ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 464 วีรบุรุษแห่งชาติ (1)
บทที่ 464 วีรบุรุษแห่งชาติ (1)
หมู่เมฆท่ามกลางท้องฟ้าสีครามกระจายตัวออก และหายไปอย่างกะทันหัน เหลือเพียงผืนฟ้าสีครามอันราบเรียบ
พลังที่พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า การคงอยู่ที่ยังไม่ปรากฏออกมา ราวกับเห็นแจ้งด้วยตาอย่างชัดเจน
ดวงตาคู่หนึ่งเปิดขึ้นระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน ดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมและความสงบนิ่งไม่สั่นคลอน
ร่างเสมือนจริงสูงกว่าร้อยจั้งปรากฏขึ้นระหว่างภูเขาและทะเล เขาสวมชุดขงจื๊อและมงกุฎขงจื๊อ ใบหน้าพร่ามัว เครายาวพลิ้วไหว
ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่ดวงอาทิตย์ที่เคยแผดเผาบนท้องฟ้าดูเหมือนจะมืดสลัวลงเล็กน้อย
ท้องฟ้าครามอยู่เหนือศีรษะของร่างเสมือนจริงนี้ เท้าเหยียบอยู่บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ทันทีที่ร่างเสมือนจริงนี้ปรากฏขึ้น ภายในรัศมีร้อยลี้จากจิ้งซานก็อบอวลไปด้วยอากาศอันบริสุทธิ์ เสียงอ่านบทสวดดังมาจากความว่างเปล่า
สำนักลัทธิขงจื๊อสะสมอากาศบริสุทธิ์มานับพันปี เทียบแล้วเหมือนแสงของหิ่งห้อย
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!
ผู้ก่อตั้งระบบลัทธิขงจื๊อ เอกบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เหนือชั้น
นับตั้งแต่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์สิ้นชีพ นับเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งพันสองร้อยปีที่มีคนอัญเชิญดวงวิญญาณวีรบุรุษของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
ในขณะนี้ รูปปั้นของเทพอูสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั้งแท่นบูชา ทั้งหุบเขา ล้วนสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว
ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบเมืองจิ้งซานขณะนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างหมอบคลานอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
อีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาก้มศีรษะเล็กน้อยแต่กลับไม่ยอมหมอบลงไปที่พื้น นี่คือศักดิ์ศรีสุดท้ายของพ่อมดขั้นสาม
พ่อมดซ่าหลุนอากู่ผู้ยิ่งใหญ่ แหงนขึ้นไปมองร่างเสมือนจริงขนาดมหึมาด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย
เขากล่าวพึมพำว่า “ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์…”
ตั้งแต่การกำเนิดของอารยธรรมมนุษย์ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของระบบพิธีการก็ค่อยเป็นค่อยไป เรียกได้ว่ามีความซับซ้อนและวุ่นวาย แต่หากขยายการมองสายน้ำแห่ง ‘ประวัติศาสตร์’ ที่ทอดยาวออกไป แท้จริงแล้ว สามารถแบ่งการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรมมนุษย์ออกเป็นสองขั้นได้อย่างง่ายๆ
คือก่อนลัทธิขงจื๊อและหลังลัทธิขงจื๊อ
ก่อนกำเนิดลัทธิขงจื๊อ ระบบมีความผันผวน และอยู่ในขั้นที่ค่อนข้างวุ่นวาย
หลังกำเนิดลัทธิขงจื๊อ อารยธรรมมนุษย์ถึงมีเสาหลัก มีรากฐานที่มั่นคงดุจภูผา
ในช่วงหมื่นปีหลังจากสิ้นสุดยุคของเทพปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นผู้แบกรับโชคชะตาก็ดี จักรพรรดิโบราณก็ดี จักรพรรดินับพันในยุคต่อๆ มาก็ดี ล้วนไม่มีใครเทียบปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ได้
ในฐานะผู้สร้างอารยธรรมมนุษย์ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ราวกับปรากฏตัวขึ้นตามโอกาส
ดวงตาของเว่ยเยวียนถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจ้า ความไม่แยแสของเทพเจ้าปรากฏอย่างชัดเจน เนื้อของเขาแตกร้าวเป็นแนวยาว มงกุฎขงจื๊อและดาบสลักเรืองแสงออกมา ซ่อมแซมร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และแตกร้าวใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า วนเวียนเป็นวัฏจักรซ้ำๆ
สิ่งที่เขาแบกรับในขณะนี้ ไม่ใช่เพียงพลังที่เหนือขั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นโชคอันทรงอานุภาพชั้นหนึ่ง ตั้งแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย
หลังจากการสิ้นชีพของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่เคยมีใครเรียกวิญญาณวีรบุรุษของเขาออกมาได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้นไปมอง จ้องจักรพรรดิเจินเต๋อในอากาศ และกล่าวเสียงเบาว่า “ลองชักดาบออกมา!”
จักรพรรดิเจินเต๋อมองเขาด้วยความเฉยเมย
ดาบส่องแสงเป็นประกาย เวลาและพื้นที่นี้ราวกับหยุดนิ่ง ไม่เคยมีปราณดาบที่วิจิตรตระการตาเช่นนี้มาก่อน เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีนักดาบคนใดที่เชี่ยวชาญเกินขั้น
“โอ้…”
เสียงตะโกนกรีดร้องดังกระหึ่มทั่วสนามรบ มียอดฝีมือเพียงไม่กี่คนที่มีความกล้าพอที่จะมองฉากนี้ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายทำให้คนที่เห็นถึงกับขนพองสยองเกล้า
จู่ๆ บางคนก็ระเบิดปราณกระบี่ออกมา หลังจากนั้นก็แหลกออกเป็นชิ้นๆ
ร่างของบางคนถูกย้อมเป็นสีเทาเหล็ก กลายเป็นประติมากรรม
จู่ๆ บางคนก็ถูกไฟไหม้อย่างกะทันหัน กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว ทิ้งเพียงรอยเท้าสีดำไว้บนพื้น
ร่างของบางคนกลายเป็นเม็ดทรายสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะพังทลายลงมา เลือดเนื้อของบางคนกลายเป็นไม้ มีลายไม้ปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ใบไม้สีเขียวงอกออกมาจากรูขุมขน
จางไคไท่และยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างก็หลับตาปี๋และก้มหน้าลง ไม่กล้าที่จะมองลำแสงของดาบนี้
ความหวาดกลัวปะทุขึ้นในจิตใจของพวกเขา
นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระดับสุดยอดที่สุดในจิ่วโจว ซึ่งสามารถเปลี่ยนอาณาบริเวณนี้ให้กลายเป็นดินแดนรกร้างได้อย่างง่ายดายจริงๆ
แสงของดาบเจิดจ้าอยู่ที่เบื้องหน้าในพริบตาเดียว
เว่ยเยวียนยกเท้าขึ้น และกระโดดไปข้างหน้า พลางตะโกนเสียงดังสนั่นราวกับระฆังใหญ่ในวัง “ใครกล้าพยศต่อหน้าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!”
ร่างเสมือนจริงที่สูงตระหง่านเหวี่ยงเท้าออกไปข้างหน้าเบาๆ ในจังหวะเดียวกัน
ภายใต้ฝ่าเท้านี้ เกิดคลื่นยักษ์ขนาดมหึมาในมหาสมุทรอย่างกะทันหัน จิ้งซานทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์ ทั้งแผ่นดินถล่ม และคลื่นสึนามิ…
อานุภาพแห่งการเตะของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ทำลายภูเขาและแม่น้ำจนราบเป็นหน้ากลอง เปลี่ยนแผ่นดินกลายเป็นห้วยหนองคลองบึง
แสงของดาบห้าสีดับลงในทันใด กลายเป็นพลังอันบริสุทธิ์ของธาตุทั้งห้า เปลี่ยนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าให้มีสีสันงดงาม
หน้าอกของสุดยอดฝีมือทั้งสี่อย่างซ่าหลุนอากู่ จักรพรรดิเจินเต๋อ อีเอ๋อร์ปู้ และอูต๋าเป๋าถ่า ถูกลมบริสุทธิ์ที่เกือบจะพัดพาทั้งแผ่นดินกระแทกอย่างแรง ทันใดนั้น ร่างของพวกเขาก็ทรุดโทรมอย่างรวดเร็วราวกับใบไม้ในสายลม
สุดยอดผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ยืนหยัดร่วมกัน ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ กลิ่นอายตกลงสู่เบื้องล่าง ความมุ่งมั่นพยายามมอดไหม้อย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้
ดาบของทั้งสี่รวมพลังกันแล้วก็บรรลุความแข็งแกร่งเกินขั้น แต่กลับกลายเป็นขี้เถ้าลอยเมื่ออยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
ปราณดาบของธาตุทั้งห้าแตกพ่าย เปลี่ยนกฎเกณฑ์องค์ประกอบของแผ่นดินนี้โดยตรง ต้นไม้ใหญ่เติบโตสูงตระหง่านอยู่ในทะเล ลำธารไหลเอื่อยออกมาจากหินผา เปลวไฟลุกไหม้อยู่ที่ผิวน้ำทะเล…
ไม่ใช่ว่าอานุภาพของดาบเล่มนี้ไม่เพียงพอ
แต่เป็นเพราะปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเกินไปต่างหาก
กลิ่นอายของจักรพรรดิเจินเต๋อไม่มั่นคง แสงสว่างที่พันรอบร่างกายกลายเป็นเปลวไฟสีดำ กำลังกลืนกินตัวเขาเอง
สิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิถีของนิกายมนุษย์ แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้นถูกไฟแห่งกรรมแผดเผาร่าง ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เขาอาศัยตัวตนและสถานะของจักรพรรดิคอยปราบปรามไฟกรรมอย่างเคร่งครัด
อากาศบริสุทธิ์ที่กระแทกเข้ามาเมื่อครู่ ทำให้กลิ่นอายเหล่านั้นอ่อนแอลง กระทั่งไฟกรรมพลันแว้งกัดอย่างทันทีทันใด
เขาหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลืนจิตวิญญาณทางสวรรค์และโลก ร่างของเทพเจ้าหยางอันเป็นที่รู้จักกันในลัทธิเต๋าซึ่งภัยพิบัตินับหมื่นก็ไม่อาจทำลายล้างได้ พลันเปล่งแสงสีทองแผ่ออกมา ดับไฟกรรมลงอย่างสมบูรณ์
…
สีหน้าของเว่ยเยวียนซีดลงเล็กน้อย เขาไม่สนใจยอดฝีมือทั้งสี่ที่พ่ายแพ้อีกต่อไป ก่อนจะหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปที่แท่นบูชาในหุบเขา
พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์กำลังบั่นทอนร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะมีดาบสลัก มงกุฎขงจื๊อ และพรของจ้าวโส่ว แต่สำหรับเว่ยเยวียน ยังเป็นระดับที่หนักเกินจะทนไหว
การอัญเชิญสิ่งที่ดำรงอยู่ในขั้นที่เหนือกว่า เป็นเรื่องที่มีราคาต้องจ่าย ซึ่งไม่ใช่การสะท้อนกลับของวรยุทธ์ที่ลึกลับแต่อย่างใด มีเพียงเหตุผลง่ายๆ ว่า ‘แบกรับเกินตัว’ เท่านั้น
ขณะที่เว่ยเยวียนหมุนตัวกลับ ร่างเสมือนจริงของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็ขยับตามเขาไปทางหุบเขาเช่นเดียวกัน
ไม่มีใครกล้าขวางทางปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งยอดฝีมือขั้นหนึ่งก็ยังไม่กล้า
ซ่าหลุนอากู่มองชายชุดดำท่านนั้น เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับยังคงสงบนิ่งและอ่อนโยน พลางกล่าวช้าๆ ว่า “เว่ยเยวียน เจ้ามีพรสวรรค์มาก แม้ว่าเทพอูจะปลดผนึกแล้ว เจ้าก็อยู่ตัวคนเดียวได้อย่างรอดปลอดภัย แล้วเจ้าจะทำเช่นนี้ไปทำไมกัน?”
ตอนนั้นที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ปิดผนึกเทพอู มีความลับอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ทั่วทั้งจิ่วโจว ผู้ที่รู้ความลับนั้นมีจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้
ประเทศชาติสูญสิ้น แล้วข้าจะอยู่รอดปลอดภัยคนเดียวได้อย่างไร? เว่ยเยวียนเมินเฉยราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา และมุ่งสู่หุบเขาเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่
เขายังมีศัตรูอีกหนึ่งคน
เว่ยเยวียนมุ่งสู่ความว่างเปล่าเบื้องหน้า เมื่อเดินเข้าไปใกล้หุบเขา ก็ถูกขัดขวางด้วยสิ่งที่เป็นเสมือนฉากกั้น
สิ่งที่เป็นเสมือนฉากกั้นนี้กำลังล่องหน มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ มันกั้นเว่ยเยวียนอยู่ที่ด้านนอกหุบเขา
ในหุบเขาเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ยอมให้เว่ยเยวียนเข้าไป
สิ่งเดียวที่สามารถขัดขวางยอดฝีมือระดับสูงได้ มีเพียงยอดฝีมือระดับสูงเท่านั้น
เทพอูสามารถส่งผลต่อความเป็นจริง และแทรกซึมพลังออกมาได้แล้ว
สิ่งเดียวที่สามารถขัดขวางโชคชะตาได้ มีเพียงโชคชะตาเท่านั้น
เว่ยเยวียนถือดาบสลัก และเคาะลงบนสิ่งที่เป็นเสมือนฉากกั้นล่องหนเบาๆ คลื่นอากาศดัง ‘หึ่ง’ ทันใดนั้นดาบสลักก็กระเด็นออกไป
ซ่าหลุนอากู่มองดูฉากนี้จากระยะไกลและกล่าวว่า “เทพอูสามารถเจาะผนึกและส่งผลต่อความเป็นจริงได้แล้ว มันไม่ใช่ประติมากรรมที่ปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าอีกต่อไป น่าเสียดายที่การตอบสนองของเจ้าเร็วเกินไป หากยื้อเวลาออกไปได้อีกสักสองสามปี เทพอูก็จะสั่งสมโชคชะตาได้มากกว่านี้”
เว่ยเยวียนหันไปมองซ่าหลุนอากู่ที่อยู่ในระยะไกล “เจ้ากำลังบอกเป็นนัยๆ ว่า หากข้าพยายามทำลายสิ่งกีดขวางนี้ และใช้พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่น้อยนิด จะทำให้ข้าไม่มีพลังเหลือพอที่จะปิดผนึกเทพอู”
ซ่าหลุนอากู่กล่าวอย่างสงบ “เจ้ายังมีทางเลือกอีกรึ?”
มุมปากของเว่ยเยวียนยกขึ้น “ใครบอกว่าไม่มี”
…
ภายในเมืองจิ้งซาน ร่างของโหรชุดขาวปรากฏขึ้น เขาเดินผ่านประตูเมืองที่ปิดสนิทอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งมาถึงแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด
“ออก…มา…เถอะ…”
หลังจากที่โหรชุดขาวกล่าวติดๆ ขัดๆ จนจบ ก็ยกฝ่าเท้ากระทืบเบาๆ ค่ายกลแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ปกคลุมถนนและบ้านเรือนรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ค่ายกลลำเลียง!
ทันใดนั้น ทหารม้าเหล็กก็ปรากฏตัวขึ้นทีละคนอย่างไม่คาดฝัน ในมือถือดาบเหล็ก สวมชุดเกราะ ผู้นำทัพเป็นชายหนุ่มที่ที่มีรูปลักษณ์งดงามกว่าผู้หญิง
ผู้คนในเมืองมองกลุ่มคนแปลกหน้าที่ตกลงมาจากฟากฟ้าด้วยความประหลาดใจ ด้วยรายละเอียดต่างๆ อย่างชุดเกราะและรูปลักษณ์ ก็สามารถแยกแยะได้ว่านี่คือทหารม้าของต้าฟ่ง ทันใดนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ กองทัพของต้าฟ่งถึงได้ตามไล่ฆ่ามาถึงในเมือง
เหยียนกั๋วมีพรมแดนติดกับชายแดนสามรัฐของต้าฟ่ง อาศัยภยันตรายมากมายและข้อดีของการป้องกันง่ายแต่โจมตียาก มักผนึกกำลังกับจิ้งกั๋วและคังกั๋วในการละเมิดชายแดน ก่อเหตุปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ต่อให้เป็นคนธรรมดาตามท้องถนน ก็ยังเท้าสะเอวและกล่าวเยาะเย้ยได้ว่า “ที่ราบกลางก็เหมือนพวกผู้หญิง สามารถรังแกได้ตามต้องการ”
มีเพียงเราเท่านั้นที่ชนะต้าฟ่ง ไม่มีเหตุผลใดที่ต้าฟ่งจะเอาชนะพวกเราได้
ปรากฏการณ์นี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จนกว่ายุทธการด่านซานไห่จะสิ้นสุดลง
หนานกงเชี่ยนโหรวยกดาบขึ้นมาด้วยความเย็นชา พลางกล่าวตะโกนว่า “นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าฟ่งเป็นเวลาหกร้อยปี สำนักพ่อมดเข่นฆ่าประชาชนของต้าฟ่ง ลักพาตัวผู้หญิงของต้าฟ่ง อาชญากรรมมากเกินกว่าจะคณานับ ประชาชนทั้งสามรัฐด้านตะวันออกเฉียงเหนือขมขื่นกับสำนักพ่อมดมานานนัก เหล่าทหารของต้าฟ่ง ตามข้ามาสังหารหมู่พวกมัน”
“สังหารหมู่!”
“สังหารหมู่!”
“สังหารหมู่…”
เสียงคำรามอันนุ่มลึกและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังรวมตัวในที่เดียวกัน คลื่นเสียงสั่นสะเทือนถึงท้องฟ้า
ทหารม้าติดอาวุธกว่าหมื่นนายพุ่งเข้าไปที่ถนน ลงมือข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง เปลี่ยนคูเมืองให้กลายเป็นนรกบนดิน
สังหารหมู่วันนี้ เลือดต้องล้างด้วยเลือด!
…
“เว่ยเยวียน!”
เมื่อเห็นการสังหารอย่างเร่าร้อนในเมืองจิ้งซาน อีเอ๋อร์ปู้ก็โกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่สามารถปิดผนึกยอดฝีมือได้ เจ้าผสมผสานอยู่ในร่างกายมนุษย์ทั่วไป ไม่กลัวตายจริงๆ รึ?!”
เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ยอดฝีมือขั้นสามท่านนี้ก็รู้สึกไร้ซึ่งพลังและอำนาจจากส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจ
ในเมื่อเว่ยเยวียนไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ และไม่ใช่คนธรรมดาอย่างพวกตุ่นพวกมดเหล่านั้น ทหารขั้นสองก็เพียงพอที่จะอยู่ตัวคนเดียวอย่างอิสระได้อย่างไร้กังวล แล้วจะดิ้นรนแสวงหาเส้นทางแห่งความตายทำไมกัน?
“พูดว่าเอาชนะสำนักพ่อมดของเจ้าแล้ว ก็ต้องเอาชนะสำนักพ่อมดของเจ้าให้จงได้”
เว่ยเยวียนละสายตาจากเมืองจิ้งซาน และหันไปมองพ่อมดซ่าหลุนอากู่ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าทหารผ่านศึกในตอนนั้นเรียกข้าว่าเทพสงครามแห่งต้าฟ่ง คงจะไม่ดีถ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง”
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเสบียงอาหาร เขาทะลุผ่านเหยียนกั๋วที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย เพื่อเข้าใกล้เมืองหลวงและดึงดูดกองกำลังทหารส่วนใหญ่ของเหยียนกั๋วและคังกั๋ว หลังจากนั้นก็ใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง และข้ามผืนน้ำกว้างไปยังเมืองจิ้งซาน
เรียกมังกรน้ำมาตอบโต้คลื่นทะเลที่ซัดโหมกระหน่ำของ ‘เจ้าแห่งวัสสาน’
ใช้ดาบสลักทำร้ายพ่อมดขั้นหนึ่งอย่างสาหัส บีบบังคับให้จักรพรรดิเจินเต๋อปรากฏตัว
เชิญวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มาทำร้ายยอดฝีมือระดับแนวหน้าในค่ายของสำนักพ่อมดทั้งหมดอย่างรุนแรง
สั่งให้หนานกงเชี่ยนโหรวรวมทัพกับซุนเสวียนจี เข้าสู่เมืองจิ้งซานในช่วงเวลาที่สำคัญ และสั่นคลอนโชคชะตาของเทพอู
ตั้งแต่ขบวนรบออกเดินทางจนกระทั่งตอนนี้ เดินทัพอย่างไร แบ่งกองทหารอย่างไร เดินไปเส้นทางไหน จำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือจากใคร ศัตรูมีกี่คน และเป็นใคร…ทุกๆ ย่างก้าว เขาผ่านการคิดคำนวณมาแล้วทั้งสิ้น
ท่านโหราจารย์เคยกล่าวว่า บนโลกนี้ คนที่สามารถต่อสู้กับข้าบนกระดานหมากรุก และไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครคือผู้ชนะ มีจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้ เว่ยเยวียนคือหนึ่งในนั้น
ทุกครั้งที่มีคนตายในเมืองจิ้งซาน โชคชะตาที่พ่อมดสามารถหยิบยืมได้ก็จะอ่อนแอลงหนึ่งขั้นเช่นกัน
เว่ยเยวียนยกดาบสลักขึ้น กรีดลงบนกำแพงกั้นที่เปราะบางราวกับเปลือกไข่อยู่แล้ว ทำลายสิ่งกีดขวางของพ่อมดจนแหลกละเอียด
อีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่ามองเว่ยเยวียนเข้าไปในหุบเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง
ส่วนซ่าหลุนอากู่และอดีตจักรพรรดิเจินเต๋อมองฉากนี้ด้วยแววตาสงบนิ่งอย่างไม่แยแส
……………………………………………………….