ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 462 เจ็บหรือไม่ล่ะ
บทที่ 462 เจ็บหรือไม่ล่ะ
‘กร๊อบ!’
เสียงกระดูกคอที่แหลกละเอียดของอีเอ๋อร์ปู้ดังลั่น และในวินาทีนั้นเอง อีเอ๋อร์ปู้ก็หักนิ้วเองของตนเอง พร้อมทั้งหลอมรวมนิ้วมือที่หลุดออกมากับเลือดสดๆ กลายเป็นคาถาโลหิตบิดเร่า
คาถาโลหิตบิดเร่าโอบคลุมร่างของเว่ยเยวียน และแทรกซึมเข้าไปจากผิวหนังของเขา
นี่ไม่ใช่การโจมตีทางกายภาพ กระดูกเหล็กผิวทองแดงของทหารไม่อาจป้องกันได้ นี่คือวิชาสาปสังหารของพ่อมด
วิชาสาปสังหารแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ แบบแรกคือการนำเลือด เส้นผม หรือแม้แต่เสื้อผ้าและสิ่งของของเป้าหมายมาเป็นสื่อกลางในการสาปสังหาร
แต่เมื่อก้าวไปถึงขั้นสาม สามารถสาปแช่งได้โดยไม่ต้องใช้สื่อกลางใดๆ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก
อีกรูปแบบหนึ่งคือการสาปสังหารเป้าหมายโดยใช้เนื้อเลือดของตนเอง
เงื่อนไขของรูปแบบนี้คือศัตรูต้องเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าก่อน
คาถาสีเลือดกัดกร่อนจิตเดิมของเว่ยเยวียน สูบกินพลังปราณและโลหิตของเขา และทำให้เขาแน่นิ่งเป็นเวลาสั้นๆ แต่ในวินาทีต่อมา ผลด้านลบทั้งหมดก็ถูกทำลายโดยพลังปราณอันทรงของทหาร
แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับอีเอ๋อร์ปู้
เขาทุบอาวุธเวทมนตร์เข็มทิศ ร่างของเขาก็หายไปในทันที จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศห่างออกไปหลายร้อยฟุต เรียกนกผีออกมา กรงเล็บของมันเกาะบนไหล่ของเขาและบินหนีไปทางจิ้งซานอย่างรวดเร็ว
อีเอ๋อร์ปู้ที่บาดเจ็บอย่างหนัก เลือกที่จะอัญเชิญวิญญาณของสัตว์ประหลาดจำพวกนก เพื่อพาตนเองหนีไป
เลือดในกาของอีเอ๋อร์ปู้พุ่งกระฉูด รักษาอาการบาดเจ็บที่เรียกได้ว่าปางตายสำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญระดับต่ำ
ทักษะการกระตุ้นปราณโลหิตของขั้นเก้าวิญญาณโลหิต เมื่อก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นคุณภาพก็จะก้าวกระโดดตาม ไม่ได้ด้อยไปกว่าการถอดร่างเกิดใหม่ของทหารแม้แต่น้อย ข้อแตกต่างอยู่ที่ฝ่ายแรกต้องใช้พลังวิญญาณมากกว่า
ส่วนทหารไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนมากมายในการถอดร่างเกิดใหม่ เพราะนี่คือ ‘พรสวรรค์’ ของทหารผู้เป็นอมตะ
ยอดฝีมือขั้นสามไม่อาจสังหารได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นระบบใด ยอดฝีมือขั้นสามก็ถือว่าเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปแล้ว
ทั้งสำนักพ่อมดและกองทัพต้าฟ่งบนชายฝั่ง และบนเรือรบ เมื่อเห็นฉากตรงหน้าต่างก็ตกตะลึงกันทั้งสิ้น
จางไคไท่รวมถึงฆ้องทองคำคนอื่นๆ ต่างร่ำไห้น้ำตานองหน้า นอกจากคนสนิทจำนวนน้อยนิดแล้ว ส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบว่าเว่ยเยวียนเมื่อในอดีตนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาเคยนำทัพเข้าสู่สงครามสยบคณะทูตปีศาจ เผ่าพันธุ์กู่ รวมถึงยอดฝีมือขั้นสูงสุดแห่งสำนักพ่อมดมาหลายสมรภูมิ เขาเป็นผู้คิดค้นแผนการทั้งหมด และให้ยอดฝีมือแห่งสำนักพุทธเป็นผู้ลงมือกระทำ
ในสมรภูมิที่ต้องปะทะกันตัวต่อตัว เขาจะคอยวางแผนกลยุทธ์ และแทบไม่ลงมือเองเลย
หลังจากสงครามด่านซานไห่สิ้นสุดลง เว่ยเยวียนก็สละทิ้งตบะของตนไปเสียดื้อๆ ราวกับเสือที่ถอดเขี้ยวเล็บของตนเอง เขายอมจำนนต่อท้องพระโรง และสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักในฐานะมนุษย์ธรรมดา
ไม่มีใครจดจำภาพของยอดทหารผู้นี้ได้อีก
ยี่สิบเอ็ดปีต่อมา ในที่สุดเขาก็แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันไร้เทียมทานอีกครั้ง
เหล่าทหารที่ไม่รู้ความจริง ต่างรู้สึกว่าสิ่งที่ตนรับรู้ในอดีตนั้นถูกล้มล้างจนสิ้น ทีแรกพวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ไม่นานความรู้สึกปีติก็ท่วมท้นในอกของพวกเขาราวกับกระแสน้ำที่พัดผ่านใต้ฝ่าเท้า
นี่แหละเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่
นี่แหละเทพสงครามแห่งต้าฟ่งของพวกเรา
ฝ่าฟันลมฝนพายุคลั่งมาถึงที่นี่ได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
เมื่อเทียบกับเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าพลทหารต้าฟ่ง ที่โลหิตเดือดพล่านด้วยความกระตือรือร้น ฝั่งกองทัพของสำนักพ่อมดนั้น ทั้งพ่อมดก็ดี หรือชาวยุทธ์ทั้งหลายก็ดี ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะทุกคน
ไม่ใช่เพียงเพราะผู้อาวุโสอีเอ๋อร์ปู้และพ่อมดปราชญ์วิญญาณต้องถอยร่นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และเป็นเพราะพวกเขามีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าศึกครั้งนี้จะเลวร้ายและน่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้
ความแข็งแกร่งโดยรวมของแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเมืองหลวงต้าฟ่งอย่างแน่นอน แม้ว่าเว่ยเยวียนจะสร้างชื่อเสียงคุณูปการจากสงครามด่านซานไห่ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะเป็นภัยคุกคามต่อเมืองจิ้งซานได้จริงๆ
อย่างมากที่สุดก็เท่ากับการถูกกัดเข้าที่เนื้อ ถึงจะเจ็บ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ทนไม่ได้
กองทัพต้าฟ่งบุกทะลวงอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มียอดฝีมือขั้นสูงสุดแม้แต่คนเดียว แบบนี้จะคุกคามแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดได้อย่างไร
ทว่าตอนนี้เทพสงครามแห่งต้าฟ่งผู้นี้ ยังเป็นผู้แข็งวแกร่งระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย
…
นกยักษ์ร่างเสมือนคว้าร่างของอีเอ๋อร์ปู้บินข้ามผืนทะเล ภูเขาพงไพร และร่อนลงบริเวณหน้าผา ข้างกายซ่าหลุนอากู่ พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
ในตอนนี้เอง ในที่สุดราชครูแห่งคังกั๋ว อูต๋าเป๋าถ่าก็ขี่ลำแสงสีดำ พุ่งตรงไปยังยอดเขาอย่างแน่วแน่
นอกจากราชครูแห่งจิ้งกั๋วที่กำลังต่อสู้กับจู๋จิ่วอยู่ที่แดนเหนือ ไม่อาจเดินทางกลับมาได้ ยอดพ่อมดแห่งสำนักพ่อมดต่างก็มารวมตัวกันแล้ว
นี่ทำให้เหล่าพ่อมดและทหารอารักขาที่หลบหนีจากวิถีปืนใหญ่กันจ้าละหวั่นรู้สึกโล่งอก พวกชาวยุทธ์จากแดนตะวันออกเฉียงเหนือเองก็คลายความกังวลลงไปไม่น้อย
เว่ยเยวียนสั่งการจากบนเรือรบ “บุกเข้าไปยังเมืองจิ้งซาน สังหารให้สิ้นซาก!”
ฆ่าล้างเมือง
สงครามเป็นการสั่นคลอนโชคชะตา การเข่นฆ่าทำให้โชคชะตาอ่อนแอลง
“สังหารให้สิ้นซาก!”
“สังหารให้สิ้นซาก!”
“สังหารให้สิ้นซาก…”
เสียงคำรามของทหาร าฟ่งก้องกังวานไปทั่วท้องทะเล ทรงพลังราวกับสายรุ้ง
นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซานไม่เคยถูกกองทัพใหญ่บุกทะลวงมาถึงที่นี่ นับประสาอะไรกับการสังหารล้างเมือง
พวกเขาจะสร้างจุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์!
ประกาศศักดาแห่งต้าฟ่งจากที่ราบตอนกลาง
เรือรบจอดเทียบท่าช้าๆ ไม้กระดานอันหนักและหนาทอดลงสู่ชายหาด ทหารราบพร้อมด้วยดาบ หน้าไม้ และปืนไฟในมือ พุ่งทะยานออกไปเป็นด่านหน้า เข้าคุ้มกันพื้นที่โดยรอบ
จากนั้นทหารม้าก็ขี่ม้าห้อตะบึงลงจากเรือ
ท้ายสุดเป็นพลปืนใหญ่ซึ่งผลักปืนใหญ่และหน้าไม้ลงจากเรือตามไม้กระดาน
ฟิ่ว ฟิ่ว ฟิ่ว…
ทันทีที่กองทัพต้าฟ่งเทียบท่า พลธนูที่ถูกซุ่มซ่อนในแนวป่าเขาก็เปิดฉากโจมตีทันที
ตามมาด้วยเสียง ‘ติ๊ง ติ๊ง’ ลูกธนูส่วนใหญ่ถูกโล่เหล็กเนื้อดีกำบังไว้ได้ มีเพียงลูกธนูที่ยอดฝีมือยิงออกมาเท่านั้นที่ทะลุทะลวงโล่ และคร่าชีวิตของเหล่าทหารคนแล้วคนเล่า
ฆ้องทองคำจางไคไท่ดีดนิ้วโป้งหนึ่งที กระบี่ยาวก็ออกมาจากฝักพร้อมส่งเสียงดัง เขากวัดแกว่งกระบี่จนเกิดแสงเจิดจ้า ตัดลูกธนูที่กระหน่ำลงมาราวกับห่าฝน
เขาหายตัวไปจากจากจุดที่เขาอยู่ทันที จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากแนวป่าใกล้กับชายหาด
ฉู่หยวนเจิ่น ยอดฝีมือขั้นสี่ผู้ไร้ซึ่งความรู้สึก เปิดฉากสังหารราวกับหมาป่าที่เข้าไปในฝูงแกะ
ยอดฝีมือแห่งต้าฟ่งทยอยบุกทะลวงแนวป่า เพื่อซื้อเวลาให้กองทัพยกพลขึ้นบก
สงครามเริ่มต้นจากชายฝั่ง ลุกลามไปยังเขาจิ้งซาน และแพร่กระจายไปยังแท่นบูชาหลักในเมืองจิ้งซานซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
…
ซ่าหลุนอากู่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ประสบกับคนชุดสีดำที่ลอยคว้างกลางอากาศ เขาลูบขนลูกแกะไปพลาง กล่าวด้วยรอยยิ้มไปพลาง
“ยี่สิบปีที่แล้ว ข้าเคยยืนกรานว่าอีกยี่สิบปีให้หลัง ต้าฟ่งจะสร้างทหารที่กล้าแกร่งที่สุดในโลกขึ้นมา ข้านั้นคิดว่าอายุขัยในการเป็นวีรบุรุษของเจ้าช่างแสนสั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคมในฝักมาโดยตลอด ไหนแสดงให้ข้าได้เห็นซิ เจ้าเป็นขั้นสอง หรือขั้นหนึ่ง
“อีเอ๋อร์ปู้ อูต๋าเป๋าถ่า พวกเจ้าสองคนลองทดสอบเขา”
พ่อมดขั้นสามทั้งสองคนจากสำนักพ่อมดไร้ซึ่งความหวาดกลัวและลังเล ต่างคนต่างอัญเชิญวิญญาณวีรุบุรุษออกมาหนึ่งคน อีเอ๋อร์ปู้อัญเชิญวิญญาณทหารที่อัญเชิญมาก่อนหน้านั้นออกมา เขาช่วงชิงพลังของวิญญาณวีรุบุรุษผู้นั้น และกลายร่างเป็นคนยักษ์
บนยอดศีรษะของอูต๋าเป๋าถ่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งท่าทางดุร้าย ร่างกำยำ หัวโล้น กล้ามแน่น ระดับเพชรสำนักพุทธ
พ่อมดทุกคนพยายามฆ่าปรมาจารย์ของระบบใหญ่ๆ ให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างเหตุต้นผลกรรม และด้วยเหตุนี้จึงสามารถอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษของอีกฝ่ายออกมาได้
นี่เป็นการเสริมสร้างกลยุทธ์ในการต่อกรกับศัตรูของพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แตกต่างกันไป ก็จะอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษจากระบบต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันออกมาควบคุมอีกฝ่าย
แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเป็นทหาร เหล่าพ่อมดก็จะอัญเชิญวิญญาณทหารออกมาอย่างเฉียบขาด ไม่ลังเล
มีเพียงทหารเท่านั้นที่จะเอาชนะทหารด้วยกันได้
และมีเพียงทหารเท่านั้นที่จะทุกข์ทรมานจากการโจมตีของทหาร
คนที่อูต๋าเป๋าถ่าอัญเชิญคือระดับเพชรขั้นสาม เขามีพื้นฐานเป็นทหารอยู่แล้ว การป้องกันของกายเนื้อจึงดียิ่งขึ้น
หลังจากเสร็จสิ้นการอัญเชิญ สองราชครูก็ยกมือขึ้น หันฝ่ามือไปทางเว่ยเยวียนแล้วกล่าวว่า “ตายซะ!”
สาดวิชาสาปสังหาร!
ร่างของเว่ยเยวียนหยุดนิ่งเป็นเวลาสั้นๆ ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกกัดกร่อนด้วยพลังบางอย่าง
พ่อมดระดับสูงสองคนฉวยโอกาสนี้ โจมตีขนาบข้างซ้ายและขวา ชั่วขณะนั้น พวกเขาเทียบเท่ากับทหารผู้เป็นอมตะสองคน
‘ตู้ม! ตู้ม!’
อีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าลอยกระเด็นออกไป ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ภาพเสมือนบนศีรษะค่อยๆ เลือนหาย
เว่ยเยวียนไม่ได้พยายามไล่ตามฆ่าพวกเขา เขาไม่คิดว่าตนเองจะสังหารพ่อมดขั้นสามสองคนได้อย่างรวดเร็วต่อหน้าหน้าพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหนึ่งได้
“ทหารทุกระดับล้วนแต่ค่อยพัฒนาขึ้นทีละก้าวๆ พวกเจ้าหยิบยืมมาเพียงพลังและเกราะป้องกัน มีดีแต่รูปแต่ไร้ประโยชน์ เปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารขั้นสูงกว่า”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า
ซ่าหลุนอากู่โบกมือ ส่งพ่อมดทั้งสองออกยังที่แสนไกล แล้วจ้องมองเว่ยเยวียน พร้อมกล่าวด้วยความชื่นชม
“ข้าสัมผัสได้ถึงเคล็ดลับการผสานเต๋า ทว่าปราณโลหิตนี้ออกจะอ่อนด้อยไปเสียหน่อย ปราณโลหิตของจุดสูงสุดขั้นสาม ระดับผสานเต๋า อืม ถ้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเก็บรักษาปราณโลหิตดั้งเดิมเอาไว้ในยาโลหิต ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ระดับขั้นของเจ้าพัฒนาขึ้น ทว่ากายเนื้อและพลังปราณกลับหยุดนิ่งอยู่ในขั้นสาม
“หากให้เวลาขัดเกลาอีกสักสองหรือสามปี เจ้าต้องก้าวสู่ขั้นสองได้อย่างแน่นอน เจ้าปิดบังหยวนจิ่งได้อย่างไร”
เว่ยเยวียนตอบอย่างราบเรียบ “ในช่วงสิบปีแรก ข้ารักษาตนให้อยู่รอดปลอดภัย และในอีกสิบปีหลัง ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จะวางแผนกลับมาฝึกวิทยายุทธ์อีกครั้ง จึงเข้าพบท่านโหราจารย์ ขอให้ท่านอำพรางความลับของสวรรค์ให้กับข้า ทว่าภายหลังก็ยังถูกหยวนจิ่งจับได้อยู่ดี”
“ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ ไม่เลว”
ซ่าหลุนอากู่พยักหน้า “ท่านโหราจารย์คงโกรธแค้นอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่ล้มเลิกการฝึกตบะในวันนั้น วันนี้เจ้าก็คงไม่ต้องมาตายที่นี่’
เว่ยเยวียนมองไปทางหุบเขา ทอดสายตาไปยังแท่นบูชาที่สูงตระหง่าน ก่อนจะประกาศด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ “ข้าต้องไปผนึกเทพพ่อมดแล้ว”
เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยระยะห่างกว่าร้อยจั้ง
ก้าวที่สอง ก็สามารถไปถึงแท่นบูชาในหุบเขาได้ทันที
เว่ยเยวียนก้าวเท้าครั้งที่สองออกไป ทว่ากลับมาอยู่ตรงหน้าของซ่าหลุนอากู่ ราวกับว่าเวลาถุกย้อนกลับมา
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว “ข้าเป็นหนึ่งด้วยกับฟ้าดินผืนนี้ เจ้าก้าวเดินไปทั้งชาติ ก็ไปไม่ถึงแท่นบูชาหรอก”
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ยกมือขึ้นและกดลงเบาๆ
ในชั่วพริบตา พลังของทั้งโลกก็คล้ายจะถาโถมสู่ร่างของเว่ยเยวียนทั้งหมด บีบอัดจนกระดูกในกายแหลกละเอียด แสงเทวะที่ส่องประกายจากผิวหนังของเขาถูกปิดกั้น
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่!
ใช้พลังฟ้าดินเพื่อกิจส่วนตน ควบคุมพลังแห่งธรรมชาติ ราวกับเจ้าผู้ครองโลกาที่ไม่มีใครเทียบเคียง
นี่แหละคือขั้นที่หนึ่ง
เว่ยเยวียนออกแรงชกต่อยหลายสิบครั้งในทันใดภายใต้แรงบีบอัดที่น่าสะพรึงกลัว ทว่ากลับล้มเหลวทั้งหมด ซ่าหลุนอากู่ไม่ได้หลบหลีกแม้แต่น้อย แต่เป็นหมัดของเขาต่างหากที่หลบหลีกจากอีกฝ่าย
“ค่อยน่าสนใจหน่อย!”
มุมปากของเว่ยเยวียนแสยะขึ้นเล็กน้อย เขาหยุดชก ผสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน ก่อนจะแทงไปข้างหน้า
จากนั้นก็ออกแรงฉีกทึ้งม่านที่มองไม่เห็นเบื้องหน้า และแล้วฟ้าดินก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าลืมบอกเจ้าไป จิตที่ข้าหยั่งรู้เมื่อครั้งอยู่ในขั้นสี่ เรียกว่าทลายค่ายกล” เว่ยเยวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน
“หลังจากผสานเต๋าแล้ว ก็ไม่มีค่ายกลใดที่กักขังข้าได้อีก”
เว่ยเยวียนยังไม่ทันดื่มด่ำความสำเร็จจากการเอาคืนพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ร่างเสมือนที่เลือนรางก็ปรากฏตัวขึ้น และควบแน่นเหนือศีรษะของซ่าหลุนอากู่ จากนั้นพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหนึ่งผู้นี้ ก็ชกเว่ยเยวียนลอยกระเด็นออกไปในหมัดเดียว
‘ตู้ม!’
เว่ยเยวียนตกลงสู่ผืนน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นสูงกว่าร้อยจั้ง ยิ่งใหญ่อลังการ
ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่บนยอดเขา สายตาจดจ้องเว่ยเยวียนที่พุ่งทะยานขึ้นมาจากผิวน้ำ ยืนเอามือไพล่หลังและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“พันกว่าปีที่แล้ว ชินอ๋องท่านหนึ่งแห่งต้าโจว ทหารขั้นสอง เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อมารุกรานเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว ในเวลานั้นเทพแม่มดปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ผนึกเอาไว้จึงไม่อาจลงมือได้ คนที่ทำลายคนผู้นั้นแท้จริงแล้วคือข้า เว่ยเยวียน เจ้าจะเก่งกาจยิ่งกว่าชินอ๋องแห่งต้าโจวผู้นั้นได้หรือ”
กลุยุทธ์อัญเชิญวิญญาณวีรุบุรุษของพ่อมดเป็นความสามารถหลักของพ่อมดผู้ประสาทพรขั้นห้า แต่พ่อมดผู้ประสาทพรขั้นห้านั้นสามารถอัญเชิญได้เพียงวิญญาณบรรพชนผู้กล้าเท่านั้น
เมื่อไต่เต้าไปถึงระดับที่สูงขึ้น ความสามารถนี้ก็จะเปลี่ยนแปลง นอกจากบรรพชนแล้ว ยังสามารถอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษที่มีวิญญาณวีรบุรุษพัวพันกับตนเองได้ รวมถึงและไม่จำกัดเพียงสหาย ศัตรู หรือทหารที่พ่ายแพ้และถูกสังหาร
ตามทฤษฎีแล้ว ซ่าหลุนอากู่สามารถเรียกวิญญาณท่านโหราจารย์คนแรกได้ด้วยซ้ำ เพราะนั่นคือลูกศิษย์ของเขา
ทว่าไม่เป็นผลสำเร็จ ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันกำลังลบล้างความเป็นไปได้ดังกล่าว
เว่ยเยวียนบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พลิกตัวอย่างรวดเร็ว และดิ่งตัวลงมาเบื้องล่าง
มือขวาของซ่าหลุนอากู่ที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อสีป่าน ชกขึ้นไปในอากาศ
‘โครม!’
ทหารสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันเป็นพัลวัน ต่างได้ประจักษ์ในภาพที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ ระลอกคลื่นขนาดใหญ่คล้ายจะกวาดล้างโลกได้ทั้งใบระเบิดออกมาจากยอดเขาจิ้งซาน
คลื่นระลอกดังกล่าวพัดผ่านภูเขา ทำให้ผืนป่ากลายเป็นฝุ่นผง กวาดข้ามมหาสมุทร ทำให้เกิดคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำสูงกว่าหลายร้อยเมตร
หน้าผาที่ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่ เกิดเสียง ‘แกรก’ ขึ้นไม่หยุด พร้อมรอยร้าวที่ซับท้อนกัน ไม่กี่อึดใจ หน้าผาทั้งหมดก็ถล่มลงมา ก้อนหินกลิ้งหลุนๆ ตกลงไปในทะเล
พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าของเขาทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ซ่าหลุนอากู่ยังไม่ไหวติง มือซ้ายของเขาค่อยๆ กำหมัดแน่น
หลังจากที่หมัดนี้ปล่อยออกมา เว่ยเยวียนก็รู้สึกราวกับว่าผืนฟ้าและแผ่นดินล้วนต่อต้านเขา พลังอันเหนือชั้นไร้เทียมทานของฟ้าดินหลอมรวมกับหมัดนั้นเป็นหนึ่งเดียว
‘เปรี้ยง!’
หมัดกระแทกเข้าที่ทรวงอกของเว่ยเยวียน รัศมีที่เรืองรองบนผิวหนังแหลกสลายดังเศษแก้ว กระจัดกระจายกลายเป็นเศษเสี้ยวแห่งดวงแสง
กระดูกอกของเว่ยเยวียนแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยหมัดนี้ เขากระอักเลือดออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซ่าหลุนอากู่โบกมือ ดูดเลือดขึ้นมาหนึ่งหยดลงบนฝ่ามือ พุ่งเป้าวิชาสาปสังหารไปยังเว่ยเยวียน “ตายซะ!”
ด้านข้างยังมีอีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าที่ดูดเลือดของเว่ยเยวียนขึ้นมาหนึ่งหยดเล็กๆ และสำแดงวิชาสาปสังหารเช่นกัน “ตายซะ!”
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งคน และปราชญ์วิญญาณสองคน รุมสาปสังหารเว่ยเยวียนในเวลาเดียวกัน
‘ปัง ปัง ปัง’…ร่างกายของเว่ยเยวียนส่งเสียงแหลกสลายออกมาไม่หยุดหย่อน ละอองเลือดพวยพุ่งออกมาจากทุกรูขุมขน
ในตอนนี้เอง ดูเหมือนว่าเขาจะทรมานกับความเจ็บปวดที่เกิดคำบรรยาย จนกระทั่งเทพสงครามแห่งต้าฟ่งผู้นำทัพใหญ่โดยไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าเมื่อครั้งอดีต ยังต้องกรีดร้องคำรามอย่างทรมานแสนสาหัส ราวกับไม่ใช่มนุษย์
ซ่าหลุนอากู่ปรากฏตัวเหนือศีรษะของเว่ยเยวียน กำหมัดขึ้นช้าๆ วิญญาณวีรบุรุษชินอ๋องผู้นั้นก็กำหมัดในท่วงท่าเดียวกับเขา
มีเสียงแตกหักลอดออกมาระหว่างนิ้วมือ ราวกับอากาศกำลังจะระเบิดออกมา
ซ่าหลุนอากู่เหวี่ยงหมัดไปด้านหลัง หลังจากรวมพลังเล็กน้อย เขาก็ชกเข้าที่ทรวงอกของเว่ยเยวียนทันที
ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย สัญชาตญาณจอมยุทธ์ของเว่ยเยวียนทำให้เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาทำท่าสำคัญที่ช่วยให้รอดพ้นจากวิกฤต เอนหลัง!
หมัดแทงทะลุหน้าอกทะลุออกด้านหลังของเขา พร้อมด้วยเลือดเนื้อและกระดูกสันหลังที่หลุดติดออกมาด้วยครึ่งหนึ่ง
“ในสองพันปีที่ผ่านมา เจ้าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนในอดีตหรือจอมยุทธ์ในตอนนี้ ก็ไม่มีใครเทียบเคียงเจ้าได้ น่าเสียดายเหลือเกินที่ต้องฆ่าเจ้า”
แขนของซ่าหลุนอากู่หนาขึ้นสองถึงสามเท่า กล้ามเนื้อของเขาขยายตัวออก ในขณะที่เขากำลังจะฉีกทึ้งร่างของเว่ยเยวียน ในวินาทีต่อมา พลังปราณของเขาก็รั่วไหลออกมาราวกับกระแสน้ำ
ภาพเลือนรางของชินอ๋องแห่งต้าโจวสั่นไหวอยู่หลายครั้งก่อนจะหายไป
ซ่าหลุนอากู่พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักพ่อมด หนึ่งในปรมาจารย์ขั้นหนึ่งเพียงไม่กี่คนในจิ่วโจว ก้มศีรษะมองลงไปยังหน้าอกของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ถึงเห็นว่ามีดาบสลักแสนธรรมดาปักอยู่
“เจ็บหรือไม่ล่ะ!” เว่ยเยวียนเผยยิ้มอย่างอบอุ่น
……………………………………………………………