคล้ำรอบๆ ดวงตา เขาหาวฟอดใหญ่ และกล่าวด้วยความเกียจคร้าน “ฟู่เจ๋อเอ่อร์ ได้ข่าวว่าสถานการณ์ทางเหนือดีมาก ข้าอยากเข้าร่วมสงครามไปหาความดีความชอบจริงๆ เลย ได้ทั้งเลื่อนยศ ได้ทั้งโอกาสปล้นเงินทอง เช่นนี้ข้าก็มีเงินไปสู่ขอเมียแล้ว”
ฟู่เจ๋อเอ่อร์จิบเหล้านมม้า พลางยักไหล่กล่าวว่า “โง่ชะมัด ถ้าได้เข้าร่วมสงครามจริงๆ เจ้าจะเสียเงินไปสู่ขอเมียทำไมเล่า สู้จับผู้หญิงเผ่าอนารยชนสักสิบคนกลับมา ไม่น่าสนุกกว่ารึ”
สหายร่วมงานหัวเราะเยาะ “ผู้หญิงเผ่าอนารยชนดุยิ่งกว่าเสือ เนื้อในเป้ากางเกงของเจ้าจะพอให้พวกนางกินรึ? เจ้าก็ต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับแกะตัวเมีย”
“ไอ้ระยำ แกะตัวเมียทำอะไรผิดวะ ทำไมเจ้าถึงทำกับพวกมันเช่นนั้น?” ฟู่เจ๋อเอ่อร์ก่นด่า
ทันใดนั้น ฟู่เจ๋อเอ่อร์ที่หันไปมองทางทะเลก็ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ เขาขยี้ตาเล็กน้อย ราวกับกำลังสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่
ที่ปลายขอบฟ้าบนผิวน้ำทะเลที่เป็นประกายระยิบระยับ มีเรือรบขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ตามด้วยลำที่สอง ลำที่สาม ลำที่ห้า…เรือรบทั้งหมดยี่สิบลำ เคลื่อนตัวมาตามลมและคลื่นอย่างรวดเร็ว
ธงบนเรือรบโบกสะบัด
มีร่างหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่หัวเรือลำที่นำอยู่หน้าสุด เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม เขามองมาที่จิ้งซานด้วยสายตาสงบนิ่ง
‘วูๆ…’
เสียงแตรดังขึ้นจากหอสังเกตการณ์และแผ่กระจายไปทั่วจิ้งซาน รวมทั้งเมืองจิ้งซานที่สร้างบนภูเขา ซึ่งเป็นเมืองที่พ่อมดระดับสูงอยู่รวมกัน
………………………………………………