ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 469 อดีตของเว่ยเยวียน (2)
บทที่ 469 อดีตของเว่ยเยวียน (2)
อาทิตย์อัสดงราวกับเลือด
ทหารรักษาเมืองต้าฟ่งอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์ตกที่แดงฉานราวกับสีเลือด จัดการแขนที่หัก จัดการซากศพของสหายและศัตรูอย่างเงียบๆ
ทหารบ้านแบกยุทโธปกรณ์ขึ้นไปบนกำแพงเมือง เติมลูกธนูหน้าไม้และปืนใหญ่ ซ่อมแซมกำแพงเมืองที่พังทลาย
การล้อมโจมตีรอบแรกก็สู้รบได้อนาถเช่นนี้แล้ว
เลือดเปรอะเปื้อนทั่วกำแพงเมือง
ทว่าในสายตาของทหารยังคงปรากฏแสงสว่าง เพราะพวกเขามีความศรัทธา และมีสิ่งที่เป็นแกนสำคัญ
ยันต์กระบี่ของลั่วอวี้เหิงใช้หมดแล้ว ไพ่ใบสำคัญของข้าก็มีไม่พอแล้ว…สวี่ชีอันมองฉากนี้ด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้งเล็กน้อย
เขาถาม “สูญเสียพี่น้องไปเท่าใด?”
จางไคไท่ที่อยู่ด้านข้างยิ้ม เผยรอยยิ้มที่ดูยากลำบากออกมา
“หนึ่งพันสามร้อยคน บัดซบเอ๊ย เพิ่งล้อมโจมตีรอบแรก พี่น้องของข้าก็เสียชีวิตไปมากมายเช่นนี้แล้ว แต่สิ่งที่สูญเสียมากที่สุดก็คือปืนใหญ่และหน้าไม้ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องให้โหรมาซ่อมแซม อย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้ในชั่วข้ามคืน”
เขาถอนหายใจกล่าว “วันพรุ่งนี้เกรงว่าจะยิ่งตายมากกว่านี้ โชคดีที่มีเจ้าอยู่ มิฉะนั้นในการต่อสู้ครั้งนี้ จะยิ่งตายมากขึ้นไปอีก”
หลังจากจางไคไท่พูดจบ เขาก็เห็นมือที่ชักกระตุกของสวี่ชีอัน รอยยิ้มก็ค่อยๆ หายไป “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? “
สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าอย่างช้าๆ “อาการบาดเจ็บของข้าไม่เป็นอะไรมาก พักผ่อนหนึ่งคืนก็หายแล้ว เพียงแต่…”
เขาหยุดไปสักพัก แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
จางไคไท่ขมวดคิ้ว “ในสนามรบ การปกปิดข้อมูลเป็นสิ่งต้องห้ามที่สุด”
สวี่ชีอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ไพ่ใบสุดท้ายของข้าหมดแล้ว”
ทันใดนั้นก็เกิดความเงียบขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน จางไคไท่ก็ถอนหายใจ “เจ้าไปเสียเถอะ”
นักดาบท่านนี้ในยามปกติจะเป็นคนสำรวมกิริยา ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนกล่าว “ข้าเกือบลืมไปว่าเจ้ายังเป็นเพียงขั้นห้า เหล่าพี่น้องต่างคิดว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยม และแข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดฝีมือของพวกเราเหล่านั้นเสียอีก
“ข้าจะไม่บอกความลับนี้กับคนอื่น เอ่อ ข้าก็บอกให้เจ้าไปเรียกกำลังเสริมแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่มีไพ่ใบสุดท้าย เช่นนั้นก็ไม่เหมาะที่จะอยู่อีกต่อไป พรุ่งนี้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียต้องจ้องแต่จะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน ไม่สนว่าจะเป็นการล้างแค้น หรือว่าเพิ่มขวัญและกำลังใจ”
เขาเดินไปที่กำแพงเมือง วางมือข้างหนึ่งลงบนเชิงเทิน ชี้ไปทางทหารศัตรูที่อยู่ไกลออกไป กล่าวยิ้มๆ
“เจ้าดูสิ ตอนนี้ขวัญกำลังใจสงบนิ่งลงแล้ว มีหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียอยู่ กำลังใจของคังกั๋วคงไม่ยุ่งเหยิง ไม่แน่การล้อมโจมตีในวันพรุ่งนี้อาจนำพาความแค้นมาด้วย ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น”
“ข้าจากไปแล้ว การรวบรวมกำลังใจก็คงยากลำบาก หนำซ้ำจะยิ่งแตกสลายลงไปอีก” สวี่ชีอันส่ายหน้า
“แน่นอนว่าเจ้าต้องไปขอกำลังเสริม และแจ้งราชสำนัก ท่านผู้นำหลี่สามารถใช้กระบี่บิน การเดินทางคงรวดเร็วยิ่ง ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง
“ข้าจะไม่จากไปไหน เว่ยกงอยู่ที่นี่ เหล่าพี่น้องของข้าก็อยู่ที่นี่ ข้าก็ควรอยู่ที่นี่ด้วย หากพวกเราจากไปแล้ว ประชาชนที่อยู่ด้านหลังจะทำอย่างไรเล่า? สี่สิบปีก่อน นิกายพ่อมดเคยสังหารเซียง จิง อวี้ทั้งสามก๊ก จะซ้ำรอยเดิมไม่ได้”
ตอนชายคนนี้พูด จะมีจิตใจเยือกเย็นและสงบนิ่ง
ปากเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้ตักน้ำมักแตกหักง่าย นายพลที่ไปสู้รบยากต่อการหลีกหนีความตาย
ทั้งหมดต่างเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด
จะไม่มีใครส่งกำลังเสริมมาที่นี่ทั้งนั้น อย่างน้อย พวกเจ้าก็คงอยู่ไม่ทันมองเห็น…สวี่ชีอันอ้าปาก ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวที่จะบอกความจริงกับเขา
เวลานี้ เขาเห็นนายทหารชั้นสูงนายหนึ่งถือดาบด้วยมือเดียว เดินอยู่ที่กำแพงเมืองอย่างช้าๆ เดินไปด้วยตะโกนไปด้วย
“นอกด่านอวี้หยางก็คือประชาชนของเซียงโจว พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำ นี่คือการตอบโต้ครั้งสุดท้ายของสำนักพ่อมด เพียงแค่ยืนหยัดและผ่านการล้อมโจมตีนี้ไปได้เท่านั้น ก็จะได้รับชัยชนะตามที่วางไว้แล้ว พวกเรายังมีกำลังเสริมของราชสำนัก จะต้องยืนหยัดจนกว่ากำลังเสริมจะมา”
นายทหารชั้นสูงนายนั้นเห็นสวี่ชีอันในทันที พลางกล่าวอย่างฮึกเหิม “มีฆ้องเงินสวี่อยู่ สำนักพ่อมดก็อย่าคิดแม้แต่จะล้อมโจมตี หากพรุ่งนี้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกลับมาอีกครั้ง จะต้องทำให้เขาเข้ามาแล้วกลับไปไม่ได้อีก”
เหล่าทหารที่อยู่รอบๆ สายตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที
วันนี้สวี่ชีอันต่อสู้อย่างหนักกับหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย สังหารซูกู่ตูหงสยง และขับไล่ทหารศัตรู นี่คือสิ่งที่ทุกคนได้เห็นเป็นประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วแล้ว
สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ ดาบนั้นช่างงดงามยิ่งนัก
มีฆ้องเงินสวี่อยู่ เรื่องสำนักพ่อมดก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
เขามักจะทำให้คนอื่นสบายใจ และสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างสวยงามอยู่เสมอ
เขาไม่เคยทำให้ประชาชนต้าฟ่งต้องผิดหวัง
ภายใต้สายตาแห่งความคาดหวัง สวี่ชีอันเดินอย่างเงียบๆ จนถึงมุมอับที่ไร้ผู้คน มองเห็นข้าศึกที่ตั้งฐานทัพจากที่ไกลๆ อย่างเหม่อลอย
สายตาที่เคารพของเหล่าทหารเหล่านั้นเมื่อครู่ ทำให้เขาเกิดความละอายใจเล็กน้อย
“เจ้าไม่ไปหรือ? หากไม่ไป อาจต้องตายได้”
ด้านหลัง หลี่เมี่ยวเจินปรากฏตัวในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าที่สง่างาม
สวี่ชีอันเงียบเป็นเวลานาน พลางยิ้มตอบกลับ “ข้าดูเหมือนคนที่สามารถจากไปได้หรือ?”
“เจ้าลังเลแล้ว!”
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ปฏิเสธจางไคไท่ไม่ใช่หรือ”
หนังสือเล่มหนึ่งหล่นอยู่ด้านหน้าของนาง
หลี่เมี่ยวเจินก้มลงไปดู เห็นเป็นตำราเล่มบาง เกือบจะเหลือแต่ปกของตำราอยู่แล้ว
“ไม่มีแล้ว เหลือแค่หน้าสุดท้ายแล้ว” สวี่ชีอันมองออกไปไกล กล่าวเสียงเบา
“ข้าไม่อยากจากไป แต่ข้าไม่มีไพ่ใบสุดท้ายแล้ว มนุษย์ต้องยอมรับข้อเสียของตนเอง ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของข้าคือยังแข็งแกร่งไม่พอ”
จ้าวโส่วมอบตำราวรยุทธ์ให้เขา จนใกล้จะหมดอยู่ลงรอมร่อแล้ว
เหลืออีกหนึ่งแผ่นเป็นวิชาลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ
สิ่งของที่ไม่ว่าจะใช้ดีแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่หมดลง หลังจากเร่งมุ่งหน้าไปฉู่โจว ถึงแม้เขาจะประหยัดสักแค่ไหน แต่ใช้มานานขนาดนี้ ก็นับว่าใช้ไปมากพอประมาณ
“ตอนเจ้าฆ่าตัดศีรษะกั๋วกงทั้งสองที่ไช่ซื่อโข่ว เหตุใดไม่เห็นเจ้ารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งไม่พอเลยเล่า?”
หลี่เมี่ยวเจินเห็นอย่างชัดเจน ว่าแขนของชายที่อยู่ด้านหน้าคนนี้สั่นเล็กน้อย
นางมองเขา ในสายตามีความสงสารและโศกเศร้าแฝงอยู่
“หลังจากเว่ยเยวียนเสียชีวิต กระดูกสันหลังของเจ้าก็ดูเหมือนจะหัก แม้เจ้าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้าสัมผัสได้ ว่าเจ้าโกหก ไม่มีที่พึ่งนี้ เจ้าจะทำอะไรก็ไม่มีความมั่นใจแล้ว”
ลมในยามค่ำคืนที่โหยหวน นำพาความหนาวเย็นจนไปถึงกระดูก
สวี่ชีอันกล่าวเสียงเบา “เจ้ากล่าวถูกแล้ว เมื่อก่อนข้าสามารถมีจิตใจที่ฮึกเหิมได้ เพราะข้ามีที่พึ่งมากมาย เว่ยกงมักจะช่วยข้าลดแรงกดดันจากราชสำนัก ช่วยข้าสกัดกั้นการสมรู้ร่วมคิดในวงการราชการ ให้ทรัพยากรที่ดีที่สุดแก่ข้าเสมอ
“ข้ามีเรื่องสงสัยอะไร มีเรื่องลำบากอะไร มีเรื่องอะไรที่สับสนและแก้ไม่ได้ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือไปหาเขา รวมทั้งตอนที่เต๋ามารจื่อเหลียนจับตัวข้าไว้…
“เว่ยกงช่วยจัดการแทนข้าทั้งหมด มีเขาอยู่ ข้าสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ลังเล หลังจากฆ่าตัดศีรษะกั๋วกง จักรพรรดิก็อดทนกับข้าแล้วอดทนเล่า ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะท่านโหราจารย์ ในนั้นยังมีเว่ยกงที่เป็นที่กำบังลมฝนให้กับข้า เขาไม่ใช่ปัญญาชนที่อ่อนแอไร้พลัง ทั้งเมืองต่างทราบดีว่าข้าคือคนสนิทของเขา แม้แต่จักรพรรดิก็ต้องเกรงกลัวเขาเช่นกัน
”แต่เขาบอกจะไปก็ไปทันที ข้า ข้าปวดใจ และมึนงงยิ่งนัก…”
ร่างนั้นที่ยืนตรงเหมือนเดิม แต่ในสายตาของหลี่เมี่ยวเจิน กลับปรากฏความโดดเดี่ยวออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อนับโดยละเอียดแล้ว มองแวบแรกเขาดูเหมือนเหลี่ยมจัด ที่พึ่งเยอะ ความจริงแล้วที่พึ่งอย่างแท้จริงมีแค่เว่ยเยวียนเท่านั้น
ท่านโหราจารย์ไม่ทราบวัตถุประสงค์ เชื่อใจไม่ได้ เสินซูใช้ร่างกายของเขาเพื่อให้ความอบอุ่นและรักษาแขนที่หัก บอกจะหลับใหลก็หลับใหล มีเพียงเว่ยเยวียน ที่ตอบสนองต่อคำขอโดยไม่คำนึงถึงรางวัล และเป็นที่กำบังลมฝนให้เขา
ทัศนียภาพของเขา ความหวังของเขา จิตใจที่ฮึกเหิมของเขา ต่างอยู่ภายใต้ข้อสันนิษฐานที่สร้างขึ้นจากการมีใครสักคนที่สามารถรับแรงกดดันเพื่อเขาได้
หลี่เมี่ยวเจินกัดริมฝีปาก
หยุดสักพัก เขาก็กล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ไม่มีกำลังเสริมเลยทั้งสิ้น คงถูกขัดขวางจากอดีตจักรพรรดิเป็นแน่ จนผัดวันประกันพรุ่ง แม้สุดท้ายกำลังเสริมจะมาถึง คนเหล่านี้ก็มองไม่เห็นแล้ว แต่ข้าไม่กล้าบอก หากข้าบอก กำลังใจก็จะหายไปจนหมดสิ้น
“ข้าสู้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่ได้จริงๆ ทหารธรรมดาเหล่านั้นจะไปรู้อะไร คงคิดอย่างใสซื่อว่าข้าอยู่ยงคงกระพัน…เจ้าไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
จริงๆ แล้วชายคนนั้นสำคัญสำหรับเขามากถึงเพียงนี้เชียว สำคัญจนเมื่อสูญเสียชายคนนั้นแล้ว เขาก็ทรุดตัวลงทันที
เขาคือความศรัทธาและที่พึ่งของเหล่าทหารรักษาเมือง แต่ที่พึ่งของเขาเล่า?
ที่พึ่งของเขาพังทลาย ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นลุกลี้ลุกลน จิตใจหวั่นไหว และไม่เชื่อมั่นในตนเอง
จิตใจที่ฮึมเหิมคงไม่ฟื้นฟูเหมือนเดิมอีกต่อไป
หลี่เมี่ยวเจินจากไป พร้อมด้วยความโศกเศร้าและความผิดหวัง
สวี่ชีอันนั่งที่กำแพงเมือง มองดูค่ำคืนอันไกลโพ้น
มีกองไฟอยู่ไกลๆ กระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง
ท่ามกลางเปลวเพลิง ราวกับมีเพชฌฆาตซ่อนตัวอยู่
เขายืนอยู่เป็นเวลานานในคืนที่เยือกเย็น ก่อนจะคลำเอาจดหมายของเว่ยเยวียนออกมา
เว่ยเยวียนเสียชีวิตไปแล้ว ความโชคดีครั้งสุดท้ายของเขาก็ดับลง ในที่สุดเขาก็สามารถอ่านคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายได้
…
“สวี่ชีอัน หากไม่เกิดข้อผิดพลาด นี่คงเป็นการเขียนครั้งสุดท้ายของข้า ข้ายังจำที่เคยบอกเจ้าได้ ว่าโลกใบนี้โหดร้ายกว่าที่เจ้าคิด
การนำทัพในครั้งนี้ ก็เพื่อปิดผนึกเทพอู นักปราชญ์ขงจื๊อปิดผนึกเทพอูเมื่อตอนนั้น พัวพันไปถึงความลับขั้นสุดยอด ข้าไม่อาจบอกเจ้าในจดหมายได้มากนัก หลังนักปราชญ์ขงจื๊อจากโลกนี้ไป หนึ่งพันกว่าปีมานี้ เทพอูสะสมพลัง จนทลายการปิดผนึกขั้นต้นได้
ที่ราบกลาง เผ่าพันธ์ุมนุษย์ แม้กระทั่งจิ่วโจว ล้วนเป็นหายนะทั้งสิ้น ลัทธิขงจื๊ออ่อนแอจนถึงทุกวันนี้ และไม่สามารถปิดผนึกเทพอูได้ หลังจากตั้งแต่ยุทธการด่านซานไห่ ท่านโหราจารย์ก็ไม่สนทางโลกแล้ว ท้ายที่สุดข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร
อำนาจต้าฟ่งอ่อนแอจนถึงทุกวันนี้ การปิดผนึกเทพอู นอกจากตัวเราแล้วยังจะมีใครอื่น ตลอดชีวิตการเป็นปัญญาชนของข้า ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร…นี่คือสิ่งที่เจ้ากล่าว จ้าวโส่วเคยพาข้าไปพระวิหารย่าเซิ่ง
กล่าวได้อย่างยอดเยี่ยม สมแล้วที่เป็นทายาทที่ข้าเลือก
หลังจากสงครามในครั้งนี้ สำนักพ่อมดอาจโต้กลับอย่างสุดกำลัง ดูเหมือนว่าข้าจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าเซียงจิงอวี้ทั้งสามก๊กคนจะถูกสังหารเป็นอย่างมาก เพื่อเขย่าโชคชะตาของต้าฟ่ง พวกเขากับอดีตจักรพรรดิจึงโจมตีจากภายนอก ตอบโต้จากภายใน ปัดเป่าโชคชะตาสุดท้ายของต้าฟ่งไป
ด้วยความสามารถของเจ้า คิดว่าคงทราบความลับนี้แล้วกระมัง เจ้าเป็นคนที่ข้าให้ความสำคัญ และข้าคาดหวังกับเจ้าไว้สูงเสมอ
ความวุ่นวายที่ราบกลางเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เจ้าคือความหวังสุดท้ายของต้าฟ่ง โชคชะตาของต้าฟ่งอยู่ที่เจ้าครึ่งหนึ่ง หากในใจของเจ้ามีการตัดสินอะไรบางอย่างแล้ว จงไปหาจ้าวโส่วเสียเถอะ ข้ามีของบางอย่างอยู่ที่เขา”
สายตาของสวี่ชีอันดูเหมือนจะเลอะเลือน เขาพลิกหน้าจดหมายฉบับนี้ผ่านไป มองไปยังหน้าที่สอง
…
“เจ้าไม่ได้อยากทราบอดีตของข้าอยู่ตลอดหรือ ชีวิตมนุษย์ ความไม่สมหวังนั้นมีถึงแปดหรือเก้าในสิบ แต่เรื่องที่สามารถบอกคนอื่นได้กลับมีน้อยนัก แต่ข้าจะบอกเจ้าอยู่สองสามอย่าง
ภูมิลำเนาเดิมข้าอยู่อวี้โจว บิดาเป็นนายอำเภอของอวี้โจว เมื่อสิบปีก่อน สำนักพ่อมดตีแตกเซียงจิงอวี้ทั้งสามก๊ก และสังหารหมู่ตลอดทั้งคืนโดยไม่พัก ทั้งครอบครัวของข้าเสียชีวิตในการสังหารหมู่ครั้งนั้น
ท่านแม่ผลักข้าลงไปในบ่อน้ำที่แห้ง จนสามารถหลบหนีมาได้ ข้ากินตะไคร่น้ำและมดในบ่อน้ำ ซ่อนตัวอยู่เจ็ดวันกว่าจะกล้าออกมา สำนักพ่อมดถอยทัพแล้ว หลงเหลือซากกระดูกของศพกับพื้นปฐพีที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ข้าฝังคนในครอบครัวด้วยมือตนเอง
ตอนนั้นข้างตกต่ำดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร แม้กระทั่งเคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เปลวไฟแห่งความแค้นยืนหยัดให้ข้ากัดฟันสู้ต่อไป ข้าเดินเท้าอยู่หลายพันลี้ มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเพื่อพึ่งอาศัยสกุลซ่างกวน
ซ่างกวนเผยเป็นเพื่อนสนิทและเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพ่อข้า ทั้งสองเที่ยวเร่ร่อนแสวงหาความรู้ด้วยกันตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม และเคยเผชิญหน้ากับโจรภูเขา เป็นพ่อข้าช่วยชีวิตเขาเอาไว้จนไม่คำนึงถึงชีวิต
วันแรกที่มาถึงสกุลซ่างกวน ข้าได้พบกับรักรักแท้ในชีวิต มันเป็นฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามวันหนึ่ง ดอกไม้บานเต็มอุทยาน ในบรรยากาศตลบอบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นหอมฟุ้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจ
ใต้ร่มเงาของต้นไม้ มีแม่นางเด็ดบุปผาประดับรอยยิ้มอยู่…ชั่วขณะนั้น ราวกับข้าถูกฟ้าผ่า นี่จะเป็นแม่นางที่ข้าจะปกป้อง และทะนุถนอมไปตลอดชีวิต
นางชื่อซ่างกวนซีเสี่ย นั่นก็คือฮองเฮาในภายหลัง ตอนนั้นข้าไม่ทราบ ว่านางจะเป็นหญิงสาวที่แสวงหาแต่ไม่ได้ดังหวัง
บางทีโชคชะตาของข้า ตั้งแต่วินาทีที่ข้าเจอนาง ก็คงกำหนดไว้แล้ว
ในช่วงหลายปีที่อยู่ในสกุลซ่างกวน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า
ซ่างกวนเผยปฏิบัติต่อข้าราวกับบุตรชาย ไม่ ดียิ่งกว่าเป็นบุตรแท้ๆ เสียอีก ข้าติดตามร่ำเรียนกับเขา ทั้งวันทั้งคืน คาดหวังว่าภายภาคหน้าจะได้รับเลือกชื่อ แต่งภรรยาและเป็นฝั่งเป็นฝากับนาง
รัชศกเจินเต๋อที่สิบสาม จักรพรรดิเจินเต๋อสวรรคต หยวนจิ่งขึ้นครองราชย์ต่อ และจักรพรรดิเลือกนางสนม
ซ่างกวนเผยรอวันนี้มาเนิ่นนาน ตอนนั้นเขาเป็นเพียงผู้ตรวจการเล็กๆ นายหนึ่ง และหวังปีนขึ้นที่สูง ซีเสี่ยที่รูปโฉมงามล่มเมืองเป็นเบี้ยที่สำคัญของเขา เขาวางแผนจะส่งซีเสี่ยเข้าพระราชวัง
ภายใต้ความจนใจ ข้ากับนางพยายามจะหลบหนีออกจากเมืองหลวง ไปในสถานที่ที่คนไม่สามารถหาพวกเราเจอได้ ข้ายินดีที่จะละทิ้งอนาคต นางเต็มใจที่จะละทิ้งความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่ง
แต่ตอนนั้นข้าเป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่งเท่านั้น หนีออกไปได้ไม่นาน ก็ถูกจับกลับไปแล้ว
ข้าไม่มีทางลืมเรื่องในวันนั้นไปตลอดชีวิต ซ่างกวนเผย คนที่พ่อข้าเคยเสี่ยงตายเพื่อช่วยชีวิตคนนี้ เพื่อนสนิทของพ่อข้าคนนี้ ชายที่กล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่าข้าเป็นบุตรคนเดียวของตระกูลเว่ย เขาให้คนตอนข้า
เจ้ารักนางไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าอยู่กับนางตลอดไป วังหลังนั้นอันตราย มีการฆาตกรรมอยู่ทุกฝีก้าว หากเจ้ารักนางจริง ก็ปกป้องนางเสียเถอะ…นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ซ่างกวนเผยพูดกับข้า
ช่างน่าอัปยศยิ่งนัก ทว่าก็เป็นเช่นนี้แล
ข้าไม่ยอมรับชะตากรรมนี้ จดจำบทเรียนที่เจ็บปวดในอดีตและตื่นตัวระวังตนในอนาคต เริ่มร่ำเรียนวิทยายุทธ์อย่างยากลำบาก เพื่อหวังว่าจะเป็นชายที่สมบูรณ์คนหนึ่ง และหวังว่าจะแข็งแกร่งจนสามารถพานางหนีออกจากพระราชวังได้
หยวนจิ่งปีที่หก อดีตของข้ากับนางถูกคนนำไปบอกหยวนจิ่ง ใส่ร้ายว่าข้ากับนางมีความสัมพันธ์กัน หยวนจิ่งโกรธมากจนอยากจะปลดออกจากตำแหน่งและประหารชีวิต โชคยังดีที่ตอนนั้น นายพลตู๋กูที่อยู่ทางเหนือลาจากโลกนี้ไป เผ่าอนารยชนเข้าโจมตี ชายแดนทางเหนือก็เกิดความโกลาหล
ข้าก็ออกคำสั่งทางทหาร ไม่ได้รับชัยชนะ ไม่ต้องกลับมา นั่นคือจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยและมีอำนาจของข้า…
ตั้งแต่นั้นมา ขั้นการฝึกตนของข้าก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ หยวนจิ่งจับมือนางไว้แน่น หลังได้รับชัยชนะจากยุทธการด่านซานไห่ ข้าก็ไร้คู่แข่งแล้ว หยวนจิ่งแอบเอานางไปซ่อนตัวอย่างลับๆ และเรียกข้าให้ไปพบ ข่มขู่ด้วยชีวิตของนาง บีบให้ข้ายกเลิกขั้นการฝึกตน
ข้าก็ตอบตกลง ท่านโหราจารย์ดุด่าข้าติดกับดับความรู้สึก ไม่มองการณ์ไกล ข้าไม่คัดค้าน ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของข้า นางส่องสว่างให้แก่โลกของข้า นางเป็นแสงสว่างของข้า
ยี่สิบปีต่อมา ข้าได้ลงมือฆ่าซ่างกวนเผยด้วยมือตนเอง หยิบยืมคดีพระสนมฝูเพื่อฆ่ากั๋วจิ้ว และตัดสายเลือดของสกุลซ่างกวน เรื่องราวในอดีตก็ลบเลือนได้หมดอย่างง่ายดาย ด้วยอำนาจที่เพิ่มขึ้น ข้าก็เริ่มคิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อต้าฟ่ง และเพื่อประชาชน
ในฐานะที่ข้าเป็นขันทีอยู่ในราชสำนักยี่สิบปีแล้ว พยายามที่จะช่วยประเทศที่สภาพทรุดลงทุกวันนี้ ค่อยๆ เลิกพบนาง…ชายชาตรีที่แท้จริงไปสู้รบเพื่อประเทศชาติ คือเรื่องโชคดี
กล่าวถึงแล้ว ท้ายที่สุดข้าก็ยังรู้สึกผิดต่อนาง
ช้าคิดว่าจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต จนกระทั่งปีของการตรวจสอบข้าราชสำนัก การปรากฏตัวของเจ้า ทำให้ข้ามีความสุข สุดท้ายข้าก็ไม่เหงาในเวลาอันสั้น
สิ่งเดียวที่เสียดายก็คือ สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ฟังเจ้าร้องเพลงนั้น เป็นเพลงที่น่าสนใจยิ่ง ทว่าชีวิตของข้ามีเรื่องน่าเสียดายมากมาย ยิ่งไม่รวมกับเรื่องเหล่านี้
หวังว่า หลังจากเว่ยเยวียนแล้ว ต้าฟ่งยังมีสวี่ชีอันอีกคนหนึ่ง
เว่ยเยวียน!”
ฟิ่ว…จดหมายมอดไหม้ สวี่ชีอันแบมือ ปล่อยให้ลมพัดพามันไป
เขานั่งอยู่ที่กำแพงเมืองทั้งคืน
…
รุ่งอรุณ แสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องไปบนพื้นที่ราบรกร้าง สาดส่องกำแพงเมืองที่เปื้อนเลือด
‘ตึงๆๆ’…
เสียงกลองที่ทั้งหนักหน่วงและดังก้องกังวาน เสียงแตรชวนให้รู้สึกอ้างว้างเป่าดังขึ้น ทหารราบของเหยียนคังสองประเทศที่แน่นขนัดราวกับฝูงมด บุกเข้าล้อมโจมตีอีกครั้ง
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียนั่งอยู่บนหลังม้า
ทหารรักษาเมืองของต้าฟ่งตื่นตัวขึ้นมา หยิบอาวุธแล้วขึ้นไปตรงกำแพงเมือง
ทหารที่พิงเชิงเทินเพื่อพักผ่อน นอนหลับยังถือดาบไว้ เวลานี้ค่อยๆ ตื่นกันทีละคน ใบหน้าเผยร่องรอยความเหนื่อยล้า ในสายตาเต็มไปด้วยแรงสังหารที่แผดเผา
ภายในป้อมประตูเวิ่งเฉิง จางไคไท่ถือกระบี่ ก้าวเท้าพุ่งออกไปอย่างห้าวหาญ
มองออกไปข้างหน้าก็เห็นชายชุดดำ ยืนอยู่ที่กำแพงเมือง
เวลานี้ เขาเกือบจะอุทานออกมา คิดว่าชายชุดดำในความทรงจำคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
“สวี่ชีอัน เจ้า…” สีหน้าจางไคไท่ดูสับสน
“ไม่สามารถปล่อยให้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียพวกเขาปีนขึ้นมายังกำแพงเมืองได้อีกต่อไป เช่นนี้พวกเราจะสูญเสียมากเกินไป เดิมทีก็ป้องกันไว้ได้ไม่นาน” สวี่ชีอันไม่ได้หันกลับมา
แน่นอนว่าเหตุผลนี้จางไคไท่ทราบอยู่แล้ว แต่ไม่ป้องกัน หรือจะสู้จนตัวตายอยู่ใต้กำแพงเมือง?
ทหารชั้นยอดจำนวนเจ็ดหมื่นนาย ฆ่าก็ฆ่าจนมืออ่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียและยอดฝีมือคนอื่นๆ ลงจากกำแพงเมืองมีแค่ตายสถานเดียว
เวลานี้ เขาได้ยินสวี่ชีอันกล่าว “ข้าไป ข้าจะไปเปิดเส้นทางรบ แบบนี้จะสามารถลดแรงกดดันของเหล่าทหารได้”
จางไคไท่กราดเกรี้ยว “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้บ้า แค่สามารถลดแรงกดดันของเหล่าทหาร และยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้อีก หากทำได้ ข้าจะฆ่าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเสีย”
ฆ่าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย?
จางไคไท่รู้สึกว่าเขาบ้าไปแล้วจริงๆ
“ข้างหลังเป็นบ้านเกิดของเว่ยกง”
เขากล่าวเสริมในทันที จนทำให้จางไคไท่กล่าวอะไรไม่ออกอีก
หลี่เมี่ยวเจินเหยียบกระบี่บินกวาดล้างบนกำแพงเมืองด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์และคิ้วที่มืดมน ก่อนอื่นนางมองลงไปยังทหารศัตรูที่พุ่งเข้ามา และส่งเสียงเข่นฆ่าจนสั่งสะเทือนอยู่ที่ด้านล่าง
จากนั้น ราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง นางหันหน้ามองกลับไป เห็นชายชุดดำยืนอยู่บนเชิงเทิน
“เมี่ยวเจิน ขอยืมแก่นปราณของเจ้าใช้หน่อย”
ดวงตาของเขาสดใส ท่าทางดูนิ่งสงบ หว่างคิ้วแสดงอารมณ์ฮึกเหิมออกมาอีกครั้ง
หลี่เมี่ยวเจินเบิกตากว้าง
นางผู้เป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ รู้สึกอย่างชัดเจนว่าชายคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างคลุมเครือ
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้า…”
เขายิ้มอย่างสดใส “ข้าเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว”
เด็กชายต้องเดินทางไกลแค่ไหนจึงจะเติบโต? บางทีอาจจะเป็นตลอดชีวิต หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นชั่วข้ามคืน
เขาเข้าสู่ขั้นสี่ในชั่วข้ามคืน
สวี่ชีอันที่อยู่ขั้นสี่จะแข็งแกร่งเพียงใด? ไม่มีใครทราบได้
หลี่เมี่ยวเจินสายตาพร่ามัวไปชั่วขณะเล็กน้อย “ตกลง!”
สูญเสียแก่นปราณ สำหรับผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าแล้วก็เท่ากับสูญเสียรากฐาน สูญเสียขั้นการฝึกตนไปชั่วคราว
แก่นปราณจะมีค่ามากเพียงใด แต่ก็สู้รอยยิ้มเพียงครั้งเดียวของเขาไม่ได้
บนกำแพงเมือง เสียงคำรามที่คึกคะนองพลันระเบิดขึ้น
“สวี่ชีอันทหารต้าฟ่ง มุ่งหน้าเปิดเส้นทางสู้รบแล้ว!”
ตามเรื่องเล่าของต้าฟ่ง ฆ้องเงินสวี่ชีอัน สกัดกั้นกบฏนับหมื่น รวมทั้งปราบกบฏด้วยกำลังของตนเองในอวิ๋นโจวเพียงลำพัง
เขาจะทำให้ประชาชนผิดหวังได้อย่างไร
ระหว่างสวรรค์และปฐพี ชายชุดดำคนหนึ่งกลืนแก่นปราณลงไป ก่อนจะกระโดดลงไปจากกำแพงเมือง
……………………………………………….