ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ
บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ
เสียงแตรเขาสัตว์อันเยือกเย็นดังไปทั่วภูเขาและท้องทุ่ง ปลุกเมืองที่หลับใหลให้ตื่นฟื้น
ในฐานะแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซานมีประชากรเกือบห้าแสนคน ทั้งเมืองมีแต่ผู้ฝึกตนสายพ่อมดเดินขวักไขว่ไปทั่ว
ทหารอารักขาเพียงสองหมื่นห้าพันนายนั้นช่างอ่อนด้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเมืองที่มีประชากรกว่าห้าแสนคน
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ากำลังพลของสำนักพ่อมดจะขาดแคลนแต่อย่างใด ทว่าเพราะไม่มีความจำเป็น
ที่นี่คือแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมด มีทั้งรูปเคารพของพ่อมด มีพ่อมดขั้นหนึ่ง มียอดฝีมือมากมายที่เข้าสู่ระบบสำนักพ่อมด อีกทั้งยังมีกองทหารขนาดใหญ่อีกด้วย
จึงไม่เป็นการกล่าวเกิดจริง หากจะบอกว่าความแข็งแกร่งกองทัพของเมืองจิ้งซานในภาพรวมนั้นมิได้ด้อยไปกว่าเมืองหลวงต้าฟ่งเลย
ทหารอารักขากว่าสองหมื่นรายที่ประจำในค่ายภายในเมืองรีบกรูออกไป ทหารม้าหกพันนาย ทหารราบหนึ่งหนึ่งหมื่นสี่พันนาย ไล่ตั้งแต่ระดับแม่ทัพจนถึงพลทหารทั้งหมดต่างงงเป็นไก่ตาแตก
ใครมันอาจหาญโจมตีเมืองจิ้งซาน?
ตลอดบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่สำนักพ่อมดถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งโบราณกาล และสืบทอดสำนักต่อกันมา เมืองจิ้งซานก็ไม่เคยเผชิญสงครามเลย
ทหารสองหมื่นนายเดินไปตามเส้นทางเปิดโล่ง ข้ามยอดเขาจิ้งซานจนมาถึงชายทะเลที่ตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นผง
…
จากนั้นลำแสงสีดำทะมึนก็พุ่งออกมาจากในเมือง ราวกับดาวหางที่อัดแน่น ข้ามผ่านยอดเขาจิ้งซาน มาลงจอดที่ชายฝั่ง
เหล่าพ่อมดนำโดยเจ้าเมืองน่าหลันเหยี่ยน ทอดสายตามองออกไป เห็นเรือรบขนาดใหญ่กว่ายี่สิบลำฝ่าคลื่นทะเลมาจากที่ที่ไกลออกไป
น่าหลันเหยี่ยนสูงแปดฟุต ใบหน้าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเคราหนา มีผมหยักศกสีน้ำตาลตามธรรมชาติ บำเพ็ญสายพ่อมดและทหารควบคู่กัน
เจ้าเมืองผู้นี้เป็นอยู่บนจุดสูงสุดของพ่อมดขั้นสี่ และจุดสูงสุดของทหารขั้นสี่ อีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็จะก้าวข้ามกำแพงกั้นระหว่างมนุษย์และเซียน และกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสามที่มีอายุยืนยาว
น่าหลันเหยี่ยนยังมีอีกตัวตนหนึ่ง สำนักพ่อมดมีพ่อมดปราชญ์วิญญาณ (ขั้นสาม) สามคน และพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ (ขั้นหนึ่ง) อีกหนึ่งคน ปราชญ์วิญญาณสามคนเป็นราชครูแห่งสามอาณาจักรจิ้ง คัง และเหยียน ซึ่งมักจะไม่อยู่ที่แท่นบูชาหลักในวันธรรมดา
ส่วนพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่นั้นมัวแต่เลี้ยงแกะ ใช้ชีวิตปลีกวิเวกไม่สนใจใคร
เจ้าเมืองจิ้งซานเดิมทีเป็นเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองคนหนึ่ง ทว่าในระหว่างสงครามด่านซานไห่ เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองผู้นั้นถูกเว่ยเยวียนล่อลวงไปติดกับ และลงมือสังหารร่วมกับอรหันต์สำนักพุทธ
น่าหลันเหยี่ยนก็คือบุตรชายของเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองผู้นั้นนั่นเอง
อาทิตย์อรุณต้องผืนน้ำทะเลเป็นประกายระยับด้วยแสงสีทอง น่าหลันเหยี่ยนหรี่ตามองออกไป เมื่อเห็นคนในชุดสีดำที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือรางๆ ก็แสยะยิ้มเยือกเย็นทันที
นอกจากพ่อมดและทหารอารักขาแล้ว ยังมียอดฝีมือผู้มีตบะสูงต่ำต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ คือไม่ขาดแคลนยอดฝีมืออย่างแน่นอน ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงชายฝั่ง แต่กลับเฝ้ามองจากไกลๆ ไม่เข้าไปปะทะ
ทหารเป็นคนจรสำหรับเมืองจิ้งซาน หากใช้ภาษาต้าฟ่งมานิยาม ก็หมายถึงชาวยุทธ์
“นั่นมันเรือรบของต้าฟ่ง…”
“ที่หัวเรือนั่นคือเว่ยเยวียนสินะ สวมชุดสีดำเช่นนั้น ช่างสมกับตำนานเว่ยเยวียนเสียจริง”
“สมกับเป็นเทพสงครามจริงๆ เล่าลือกันว่าเขานำทัพต้าฟ่งไปเผชิญกับการต้านทานอย่างเหนียวแน่นจากแดนเหยียนกั๋ว…ใครจะไปคิดว่าเขาจะยกทัพบุกมาทางทะเลโต้งๆ เช่นนี้”
“แต่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ”
“เว่ยเยวียนเดินหมากได้ดี แต่สำนักพ่อมดอย่างเราไร้ซึ่งจุดอ่อน ต่อให้เจ้าเป็นเทพสงคราม ก็ทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น เรือรบยี่สิบลำนี่เห็นทีจะสูญสิ้นแล้ว”
สีหน้าของเหล่าชาวยุทธ์พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย จนถึงขั้นหัวเราะออกมา การที่พวกเขาผ่อนคลายขนาดนี้ได้นั้นย่อมมีสาเหตุ
แท่นบูชาหลักสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซาน ติดกับผืนทะเลสุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบด้วยสามดินแดน เหยียน จิ้ง คัง กาลเวลาผันผ่านนับสหัสวรรษ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังจากที่ราบลุ่มตอนกลาง แดนเหนือ หรือสำนักพุทธที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวปัจจุบัน
เคยบุกทะลวงมาจนถึงแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดได้สักครั้งหรือไม่?
ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะเหตุใด? เพราะไม่มีใครคิดจะสร้างเรือรบบุกมาทางทะเลหรือ?
เพราะ ‘เจ้าแห่งวัสสาน’ ต่างหาก!
…
บนหน้าผาของภูเขาจิ้งซาน พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่สวมเสื้อคลุมป่านและประคองลูกแกะอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่มองตามเรือรบที่กำลังแล่นผ่านไป
เสื้อคลุมป่านโบกพลิ้ว คลื่นพลังงานวาววับดั่งแก้วปั่นป่วนอยู่รอบตัวของเขา ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบยืดขยายออก
ดูเหมือนว่าเขากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอย่างช้าๆ ซ่าหลุนอากู่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ลมหายใจนี้เป็นดั่งก้อนหิมะ ที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว
ทันใดนั้น ลมกรรโชกพัดไปทางผืนทะเลอันเงียบสงบ ท้องฟ้าสดใสพลันมืดครึ้ม พร้อมด้วยฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฝนที่กระหน่ำลงมา
คลื่นขยายตัวทีละชั้น ดันตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในชั่วพริบตา ทะเลนอกชายฝั่งที่เคยราบเรียบก็ถูกพายุปกคลุม
เรือรบยี่สิบลำล้วนมีขนาดมหึมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับธรรมชาติอันทรงพลัง กลับดูบอบบางเล็กจ้อยราวกับเรือแจว บางจังหวะถูกพัดพาไปตามแรงคลื่น เรือรบทั้งลำลอยขึ้นสูงและร่วงลงมาอย่างแรง ตกกระทบผืนน้ำจนเกิดเป็นคลื่นสาดกระเซ็น
บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ
Ink Stone_Fantasy
เสียงแตรเขาสัตว์อันเยือกเย็นดังไปทั่วภูเขาและท้องทุ่ง ปลุกเมืองที่หลับใหลให้ตื่นฟื้น
ในฐานะแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซานมีประชากรเกือบห้าแสนคน ทั้งเมืองมีแต่ผู้ฝึกตนสายพ่อมดเดินขวักไขว่ไปทั่ว
ทหารอารักขาเพียงสองหมื่นห้าพันนายนั้นช่างอ่อนด้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเมืองที่มีประชากรกว่าห้าแสนคน
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ากำลังพลของสำนักพ่อมดจะขาดแคลนแต่อย่างใด ทว่าเพราะไม่มีความจำเป็น
ที่นี่คือแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมด มีทั้งรูปเคารพของพ่อมด มีพ่อมดขั้นหนึ่ง มียอดฝีมือมากมายที่เข้าสู่ระบบสำนักพ่อมด อีกทั้งยังมีกองทหารขนาดใหญ่อีกด้วย
จึงไม่เป็นการกล่าวเกิดจริง หากจะบอกว่าความแข็งแกร่งกองทัพของเมืองจิ้งซานในภาพรวมนั้นมิได้ด้อยไปกว่าเมืองหลวงต้าฟ่งเลย
ทหารอารักขากว่าสองหมื่นรายที่ประจำในค่ายภายในเมืองรีบกรูออกไป ทหารม้าหกพันนาย ทหารราบหนึ่งหนึ่งหมื่นสี่พันนาย ไล่ตั้งแต่ระดับแม่ทัพจนถึงพลทหารทั้งหมดต่างงงเป็นไก่ตาแตก
ใครมันอาจหาญโจมตีเมืองจิ้งซาน?
ตลอดบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่สำนักพ่อมดถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งโบราณกาล และสืบทอดสำนักต่อกันมา เมืองจิ้งซานก็ไม่เคยเผชิญสงครามเลย
ทหารสองหมื่นนายเดินไปตามเส้นทางเปิดโล่ง ข้ามยอดเขาจิ้งซานจนมาถึงชายทะเลที่ตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นผง
…
จากนั้นลำแสงสีดำทะมึนก็พุ่งออกมาจากในเมือง ราวกับดาวหางที่อัดแน่น ข้ามผ่านยอดเขาจิ้งซาน มาลงจอดที่ชายฝั่ง
เหล่าพ่อมดนำโดยเจ้าเมืองน่าหลันเหยี่ยน ทอดสายตามองออกไป เห็นเรือรบขนาดใหญ่กว่ายี่สิบลำฝ่าคลื่นทะเลมาจากที่ที่ไกลออกไป
น่าหลันเหยี่ยนสูงแปดฟุต ใบหน้าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเคราหนา มีผมหยักศกสีน้ำตาลตามธรรมชาติ บำเพ็ญสายพ่อมดและทหารควบคู่กัน
เจ้าเมืองผู้นี้เป็นอยู่บนจุดสูงสุดของพ่อมดขั้นสี่ และจุดสูงสุดของทหารขั้นสี่ อีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็จะก้าวข้ามกำแพงกั้นระหว่างมนุษย์และเซียน และกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสามที่มีอายุยืนยาว
น่าหลันเหยี่ยนยังมีอีกตัวตนหนึ่ง สำนักพ่อมดมีพ่อมดปราชญ์วิญญาณ (ขั้นสาม) สามคน และพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ (ขั้นหนึ่ง) อีกหนึ่งคน ปราชญ์วิญญาณสามคนเป็นราชครูแห่งสามอาณาจักรจิ้ง คัง และเหยียน ซึ่งมักจะไม่อยู่ที่แท่นบูชาหลักในวันธรรมดา
ส่วนพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่นั้นมัวแต่เลี้ยงแกะ ใช้ชีวิตปลีกวิเวกไม่สนใจใคร
เจ้าเมืองจิ้งซานเดิมทีเป็นเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองคนหนึ่ง ทว่าในระหว่างสงครามด่านซานไห่ เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองผู้นั้นถูกเว่ยเยวียนล่อลวงไปติดกับ และลงมือสังหารร่วมกับอรหันต์สำนักพุทธ
น่าหลันเหยี่ยนก็คือบุตรชายของเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองผู้นั้นนั่นเอง
อาทิตย์อรุณต้องผืนน้ำทะเลเป็นประกายระยับด้วยแสงสีทอง น่าหลันเหยี่ยนหรี่ตามองออกไป เมื่อเห็นคนในชุดสีดำที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือรางๆ ก็แสยะยิ้มเยือกเย็นทันที
นอกจากพ่อมดและทหารอารักขาแล้ว ยังมียอดฝีมือผู้มีตบะสูงต่ำต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ คือไม่ขาดแคลนยอดฝีมืออย่างแน่นอน ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงชายฝั่ง แต่กลับเฝ้ามองจากไกลๆ ไม่เข้าไปปะทะ
ทหารเป็นคนจรสำหรับเมืองจิ้งซาน หากใช้ภาษาต้าฟ่งมานิยาม ก็หมายถึงชาวยุทธ์
“นั่นมันเรือรบของต้าฟ่ง…”
“ที่หัวเรือนั่นคือเว่ยเยวียนสินะ สวมชุดสีดำเช่นนั้น ช่างสมกับตำนานเว่ยเยวียนเสียจริง”
“สมกับเป็นเทพสงครามจริงๆ เล่าลือกันว่าเขานำทัพต้าฟ่งไปเผชิญกับการต้านทานอย่างเหนียวแน่นจากแดนเหยียนกั๋ว…ใครจะไปคิดว่าเขาจะยกทัพบุกมาทางทะเลโต้งๆ เช่นนี้”
“แต่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ”
“เว่ยเยวียนเดินหมากได้ดี แต่สำนักพ่อมดอย่างเราไร้ซึ่งจุดอ่อน ต่อให้เจ้าเป็นเทพสงคราม ก็ทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น เรือรบยี่สิบลำนี่เห็นทีจะสูญสิ้นแล้ว”
สีหน้าของเหล่าชาวยุทธ์พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย จนถึงขั้นหัวเราะออกมา การที่พวกเขาผ่อนคลายขนาดนี้ได้นั้นย่อมมีสาเหตุ
แท่นบูชาหลักสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซาน ติดกับผืนทะเลสุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบด้วยสามดินแดน เหยียน จิ้ง คัง กาลเวลาผันผ่านนับสหัสวรรษ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังจากที่ราบลุ่มตอนกลาง แดนเหนือ หรือสำนักพุทธที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวปัจจุบัน
เคยบุกทะลวงมาจนถึงแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดได้สักครั้งหรือไม่?
ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะเหตุใด? เพราะไม่มีใครคิดจะสร้างเรือรบบุกมาทางทะเลหรือ?
เพราะ ‘เจ้าแห่งวัสสาน’ ต่างหาก!
…
บนหน้าผาของภูเขาจิ้งซาน พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่สวมเสื้อคลุมป่านและประคองลูกแกะอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่มองตามเรือรบที่กำลังแล่นผ่านไป
เสื้อคลุมป่านโบกพลิ้ว คลื่นพลังงานวาววับดั่งแก้วปั่นป่วนอยู่รอบตัวของเขา ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบยืดขยายออก
ดูเหมือนว่าเขากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอย่างช้าๆ ซ่าหลุนอากู่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ลมหายใจนี้เป็นดั่งก้อนหิมะ ที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว
ทันใดนั้น ลมกรรโชกพัดไปทางผืนทะเลอันเงียบสงบ ท้องฟ้าสดใสพลันมืดครึ้ม พร้อมด้วยฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฝนที่กระหน่ำลงมา
คลื่นขยายตัวทีละชั้น ดันตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในชั่วพริบตา ทะเลนอกชายฝั่งที่เคยราบเรียบก็ถูกพายุปกคลุม
เรือรบยี่สิบลำล้วนมีขนาดมหึมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับธรรมชาติอันทรงพลัง กลับดูบอบบางเล็กจ้อยราวกับเรือแจว บางจังหวะถูกพัดพาไปตามแรงคลื่น เรือรบทั้งลำลอยขึ้นสูงและร่วงลงมาอย่างแรง ตกกระทบผืนน้ำจนเกิดเป็นคลื่นสาดกระเซ็น