ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 468 ล้อมโจมตี (1)
บทที่ 468 ล้อมโจมตี (1)
เมื่อความอาฆาตแค้นค่อยๆ บรรเทาลง สวี่ชีอันก็พิจารณาการต่อสู้ในสงครามอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ และรู้สึกราวกับหัวใจถูกแช่แข็ง
ด้วยความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะของเขา หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดของจางไคไท่ การต่อสู้ในสนามรบก็ฉายซ้ำในสมองของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หัวใจหลักของสงครามครั้งนี้คือเทพอู
เพราะมีเทพอูเป็นจุดประสงค์หลัก เกมและสงครามครั้งนี้จึงก่อตัวขึ้น
การช่วยเหลือเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนเป็นเพียงแค่เหตุผลเพียงผิวเผินเท่านั้น สิ่งที่เว่ยเยวียนต้องการทำจริงๆ คือจัดการกับเทพอู (ไม่ทราบเหตุผล) ในขณะที่จักรพรรดิองค์ก่อนและสำนักพ่อมดต้องการปกป้องเทพอู
เค้าโครงตามที่สำนักพ่อมดปฏิบัติคือ จักรพรรดิองค์ก่อนคอยถ่วงความก้าวหน้าอยู่เบื้องหลัง หลังจากรอจนกองทัพทหารเข้าสู่เขตของข้าศึก พวกเขาก็ตัดเส้นทางส่งเสบียงอาหารและทหารกำลังเสริม ทำให้กองทัพของเว่ยเยวียนลดน้อยลง ผลักดันทหารของต้าฟ่งไปสู่ก้นบึ้งแห่งหายนะชั่วนิรันดร์
หลังจากนั้น ปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณขั้นสามทั้งสองท่าน คนหนึ่งคือพ่อมดขั้นหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่ คนหนึ่งคือผู้หนีเคราะห์กรรมขั้นสอง จะทำการปิดฉากสุดท้าย ขอเพียงแค่กองกำลังทหารของเว่ยเยวียนอ่อนแอลงระดับหนึ่ง พวกเขาก็จะลงมืออย่างแน่นอน
และวิธีรับมือของเว่ยเยวียนคือ การสังหารหมู่ไปตลอดทั้งทาง หรือที่เรียกว่า สนับสนุนสงครามด้วยสงคราม เขาดั้นด้นลึกเข้าไปในเมืองเหยียนกั๋ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเส้นทางการส่งเสบียงอาหาร กำลังเสริม และอาวุธ ก่อนจะเข้าใกล้เมืองหลวงเหยียนในที่สุด
จากนั้น เขาก็ใช้กลยุทธ์สร้างความสับสนให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โดยการลุยน้ำบุกโจมตีศัตรูจากด้านหลัง
เมื่อมองจากตรงนี้ เว่ยเยวียนคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าราชสำนักจะถ่วงแข้งถ่วงขาเขาอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจึงเตรียมตัวรับมือไว้ตั้งแต่แรก โดยการไม่เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ ไม่ร้องขอกำลังเสริม และปล้นสะดมในพื้นที่เพื่อนำมาสนับสนุนสงครามแทน จนกระทั่งไปถึงกองบัญชาการสูงสุดของสำนักพ่อมด
ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เว่ยเยวียนเผชิญหน้ากับยอดฝีมือข้ามขั้นถึงสี่คน หากเขาเป็นเพียงทหารขั้นสอง คงไม่มีทางเอาชนะทั้งสี่คนได้อย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับการเอาชนะเทพอู
เว่ยเยวียนยังคำนึงถึงจุดนี้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เขาสามารถพึ่งพาได้ และสามารถสนับสนุนเขาได้คือ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
ทุกคนต่างก็คิดว่าสงครามครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน เป็นการรักษาสมดุล ใครจะไปคิดว่ามีจุดประสงค์อันลึกซึ้งอยู่เบื้องหลัง…สำนักพ่อมดซ้อนกล โดยการใช้กลยุทธ์ดาบนั้นคืนสนอง เว่ยกงก็ซ้อนกลเช่นกัน เขาอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ กวาดล้างแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดจนหมดสิ้น เกมและการคิดคำนวณในเรื่องนี้ ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้จริงๆ… สวี่ชีอันกล่าวพึมพำกับตัวเองในใจ
เขายังมีข้อสงสัยอีกสองสามข้อที่ยังไม่กระจ่าง อย่างเช่น ในเมื่อเว่ยกงเป็นทหารผสานเต๋า เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวระดับไร้มนุษยธรรม เหตุใดเขาถึงปกปิดพรสวรรค์ของตนเองมานานหลายปีเช่นนี้ และยังประกาศกับโลกภายนอกว่าตนเองไม่มีการฝึกฝนใดๆ เป็นเพียงแค่คนธรรมคนหนึ่ง?
และอย่างเช่น เหตุใดจักรพรรดิองค์ก่อนต้องร่วมมือกับสำนักพ่อมดเพื่อฆ่าเว่ยเยวียน ถึงแม้จะบอกว่าเขาเป็นข้าราชบริพารขั้นสองที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนขนหัวลุกได้จริงๆ แต่การเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร?
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยเยวียนและฮองเฮา ตราบใดที่จักรพรรดิองค์ก่อนกุมความลับนี้อยู่ในมือ เขาย่อมมีข้อต่อรองไม่ใช่รึ นอกจากนี้ ข้างบนยังมีท่านโหราจารย์มองลงมาอยู่ หากต้องการบำรุงรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์โดยรวมก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ในทางตรงกันข้าม การริเริ่มส่งเหล่าทหารและนายพลของประเทศไปยังปากของศัตรู ผลที่ตามมาภายหลังจะรุนแรงและยิ่งใหญ่กว่ามาก
สวี่ชีอันนึกถึงประโยคที่ได้ยินบ่อยจนคุ้นเคย ‘เหตุใดฝ่าบาทถึงก่อกบฏ?’
นี่คือข้อแคลงใจของเขาในเวลานี้
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เว่ยเยวียนมีสติน้อมรับในการสละชีพอย่างไม่ลังเล เพื่อโจมตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด เป็นเพราะเหตุใดกันแน่?
สุดท้ายข้าก็ไม่มีความสามารถในการเก็บร่างอันไร้วิญญาณให้เขา…สวี่ชีอันรู้สึกเจ็บปวดมาก
ในขณะที่ความคิดกำลังผันผวนวุ่นวาย เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พลางกล่าวว่า “เว่ยกง ปกปิดความสามารถของตนเองใช่หรือไม่?”
จางไคไท่ตอบรับว่า “อืม” พลางมองไปที่ทางเข้ากระโจมทหารด้วยสายตาเลื่อนลอย และกล่าวช้าๆ ว่า “หลังจากสงครามด่านซานไห่ เว่ยกงเคยสนทนาลับกับฝ่าบาทครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ละทิ้งการฝึกฝนของตนเอง ตอนนั้นพวกเราไม่มีทางเข้าใจ ตอนนี้ก็ไม่มีทางเข้าใจ คิดไม่ถึงว่าเว่ยกงจะแอบฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ใหม่นานแล้ว แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพในสงครามแล้ว แต่ข้าก็ยังคงศรัทธาเขามาก หม้อดินตักน้ำแตกง่ายฉันใด ทหารที่เข้าสู่สนามรบย่อมสิ้นชีพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากตายในสนามรบในฐานะผู้แข็งแกร่งที่มีพรสวรรค์อันหาที่เปรียบมิได้ ข้าจะไม่รู้สึกเสียใจกับเว่ยกงเลย”
สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “นอกจากหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จง เจ้าคือฆ้องทองคำเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด ต่อจากนี้เจ้ามีแผนอะไร?”
“ข้าเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทั้งชีวิตก็ย่อมเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” จางไคไท่หันไปมองเขาที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าล่ะ?”
คำตอบของเขาคือความเงียบ
เวลานี้เอง รองแม่ทัพท่านหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวตะโกนว่า “ท่านผู้บัญชาการ หน่วยสอดแนมรายงานว่า เหยียนกั๋วและคังกั๋วรวบรวมทหารม้าแปดหมื่นนาย มุ่งหน้ามาที่ด่านอวี้หยางแล้ว อีกในไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเขาจะเข้าใกล้เมืองแล้วขอรับ”
สีหน้าของจางไคไท่เปลี่ยนไปทันที “ผู้นำทัพคือใคร?”
รองแม่ทัพกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้ปกครองเหยียนกั๋ว หนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย”
จางไคไท่ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ และจมดิ่งสู่ความเงียบ ก่อนจะสั่งกำชับว่า “เรียกประชุมนายทหารระดับผู้บัญชาการขึ้นไปมาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ทหารทั้งหมดขึ้นไปบนกำแพงเมือง และให้ทหารกองหนุนไปขนอาวุธและอุปกรณ์ป้องกันที่ยุ้งเก็บเสบียง…”
เขาออกคำสั่งทีละขั้นตอนอย่างเชี่ยวชาญและไม่รีบไม่ร้อน แต่ท่าทางที่เคร่งขรึมแสดงให้เห็นว่าฆ้องทองคำท่านนี้รู้สึกหนักใจอย่างมาก
ไม่กี่นาทีต่อมา ผู้บัญชาการทหารที่สวมชุดเกราะและมีดาบเหน็บอยู่ที่เอวจำนวนมากกว่าสิบนายก็เดินเข้ามาในเต็นท์ทหาร ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาคารวะสวี่ชีอันและจางไคไท่ และเข้าประจำที่นั่ง
พวกเขาน่าจะรู้ข่าวที่กองกำลังเหยียนกั๋วและคังกั๋วกำลังเข้ามาใกล้เมืองแล้ว สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการทหารแต่ละคนเต็มไปด้วยความหนักใจ จึงไม่ได้ทักทายสวี่ชีอันด้วยความรื่นรมย์นัก
จางไคไท่กวาดสายตามองทุกคน และกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังอย่างมาก “เหยียนกั๋วและคังกั๋วตอบโต้แล้ว ดังนั้น ดูเหมือนว่าสำนักพ่อมดจะยังไม่ปล่อยมือจากต้าฟ่งของพวกเรา”
พวกเขาที่นี่ล้วนเป็นนายทหารชั้นสูงที่มากไปด้วยประสบการณ์และไหวพริบในสงคราม หลังจากถอนตัวออกมาจากด่านอวี้หยาง ก็ได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมแล้ว
สำนักพ่อมดประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในสงครามครั้งนี้ เมืองทั้งเจ็ดเมืองถูกทำลายติดต่อกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นต้องจัดการแก้ปัญหา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องคือ ด้านหนึ่ง จัดวางกองทัพทหารไปซ่อมแซมคูเมืองที่แตกร้าวเหล่านั้น ส่วนอีกด้านหนึ่ง ส่งหน่วยสอดแนมไปจับตามองที่ชายแดน
เป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มสงครามครั้งใหม่ในระยะเวลาอันสั้น ตรงกันข้าม นี่หมายความว่าสำนักพ่อมดจะไม่ยอมรามือกับต้าฟ่งจนกว่าจะสูญสิ้น
“กำลังทหารของพวกเรามีไม่พอ…”
“เสบียงอาหารก็ไม่เพียงพอ เฉินอิงฆ่าขุนนางสุนัขของกรมการคลังเหล่านั้น ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีการส่งเสบียงออกไปเลย ขุนนางสุนัขของกรมการคลังเหล่านั้นจงใจปกปิดพวกเรา”
“สมคบคิดกับศัตรูทรยศประเทศ ก็สมควรถูกตัดหัวทั้งตระกูล ประหารเก้าชั่วโคตร เหล่าพี่น้องพยายามอย่างสุดชีวิตอยู่เบื้องหน้า ขุนนางสุนัขเหล่านี้กลับแทงข้างหลังเรา ไอ้สารเลว”
จางไคไท่เคาะโต๊ะ และดึงทุกคนกลับเข้าหัวข้อโดยการกล่าวว่า “สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือปกป้องด่านอวี้หยาง หลังจากนั้นก็ส่งรายงานไปยังราชสำนัก ให้ราชสำนักส่งกองกำลังเสริมมาให้เร็วที่สุด แต่ปัญหาคือเสบียงอาหาร เสบียงในยุ้งข้าวไม่สามารถรองรับการมาถึงของกำลังเสริมได้”
ผู้บัญชาการทหารท่านหนึ่งกล่าวไตร่ตรองว่า “อวี้โจวเป็นดินแดนแห่งธัญพืชมาแต่โบราณกาล ประชาชนในพื้นที่นี้ย่อมไม่ขาดแคลนอาหาร เราสามารถเรียกเก็บธัญพืชจากพวกเขาได้ ตอนนี้พวกเราไม่สามารถเชื่อใจขุนนางสุนัขเหล่านั้นได้ พวกเราส่งคนไปเรียกเก็บธัญพืชกันเองเถอะ”
จางไคไท่ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ค่อนข้างผิดหลักเกณฑ์ ประชาชนอาจจะไม่เต็มใจ ถึงวาระนั้น อย่าเสียชื่อด้วยการเที่ยวรีดภาษีซ้ำซ้อน เดี๋ยวพวกขุนนางบุ๋นจะริเริ่มเอาผิดพวกเราได้”
“พวกเขาต้องเต็มใจแน่นอน”
ผู้บัญชาการทหารในท้องที่ท่านนี้กล่าวเน้นย้ำทีละคำ “หนี้บุญคุณเมื่อสี่สิบปีก่อน ราชสำนักอาจลืมไปแล้ว แต่ประชาชนทั้งสามรัฐของพวกเราไม่เคยลืม”
เรื่องของเสบียงอาหารก็ผ่านไป เหล่าผู้บัญชาการทหารหันมาถกกันเรื่องประเด็นกำลังทหารต่อ
แต่ละคนขมวดคิ้วแน่นด้วยความหนักใจ
“ด้วยระดับความเร็วในการจัดกองกำลังของราชสำนัก พวกเราหนึ่งหมื่นหกพันคนจะป้องกันได้หรือไม่?”
สำนักพ่อมดไม่ได้ดีไปว่าเผ่าอนารยชน เผ่าอนารยชนพึ่งพากองซากศพมาล้อมโจมตีเมืองทั้งหมด แต่สำนักพ่อมดมีอาวุธล้อมโจมตี อุปกรณ์ส่วนน้อยสร้างขึ้นด้วยตนเอง และบางส่วนแอบลักลอบมาจากต้าฟ่ง
สำนักพ่อมดจดจำบทเรียนอันแสนเจ็บปวดในสงครามด่านซานไห่ได้ดี เมื่อสรุปสาเหตุของความพ่ายแพ้ในสงครามได้แล้ว ก็เชื่อว่าที่ต้าฟ่งสามารถพิชิตจิ่วโจวได้ เพราะมีที่พึ่งที่สำคัญที่สุดอย่างอาวุธทำลายล้างสูง
ดังนั้นพวกเขาจึงแอบสมคบคิดกับขุนนางของต้าฟ่งเพื่อจัดสรรอาวุธยุทโธปกรณ์ หลังจากนั้นก็ถอดแยกชิ้นส่วนอาวุธ พยายามศึกษาและลอกเลียนแบบ…
หลายปีที่ผ่านมา พวกเขายังศึกษาการสร้างอาวุธล้อมโจมตีจำนวนมาก รวมทั้งดินปืน
อย่างไรก็ตาม สำนักพ่อมดไม่มีโหร อาวุธล้อมโจมตีที่พวกเขาสร้างขึ้นเหล่านั้น ทั้งปืนใหญ่และหน้าไม้ ล้วนเป็นของธรรมดาทั่วไป แต่อาวุธเวทมนตร์ของต้าฟ่งมีพลังการทำลายล้างสูงจนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับอาวุธของพวกเขาได้
“ป้องกันไม่ได้ก็ไม่ต้องป้องกัน สำนักพ่อมดเป็นแค่เสือกระดาษ คลื่นลูกนี้จะขับไล่พวกเขากลับไป พวกเราจะชนะ ขับไล่พวกเขากลับไปไม่ได้ ก็ต้องตีพวกเขาให้พ่าย กระทั่งได้รับความเสียหายร้ายแรงจนไม่สามารถกู้คืนได้อีก เช่นเดียวกับยุทธการด่านซานไห่ ที่ทำให้พวกเขาฟุบลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ถึงยี่สิบปี”
“อย่างมากก็แค่ตาย”
ขณะที่พูด รองแม่ทัพของจางไคไท่ก็มองตรงไปที่ผู้บังคับบัญชา และกล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังว่า “ไอ้สุนัขสารเลวเฉินอิงออกจากค่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตอนนี้ยอดฝีมือขั้นสี่ของพวกเรามีน้อยจนนับนิ้วได้ คงเป็นการยากที่จะสกัดกั้นพวกเขา ข้าจำได้ว่าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ สุดยอดขั้นสี่ของระบบวิทยายุทธ์และพ่อมด”
ประโยคนี้ทำให้ผู้บัญชาการทหารที่นั่งประจำที่ถึงกับขมวดคิ้วแน่น ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
‘ก๊อก ก๊อก…’
สวี่ชีอันเคาะโต๊ะเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน ก่อนจะถามว่า “บำเพ็ญคู่วิทยายุทธ์และพ่อมดงั้นรึ? หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเป็นบุคคลแบบใด”
พูดตามตรง ตอนนี้นับว่าเขามีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่น้อยมากที่จะได้พบกับบุคคลสองระบบเช่นนี้
ค่อนข้างแปลกประหลาด
การบำเพ็ญตบะเป็นเรื่องยากมาก เพียงแค่ระบบเดียวก็ต้องพบกับความยากลำบากทุกประเภท แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วจะยังมีพลังเหลือไปฝึกฝนระบบอื่นได้อย่างไร?
จางไคไท่ตอบคำถามของเขา “สำนักพ่อมดขึ้นอยู่กับการสืบทอดบัลลังก์ของประเทศ ไม่เหมือนที่ราบตอนกลางของพวกเรา ในระบบของเหยียนกั๋ว จิ้งกั๋วและคังกั๋ว ข้าราชบริพารเป็นผู้ดูแลงานราชการ กษัตริย์เป็นผู้กุมอำนาจทางการทหาร ดังนั้น กษัตริย์แต่ละยุคในอดีต ล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่กล้าหาญในสนามรบ แต่เหนือบุคคลทั้งสองฝ่ายนี้ มียอดฝีมือขั้นสามของสำนักพ่อมดทำหน้าที่เป็นราชครู ราชครูไม่เคยก้าวก่ายงานทางทหาร แต่กลับเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ ราชครูมีสิทธิ์ในการตัดสินใจและสิทธิ์ในการปฏิเสธทุกเรื่อง เว้นแต่การโค่นล้มกษัตริย์ แท้จริงแล้ว กษัตริย์เป็นเหมือนผู้บัญชาการสูงสุดที่ควบคุมกองกำลังทหารของประเทศ”
มิน่าล่ะ เซี่ยโฮ่วยวี่ซูกษัตริย์ของจิ้งกั๋วถึงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีพรสวรรค์ในการรบรองจากเว่ยกง ตอนนั้นข้ายังงุนงงอยู่ว่า คนสองคนนี้ครองตำแหน่งจักรพรรดิเป็นอาชีพเสริมใช่หรือไม่? แล้วก็เป็นอาชีพเสริมจริงๆ…
สวี่ชีอันพยักหน้าโดยทันที และพอจะเข้าใจชนชั้นของระบบการปกครองที่ยึดถือเทพเจ้าเป็นหลัก
จางไคไท่กล่าวต่อไปว่า “หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเป็นกษัตริย์ของเหยียนกั๋วยุคนี้ ความสามารถในการวางแผนโดยรวมของเขาอาจไม่ดีเท่าเซี่ยโฮ่วยวี่ซู แต่ในแง่ของพลังต่อสู้ส่วนบุคคล เซี่ยโฮ่วยวี่ซูสองคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่ได้เป็นเพียงสุดยอดขั้นสี่ แต่ยังเป็นสุดยอดขั้นสี่ของทั้งสองระบบ ก่อนเดินขบวนรบ พวกเราถึงขนาดใช้ยอดฝีมือขั้นสี่สองหรือสามคนไปสับเปลี่ยนแผนการเตรียมตัวของเขา ใครจะไปคิดว่า…”
ใครจะไปคิดว่าพวกเราไม่สามารถแม้แต่จะล้อมตีเมืองหลวงเหยียนได้
สวี่ชีอันกวาดสายตามองผู้บัญชาการทหารที่นั่งประจำที่อย่างสงบ เห็นพวกเขามีท่าทางเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ราวกับเป็นเพราะคำอธิบายของจางไคไท่ ที่สร้างความท้อแท้และหดหู่ สวี่ชีอันจึงพยักหน้าทันที และไม่ได้ถามอะไรอีก
การได้ยินสหายร่วมสนามรบเล่าถึงความแข็งแกร่งของศัตรู เป็นเรื่องที่ทำลายขวัญกำลังใจของทหารอย่างร้ายแรง
สวี่ชีอันไม่มีประสบการณ์ทางด้านสงคราม เป็นการดีกว่าที่จะไม่เข้าร่วมวงสนทนาอีก เขาจึงปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง พลางครุ่นคิดอยู่ในใจ
ความเงียบของเขากลับทำให้ผู้บัญชาการทหารหลายๆ คนที่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่คือผู้เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามรู้สึกผิดหวังมาก
สุดยอดขั้นสี่ของทั้งสองระบบ ยากที่จะรับมือเล็กน้อย…
สวี่ชีอันชั่งน้ำหนักในใจครั้งแล้วครั้งเล่า และค้นพบว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
ประการแรก การซ้อนทับกันของวิธีการในระบบที่แตกต่างกัน สามารถทำให้ผลลัพธ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดได้ เช่นเดียวกับสวี่ชีอันในตอนนั้น ที่อาศัยอำนาจจากตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อ กลายเป็น ‘ผู้มีพรสวรรค์รอบด้าน‘ ชั่วคราว เข้าพิชิตหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นด้วยพลังของเขาเพียงคนเดียว
ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเขาอยู่ในขั้นที่ต่ำกว่าสองคนนั้น
ต่อมา ขั้นสี่ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน หลี่เมี่ยวเจินเป็นผู้โดดเด่นที่ได้เลื่อนขึ้นขั้นสี่ในเวลาครึ่งปี หากเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดขั้นสี่ โดยพื้นฐานย่อมถูกกดขี่และเอาชนะอย่างแน่นอน
สุดยอดขั้นสี่ของระบบคู่เป็นแนวคิดอะไร?
มียอดฝีมือขั้นสามไม่กี่คนที่สามารถโจมตีเขาได้
ดาบเดียวตัดฟ้าดินกับดาบไท่ผิงของข้า สามารถสร้างภัยคุกคามกับยอดฝีมือขั้นสี่ได้ แต่จัดการได้เพียงยอดฝีมือขั้นสี่ที่อ่อนแออย่างหลี่เมี่ยวเจิน ยิ่งไปกว่านั้น อาจไม่สามารถโค่นคู่ต่อสู้ได้ ผลการข่มขู่ของสิงโตคำรามสำนักพุทธ มันก็ใช้ไม่ได้ผลกับพ่อมดที่ชำนาญในการกำหนดขอบเขตจิตเดิม ข้าตัดดาบเล่มนั้นไม่ได้ ข้ามันห่วยเกินไป…
ไต้ซือเสินซูก็ไม่ยอมตื่น เจ้าไม่สามารถปลุกคนที่วางสายไปแล้วให้ตื่นขึ้นได้ แม้ว่าจะตะโกนว่า แม่มึงตายก็ตาม…
หนังสือเวทมนตร์ลัทธิขงจื๊อเป็นการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมาก แต่ข้าไม่มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ปกป้องร่างกายของตนเอง หากใช้งานรุนแรงเกินไป ตนเองก็จะตายก่อน หากไม่ใช้งานอย่างรุนแรง ก็ไม่สามารถฆ่าสุดยอดขั้นสี่ของระบบคู่ได้อย่างแน่นอน…
เมื่อพิจารณาวิธีการของตนเองอย่างละเอียดอีกครั้ง สวี่ชีอันก็รู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ใช้สูตรโกง การใช้ร่างกายขั้นห้าฆ่าสุดยอดขั้นสี่ของระบบคู่ ดูช่างไร้เหตุผลเสียจริง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าเขาจะผนึกกำลังกับหลี่เมี่ยวเจินและจางไคไท่ รวมพลังของทั้งสามคน โจมตีหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเพียงคนเดียวย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ในกองทัพเหยียนกั๋วและคังกั๋วก็ยังมียอดฝีมืออีกหลายคน และยังมีทหารม้าอีกแปดหมื่นนาย
………………………………………………………..