ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 464-2 วีรบุรุษแห่งชาติ (2)
บทที่ 464 วีรบุรุษแห่งชาติ (2)
แท่นบูชาสูงกว่าสิบจั้ง สั้นกว่ายอดเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้น และกวาดสายตามองแท่นบูชาอันสูงตระหง่าน หินวางซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ รวมทั้งสิ้นเก้าสิบเก้าชั้น ยอดสูงสุดคือเทพเจ้าที่ศรัทธาของสำนักพ่อมด ผู้สร้างระบบพ่อมด
หลังจากยุคของเทพเจ้า นี่คือหนึ่งในความแข็งแกร่งชั้นยอดที่มีไม่มาก
จะพูดว่า ‘อัศจรรย์ราวกับพระเจ้า’ ก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
เว่ยเยวียนถอนสายตากลับ พลางยกเท้าก้าวสู่บันไดขั้นที่หนึ่ง
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็คิดจะฆ่าเขา ผืนดินก็คิดจะฆ่าเขา พื้นที่แห่งนี้กำลังขับไล่เขา และมุ่งเป้ามาที่เขา ให้อยู่ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
เว่ยเยวียนหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่สอง
ร่างเสมือนของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์หรี่แสงสว่างลง เพื่อชดเชยแรงกดดันของท้องฟ้าและพื้นดิน
เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้น โค้งตัวคำนับร่างเสมือนของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ พลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร!”
เขาอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มา ไม่ใช่เพื่อฆ่าศัตรู แต่เพื่อปิดผนึกพ่อมด
ซ่าหลุนอากู่ยุยงให้เขาใช้พลังปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในการทำลายกำแพงกั้น เพื่อทำให้พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอลงทีละขั้น รอจนกระทั่งขึ้นมาบนแท่นบูชา ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะเหลือพลังเท่าใด?
เขา…เว่ยเยวียนไม่ใช่เครื่องมือ ไม่ใช่แค่เครื่องมือในการแบกรับวิญญาณวีรบุรุษของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
ตรงกันข้าม เขา…เว่ยเยวียนจะเป็นผู้ปิดผนึกพ่อมดในโลกใบนี้
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่เป็นเครื่องมือของเขา
ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม ขั้นที่สี่…
หลังจากขั้นที่ยี่สิบ ทุกๆ ย่างก้าวของเว่ยเยวียนจะเกิดรอยร้าวในร่างกายของเขา ร่างอมตะของทหารขั้นสูงซ่อมแซมบาดแผลร้ายแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบจะรักษาสมดุลไว้ไม่ได้
หลังจากขั้นที่ห้าสิบ เว่ยเยวียนเป็นเหมือนเครื่องเคลือบที่ถูกปะติดปะต่อขึ้นมาใหม่ มีรอยแตกร้าวทั่วทั้งร่างกายของเขา รวมทั้งใบหน้าที่สง่างามและหล่อเหลา
ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลง ไม่รู้ว่าหมดแรง หรือว่าถูกกดขี่จนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป
“ยังไม่ก้าวข้ามขั้น ในที่สุดก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ต่างอะไรกับพวกตุ่นพวกมดงั้นรึ?”
เสียงถอนหายใจที่ไร้ตัวตนดังขึ้น ราวกับลอยมาจากยุคโบราณอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือพลังอันพลุ่งพล่าน สวรรค์และโลกร่วมมือกันบีบคอเว่ยเยวียน
ที่เบื้องหน้าเว่ยเยวียนมีสองทางเลือก ทางแรกคือการใช้พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในการปีนขึ้นไปให้ถึงยอด แต่หลังจากที่ไปถึงยอดแล้ว วิญญาณวีรบุรุษที่ได้มาอย่างลำบากยากเข็ญนี้ ยังจะมีพลังเหลือในการปิดผนึกพ่อหมดหรือไม่ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้
ทางที่สองคือการหันหลังกลับ และถอนทัพออกไปพร้อมกับกองทัพต้าฟ่ง
…
“เทพเซียนช่วย ยิ่งใหญ่เสียจริง…”
เว่ยเยวียนกล่าวพึมพำ ทลายกำแพงของความทรงจำถึงอดีตที่เปื้อนฝุ่น
สี่สิบปีที่แล้ว ตอนที่จักรพรรดิเจินเต๋อยังมีพระชนม์ชีพอยู่ มีสงครามอันน่าเศร้าเกิดขึ้นที่สามรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ
เทพอูถ่ายทอดเจตจำนงจากสวรรค์ ทำลายต้าฟ่ง แย่งชิงโชคชะตา ตอนนั้นสามประเทศทางตะวันออกเฉียงเหนือระดมกำลังทหารกว่าสองแสนนายบุกโจมตีทั้งสามรัฐ ได้แก่ เซียงโจว จิงโจว และอวี้โจวนานถึงสามวัน ไม่เหลือคนชรา คนอ่อนแอ ผู้หญิง หรือเด็กแม้แต่คนเดียว ประชาชนของต้าฟ่งถูกเข่นฆ่าราวกับหญ้าที่ต่ำต้อยทีละคนๆ
รัศมีหนึ่งร้อยลี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซากกระดูกถูกฝังอยู๋ในหุบเขา
ทั้งโหดเหี้ยมและรุนแรงเสียยิ่งกว่าเผ่าปีศาจหรือเผ่าอนารยชน
จนถึงทุกวันนี้ การต่อสู้ในครั้งนั้นยังคงเป็นเงาในใจของเขา ที่ได้ประสบกับภัยสงครามทางทหารในครั้งนั้น
และเป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นเช่นกัน สิบปีต่อมา ราชสำนักมีทหารกว่าหนึ่งแสนนายในสามรัฐ แต่ประชาชนกลับเต็มใจที่จะลี้ภัยมากกว่ากลับภูมิลำเนาเดิม เพราะเกรงกลัวสำนักพ่อมด
หลังจากนั้น ราชสำนักก็ได้สร้างสมุดปกเหลืองภาษีอากรขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าขุนเขาธาราหมื่นลี้ของเซียงโจว จิงโจว และอวี้โจว เก้าในสิบครัวเรือนมีสภาพยากไร้ ผู้คนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้นมีจำนวนนับล้านคน
เว่ยเยวียนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อวี้โจว
ตระกูลเว่ย มีเด็กชายเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต
เรื่องราวในอดีตวนเวียนเข้ามาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเขียวเหมือนตอนนั้นอีกต่อไป เว่ยเยวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า “มองย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ความเกลียดชังของประเทศที่ถูกรุกรานบ้านเกิดดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ ข้าอยากรู้ว่าเทพเจ้าจะทำอะไรมดอย่างข้าได้หรือไม่”
ร่างในชุดดำปีนขึ้นไปด้านบนอย่างคล่องแคล่ว ราวกับกรงขังสวรรค์และโลกเป็นแค่ของประดับตกแต่งเท่านั้น
เขาปีนขึ้นไปที่ยอดแท่นบูชาชั้นที่เก้าสิบเก้าภายในครั้งเดียว
ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นเทพอูด้วยร่างมนุษย์ที่แตกหัก
เว่ยเยวียนยิ้มเยาะด้วยความดูถูก “ดูเหมือนว่าเทพเจ้าก็ทำได้เพียงเท่านี้”
ตั้งแต่ผ่านมาสี่พันแปดร้อยปี ในเผ่ามนุษย์ที่ราบตอนกลาง มีเพียงสองคนที่เคยปีนขึ้นมายังแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีที่แล้ว
เว่ยเยวียนในหนึ่งพันสองร้อยปีต่อมา
เพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น…
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจ “เว่ยเยวียน การฟื้นคืนชีพของเทพอู เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้ที่ราบตอนกลางขาดแคลนบุคคลที่มีความสามารถ ลัทธิขงจื๊ออ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้ โชคชะตารั่วไหลหายไป ท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป เจ้าจะทำตัวเป็นตั๊กแตนขวางทางเกวียนไปทำไมกัน?”
หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็เลื่อนปลายนิ้วผ่านข้อมือเบาๆ ปล่อยให้เลือดหลั่งไหลออกมาเพื่อเป็นการสังเวย และกล่าวเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณราวกับเสียงระฆัง “ถวายแด่เทพอู”
อีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าที่อยู่ข้างๆ ล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาต่างก็กรีดข้อมือตนเองและสังเวยเลือดเฉกเช่นเดียวกัน
เลือดไหลรินออกจากข้อมือของพ่อมดระดับสูงทั้งสามท่าน สายเลือดเป็นเหมือนเส้นด้าย ไร้ซึ่งหยดเลือด และกลายเป็นสีแดงสว่างอันรุ่งโรจน์ ลอยละล่องไปที่รูปปั้นเทพอู ซึ่งอยู่บนแท่นบูชาที่อยู่ห่างไกล
อวิชชาสังเวยเลือด!
อวิชชาสังเวยเลือดของสำนักพ่อมด
เมื่อได้ยินเสียงของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าพ่อมดที่เห็นฉากนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าสำนักพ่อมดอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของความเป็นความตายแล้ว
เหล่าพ่อมดหลายร้อยคนต่างก็ทยอยออกจากสนามรบ และกรีดข้อมือของตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย กรีดเลือดสังเวยก็เหมือนการบูชายัญตนเองแด่เทพอู
น่าหลันเหยี่ยนรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ปราณชีวิตที่มาพร้อมกับสายเลือดไหลออกราวกับสายน้ำ กลายเป็นแสงสีแดงฉานอันรุ่งโรจน์ ลอยไปที่หุบเขา และผสานเข้ากับรูปปั้นที่เหล่าพ่อมดเคารพบูชามานับพันปี
ทหารที่ราบตอนกลางแห่งต้าฟ่งของเจ้าต่อสู้ไม่กลัวตาย แล้วคิดว่าสำนักพ่อมดของข้ารักตัวกลัวตายงั้นรึ?
สำนักพ่อมดปกครองตะวันออกเฉียงเหนือมากว่าสี่พันปี เคยถูกคนโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ที่ไหนกัน?
แม้ว่าจะตัวตายเต๋าสลายในวันนี้ ก็ต้องทำให้เจ้าเว่ยเยวียน ทำให้ต้าฟ่งประสบกับความล้มเหลวในตอนท้ายให้จงได้
ในขณะที่กำลังจะสิ้นใจ น่าหลันเหยี่ยนก็หันไปมองชายในชุดดำอย่างทันทีทันใด พลางนึกถึงท่านพ่อที่พ่ายแพ้ในสงครามด่านซานไห่
คิดไม่ถึงว่าพ่อลูกทั้งสอง จะสิ้นชีพด้วยน้ำมือคนคนเดียวกัน
น่าหลันเหยี่ยนค่อยๆ หลับตาลงและจากไปอย่างเงียบๆ
พ่อมดล้มลงทีละคน กลายเป็นศพแห้ง พวกเขาสิ้นชีพอย่างไร้กลิ่นไร้เสียง แต่กลับไม่ได้แค้นเคืองหรือรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
เจตจำนงของพวกเขาหลอมรวมอยู่ในรูปปั้นเทพอู นี่คือการต่อต้านครั้งสุดท้ายของสำนักพ่อมด นี่คือคำสาปที่เหล่าพ่อมดมอบให้กับเว่ยเยวียนและปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์…
‘แครก…’
รูปปั้นเทพอูที่อยู่บนแท่นบูชามีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้น พร้อมกับเศษหินที่แตกละเอียดร่วงหล่นลงมา
หมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของรูปปั้น และแผ่ขยายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ปิดกั้นแสงอาทิตย์ ปิดกั้นท้องฟ้าสีคราม เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน
ไม่กี่วินาทีต่อมา หมอกสีดำนี้ก็ปกคลุมเมืองจิ้งซานทั้งเมืองในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ กลิ้งไปกลิ้งมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำใต้พายุ
คนทั่วไปโกรธแล้วฟันดาบเลือดกระเซ็นสามฟุต จักรพรรดิโกรธแล้วคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก
แล้วถ้าเทพเจ้าโกรธจะเป็นอย่างไร?
การสู้รบของเหล่าทหารสิ้นสุดลงอีกครั้ง ผู้รอดชีวิตจำนวนไม่มากที่อยู่รอบๆ จิ้งซาน ต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองหมอกดำที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเขาด้วยความสยองขวัญ
ทันใดนั้น หมอกดำก็ทรุดตัวลงอย่างกะทันหันราวกับท้องฟ้าทั้งผืนถล่มลงมา ก่อนจะรวมตัวกับท้องฟ้าเหนือแท่นบูชา กลายเป็นเงาดำที่มีความสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง และใบหน้าพร่ามัว
ผู้ที่กล้ามองตรงไปยังเงาดำ ล้วนสิ้นชีพลง ณ ที่นั้นอย่างทันทีทันใด
เงาดำสูงตระหง่านเผชิญหน้ากับร่างเสมือนที่สูงตระหง่านเช่นกัน ราวกับเป็นยักษ์สองตนแรกในประวัติศาสตร์อย่างไรอย่างนั้น
“ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!”
เสียงอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ตัวตนดังมาจากเงาดำ ราวกับโกรธ ราวกับเกลียด ราวกับทอดถอนหายใจ
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาพร้อมกับเสียงอันยิ่งใหญ่นี้ หมู่เมฆเปลี่ยนสีในฉับพลัน พายุลูกที่โหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัวที่สุดมาถึงแล้ว
“แล้วเจ้าจะเสียใจภายหลัง”
เสียงที่ไร้ตัวตนและน่าเกรงขามดังขึ้นอีกครั้ง
เว่ยเยวียนรู้ว่านี่คือประโยคที่พูดกับเขา
เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ก่อนจะหันศีรษะไปมองสนามรบที่อยู่ไกลๆ ที่ซึ่งทหารของต้าฟ่งกำลังทำการสู้รบตบมือ
ทหารเหล่านี้ที่สิ้นชีพในดินแดนสำนักพ่อมด และทหารผ่านศึกเหล่านั้นที่สิ้นชีพในสงครามด่านซานไห่ สิ่งที่เขาหลั่งเลือดเพื่อมัน สิ่งที่เขาพลีชีพเพื่อมันในสนามรบ ท้ายที่สุดมีเหตุผลเพียงสี่คำเท่านั้น คือ ‘เพื่อชาติบ้านเมือง’
‘ข้า…เว่ยเยวียน พาพวกเขามาตายที่นี่ ก็เพราะสี่คำนี้ไม่ใช่หรือ?’
เงาดำมองลงมาจากด้านบนด้วยความเย็นชา ราวกับเทพเจ้าที่มองมนุษย์จากด้านบน มองฝูงมดจากด้านบน
เงาดำยกมือขึ้น และชี้นิ้วลงมาเบาๆ
ความโกรธของเทพเจ้าน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่คนธรรมดาต้องมีคุณสมบัติอะไรถึงจะประสบกับความโกรธของเทพเจ้า สำหรับเทพเจ้า แค่นิ้วชี้นิ้วเดียวก็สามารถบีบบังคับสิ่งที่คงอยู่ให้สูญสิ้นไปได้
แล้วต่างอะไรกับมดกัน
เสียงกระดูกแตกดังขึ้น เทพเจ้ายังไม่ทันจู่โจม แต่พลังอำนาจก็ทำให้โครงกระดูกทั้งร่างของเว่ยเยวียนแหลกเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว
กระดูกสันหลังของเขาคดงอลงมาอย่างฉับพลัน ราวกับแบกภูเขาทั้งลูกอยู่บนไหล่ ยากที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
เว่ยเยวียนในเวลานี้ เป็นเหมือนเครื่องเคลือบที่กำลังจะแตกสลาย ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยร้าว
ฉากนี้คล้ายกับพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธในตอนนั้น ที่ร่างธรรมสีทองบีบบังคับให้สวี่ชีอันคุกเข่าลง ช่างคล้ายกันจริงๆ
ราวกับเขาได้ยินเสียงคำรามของสวี่ชีอันอยู่ในขณะนี้ ได้ยินเสียงคำรามของผู้คนนับหมื่นในเมืองหลวง
ทันใดนั้น ดวงตาของเว่ยเยวียนก็ประกายแสงระยิบระยับขึ้นมา
ตลอดชีวิตของข้า ไม่นับถือพระเจ้า ไม่เลื่อมใสพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อในจักรพรรดิ เพียงแค่รับใช้ประชาชนเท่านั้น
เทพเจ้าไม่เมตตา ก็เป็นศัตรูของข้า
เว่ยเยวียนยืดตัวขึ้นเล็กน้อย กระดูกของเขาหักไปทั้งร่าง รวมไปถึงกระดูกสันหลัง แต่ในเวลานี้ เขาสามารถยืดหลังให้ตรงได้ อาจเป็นเพราะความศรัทธาบางอย่างที่กำลังค้ำจุนเขากระมัง
จิ่วโจวในตอนนี้ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเหตุใดปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จึงปิดผนึกเทพอู
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าทำไมตอนนั้นจักรพรรดิเกาจู่ถึงกลับคำ
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในสมัยโบราณ เทพอูเคยกัดกร่อนที่ราบตอนกลางและตัดโชคชะตาของเผ่ามนุษย์
เขา…เว่ยเยวียน ไม่ต้องการให้เสาหลักของอารยธรรมล่มสลาย ไม่ต้องการให้เผ่ามนุษย์ในที่ราบตอนกลางก้มหัวเป็นทาสตราบชั่วลูกชั่วหลาน
เพื่อต่อต้านนิ้วแห่งความโกรธที่ชี้ลงมาจากฟ้าของเทพเจ้า เขายกมืออันสั่นเทาที่ถือดาบสลักขึ้นมา เลือดสีแดงสดไหลรินราวกับสายน้ำ
มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลัง ถือดาบสลักด้วยกันกับเขา
ไม่รู้ว่าร่างเสมือนขนาดสูงกว่าร้อยจั้งหายไปตั้งแต่เมื่อใด มันปรากฏตัวออกมาที่ด้านหลังเว่ยเยวียน ราวกับเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของชายผู้โดดเด่นในรอบหนึ่งพันปีนี้
ฝ่ามือของเว่ยเยวียนไม่สั่นเทาอีกต่อไป
หนึ่งพันปีก่อนมีปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งพันปีต่อมามีเว่ยเยวียน!
จิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิมของปัญญาชนท่านนี้ ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอก เขาคำรามต่อเทพอูด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม”เทพอู เจ้าจะกัดกร่อนโชคชะตาต้าฟ่งของข้า จะตัดชะตากรรมเผ่ามนุษย์ในที่ราบตอนกลางของข้า ถามข้า…เว่ยเยวียนแล้วหรือยัง!”
เว่ยเยวียนถือดาบสลักของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ยื่นออกไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ดาบสลักเบ่งบานออกมาเป็นแสงเรืองรอง
ผ่านไปกว่าหนึ่งพันสองร้อยปีแล้ว นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์สร้างดาบขึ้นมา
ดาบเล่มนี้มีอายุยาวนานนับพันปี
จะไม่มีแสงของดาบอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้บนโลกอีกแล้ว จะไม่มีจิตใจและปณิธานอันสูงส่งเช่นนี้อีกแล้ว
พลังเหนือขั้นระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือแท่นบูชา
ท้องฟ้ากำลังถล่มทลายลงมาแล้ว
ร่างสีดำของเทพอูที่เกิดจากการรวมตัวกันค่อยๆ สลายลงทีละน้อย ก่อนจะพังทลายลงเป็นคลื่นอันน่าสะพรึงกลัว และแผ่ขยายครอบคลุมทั่วทั้งแผ่นดินอย่างรวดเร็ว
พลังกลุ่มนี้ม้วนตัวผ่านเนินเขา กวาดล้างหุบเขาจนหมดสิ้น ท่องไปบนมหาสมุทรผืนกว้าง ก่อคลื่นสึนามิขนาดมหึมาที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง กลิ้งผ่านคูเมือง ทั้งเมืองพังพินาศกลายเป็นซากปรักหักพัง
หนานกงเชี่ยนโหรวขี่ม้านำอยู่หน้าขบวน และเป็นผู้นำในการถอนทัพของทหารม้าติดอาวุธออกไปจากที่นี่ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำ ใบหน้าบิดเบี้ยว
ท่านพ่อบุญธรรม ท่านต้องมีชีวิตรอด
ฆ้องทองคำจางไคไท่และคนอื่นๆ รวมทั้งทหารยอดฝีมือขั้นสูงต่างก็กำลังหลบหนี กำลังแข่งขันกับความตาย
ทุกคนล้วนกำลังหลบหนีด้วยความตื่นตระหนกอย่างขีดสุด
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ควันหลงอันร้ายแรงนี้ถึงได้สลายตัวไป ทุกพื้นที่ตารางนิ้วที่พลังกลุ่มนี้เคลื่อนตัวผ่าน ล้วนประสบกับความสูญเสียจนพังยับเยิน
แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซาน จะกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์นับแต่นี้ไป
มีเพียงแท่นบูชาเท่านั้นที่ถูกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ปิดผนึกและได้รับการปกป้องจากพลังของเทพอู มันจึงรอดจากเหตุการณ์ทลายดินสะเทือนฟ้าเมื่อสักครู่
เว่ยเยวียนยืนหยัดด้วยความภาคภูมิใจอยู่บนแท่นบูชา สวมชุดสีดำที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง
“ทำไม…”
เสียงอันไร้ตัวตนดังมาจากความว่างเปล่า แต่กลับไม่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามอีกต่อไป
ร่างเสมือนของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลัง ก้าวเข้าไปในรูปปั้นเทพอู หลังจากนั้น ช่องว่างที่แตกร้าวก็ซ่อมแซมตัวเอง
เทพอูถูกปิดผนึกอีกครั้ง
ทำไมงั้นรึ?
เว่ยเยวียนหมุนตัวกลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และมองไปทางที่ราบตอนกลาง เขาร่ำรวยขึ้นในรัชศกหยวนจิ่งที่หก ขับไล่กองทหารม้าเผ่าอนารยชน กลายเป็นเศรษฐีคนใหม่ที่รุ่งโรจน์ของต้าฟ่ง จากนั้นเขาก็วางแผนกลยุทธ์ในยุทธการด่านซานไห่ เอาชนะในการรบครั้งใหญ่นี้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของจิ่วโจว
หลังจากนั้น เขาก็ละทิ้งการฝึกฝนของตนเอง ผันตัวเข้าสู่ราชสำนัก ต่อสู้กับหลายฝ่ายในท้องพระโรง และพิชิตขุนนางชั้นสูงในฐานะขันที ความรุ่งโรจน์ ความสำเร็จ และพลังอำนาจอยู่ในมือของเขา สว่างพร่างพรายอย่างไม่มีใครเทียบได้
หากมองดูตลอดชีวิตของเขา มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ศัตรูทางการเมืองศึกษากว่าครึ่งชีวิต แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้
ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว อยู่ตัวคนเดียว
เหล่าขันทีถือว่าทรัพย์สมบัติเงินทองเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณ แต่เขาก็มองมันราวกับเป็นมูลสัตว์
เขาคลุกคลีอยู่ในวงการขุนนางมานับสิบปี เขาไม่มีความปรารถนาจริงๆ หรือ?
ดวงตาของเว่ยเยวียนราวกับทะลุผ่านภูเขาและแม่น้ำนับพัน เห็นพระวิหารย่าเซิ่งที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาชิงหยุน เห็นศิลาจารึกที่ยืนหยัดอยู่ในพระวิหาร เห็นประโยคคดเคี้ยวทั้งสี่ที่จารึกอยู่บนนั้น
ทำไมงั้นรึ?
เว่ยเยวียนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร”
เขาปิดเปลือกตาลง และไม่เปิดขึ้นอีกเลย…
ฤดูใบไม้ร่วงในรัชศกหยวนจิ่งที่สามสิบจ็ด เว่ยเยวียนนำทัพจำนวนหนึ่งแสนนาย บุกโจมตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดจนแตกพ่าย และปิดผนึกเทพอู
เมืองจิ้งซานกลายเป็นซากปรักหักพัง นับแสนชีวิตกลายเป็นขี้เถ้าลอย
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ทหารม้าเหล็กของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ราบตอนกลางบุกไปถึงแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด
ฝากชื่ออันขาวสะอาดไว้ในประวัติศาสตร์
………………………………………………………………