ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 467 ผู้นำ
บทที่ 467 ผู้นำ
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เนื้อหาข่าวกรองด่วนก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ขุนนางประจำเมืองหลวงต่างกระจายข่าวนี้ออกไป ทุกคนต่างพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำหลังบานประตูที่ปิดสนิท ไม่นานข่าวก็แพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความหดหู่ใจ
ตำหนักจิ่งซิ่วอันเป็นที่ประทับของพระสนมเฉิน ภายในพระราชวังที่มีกำแพงสีแดงซ้อนกันหลายชั้น ก่อนหน้านี้ หลินอันผู้ทรงพระสิริโฉมสดใส ดวงพระเนตรงดงาม เพิ่งจะทรงทักทายพระมารดา และอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนพระองค์ในตำหนักจิ่งซิ่ว
พระสนมเฉินทรงดื่มพระสุธารสบำรุงสุขภาพ มองดูพระธิดาที่ทรงพระสิริโฉม มีกิริยางดงาม แล้วทรงทอดถอนพระทัย
“เว่ยเยวียนนำทหารออกรบ แล้วยังมีความดีความชอบทางทหารมากมายจนทำให้ผู้คนเห็นแล้วต่างอยากได้ เว่ยเยวียนคนนี้เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อตำแหน่งองค์รัชทายาทของเสด็จพี่ของเจ้า แต่ก็เป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุดขององค์รัชทายาทเช่นกัน”
หลินอันทรงจิบพระสุธารส ทำให้ริมพระโอษฐ์ชุ่มชื่น ไม่ได้ทรงโต้ตอบ
ในฐานะองค์หญิง เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่มีคุณสมบัติมากพอ แต่เนื่องจากได้ยินได้ฟังมามาก จึงพอมีความรู้บ้างเล็กน้อย สามารถเข้าใจความหมายในคำพูดของพระมารดาได้ไม่ยาก
เว่ยเยวียนนั้นสนับสนุนองค์ชายสี่ ประเด็นนี้ไม่ต้องสงสัย เพราะเว่ยเยวียนเป็นขันทีจากตำหนักเฟิ่งชี
แต่เว่ยเยวียนก็เป็น ‘รากฐาน’ ที่มั่นคงที่สุดขององค์รัชทายาท คุณงามความดีมากจนเป็นภัยคุกคามต่อบัลลังก์ของจักรพรรดิ ย่อมไม่อาจให้องค์ชายสี่เป็นองค์รัชทายาทได้
พระสนมเฉินถอนพระทัยตรัสว่า “หากเว่ยเยวียนตายในสนามรบได้ก็คงจะดี”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลินอันทรงขมวดพระขนง ไม่ใช่เพราะทรงไม่พอพระทัยที่พระมารดาทรงสาปแช่งเว่ยเยวียน พระองค์กับเว่ยเยวียนไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน
พระองค์แค่รู้สึกว่า ในน้ำเสียงและสีพระพักตร์และความปรารถนานั้นมีความมั่นใจ ใช่แล้ว มันคือความมั่นใจ
ดูเหมือนกับทรงรู้อะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะสรุปกลับมีความกลัวเล็กน้อย ไม่กล้ามั่นใจ
องค์หญิงรองผู้ทรงเป็นเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสา ย่อมไม่มีระดับการสังเกตคำพูดและสีหน้าที่ลึกซึ้งนัก แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือพระมารดาผู้ให้กำเนิดของพระองค์ เป็นหนึ่งในคนที่พระองค์ทรงรู้จักดีที่สุด
ขณะที่กำลังคุยเล่นกันอยู่น้้น แสงภายนอกประตูถูกบังแวบหนึ่ง องค์รัชทายาททรงก้าวข้ามธรณีประตู เสด็จเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ และทรงตะโกนว่า “พระมารดา พระมารดา…”
หลินอันทรงหันไปมอง เห็นพระเชษฐาร่วมพระอุทรเข้ามาในห้อง สีพระพักตร์ซับซ้อนยิ่ง มีทั้งความตื่นเต้นและความเสียดาย ทั้งดีใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่งระคนกัน
พระสนมเฉินทรงแย้มพระสรวล แล้วตรัสว่า “องค์รัชทายาทนั่งลงก่อน”
ทรงเรียกเรียกนางกำนัลมาชงพระสุธารสให้องค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทโบกพระหัตถ์ แสดงความหมายว่าไม่ต้อง แล้วทรงไล่นางกำนัลออกไป จากนั้นจึงทรงประทับลงตรงข้างพระแท่นบรรทมนุ่มที่ปูผ้าไหมสีเหลือง ทรงชะงักครู่หนึ่ง จึงทรงตรัสอย่างเนิบๆ ว่า
“พระมารดา เว่ยเยวียน… เสียชีวิตในสนามรบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
สีพระพักตร์หน้าของสองแม่ลูกนิ่งไปพร้อมกัน หลังจากนั้นไม่นาน ก็เผยให้เห็นสีพระพักตร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
พระพักตร์ของหลินอันซีดเผือด ในความตกใจนั้นแฝงความงุนงงและความกังวลอยู่ด้วย
พระสนมเฉินทรงดีพระทัยมาก ความปีติยินดีนี้ล้นเหลือจริงๆ จนพระวรกายสั่นเทา พระสุรเสียงก็สั่นเทาเช่นกัน “จริงหรือ!”
องค์รัชทายาททรงพยักพระพักตร์ และทรงให้คำตอบยืนยัน “เอกสารด่วนมาถึงเมื่อคืนนี้ เช้าวันนี้เสด็จพ่อทรงเรียกประชุมเพื่อหารือเรื่องนี้อย่างกะทันหัน ข่าวการเสียชีวิตในสนามรบของเว่ยเยวียน แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ทหารหนึ่งแสนนายถอนกำลังกลับมาเพียงหนึ่งหมื่นหกพันกว่านาย ในการต่อสู้ครั้งนี้ ต้าฟ่งของเราสูญเสียอย่างหนัก”
พระพักตร์ของพระสนมเฉินแดงก่ำ แสดงให้เห็นว่าทรงมีความสุขยิ่งนัก แม้พระโอรสและพระธิดาจะเจริญพระชันษากันหมดแล้ว แต่พระองค์ยังทรงมีกิริยางดงามไม่เหมือนใคร ดูไม่สูงวัยแม้แต่น้อย
“ขอเพียงแค่ได้ครองบัลลังก์ การเสียสละที่จำเป็นจะเป็นอะไรไป” พระสนมเฉินทรงตรัสเสียงดัง
ราวกับกำลังสั่งสอนองค์รัชทายาท และราวกับกำลังทรงปลอบพระทัยตัวเอง
องค์รัชทายาทพยักพระพักตร์ พร้อมกับทรงถอนพระหทัย “เว่ยเยวียนเสียชีวิตอย่างน่าเสียดาย คนคนนี้มีความคิดที่กว้างไกล ข้ายังเคยคิดหวังว่าภายภาคหน้าหลังจากที่ขึ้นครองราชย์แล้ว เขาจะยอมรับความเป็นจริง และอยู่รับใช้ข้า”
ในที่นี้มีเพียงสามคนที่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด องค์รัชทายาทจึงตรัสโดยไม่ต้องทรงหลีกเลี่ยง
“องค์รัชทายาท ข้อเสียของเจ้าที่แย่ที่สุดก็คือชอบเพ้อฝัน และชอบรอคอยเรื่องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
พระสนมเฉินทรงสั่งสอง พระพักตร์งามมีรอยแย้มพระสรวล ตรัสว่า “อยู่เสวยพระกระยาหารกลางวันที่ตำหนักจิ่งซิ่ว ดื่มเป็นเพื่อนแม่สักหน่อย เว่ยเยวียนตายไป โรคหัวใจของแม่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกสบายไปทั้งตัว”
องค์รัชทายาทก็ทรงแย้มพระสรวลเช่นกัน “ตกลงพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ลูกจะดื่มเป็นเพื่อนพระมารดาให้สาแก่ใจทีเดียว”
หลินอันมองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ เมื่อมองไปที่คนมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับตัวเองสองคนแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกเสียพระทัยอย่างยิ่ง
ความเสียพระทัยนี้เกิดจากความรู้สึกโดดเดี่ยว สิ่งที่พวกเขาพูด สิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขามีความสุข สิ่งที่พวกเขาโกรธ…เป็นเรื่องยากที่พระองค์จะทรงเห็นด้วยและเข้าใจเหมือนเช่นแต่ก่อน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ตัวเองนับวันยิ่งห่างไกลพวกเขาออกไปทุกที
…
หลังจากการประชุมช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปไม่นาน ก็มีกระดาษข้อความที่ส่งผ่านช่องทางลับมาทีละขั้น จนในที่สุดก็มาตกอยู่ในมือของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ของสวนเต๋อซิน
เขาเปิดมันออกดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ตรงไปยังห้องบรรทมของฮว๋ายชิ่งอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ฮว๋ายชิ่งทรงตื่นบรรทมแล้ว และกำลังประทับเสวยพระกระยาหารที่ห้องด้านนอก ทรงทอดพระเนตรหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ที่เดินมาอย่างรีบร้อน แล้วหยุดอยู่หน้าประตู จึงทรงขมวดพระขนง แล้วตรัสถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ทหารรักษาพระองค์ไม่ได้พูดอะไร ก้าวข้ามธรณีประตู แล้วถวายกระดาษข้อความตัวสั่นงันงก
ฮว๋ายชิ่งทรงขมวดพระขนง ทรงฉงนเล็กน้อย จากนั้นก็ทรงรับกระดาษข้อความมาทอดพระเนตร
เห็นเพียงพระพักตร์งามค่อยๆ ซีดลง และแม้แต่ริมพระโอษฐ์ก็ซีดไปหมด
ทรงทำเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงทรงสะดุ้งอย่างแรง ราวกับทรงนึกอะไรขึ้นมาได้ ทรงตรัสอย่างไม่มีเสียง “เสด็จแม่!”
ฮว๋ายชิ่งทรงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว วิ่งออกจากห้องบรรทม มาถึงห้องทรงพระอักษร และดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากหนังสือประวัติศาสตร์
พระองค์ทรงใส่จดหมายไว้ในแขนเสื้อ ยกชายฉลองพระองค์กระโปรงขึ้น แล้วทรงวิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง
เชื่อว่าเป็นจดหมายที่เว่ยเยวียนถวายให้พระองค์ก่อนไปออกรบ ในตอนนั้นเขายังได้ฝากฝังว่า
‘จดหมายฉบับนี้ ทรงถวายให้กับเสด็จแม่ของพระองค์ในเวลาที่เหมาะสมด้วยพ่ะย่ะค่ะ’
อะไรคือเวลาที่เหมาะสมในตอนนั้น ฮว๋ายชิ่งไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้พระองค์ทรงเข้าใจแล้ว
พระองค์ทรงวิ่งไปจนถึงตำหนักเฟิ่งชีอย่างรวดเร็ว นางกำนัลสองคนวิ่งตามหลังมา หอบแฮกๆ มือเท้าเอว ใบหน้าซีด ท่าทางเหมือนจะขาดใจตาย
ในตำหนักเฟิ่งชี ฮองเฮาทรงประทับที่โต๊ะกำลังผสมเครื่องหอม พระองค์ทรงฉลองพระองค์หรูหรา พระเศียรสวมมงกุฎหงส์ งดงามจับตา สุภาพอ่อนโยน
สตรีผู้มีความงามเป็นเอกประทับอยู่ในวังหลัง ดูเหมือนแม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจทำลายพระสิริโฉมของพระองค์
‘ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากฮองเฮาในสมัยเป็นสาวสวยน้อยกว่าข้าเล็กน้อยแล้ว ผู้หญิงคนอื่นล้วนสวยน้อยกว่าข้าสิบเท่าร้อยเท่า’…จากบันทึกของมู่หนานจือ
นี่เป็นการประเมินค่าที่สูงมาก
เพราะในสายตาของพระมเหสี ผู้หญิงในใต้หล้านี้มีเพียงสองประเภท ประเภทหนึ่งคือมู่หนานจือ อีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงในใต้หล้า
สามารถทำให้คนที่หลงตัวเองเช่นนี้ยอมรับความงาม ก็พอที่จะคาดการณ์ได้
“คิดอย่างไรถึงมาหาแม่”
ฮองเฮาทรงเห็นพระธิดาเสด็จมา จึงทรงแย้มพระสรวล
รอยยิ้มของพระองค์อ่อนโยน สง่างาม ไม่ได้ทรงแสดงความกระตือรือร้นจนเกินงามเมื่อพระธิดาเสด็จมาหา
ฮองเฮายังคงเป็นฮองเฮาพระองค์เดิม ทรงอ่อนโยนและสง่างามเช่นนี้เสมอมา
ในสายตาของคนนอก ฮองเฮานั้นทรงเข้าถึงได้ง่าย อุปนิสัยอ่อนโยน เป็นสตรีที่เป็นพระมารดาของแผ่นดินอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่นสวี่ชีอันซึ่งเคยพูดเกินจริงถึงอุปนิสัยที่อ่อนโยนและไม่มีมาดของฮองเฮา และเหมือนคนเช่นเขามากกว่า
แต่ในสายตาของฮว๋ายชิ่ง นี่นับเป็นการยิ้มเยาะอย่างแท้จริง
ในความทรงจำของฮว๋ายชิ่ง เสด็จแม่ทรงสง่างามและเย็นชา อ่อนโยนและทรงระวังตัว ระวังตัวเสียจนแม้แต่พระธิดาอย่างพระองค์ยังเข้าถึงยาก
“เว่ยกง เสียชีวิตในการต่อสู้ที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดแล้วเพคะ”
ฮว๋ายชิ่งทรงตรัสอย่างรวบรัด
จากนั้น พระองค์ก็ได้เห็นสตรีที่สง่างามผู้ดูเหมือนเป็นฮองเฮาที่ไร้ซึ่งจุดอ่อนเสียกิริยาเป็นครั้งแรก
“เจ้าโกหก!”
พระองค์ทรงกรีดร้องขึ้นมาทันที ดวงพระเนตรคู่งามเบิกกว้าง แววพระเนตรที่ทอดพระเนตรฮว๋ายชิ่งไม่เหมือนทอดพระเนตรพระธิดา แต่เป็นศัตรู
ฮว๋ายชิ่งทรงจ้องพระพักตร์เสด็จแม่ ดวงพระเนตรคู่งามมีแววรันทด
สิ่งที่สวี่ชีอันสามารถคาดเดาได้ พระองค์ก็ทรงคาดเดาได้เช่นกัน คดีของพระสนมฝูได้อธิบายอะไรไว้มากมาย
พระองค์ทรงวางซองจดหมายลงบนโต๊ะ แล้วทรงตรัสเบาๆ ว่า “ก่อนที่เว่ยกงจะออกรบ ได้ฝากฝังให้หม่อมฉันถวายต่อให้เสด็จแม่”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทรงหันหลังเสด็จพระดำเนินออกไป
เมื่อทรงก้าวข้ามธรณีประตู ออกจากห้องแล้ว พระองค์ไม่ได้เสด็จกลับทันที แต่ได้ทรงรออยู่ที่ลานพระตำหนักครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงกันแสงราวพระหทัยแตกสลายของฮองเฮาดังมาจากข้างใน
ทรงกันแสงคร่ำครวญ เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ฮว๋ายชิ่งเงยพระพักตร์ขึ้น ในวันฤดูใบไม้ร่วงที่เดียวดาย ท่ามกลางหมู่เมฆสีขาว ดูเหมือนจะเห็นชายผู้อ่อนโยนและสง่างามอีกครั้ง
เว่ยกง เจ้ากับพระองค์มีอดีตแบบไหนกันแน่…
…
ครอบครัวสกุลสวี่อพยพมาที่สำนักอวิ๋นลู่อีกครั้ง เพื่อหลบภัยทั้งครอบครัว
สวี่หลิงอินถูกอาสะใภ้ทั้งลากทั้งจูงให้ปีนขึ้นเขาอย่างไม่เต็มใจ คิ้วบางๆ ทั้งสองข้างขมวดแน่น ถามเสียงดัง “ท่านแม่ ส่งข้ามาเรียนหนังสือที่นี่อีกแล้วหรือ”
อาสะใภ้พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ไม่ใช่ แม่ปลงกับเจ้าแล้ว”
สวี่หลิงอินกระโดดโลดเต้นอย่างแรง พร้อมกับยิ้ม “ท่านแม่ดีกับข้าที่สุดเลย”
‘ทำไมข้าจึงมีลูกสาวที่ไม่เอาไหนอย่างเจ้ากันนะ…’ อาสะใภ้เกือบเกือบจะร้องไห้ด้วยความโมโหนาง
เมื่อมาถึงสำนัก พวกเขาก็ไปที่บ้านหลังเล็กที่เคยอยู่เมื่อสองครั้งก่อนด้วยความคุ้นเคย
หลังจากจัดการกับคนในครอบครัวเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกจากสำนัก มองเห็นจ้าวโส่วเจ้าสำนักยืนอยู่ไม่ไกล มองเขาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
“ก่อนที่เว่ยเยวียนจะออกรบ ได้ฝากฝังให้ข้าเก็บรักษาของสองสิ่งไว้ และให้ข้ามอบให้เจ้าในเวลาที่เหมาะสม”
จ้าวโส่วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากอกเสื้อ ยื่นให้สวี่ชีอันพูด แล้วพูดว่า “นี่คือจดหมายที่เขาทิ้งไว้ให้เจ้า”
ของอีกสิ่งหนึ่ง เขาไม่ได้พูดถึง
สวี่ชีอันก็ไม่ได้ถามเช่นกัน รับจดหมาย เก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วพยักหน้าเบาๆ
ทั้งสองขี่กระบี่บินจากไป
…
ชายแดนเซียงโจว ด่านอวี้หยาง
เสียงเห่าหอนชวนให้รู้สึกอ้างว้างของกิหมีดังก้องไปทั่วขอบฟ้า และวนเวียนเป็นวงกลมในท้องฟ้าในท้องฟ้าอันไกลโพ้น
บนกำแพงเมือง เหล่าพลทหารคอตก หัวหน้ากองร้อยคนหนึ่งถ่มเสลด ‘ถุย’ ออกมาแล้วด่าว่า “พวกสวะเหยียนกั๋วมาแสดงพลังอีกแล้ว”
เป้าหมายสูงเกินไปและอยู่ไกลเกินระยะยิงของธนูและหน้าไม้ หน่วยสอดแนมสัตว์บินมีประสบการณ์สูง ไม่ให้โอกาสทหารระดับสูงของต้าฟ่งได้โจมตี ทันทีที่มีเหตุผิดปกติก็จะให้กิหมีบินหนีไปทันที
แม้แต่ยอดฝีมือขั้นสี่ก็ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศไล่ตามสัตว์ประหลาดที่เชี่ยวชาญในเรื่องความเร็วได้
หัวหน้ากองร้อยหันไปมองพลทหารที่ขวัญกำลังใจตกต่ำ แล้วด่าทอว่า
“ให้ตายสิ ดูสภาพของพวกเจ้าตอนนี้ซิ โทรมเหมือนผู้หญิงที่นอนกับพวกอันธพาลป่าเถื่อน รวบรวมพลังของพวกเจ้าออกมา เว่ยกงได้นำพี่น้องของพวกเราตีเมืองเมืองจิ้งซานแตก แม้กระทั่งแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดในเมืองจิ้งซาน
“ไม่ต้องพูดถึงต้าฟ่งของเรา ถึงจะเป็นต้าโจว นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกัน จะต้องบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์ คนหยาบช้าอย่างพวกเจ้า รู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
หัวหน้ากองร้อยชูหมัดอย่างฮึกเหิม “จะได้จารึกชื่อลงในหนังสือประวัติศาสตร์เชียวนะ!”
“แต่เว่ยกงเสียชีวิตในสนามรบไปแล้ว…”
พลทหารที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สีหน้าของหัวหน้ากองร้อยนายนี้สลดลงทันที ไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน
สงครามได้รับชัยชนะแล้วหรือ
ในสายตาของเหล่าพลทหารที่ติดตามกองกำลังไปออกรบ หากได้รับชัยชนะ ก็จะบุกทะลวงใจกลางเมืองเหยียนกั๋ว ตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดให้แตก ชัยชนะเช่นนี้กองกำลังแปดหมื่นกว่าชีวิตนั้นไม่ต้องพูดถึง ถึงจะเป็นหนึ่งแสนหรือสองแสนก็นับว่าคุ้มค่า
คนของสำนักพ่อมดที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ คนธรรมดา รวมถึงพลทหาร รวมแล้วนับหนึ่งล้านคน
เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่
แต่การเสียชีวิตของเว่ยเยวียน สำหรับพลทหารของต้าฟ่งแล้ว นับเป็นการสูญเสียที่หนักหน่วง
เป็นการทำลายขวัญทหารโดยตรง
หลังจากถอนกำลังออกจากอาณาเขตของสำนักพ่อมดแล้ว กองกำลังอีกหนึ่งหมื่นหกพันนายที่เหลือยังอยู่ประจำการที่ด่านอวี้หยาง เพื่อรอคำสั่งจากทางราชสำนัก
ในช่วงเวลานี้ หน่วยสอดแนมของต้าฟ่งและเหยียนกั๋วต่างเฝ้าสังเกตซึ่งกันและกัน ต่างกำลังเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวกันและกันอย่างตึงเครียดและกระตือรือร้น
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนของกิหมีก็ทำลายความเงียบ หน่วยสอดแนมที่แสดงพลังของตนเองอยู่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น พร้อมกับสัตว์ร้ายที่บินได้ของพวกเขา ต่างฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ
เลือดสาดกระจาย
ทหารบนกำแพงเมืองหรี่ตามอง เห็นเพียงเงาดำร่างหนึ่ง หลังจากที่สังหารหน่วยสอดแนมกิหมีแล้วก็หันหลังกลับ บินมาทางกำแพงเมือง
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินหญิงที่สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าพูดเสียงดังว่า “ข้าคือศิษย์ของนิกายสวรรค์ หลี่เมี่ยวเจิน”
หัวหน้ากองร้อยถอนหายใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“ที่แท้ก็เป็นเทพธิดานิกายสวรรค์ จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน”
“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินคือใคร”
“แม้แต่จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินก็ไม่รู้จัก นางคือเทพธิดานิกายแห่งสวรรค์อย่างไรล่ะ”
“สามารถขี่กระบี่บินได้ เหมือนจะเก่งกาจมาก…”
“ไม่เพียงแค่เก่งกาจเท่านั้น จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินยังเป็นจอมยุทธ์ไร้เทียมทาน นางอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็จะไม่มีใครกล้าทำชั่ว”
“จริงหรือหลอก”
“ทุกคนต่างพูดเช่นนี้…”
เหล่าพลทหารต่างกระซิบกระซาบด้วยความประหลาดใจ ทหารชั้นล่างไม่เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับอันดับมากนัก หรือกระทั่งไม่เข้าใจอะไรเลย ในสายตาของพวกเขา ยอดฝีมือขั้นสามนั้นยังสู้จอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงไม่ได้
ในอนาคตจะมีคำศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า ‘ระดับชาติ’
ถ้าหากสวี่ชีอันมา พวกเขาก็จะคิดว่าฝ่ายของตัวเองนั้นไร้เทียมทานแล้ว เนื่องจากฆ้องเงินสวี่โกรธแค้นแทนประชาชน เคยถึงขั้นสังหารกั๋วกงต่อหน้าสาธารณชน แม้แต่ราชสำนักก็ยังไม่กล้าทำอะไรเขา หนำซ้ำจักรพรรดิยังถูกเขาบีบบังคับให้ต้องออกกฤษฎีกาต้องโทษ
หลี่เมี่ยวเจินนำกระบี่บินลงสู่พื้นดิน หยุดนิ่งอยู่ที่ท้องฟ้าบนกำแพงเมือง ก่อนจะก้าวลงมาพร้อมกับสวี่ชีอัน
นี่ก็คือจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินในตำนาน เป็นหญิงสาวที่งามดุจมวลผกา…สายตาของทหารแต่ละคน มองดูชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองคน ด้วยสายตาสังเกตอย่างละเอียดลออ
หลังจากนั้น พวกเขาก็มองไปที่ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังของเทพธิดานิกายสวรรค์พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หน้าตาของเขาหล่อเหลาและละมุนละไม ดูแล้วไม่ความรู้สึกอ่อนหวานหรือ ‘สวย’ แต่เป็นความหล่อเหลาแบบเบิกบานผ่าเผย
สีหน้าของเขาไม่สนใจไยดี แต่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจลบเลือนได้
ใบหน้าของเขาดูคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่กลับจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
จนกระทั่งร่างของหัวหน้ากองร้อยสั่นสะท้าน ใบหน้าที่บุ่มบ่ามนั้นแดงก่ำขึ้นมาทันที กล่าวด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ฆ้อง ฆ้องเงินสวี่…”
สวี่ชีอันมองไปที่หัวหน้ากองร้อยคนนั้น ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
…
ในค่ายทหารในเมือง จู่ๆ พลทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นนายก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องมาจากกำแพงเมือง ดังอึกทึกครึกโครม
พวกเขาบางคนก็วิ่งออกจากกระโจม บางคนดึงบังเหียน บางคนก็หยุดงานที่ทำอยู่ พากันหันหน้ามองไปทางกำแพงเมืองโดยพร้อมเพรียง
พวกเขาได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องนับไม่ถ้วน รวมกันเป็นเสียงเดียว
ฆ้องเงินสวี่!
สำหรับเหล่าทหารที่ ‘ไร้ผู้นำ’ ของต้าฟ่งแล้ว คำว่าฆ้องเงินสวี่สามคำคือยาบำรุงหัวใจ คือที่พึ่ง คือแสงนำทางที่จะทำให้พวกเขาไม่ต้องสับสนอีกต่อไป
ตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้นำ ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงบารมีมากล้น
…
ในกระโจมทหาร
“เว่ยกงนำฆ้องทองคำห้าคนออกรบ เหตุใดจึงมีท่านเพียงคนเดียวที่มาพบข้า แล้วคนอื่นๆ เล่า”
สวี่ชีอันได้พบจางไคไท่หลังจากที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จางไคไท่ซึ่งไม่ได้โกนหนวดเครามาเป็นเวลานาน พูดเสียงเบาว่า
“เสียชีวิตแล้ว ทุกคนเสียชีวิตที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด บางคนต่อสู้กับพ่อมดจนตาย และบางคนเสียชีวิตในสนามรบ จากผลกระทบในการต่อสู้ทำลายล้างนั้น ในบรรดาขั้นสี่ มีเพียงข้าและเฉินอิงเท่านั้นที่ถอนตัวกลับมา”
ไม่ได้พบกันนาน สวี่ชีอันรู้สึกหุนหันพลันแล่นอยากจะสูบบุหรี่ เขาพูดเสียงเบาว่า “เว่ยกง… อยู่ที่ไหน”
จางไคไท่มองหน้าเขา สีหน้าชายหนุ่มคนนี้สงบ อารมณ์ของเขาก็สงบเช่นกัน ดูท่าทางสงบทุกอย่าง
แต่ เมื่อจางไคไท่สบตาเป็นประกายคู่นั้น กลับต้องหลบตาโดยไม่รู้ตัว
เขามองไปทางอื่น แล้วพูดว่า “พวกเราไม่สามารถพาเขากลับมาได้”
สวี่ชีอันยืนเซ
หลังจากเงียบไปนาน เขาก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา “เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟัง ตั้งแต่พวกท่านเริ่มออกเดินทาง”
จางไคไท่พยักหน้า แล้วพูดว่า “อันที่จริงมีเรื่องราวมากมาย จนถึงตอนนี้ข้าเพิ่งนึกได้ ตัวอย่างเช่น ทำไมเว่ยกงต้องรีบจู่โจม เพราะตั้งแต่เริ่มต้น พวกเราก็ไม่มีเสบียงสำหรับทหารและหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงม้า”
“ไม่มีเสบียงสำหรับทหารและหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงม้า?”
รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวลง
กองกำลังหนึ่งหมื่นนายออกรบทำสงคราม แต่ไม่ให้ไม่มีเสบียงสำหรับทหารและหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงม้า?
นี่เป็นสงคราม หรือการส่งคนไปตาย หยวนจิ่งบ้าไปแล้วหรือ เหล่าขุนนางบ้าไปแล้วหรือ
อยากให้เว่ยกงตายใจจะขาดถึงขั้นนี้เชียวหรือ
“หลังจากพี่น้องทั้งหลายถอนตัวกลับแล้ว ด้วยความโกรธแค้น เฉินอิงจึงนำกองกำลังไปสังหารขุนนางทั้งหมดของกรมการคลังทั้งสามแคว้น สังหารไปหลายร้อยคน จากนั้นเขาก็พากองกำลังหนึ่งร้อยนายกลับเมืองหลวงไปแล้ว”
จางไคไท่ส่ายหน้า “เขาต้องการที่จะเผชิญหน้ากับฝ่าบาท และเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนาง”
จางไคไท่เล่าเจื้อยแจ้ว หลังจากออกรบเว่ยเยวียนได้แอบแบ่งกองกำลัง ส่วนหนึ่งเดินเท้า ตีเมืองและค่ายทหาร เพื่อพิชิตเหยียนกั๋วให้เร็วที่สุด
แต่ถูกสกัดด้วยกำแพงเมืองที่ตีแตกได้ยากของเมืองเหยียน
แม้ว่าจะพิชิตเมืองเหยียนไม่ได้ แต่ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของเว่ยกง สามารถถ่วงเวลากองกำลังของเหยียนกั๋วและคังกั๋วไว้ได้
เล่าจนถึงเว่ยเยวียนเรียกภาพลวงของนักปราชญ์ขงจื๊อมา ต่อสู้กับพ่อมด จนกระทั่งเสียชีวิต
คือเขา คือเขา เจินเต๋อ…ใบหน้าของสวี่ชีอันบิดเบี้ยว
หลังจากฟังการบอกเล่าอย่างละเอียดของจางไคไท่แล้ว เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่ายอดฝีมือลึกลับที่ร่วมมือกับสำนักพ่อมดสังหารเว่ยเยวียน ก็คือจักรพรรดิพระองค์ก่อนเจินเต๋อ
……………………………………………………