ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 472 กลับเมืองหลวง
บทที่ 472 กลับเมืองหลวง
หลี่เมี่ยวเจินรู้ได้ทันทีว่าศิษย์พี่สามหมกมุ่นกับการเลียนแบบสวี่ชีอันมากแค่ไหน จากที่เขากล่าวมา สวี่ชีอันเป็นเจ้าแห่งการประสบความสำเร็จเกินหน้าเกินตาชาวบ้าน ทุกครั้งที่ก้าวนำไปก่อนคนอื่นก็มักคว้าโอกาสไว้ได้เสมอ
แต่หยางเชียนฮ่วนไม่ใช่คนที่ครหาใคร เขาเป็นคนมีเหตุผล จากตอนพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ท่านโหราจารย์จงใจขังเขาไว้ที่ด้านล่างของหอดูดาว แล้วผลักสวี่ชีอันให้ออกมาต่อสู้ในนามของสำนักโหราจารย์
ทั้งตอนศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ระหว่างหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่น ในตอนนั้นหยางเชียนฮ่วนเองก็ ‘บังเอิญ’ ถูกขังไว้ที่ด้านล่างหออีกเช่นกัน
ถ้าเขารู้เรื่องที่สวี่หนิงเยี่ยนทำล่ะก็มีหวังได้ตีอกชกหัวตัวเองด้วยความอิจฉาแน่นอน…และหลี่เมี่ยวเจินไม่ได้วางแผนที่จะบอกเขาตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าอาการบาดเจ็บของสวี่ชีอันจะคงที่
ดังนั้นนางจึงกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ประสานมือพลางพูดอย่างสัตย์ซื่อ “สวี่ชีอันทำให้พี่หยางลำบากแล้ว”
หยางเชียนฮ่วนพยักหน้า พึงพอใจยิ่งกับท่าทางเว้าวอนของเทพธิดานิกายสวรรค์
ทันใดนั้นเขาก็หยิบขวดยาพร้อมด้วยเข็มและด้ายออกจากถุงสำภาระ หยางเชียนฮ่วนเปิดปากของสวี่ชีอันออก จากนั้นเสียง ‘ป๊อก’ ของจุกขวดกระเบื้องลายครามที่ถูกเปิดก็ดังขึ้น ขวดกระเบื้องสี่ห้าขวดถูกกรอกเข้าไปในปากของสวี่ชีอัน
ด้วยวิธีเทียบยาอันแสนโหดร้าย ไม่นานใบหน้าของสวี่ชีอันที่อยู่ในขั้นวิกฤติก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ
“เขาเป็นอะไรไป?” หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้น
“เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก พิษบาดแผลกำลังต่อต้านยาอย่างรุนแรง!”
หยางเชียนฮ่วนอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผล พลางตบกรามของสวี่ชีอันให้เขากลืนยาลงไป
อาการของการต่อต้านยาอย่างรุนแรงเป็นเช่นนี้หรือ? เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้แก้แค้นน่ะ? จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินหันหน้าไปมองเขา
หลังจากเทียบยาแล้ว หยางเชียนฮ่วนก็เย็บแผลให้เขาอีกครั้ง เลือดค่อยๆ หยุดไหล ก่อนเอ่ย
“ข้ารักษาได้เพียงอาการบาดเจ็บของเขาเท่านั้น หากต้องการจะช่วยเขา ท่านอาจารย์ต้องลงมือด้วยตัวเอง”
“แม้แต่ท่านก็ทำไม่ได้งั้นหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง
ในความคิดของนาง หยางเชียนฮ่วนนับว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโหราจารย์ นอกจากท่านโหราจารย์แล้ว ในสำนักโหราจารย์ หลี่เมี่ยวเจินก็ไม่เคยเห็นโหรที่ระดับสูงไปกว่าหยางเชียนฮ่วนเลย
หยางเชียนฮ่วนนิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นค่อยๆ พูดขึ้น “เด็กคนนี้หาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่เกี่ยวกับความสามารถของข้าสักหน่อย”
คำคมของศิษย์พี่หยางที่ว่า ‘หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน’ ในความคิดของหลี่เมี่ยวเจินแล้วถือเป็นการยั่วยุซึ่งๆ หน้า
เขาหยุดครู่หนึ่งและพูดต่อ
“เขาคงลั่นประกาศิตขงจื๊อเป็นแน่แท้ เฮ้อ ตนปราศจากร่างแห่งปราณแท้ๆ กล้าใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อได้อย่างไร ดูจากบาดแผลอันน่าสลดใจบนร่างกายของเขาแล้ว เขาใช้วรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อไปเพื่ออะไรกัน?”
หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดอยู่นานพร้อมเอ่ย “บางทีอาจเกี่ยวกับพลังต่อสู้และสถานะก็เป็นได้”
“ทะเยอทะยานจะยกระดับพลังต่อสู้น่ะหรือ…ไม่กลัวตายจริงๆ สินะ” หยางเชียนฮ่วนเดาะลิ้นของเขา
“ขั้นสี่ลัทธิขงจื๊อล้วนไม่มีผู้ใดกล้าเล่นเช่นนี้หรอก”
“จริงหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยถาม
“แน่นอนสิ!”
หยางเชียนฮ่วนทำปากยื่น
“เวลาต่อสู้ขั้นสี่สำนักอวิ๋นลู่มักกล้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค อย่าง ‘กางเกงหลุดแล้ว’ หรือไม่ก็ ‘ถอยออกไปร้อยลี้’ วิธีเหล่านี้ได้ผลชะงัดนัก ทั้งไม่ทำให้เกิดการนองเลือดมากจนเกินไปด้วย นั่นเป็นเพราะพลังปราณอันน่าเกรงขามสามารถทรยศหักล้างได้จึงทำให้เกิดข้อจำกัด มิฉะนั้นลัทธิขงจื๊อคงไม่ขึ้นเป็นใหญ่หรอก จริงหรือไม่?”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “ในยุคที่ลัทธิขงจื๊อรุ่งเรือง ไม่ใช่ว่ายิ่งใหญ่อยู่แล้วหรือ?”
หยางเชียนฮ่วนไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับแม่นางผู้นี้อีก เขาจึงกระแอมไอพลางพูดว่า “รอจนกว่าเขาจะซึมซับยาเข้าไปเบื้องต้น เมื่อความเจ็บปวดทุเลา เราค่อยพาเขากลับไปก็แล้วกัน หึ อย่าได้ประมาทความเจ็บปวดเชียว มันอาจคร่าชีวิตเขาถึงตายได้”
เขาเดินจ้ำอ้าวออกไปข้างนอก “ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ไต้ซือแห่งสำนักโหราจารย์อย่างหยางเชียนฮ่วนมาถึงทั้งที จะให้หลบซ่อนบารมีได้อย่างไร ต้องออกไปแสดงตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าคนอื่นสิ
‘ครืด…’
เขาเปิดประตูทางเข้าเมืองเวิ่ง พลันปรากฏตัวต่อหน้าทหารอารักขาด้านนอก
เหล่าทหารอารักขามึนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน
ดวงตาของหยางเชียนฮ่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ริ้วผ้าของหมวกค่อยๆ กวาดมองใบหน้าที่งุนงงเหล่านั้น น้ำเสียงเรียบนิ่งวางท่าทีสงบเสงี่ยมราวปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ป่าวประกาศก้อง
“ข้าคือหยางเชียนฮ่วนแห่งสำนักโหราจารย์ ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์”
โหรแห่งสำนักโหราจารย์…ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์…
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นทหารอารักขาที่อยู่นอกเมืองเวิ่งก็ส่งเสียงโห่ร้องครืนครั่น
หือ ยินดีต้อนรับอย่างนั้นหรือ? นี่ นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…ไม่สิ นี่สมเหตุสมผลแล้ว! หยางเชียนฮ่วนเหยียดหลังตรงในทันใด จากนั้นก็หันหลังชี้ไปที่ท้ายทอยอย่างมั่นอกมั่นใจต่อหน้าฝูงชน
แต่ทว่าท้ายทอยของเขาถูกปกคลุมอยู่ในริ้วผ้า
ขณะนั้นเขาก็ได้ยินเสียงทหารที่อยู่ห่างออกไปตะโกนถามท่ามกลางเสียงโห่ร้องว่า “เกิดอะไรขึ้น ทุกคนนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ทหารคนหนึ่งเอ่ยตอบ “ชายผู้นั้นเป็นโหรของสำนักโหราจารย์ ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์ขอรับ”
“ว่าไงนะ? ช่างโชคดีเหลือเกิน โชคดีจริงๆ…”
“ใช่ๆ ฆ้องเงินสวี่รอดแล้ว ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็ได้รับการช่วยเหลือเสียที”
ผู้คนต่างร้องไห้ด้วยความดีใจ
ในฐานะพลเมืองของต้าฟ่ง ใครบ้างจะไม่รู้ว่าโหรของสำนักโหราจารย์สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ได้
‘ที่พวกเขาโห่ร้องเป็นพะ…เพราะสวี่ชีอันรอดแล้ว ไม่ใช่ข้าอย่างนั้นหรือ?!’
หัวใจของหยางเชียนฮ่วนพลันจมดิ่งเมื่อได้ยิน ยังคงหันหลังให้ฝูงชน ก่อนมือที่ยกขึ้นจะถูกวางลงอย่างแรง
เมื่อเห็นท่าทางของเขา เหล่าทหารก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง
หยางเชียนฮ่วนกดเสียงต่ำเอ่ย “สวี่ชีอัน เขาทำอะไรงั้นหรือ?”
เขารู้ดีว่าสวี่ชีอันเป็นที่นิยมชมชอบในต้าฟ่งมาก (ซึ่งฉกฉวยมาจากหยางเชียนฮ่วน) ทว่าแม้แต่หัวหน้าทหารที่รู้จักเพียงการสู้รบกลุ่มนี้ก็ยังเทิดทูนฆ้องเงิน อีกทั้งฉากเบื้องหน้านี้ยังดูเกินจริงไปหน่อยด้วย
เขาอดรู้สึกแปลกไม่ได้
“คุณธรรมของฆ้องเงินสวี่สูงส่งเทียมฟ้า เพื่อลดแรงบีบคั้นของพวกเรา เขาจึงถลาเข้าประจัญบานสนามรบแต่เพียงผู้เดียวขอรับ” ทหารคนหนึ่งกล่าว
‘เหอะ กะเจริญรอยตามครั้นที่ไช่ซื่อโข่วฆ่ากั๋วกงล่ะสิ เขาถึงรู้วิธีเอาชนะใจผู้คนเป็นอย่างดีขนาดนี้!’ หยางเชียนฮ่วนวิเคราะห์ ในใจไม่ได้นึกอิจฉา เขามองท่าทีของสวี่ชีอันทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว
“ฆ้องเงินสวี่บุกตะลุยเดี่ยว ข้าศึกโจมตีได้เพียงสองครั้งก็ล่าถอย เขาบั่นคอคนนับหมื่นคนเชียวนะขอรับ”
บั่นคอคนนับหมื่น ข้าศึกโจมตีได้เพียงสองครั้งก็ล่าถอย…เมื่อได้ยินหยางเชียนฮ่วนก็ค่อยๆ ตกตะลึง ทัศนะพร่ามัวไปทีละน้อย
“ฆ้องเงินสวี่อาศัยความแข็งแกร่งของเขา บั่นคอกษัตริย์เหยียนหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียท่ามกลางกองทัพนับหมื่นเลย”
“ฆ้องเงินสวี่ไร้เทียมทาน”
“ชั่วชีวิตนี้ขอติดตามฆ้องเงินสวี่ตลอดไป”
ขณะพร่ำรำพันเหล่าทหารก็ตะโกนร้องออกมาทั้งดวงตาที่แดงก่ำ
หยางเชียนฮ่วนปิดประตูเมืองเวิ่งลงอย่างเงียบๆ
หลี่เมี่ยวเจินที่ได้ยินเสียงปิดประตูจึงออกมาดู เพียงเห็นหยางเชียนฮ่วนยืนพิงประตู จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดลงไปที่พื้น หมวกบิดเบี้ยวไปหมด…
“ท่านเป็นอะไรไปน่ะ”
ใบหน้าหลี่เมี่ยวเจินคล้ายกับว่า ‘ข้าเป็นเทพธิดาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าอยากจะหัวเราะออกมาเพียงใดก็ห้ามทำเด็ดขาด’
“ข้าผิดเอง ข้าประเมินสวี่ชีอันต่ำไป ข้าคิดว่ากรณีของไช่ซื่อโข่วคือจุดสูงสุดในชีวิตเขาแล้ว ไม่คิดเลยว่าในครั้งนี้เขากลับทำยิ่งกว่า ยิ่งกว่าขึ้นไปอีก…”
เศร้าจนพูดอะไรไม่ออก
“เขาคงกลัวว่าข้าจะฉกฉวยแสงไฟไปจากเขาจึงลี้มาที่ชายแดนเพื่อหลีกเลี่ยงข้าสินะ ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายเสียจริง…เขาเอาชนะกองทัพศัตรูถึงสองครั้ง เข่นฆ่าศัตรูตายจนเกือบหมด ทั้งกุดศีรษะหัวหน้าพวกมันกลางกองทัพนับหมื่น เหตุใดสวี่ชีอันเขาถึงไม่ใช้ประโยชน์นี้อวดอ้างบารมีอันสูงเสียดฟ้าออกไปให้ใครต่อใครรับรู้?”
เสียงริษยาสั่นเครือ
หลี่เมี่ยวเจินเกือบยกมือขึ้นปิดใบหน้าเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะ
หลังก่นด่าอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของหยางเชียนฮ่วนก็ลุกโชนด้วยจิตวิญญาณอันฮึกเหิม “ช่วยบอกทีว่าเมืองหลวงของเหยียนกั๋วอยู่ที่ไหน”
หลี่เมี่ยวเจินเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม “ท่านคิดจะไปเหยียนกั๋วงั้นหรือ? แต่สวี่ชีอันก็ขับไล่ทหารอารักขานับหมื่นไปหมดแล้ว ท่านไปเหยียนกั๋วตัวคนเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร?”
“แล้วแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดล่ะ?”
“ที่แห่งนั้นถูกเว่ยเยวียนยึดครองแล้ว”
“…ข้ายังพอมีโอกาสอยู่หรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินเมินเฉยความคิดของเขาอย่างไร้ความปรานีแล้วพูดว่า “อาการของสวี่ชีอันดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว เรากลับเมืองหลวงกันเถอะ ให้ท่านโหราจารย์ช่วยเขา”
การตอบกลับแสนเหนื่อยล้าและสิ้นหวังของหยางเชียนฮ่วนเล็ดลอดออกมาจากใต้ริ้วผ้า
“ไม่ช่วยแล้ว ปล่อยให้ตายไปเถอะ!”
…
หลังจางไคไท่ในค่ายทหารถูกเสียงโห่ร้องปลุกเร้า อีกฝ่ายจึงกระโดดขึ้นบนกำแพงเมือง เมื่อได้ยินข่าวการมาถึงของหยางเชียนฮ่วน เขาก็วิ่งเข้าเมืองเวิ่งหน้าตั้ง
“หยางเชียนฮ่วนล่ะ?”
เขาหันมองซ้ายทีขวาทีแต่กลับไม่พบบุคคลที่ตนถามถึง
หลี่เมี่ยวเจินชี้ไปที่มุมหนึ่ง จางไคไท่มองตามทิศทางดังกล่าว ก่อนจะพบว่าหยางเชียนฮ่วนกำลังนั่งยองอยู่ที่มุมหนึ่งโดยหันหลังให้กับพวกเขา นิ่งเงียบราวกับรูปปั้นไม่ผิดเพี้ยน
“เขาเป็นอะไรไป?” จางไคไท่ส่งกระแสจิตเอ่ยถาม
“เขาเพิ่งรู้เรื่องของสวี่ชีอัน” หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับผ่านกระแสจิต
…เมื่อจางไคไท่มองไปยังแผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วนอีกครั้ง ความสงสารก็ประเดประดังเข้ามา
“ข้าจะจัดให้รองแม่ทัพกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับพวกเจ้าและรายงานเรื่องนี้ต่อราชสำนัก ถึงจะมีม้าเร็วแปดร้อยลี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง
“แม้ว่าทั้งสองกองกำลังพันธมิตรของประเทศเหยียนและคังจะล่าถอยและประสบความสูญเสียอย่างหนัก แต่เราก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ไม่แน่พวกเขาอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ หวังว่าราชสำนักจะจัดการโดยเร็วที่สุด”
จางไคไท่กล่าว
นอกจากนี้เรื่องทหารที่เสียชีวิตในสนามรบหรือแม้แต่ความดีความชอบของสวี่ชีอันในการสกัดกั้นกองกำลังข้าศึกกว่าแปดหมื่นนายเพียงผู้คนเดียวก็ต้องรายงานต่อราชสำนักด้วยเช่นกัน
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า “อืม”
…
เริ่มยามซื่อ ณ สำนักราชเลขาธิการ
ขณะนั้นที่ตำหนักเสนาบดีหวางเจินเหวินสมุหราชเลขาธิการกำลังถือถ้วยยาจีนร้อนผ่าวฟังการอภิปรายดุเดือดของปราชญ์มหาสำนักแต่ละคน
“ใต้เท้า นี่มันหมายความว่าอย่างไร เหตุใดหารือมาสองวันแล้วพระองค์ถึงยังนิ่งเฉยอยู่อีก?” จ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อขมวดคิ้ว
วาระการประชุมสองวันมานี้ล้วนหารือเกี่ยวกับมาตรการตั้งรับทั้งสิ้น แต่สำหรับเรื่องมาตรการของสงครามในครั้งนี้ รวมถึงการป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากสำนักพ่อมด จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับแสดงท่าทีต่อต้านเป็นอย่างมาก
อีกฝ่ายพูดถึงข้อปลีกย่อยมากมายแต่กิจสำคัญไม่เคยพูดถึง ไม่ว่าทุกคนจะเอ่ยแนะอย่างไร เขาก็เพิกเฉย ในช่วงสองวันที่ผ่านมาขุนนางใกล้ชิดต่างวิ่งวุ่นไปทั่ว เมื่อวานเขียนสาส์นกราบทูล มาวันนี้ก็ตำหนิจักรพรรดิหยวนจิ่งกลางห้องโถง
จากนั้นพวกเขาก็ถูกลากออกไปโบยไม้พร้อมๆ กัน
“ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่ยอมให้ชื่อของเว่ยกงกลายเป็นอนุสรณ์ระดมกองกำลังทหารสามมณฑลในชายแดนฝั่งบูรพา…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉียนชิงซูปราชญ์มหาสำนักแห่งตำหนักอู่อิงพลันหยุดชะงัก ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีก
หากเป็นคนอื่น การกระทำเช่นนี้อาจถูกตราหน้าว่าสมคบกับศัตรูเพื่อขายชาติ
แต่ฝ่าบาททรงเป็นประมุขของประเทศ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ อาจกล่าวได้ว่าพักนี้พระองค์ทรงฟั่นเฟือนไปแล้ว
‘ตึง ตึง!’
สมุหราชเลขาธิการทุบโต๊ะทันทีเมื่อเห็นปราชญ์มหาสำนักเข้ามา เขาผ่อนลมหายใจพลางเปล่งเสียงนุ่มทุ้ม
“หลังมื้อกลางวัน ข้าจะลองไปพบท่านโหราจารย์ที่หอดูดาวอีกหน”
ประสาทรับกลิ่นของเขาเฉียบคมกว่าคนอื่นๆ หลังจากที่เว่ยเยวียนเสียชีวิตในสนามรบ หวางเจินเหวินจึงได้สานต่อเรื่องนี้ตามข้อมูลที่ส่งกลับมา
เขาสังเกตเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันกับทั้งสองประเทศเท่านั้นแต่ยังพัวพันกับความลับของคนยศชั้นสูงสุดอีกด้วยและระยะหลังมานี้มันก็เป็นประเด็นที่เหล่าราชเลขาอย่างพวกเราไม่อาจล่วงรู้ได้
แต่ท่านโหราจารย์จะต้องรู้อย่างแน่นอน
เหล่าปราชญ์มหาสำนักพยักหน้าช้าๆ ปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋กล่าวเสียงทุ้ม “ท่านลองขอให้ท่านโหราจารย์ช่วยปรามฝ่าบาทด้วยอีกแรงสิ”
หากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไป อาจกลายเป็นเหตุให้ศัตรูทางการเมืองเกิดวิพากษ์วิจารณ์ จนไม่สามารถรักษาตำแหน่งปราชญ์มหาสำนักไว้ได้ แต่เขายังคงพูดเช่นนั้น เพียงคิดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
มันแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดมากเพียงใด
ขณะนั้นเองขุนนางของสำนักราชเลขาธิการได้มาถึงประตูห้องประชุมพลางรายงานว่า “ขออนุญาตท่านใต้เท้า มีคนผู้หนึ่งมาขอเข้าพบขอรับ เขากล่าวว่าเป็นรองแม่ทัพชื่อจางไคไท่ ต้องการพบท่านสมุหราชเลขาธิการ”
“รองแม่ทัพจางไคไท่ เขาไม่ได้ไปกรมทหารหรอกหรือ มาทำอะไรที่สำนักราชเลขาธิการกัน?” เฉียนชิงซูขมวดคิ้ว
จ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อเอ่ย “บางทีเขาอาจไปที่กรมทหารแล้ว แต่เผอิญมีธุระอื่นจึงอยากขอเข้าพบใต้เท้าหรือเปล่าขอรับ?”
หวางเจินเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ให้เขาเข้ามา”
ขุนนางของสำนักราชเลขาธิการล่าถอยออกไป ไม่นานนายพลวัยกลางคนคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมชุดเกราะที่อาบไปด้วยรอยคมมีดและเลือด
นี่…แต่งตัวแบบนี้เข้าเมืองหลวงได้อย่างไรกัน?
เหล่าปราชญ์มหาสำนักพลันตกตะลึง
“ข้าน้อยหลี่อี้ ผู้บัญชาการรองแม่ทัพจาง เป็นเกียรติอย่างยิ่งได้พบใต้เท้า” หลี่อี้ประสานมือทำความเคารพ
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้าและถามว่า “เจ้าไม่ได้ประจำการที่กองทัพชายแดนหรอกหรือ เหตุใดถึงกลับมา? แล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
หลี่อี้กล่าวตอบว่า “เมื่อวานนี้ข้าน้อยยังอยู่ที่ด่านอวี้หยางในเซียงโจวขอรับ เพิ่งกลับมาถึงที่เมืองหลวงเช้าวันนี้ หยางเชียนฮ่วนแห่งสำนักโหราจารย์เป็นคนพาข้าน้อยกลับมา”
ปราชญ์มหาสำนักทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยใบหน้าที่งุนงง ขณะนั้นสมุหราชเลขาธิการหวางก็ถามต่อ “ข้อมูลม้าเร็วแปดร้อยลี้เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?”
หลี่อี้สีหน้าเคร่งขรึมพลางพยักหน้า
ทันใดนั้นประกายความหวังสุดท้ายในดวงตาของสมุหราชเลขาธิการหวางพลันดับวูบลง เขานิ่งเงียบอยู่นานก่อนพูดว่า “เจ้าขอเข้าพบข้ามีเรื่องอะไรล่ะ”
หลี่อี้เอ่ย “วานซืนก่อน สองกองกำลังพันธมิตรของประเทศเหยียนและคังจำนวนแปดหมื่นนายบุกโจมตีด่านอวี้หยางขอรับ”
“ว่าไงนะ?!”
ปราชญ์มหาสำนักทุกคนต่างตกใจ
มือที่กอบกุมถ้วยชาของสมุหราชเลขาธิการหวางสั่นเทาอย่างรุนแรง ชาร้อนผ่าวกระเซ็นรดหลังมือโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
………………………………………………