ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 471 การมาถึงของหยางเชียนฮ่วน
บทที่ 471 การมาถึงของหยางเชียนฮ่วน
ดึกสงัด!
ภานในเมืองเวิ่งที่อยู่หัวเมือง ถ่านกำลังลุกไหม้อย่างเงียบๆ ขับไล่ความหนาวเย็นของค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง
น้ำเดือดในกาทองเหลืองไหลจ๊อกๆ หลี่เมี่ยวเจินนำผ้าเช็ดเหงื่อที่เปื้อนเลือดแช่ในน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ ซัก น้ำในอ่างทองเหลืองเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในทันที
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เลือดเขาไหลไม่หยุดแบบนี้ คืนนี้ไม่รอดแน่!”
จางไคไท่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ในห้องโถง
แม่ทัพคนอื่นๆ บางคนนั่ง บางคนยืน บางคนก็ลูบหูลูบแก้มอย่างจนใจ ร้อนใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็หมดปัญญา
หลังจากที่จางไคไท่นำสวี่ชีอันกลับมาที่หัวเมืองแล้ว เขาก็หมดสติแน่นิ่งไป ลมหายใจรวยริน เมื่อฉีกเสื้อผ้าออกเพื่อตรวจบาดแผลแล้ว ทุกคนก็ต้องตกใจ ทั่วร่างกายของเขาไม่มีส่วนไหนเหมือนเดิม มีรอยบาดแผลทั่วทั้งตัว ภายในบาดแผลเหมือนกระเบื้องที่แตกร้าวเหล่านั้นมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด
โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่น่ากลัวบริเวณเอวของเขาที่ถูกฟันจนเกือบขาด ทำเอาจางไคไท่และคนอื่นๆ พากันขนหัวลุก ถึงจะเป็นพวกเขา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจเสียชีวิตภายในหนึ่งชั่วยามได้
ทหารขั้นสี่ไม่มีร่างอมตะเหมือนขั้นสาม และไม่เหมือนวิชาวิญญาณโลหิตของพ่อมด ที่สามารถกระตุ้นเลือดลม รักษาอาการบาดเจ็บได้
ในฐานะศิษย์ของลัทธิเต๋า หลี่เมี่ยวเจินยังคงมีฝีมือทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง อยากเล่นแร่แปรธาตุ ก็ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านยา และนางก็ได้พกยาอายุวัฒนะที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกติดตัวมาจำนวนหนึ่ง แต่ยาอายุวัฒนะเหล่านี้ไม่มีผลในการรักษาอาการบาดเจ็บของสวี่ชีอันแม้แต่น้อย กลืนลงไปก็ไม่ได้ผล
บดเป็นผงแล้วทาแผล ก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
“ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ต้องพาเขากลับเมืองหลวง มีเพียงสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่จะช่วยเขาได้” หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ
บาดแผลที่เกือบทำให้ถึงแก่ชีวิตบริเวณเอวนั้น นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รอยแตกร้าวเหมือนกระเบื้องทั่วร่างนั้น หลี่เมี่ยวเจินเดาว่าเกี่ยวข้องกับการลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ เกิดจากการที่วรยุทธ์ตีกลับ เช่นเดียวกับวันนั้นที่เขาอวดเก่งเอาชนะตัวเองและฉู่หยวนเจิ่น แต่ผลสุดท้ายก็ต้องอกสั่นขวัญหาย
หลี่เมี่ยวเจินหวนนึกถึงความหลังครู่หนึ่ง จำได้ว่าในตอนแรกสวี่ชีอันใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตเดิม ดังนั้นจิตเดิมจึงถูกตีกลับ ครั้งนี้ร่างกายแตกร้าวเลือดไหลไม่หยุด อาจเป็นเพราะเพิ่มพลังปราณ
“ต้องรบกวนท่านผู้นำหลี่แล้ว”
จางไคไท่รู้สึกตัว จ้องมองที่นางด้วยแววตาเร่งเร้า
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “แก่นปราณของข้าอยู่ในร่างกายของเขา และแก่นปราณทำให้อาการบาดเจ็บของเขาสงบในระดับหนึ่ง มิฉะนั้น เขาอาจจะ…”
ไม่เอาแก่นปราณคืนมา นางจะบินด้วยกระบี่บินได้อย่างไรโดย หลังจากเอาแก่นปราณคืนมา บางทียังไม่ถึงเมืองหลวง ชายคนนี้อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว
จางไคไท่และแม่ทัพคนอื่นๆ มีสีหน้าสิ้นหวังอย่างยิ่ง
นิ้วอันอ่อนนุ่มของนางเฉียดแก้มของสวี่ชีอันเบาๆ ในใจรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างเงียบๆ เจ้ากอบกู้ด่านอวี้หยางและช่วยทหารหนึ่งหหมื่นสี่พันคนเหล่าไว้ แต่ข้าจะเอาอะไรมาช่วยเจ้า
นางเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอื้อมมือเข้าไปหยิบเศษหนังสือปฐพีในอกเสื้อออกมา พร้อมกับเดินออกไปทางนอกเมืองเวิ่ง และพูดว่า
“พวกท่านช่วยดูแลเขาด้วย ข้าไปไม่นานแล้วจะกลับมา”
หลี่เมี่ยวเจินเปิดประตูเมืองเวิ่ง และทันใดนั้นก็ต้องตกตะลึง ในสายตาของนาง เต็มไปด้วยเงาของคนมืดฟ้ามัวดิน บนถนน มีประตูเมืองเวิ่งเป็นศูนย์กลาง ฝูงชนแผ่ขยายออกไปทั้งสองฝั่ง ลึกเข้าไปในความมืดจนสุดสายตา ทุกคนอยู่ในความสงบ ผู้คนนับพันนับหมื่น ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าจะรบกวนคนที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างใน
“เจ้าช่วยฆ้องเงินสวี่ได้ เจ้าช่วยฆ้องเงินสวี่ได้ ใช่หรือไม่…” ท่ามกลางฝูงชน พลทหารนายหนึ่งพูดด้วยสีหน้าวิงวอน
การสนทนาด้านใน พวกเขาได้ยินทั้งหมด เมื่อหลี่เมี่ยวเจินมองไปที่พวกเขาอีกครั้ง จึงพบว่าขอบตาของชายชาตรีที่ดาบเปื้อนเลือดทุกคนล้วนแดงก่ำกันทุกคน
เวลานี้ หลี่เมี่ยวเจินจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ‘ความรู้สึกเหมือนถูกทุบที่หน้าอกอย่างแรง’ นั้นเป็นอย่างไร
“ข้ารับปาก…”นางพยักหน้าเบาๆ และกลับเข้าไปในเมืองเวิ่งอีกครั้ง
หลังจากปิดประตู นางไม่ได้หันกลับมา หันหลังให้จางไคไท่และคนอื่นๆ หยิบเศษหนังสือปฐพีออกมา และส่งข้อความว่า
‘ทุกท่าน ข้าและสวี่ชีอันอยู่ที่ด่านอวี้หยางชายแดนเซียงโจว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย…’
หลี่เมี่ยวเจินแบ่งเป็นสามวรรค อธิบายอาการของสวี่ชีอันโดยใช้ภาษาง่ายแต่ได้ใจความ
สุดท้ายส่งข้อความถามว่า ‘ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี’
หมายเลขหก ‘อาการของใต้เท้าสวี่แย่ขนาดนี้แล้วหรือ อมิตตาพุทธ อาตมาอยากจะเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อโปรดสัตว์ชาวหมานอี๋เหล่านี้เหลือเกิน’
แม้จะถูกกั้นด้วยหนังสือปฐพี แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความวิตก กังวล และความเดือดดาลแต่ทำอะไรไม่ได้ของไต้ซือเหิงหย่วน
หมายเลขหนึ่ง ‘แก่นปราณของเจ้าอยู่ในร่างกายของเขา จึงยังอยู่ได้ชั่วคราว?’
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอัน ฮว๋ายชิ่งก็จะทรงกระตือรือร้นมาก เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นคนเงียบขรึมไม่พูดจาในทันที…หลี่เมี่ยวเจินลอบขมวดคิ้ว แล้วส่งข้อความตอบกลับ
‘ถูกต้อง ถ้าไม่มีแก่นปราณ ข้าก็ไม่สามารถบินด้วยกระบี่บินได้ ถ้าไม่มีแก่นปราณ สวี่ชีอันคงอยู่ไม่ถึงกลับมาเมืองหลวง ข้า ข้าไม่สามารถเอาชีวิตเขามาเสี่ยง’
‘เจ้าหมายความว่าอย่างไรเจ้าไม่สามารถเอาชีวิตของเขามาเสี่ยง ตามนิสัยของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินอย่างเจ้า ไม่น่าจะเชื่อเรื่องสามส่วนคือลิขิตฟ้าเจ็ดส่วนต้องใช้ความพยายามนี่นา ข้าจะพาเจ้ากลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ จะเป็นหรือจะตายต้องขึ้นกับวาสนาของน้องชายอย่างนั้นหรือ ใช่หรือไม่…’ ฉู่หยวนเจิ่นอดบ่นในใจไม่ได้
หมายเลขหนึ่ง ‘จะอยู่ได้นานแค่ไหน’
หมายเลขสอง ‘ก่อนเที่ยงตรงวันพรุ่งนี้จะยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้านำแก่นปราณออก อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยาม หรือสั้นกว่านั้น’
โดยไม่รอคำตอบของฮว๋ายชิ่ง ฉู่หยวนเจิ่นชิงพูดก่อน โดยส่งข้อความว่า
‘ถ้าเช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ถ้าเจ้ากลับไปไม่ได้ ก็ให้คนจากสำนักโหราจารย์มาที่นี่ หยางเชียนฮ่วนส่งต่อค่ายกลเร็วกว่าการบินโดยกระบี่บิน เขามีเวลามากพอที่จะรีบออกจากเมืองหลวงมาที่นี่ น่าจะกลับถึงเมืองหลวงก่อนเที่ยงตรงวันพรุ่งนี้’
ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินเป็นประกาย
วิธีการนี้ง่ายมาก นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ คงจะเป็นห่วงจนสับสนไปหมดนั่นเอง
ฉู่หยวนเจิ่นยังคงส่งข้อความต่อ ‘เวลานี้ห้ามออกนอกบ้าน ลี่น่าและเหิงหย่วนไม่สามารถไปมาหาสู่กันในเมืองชั้นในได้แล้ว หมายเลขหนึ่ง เรื่องนี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว’
หมายเลขหนึ่งมีตำแหน่งสูงส่งอำนาจมากล้นในราชสำนัก คิดว่าการห้ามออกนอกบ้านคงไม่สามารถกักขังเขา/นางได้
หมายเลขหนึ่ง ‘ได้’
ลี่น่าถอนหายใจ แล้วส่งข้อความว่า ‘หากมีอุปสรรคอะไรก็บอกมาได้เลย ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหา ขจัดอุปสรรค ดีมากๆ’
‘ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่น้ำเสียงเหมือนตัวเองเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน…’ ในใจของสมาชิกพรรคฟ้าดินทุกคน คงบ่นแบบนี้คล้ายๆ กันไม่มากก็น้อย
หมายเลขหนึ่ง ‘หมายเลขสี่ สงครามชายแดนทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง’
หมายเลขสี่ ‘ทหารม้าของจิ้งกั๋วถอนกำลังแล้ว เดิมทีคิดว่าคงต้องต่อสู้กันต่อไปอีกหลายเดือน คิดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน เว่ยกงก็สามารถโจมตีไปถึงแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดได้…’ หลังจากที่เขาส่งข้อความนี้เสร็จ ก็หยุดพูดทันที
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ฮว๋ายชิ่งหมายเลขหนึ่งก็ทรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ‘หลี่เมี่ยวเจิน ตอนนี้ช่วยเล่ารายละเอียดได้หรือยัง’
ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจในใจ และเข้าร่วมในหัวสนทนาใหม่ด้วยความกระตือรือร้น
‘ตอนนี้สามารถเล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังได้แล้วสินะ เขาถูกหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียทำร้ายจนบาดเจ็บใช่หรือไม่ ข้าจำได้ว่ากษัตริย์ของเหยียนกั๋วเป็นขั้นสี่ระบบคู่ขั้นสูงสุดสุด ถือได้ว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดรองจากขั้นสาม’
หลี่เมี่ยวเจินบอกแต่เพียงว่ากองทหารแปดหมื่นนายของเหยียนกั๋วและคังกั๋วบุกโจมตีเมือง ไม่มีเวลาและอารมณ์ที่จะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่า ด้วยร่างทองและพลังต่อสู้ของสวี่ชีอัน ขั้นสี่ธรรมดาไม่น่าถึงขนาดทำร้ายเขาจนเกือบตายได้
หลี่เมี่ยวเจินที่ได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว ไม่ร้อนใจเหมือนเมื่อครู่แล้ว ส่งข้อความแจ้งว่า ‘สวี่ชีอัน ได้รับบาดเจ็บจากการบุกเดี่ยวเข้าไปในสนามรบ’
หลังจากข้อความนี้ถูกส่งไป และนางกำลังจะเขียนต่อ ฉู่หยวนเจิ่นก็ได้ส่งข้อง่ายๆ ได้ใจความว่า ‘บุ่มบ่าม!’
หมายเลขหนึ่ง ‘ทำไมจึงบุ่มบ่ามเช่นนี้’
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วแน่น รู้สึกโกรธเคือง นี่เป็นเรื่องที่สวี่ชีอันทำได้จริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่ขัดแย้งกับความเป็นห่วงและความโกรธของฮว๋ายชิ่ง
หมายเลขหก ‘ใต้เท้าสวี่หุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ แบบนี้จะแตกต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย’
มันเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ อาการของสวี่ชีอันในเวลานี้ หากไม่มีแก่นปราณของหลี่เมี่ยวเจินคุ้มครอง เขาคงเสียชีวิตไปแล้ว
ลี่น่ากอดเศษหนังสือปฐพี ขมวดคิ้วเรียวบาง หากรู้อย่างนี้วันนั้นก็จะตามเขาไปด่านอวี้หยาง ไม่สนใจว่าจะมีทหารม้ามากมาย จะสังหารให้ตายให้หมด
‘แย่จริง ให้คนอื่นพูดให้จบก่อนสิ’…หลี่เมี่ยวเจินบุ้ยปาก แล้วส่งข้อความอย่างใจเย็น ‘เขาบุกเดี่ยวเข้าไปในสนามรบ เกือบจะต้านทานกองกำลังที่ยอดเยี่ยมของศัตรูได้ทั้งหมด กำลังใจของกองกำลังของศัตรูที่มีการสังหารสองครั้งต่างกระเจิดกระเจิง พากันหนีตายด้วยความหวาดหวั่น หลังการสู้รบกองกำลังฝ่ายป้องกันกวาดล้างศพ ประมาณการคร่าวๆ ว่า การสู้รบในวันนี้ อย่างน้อยเขาได้สังหารไปถึงเก้าพันนาย
‘เมื่อวานขณะป้องกันเมือง เขาได้สังหารซูกู่ตูหงสยง วันนี้หลังบุกเข้าไปในสนามรบแล้ว เขาได้สังหารหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกษัตริย์เหยียนกั๋วเพียงลำพัง ทำให้กองกำลังของศัตรูที่เหลืออีกห้าหมื่นนายแตกตื่นล่าถอยไป’
ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบกริบ
ในสมองของสมาชิกพรรคฟ้าดินมีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นมากมาย
คนคนเดียวสังหารกองกำลังของศัตรูเก้าพันนาย สังหารขั้นสี่ระดับสูงสุดติดต่อกันสองคน และหนึ่งในนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดในขั้นสาม? นี่ไม่ใช่ความจริงใช่ไหม นี่ต้องไม่ใช่ความจริงแน่ๆ…ปัญญาชนนั้นใจเย็น ฉู่หยวนเจิ่นยังเป็นจอมยุทธ์ที่พเนจรในจิ่วโจวมาหลายปีอีกด้วย มีความรู้มากพอ แต่ตอนนี้เขาอยากจะดึงคอเสื้อของหลี่เมี่ยวเจินไม่ให้นางล้อเล่นอีก
ลี่น่าก็ไม่เชื่อเช่นกัน แม้ว่านางจะไม่ฉลาดนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้และการบำเพ็ญ นางก็จะฮึกเหิมขึ้นมาทันที เหิงหย่วนไม่มีทางเชื่อคำพูดของหลี่เมี่ยวเจิน ผลงานในการรบเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงขั้นสามเท่านั้นที่สามารถทำได้ นางจำได้ว่าสวี่ชีอันอยู่ในขั้นห้าสลายแรง การฝึกฝนในขั้นห้า การสังหารศัตรูเก้าพันนายนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่สังหารศัตรูสองพันคนก็คงจะสุดกำลังแล้ว หลี่เมี่ยวเจินไม่น่าจะโกหก โดยเฉพาะการโกหกเรื่องนี้ไม่มีประโยชน์…
หัวใจของฮว๋ายชิ่งหวั่นไหว ทรงส่งข้อความว่า ‘เขายังมีอะไรที่ยังไม่ได้แสดงออกมาหรือไม่’
หมายเลขสอง ‘เขาเลื่อนสู่ขั้นสี่ในชั่วข้ามคืน’
น่าเสียดายที่มีเศษหนังสือปฐพีกั้นไว้ มิฉะนั้น หลี่เมี่ยวเจินก็จะได้ยินเหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น และคนอื่นๆ หายใจแรงเหมือนถอนหายใจ
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกทั้งสะเทือนใจทั้งเห็นใจ เขาจำได้ว่าตอนออกรบ สวี่ชีอันติดอยู่ที่ด่าน ‘จิต’ ตลอดเวลา ทำอย่างไรก็ไม่สามารถบรรลุได้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้ร้อนรนเป็นพิเศษ ยังคงฝึกฝนตามลำดับ ท่าทีเหมือนสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ก็เป็นเรื่องดี ไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ค่อยเป็นค่อยไป พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือสภาพจิตใจดี พูดแบบไม่น่าฟังคือเกียจคร้าน คิดไม่ถึงว่าหลังจากเว่ยเยวียนเสียชีวิต เขากลับเลื่อนเป็นขั้นสี่ได้ในเวลาชั่วข้ามคืน ความตายของชายคนนั้น จะต้องกระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างมาก
ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าในพระเนตรของฮว๋ายชิ่งจะมีน้ำพระเนตร เขาบุกเดี่ยวเข้าไปในสนามรบ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย นี่ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสหรอกหรือ
ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบในทันใด
หลี่เมี่ยวเจินรออยู่เป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร ก็รู้ว่าพวกเขากำลังจมอยู่ในอารมณ์ของตัวเอง จึงไม่อยากส่งข้อความอีก นางเก็บเศษหนังสือปฐพี หันหลังเดินกลับไปที่เตียงธรรมดาๆ แล้วพูดว่า “ก่อนรุ่งสาง หยางเชียนฮ่วนจากสำนักโหราจารย์จะมาที่นี่”
จางไคไท่ถอนหายใจยาวๆ รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากประสบกับเรื่องราวทั้งสุขและเศร้า
พลทหารทุกคนยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ ฆ้องเงินสวี่เสียชีวิตที่นี่ จะเป็นเหมือนเงาที่พวกเขาลบไม่ออกไปชั่วชีวิต ชีวิตที่เหลือจะต้องมีชีวิตอยู่กับการตำหนิตัวเองและความละอายใจ
ใบหน้าที่เคร่งขรึมของจางไคไท่ฝืนยิ้มออกมา “เอาล่ะ ออกไปแจ้งพี่น้องทุกคนให้รีบสลายตัว คนที่ต้องพักผ่อนก็ไปพักผ่อน คนที่ต้องทำแผลก็ไปทำแผล อย่ายืนอยู่ตรงนั้น สู้รบกันมาทั้งวัน ทุกคนคงเหนื่อยแล้ว”
บรรดาพลทหารต่างไม่ยอมจากไป พวกเขาทั้งหมดเป็นคนซื่อตรงและดื้อรั้น หากยังไม่เห็นฆ้องเงินอาการดีขึ้น พวกเขาก็ไม่ยอมจากไป มีหลายคนที่เถียงจางไคไท่เสียงแข็งหรือกระทั่งไม่ยอมแพ้ เขาจึงตามใจพวกเขา
…
ในทุ่งร้างห่างจากด่านอวี้หยางหลายร้อยลี้ มีร่างในชุดขาวแวบไปแวบมา ใต้ฝ่าเท้ามีริ้วรอยแสงสว่างเป็นสาย แวบไปแวบมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งริ้วรอยแสงสว่างคาบเกี่ยวกันอย่างหนาแน่น ดูเหมือนหยาดฝนกระทบผิวน้ำ หลังจากนั้นไม่นาน เค้าโครงของคูเมืองชายแดนแห่งนี้ก็ปรากฏวับวาบขึ้นในความมืด
“ไอโลหิตเป็นมันเงาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่นี่เพิ่งเกิดสงครามที่ดุเดือดขึ้น…”
ร่างในชุดขาวน้ำเสียงทุ้มต่ำ ราวกับนักบวชที่ตัดขาดจากโลกียวิสัยทีกำลังโศกเศร้าอาดูรกับความยากลำบากของสังคมในยุคนี้
หลังจากแวบผ่านไปอีกครั้ง เขาก็มาถึงหัวเมือง หันหน้ามองไปรอบๆ ตัว ก็ต้องพบกับพลทหารลาดตระเวนที่มีอยู่ไม่กี่คน? ขณะที่เขามองไปทางเมืองเวิ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจเหตุผล ที่แท้เหล่าทหารต่างรวมตัวกันบริเวณใกล้กับเมืองเวิ่ง ร่างในชุดขาวอดสับสนไม่ได้ ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่พักผ่อนกันอีก แล้วยังไม่ป้องกันเมืองกันอีกด้วย พลทหารระดับล่างกลุ่มนี้กำลังทำอะไรกันอยู่
‘คนค่อนข้างเยอะ ยังดีที่ข้าได้เตรียมการไว้นานแล้ว!’ ร่างในชุดขาวหัวเราะเบาๆ เผยให้เห็นความมั่นใจและอารมณ์ที่สงบว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
…
หลี่เมี่ยวเจินที่กำลังฟุบงีบอยู่กับโต๊ะในใจรู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก จึงตื่นขึ้นทันที เงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างในชุดขาวยืนอยู่ในห้อง
เขาสวมหมวกคลุมหน้า ภายใต้หมวกคลุมนั้นมีหน้ากาก ภายใต้หน้ากากดูเหมือนยังมีคลุมด้วยผ้า
“หยางเชียนฮ่วน?” หลี่เมี่ยวเจินพูดหยั่งเชิง
“คิดไม่ถึงว่า ข้าแต่งตัวธรรมดาๆ แบบนี้ แต่ยังไม่สามารถปิดบังราศีที่มีมาแต่กำเนิดได้ ผู้นำหลี่ ดูเหมือนว่าในหัวใจของเจ้าจะมีความประทับใจในตัวข้าชนิดที่ไม่สามารถลบล้างออกไปได้” หยางเชียนฮ่วนพูดด้วยความดีใจ
‘ข้าเป็นคนให้คนไปเชิญเจ้ามาเอง…’ หลี่เมี่ยวเจินก็ดีใจเช่นกัน แม้ว่าหยางเชียนฮ่วนคนนี้จะมีนิสัยแปลกๆ แต่ทำอะไรเชื่อถือได้ ไม่เคยขาดหรือมาสาย
“ทำไมเจ้าต้องแต่งตัวแบบนี้?” นางพูดด้วยความสงสัย
“ที่นี่คนเยอะเกินไป ไม่ว่าข้าจะยืนอยู่ตรงไหน ก็จะมีคนเห็นหน้าข้า นี้ไม่สอดคล้องกับลักษณะนักบวชที่ตัดขาดจากโลกียวิสัยอันดีงามของข้า และหันหลังให้กับความโดดเดี่ยวเดียวดายของผู้คน” เสียงของหยางเชียนฮ่วนทุ้มต่ำ
หลี่เมี่ยวเจินร้องออกมาว่าผู้เชี่ยวชาญ ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์คนนี้มีความคิดที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับการหันหลังให้คนอื่น นางไม่พูดจาไร้สาระอีก รีบพูดว่า “เจ้ารีบดูสิว่าสวี่ชีอันเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางเชียนฮ่วนนั่งข้างเตียง สังเกตสวี่ชีอันอย่างละเอียด จับข้อมือเขาขึ้นมาจับชีพจร ผ่านไปเป็นเวลานาน จึงถอนหายใจอย่างเสียดาย แล้วส่ายหน้า
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกใจหายในทันที ความดีใจที่เกิดขึ้้นเมื่อครู่ ราวกับเปลวไฟที่ถูกดับด้วยน้ำเย็น
“เขา เฃาไม่มีทางรักษาได้เลยหรือ”
“โอ้ ไม่ใช่ ยังสามารถช่วยชีวิตได้”
หลี่เมี่ยวเจินมองเขาอย่างตกตะลึง “แล้วเมื่อกี้เจ้าส่ายหน้าทำไม แล้วถอนหายใจทำไม”
หยางเชียนฮ่วนตอบอย่างจริงจังว่า “ไม่มีความหมายพิเศษอะไร เพียงแต่ทำแบบนี้ จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของข้าได้มากยิ่งขึ้นมิใช่หรือ ในช่วงเวลาที่สำคัญ ยังต้องให้ข้าลงมือ”
หลี่เมี่ยวเจินอยากจะฆ่าคนจริงๆ
“ทำไมเขาถึงได้บาดเจ็บถึงขั้นนี้ได้” หยางเชียนฮ่วนถาม
…หลี่เมี่ยวเจินหรี่ตา พูดเบาๆ ว่า “เจ้าไม่รู้หรือ”
หยางเชียนฮ่วนทำเสียง ‘ฮึ’ “ทำไมข้าต้องรู้ หรือว่าเจ้าคิดเหมือนน้องไฉ่เวยว่าข้ากำลังเลียนแบบเขาอย่างนั้นหรือ”
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะ
………………………………………………..