ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 474 เขากำลังยิ้ม
บทที่ 474 เขากำลังยิ้ม
สายลมแรงในฤดูใบไม้ร่วง แผดเสียงผ่านแท่นแปดทิศ ร่างของสมุหราชเลขาธิการหวาง ดูเหมือนจะสั่นคลอนไปตามสายลม
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็เปิดปาก เปล่งเสียงอันแหบแห้งออกมา “คดีสังหารหมู่ของไหวอ๋อง เขาก็มีส่วน ใช่หรือไม่”
ท่านโหราจารย์ไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่การเงียบก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ
ใบหน้าของชายชราอายุมากกว่าห้าสิบปีค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “ทำไมท่านไม่ห้ามตั้งแต่แรก?” เสียงสมุหราชเลขาธิการหวางแหบแห้ง
“แผ่นดินนี้เป็นของเขา ไม่ใช่รึ” ท่านโหราจารย์ถามกลับด้วยรอยยิ้ม
สมุหราชเลขาธิการหวางพูดไม่ออก ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความสับสน เพราะแผ่นดินนี้เป็นของบุคคลนั้น เรื่องนี้จึงทำให้เขาไม่เข้าใจเหตุผล ซึ่งมันยากที่จะทำความเข้าใจจริงๆ
กระทั่งก่อนก้าวเข้าสู่หอดูดาว ก่อนบทสนทนานี้ สมุหราชเลขาธิการหวางก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับการคาดเดาของตนเอง
ท่านโหราจารย์กล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่แผ่นดินนี้ก็เป็นของประชาชนทั่วไปเช่นกัน”
หลังจากกล่าวประโยคนี้แล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรอีก
สมุหราชเลขาธิการหวางเดินจนถึงแท่นแปดทิศ พลางมองไปทางพระราชวัง ความโศกเศร้า ความโกรธ ความสับสน และความผิดหวังรวมอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
‘ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ถึงต้องก่อกบฏ?!’
สมุหราชเลขาธิการหวางทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไร้ซึ่งคำถามใดๆ เขาเพียงแค่เดินจากไปอย่างสงบ
…
หอดูดาวชั้นเจ็ด
สวี่ชีอันนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอนราวกับไร้ชีวิต โดยมีโหรชุดขาวท่านหนึ่งกำลังเปลี่ยนยาให้เขา
ซ่งชิงพาโหรชุดขาวที่เลื่อมใสศรัทธาคุณชายสวี่มาเยี่ยมเขาที่ข้างเตียง
“ไอหยา บาดแผลสาหัสจริงๆ”
“เจ็บหนักเช่นนี้ ต่อให้หายดี ก็ย่อมมีโรคเรื้อรังตามมากระมัง”
“พวกเราเปลี่ยนร่างให้คุณชายสวี่ไม่ดีกว่ารึ ข้าคิดว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจมาก”
“หลังจากนั้น ร่างนี้ก็เก็บไว้ให้ศิษย์พี่ซ่งทดลองการเล่นแร่แปรธาตุ?”
“คุณชายสวี่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุมาทั้งชีวิต ข้าว่าเขาต้องมีความสุขมาก ที่ได้อุทิศร่างกายให้กับการเล่นแร่แปรธาตุ”
เหล่าโหรชุดขาวกล่าวกระซิบกระซาบ
‘พวกเจ้าเป็นปีศาจรึ?!’ หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาโพลง และแทบอยากจะชักดาบไล่คนเหล่านี้ออกไปเสียเดี๋ยวนี้
ซ่งชิงยกมือขึ้นมาห้ามปรามเสียงอึกทึกของเหล่าศิษย์น้อง ก่อนจะกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ช่างวุ่นวายจริงๆ จู่ๆ จะใช้ร่างของคุณชายสวี่มาทำการทดลองได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องถามความเห็นของเขาบ้าง นี่คือมารยาทขั้นพื้นฐาน”
“ไปไปไป!” หลี่เมี่ยวเจินสบถเล็กน้อย ก่อนจะไล่โหรที่น่ารำคาญเหล่านี้ออกไป
“ศิษย์ของท่านโหราจารย์ ไม่มีใครปกติเลยจริงๆ” นางบ่นกับฉู่ไฉ่เวยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
ฉู่ไฉ่เวยได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ในบรรดาลูกศิษย์ทุกคนที่สืบทอดโดยไต้ซือ ข้าเป็นคนที่ปกติและฉลาดที่สุดแล้ว”
‘บังอาจถามแม่นาง มีความมั่นใจมาจากที่ใดหรือ?’ หลี่เมี่ยวเจินชายตามองนางเล็กน้อย
…
ณ พระราชวัง
ภายในห้องสุสานจักรพรรดิอันโอ่อ่าตระการตา ขันทีชรากำลังรายงานข่าวลือในตลาดอย่างเอาจริงเอาจัง “ทุกคนในตลาดล้วนยกย่องชื่นชมสวี่…เรื่องของเจ้าสุนัขสวี่ชีอันนั่น บางคนก็พูดว่าเขาฆ่าศัตรูไปหนึ่งแสนคน บางคนก็พูดว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคน บางคนก็พูดว่าสองแสนคน และยังมีคนพูดว่าเขาฆ่าทหารชั้นยอดไปห้าแสนนายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีชรากล่าวเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอีกว่า “ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีประโยคที่ว่า คำพูดของคนน่ากลัวที่สุดได้อย่างไร อย่าทรงสนพระทัยทั้งเรื่องดีและไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งแพร่กระจายไปมาก ใจความก็ยิ่งเปลี่ยน แต่ถึงแม้สวี่ชีอันผู้นี้จะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งชายตามองขันทีที่ซ่อนความยินดีไว้ในแววตา และกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เรียกหยวนสยงและฉินหยวนเต้ามาเข้าเฝ้าข้า”
ขันทีชราเชี่ยวชาญในการพิจารณาจากคำพูดและสีหน้าเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทดูเหมือนจะไม่มีความสุขเท่าใดนัก เขาก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกอย่างรุนแรง เขาหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธที่ท่วมท้นอยู่ในอก
สำนักพ่อมดไร้ค่าเช่นนี้ กำลังพลทหารชั้นยอดแปดหมื่นนายถูกเด็กคนหนึ่งฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่นายพลทั้งสองท่านก็ยังตายด้วยน้ำมือของเขา หากไม่สังหารทั้งสามรัฐอย่าง เซียงโจว จิงโจว และอวี้โจวได้ ก็จะไม่สามารถลบล้างโชคชะตาของต้าฟ่ง และความดีของเขาได้เช่นกัน
“เว่ยเยวียนเอ๋ยเว่ยเยวียน ดูเหมือนจะเป็นชะตาฟ้าลิขิต ที่ต้องการให้เจ้ามีชื่อเสียงอันเหม็นโฉ่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์!” จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวพึมพำกับตนเองด้วยสีหน้ามืดมน
หลังจากครึ่งชั่วยาม ขันทีชราก็เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท ฉินหยวนเต้าและหยวนสยงรอเข้าเฝ้าอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “ให้ฉินหยวนเต้าเข้ามาก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีชราถอยออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็นำทางรองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าเข้ามาด้านในอีกครั้ง
“เจ้าทำได้ดีมาก!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะขนาดใหญ่ ซึ่งปูด้วยผ้าไหมสีทองอร่าม พลางมองลงมาที่ฉินหยวนเต้า
เขาไม่ได้กล่าวว่าเรื่องอะไร แต่ระหว่างคู่กษัตริย์และขุนนางทั้งสองนี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวต่อไปว่า “คณะปราชญ์มหาสำนักเป็นเสาหลักของประเทศ ข้าพิจารณามานานแล้ว คิดว่าใต้เท้าฉินมีความสามารถอย่างยิ่ง”
“ฝ่าบาททรงชื่นชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่คู่ควรกับคำชมเหล่านั้น”
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “ใต้เท้าฉินไม่ต้องปฏิเสธ รอให้สิ้นเรื่องของเว่ยเยวียน สถานการณ์ของท้องพระโรงก็น่าจะเปลี่ยนแล้ว”
ฉินหยวนเต้าโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง “กินเงินเดือนของจักรพรรดิ แบกความกังวลของจักรพรรดิ การแบ่งเบาความทุกข์ของฝ่าบาท คือหน้าที่ของข้าราชบริพาร”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เขาหันไปมองขันทีชรา และกล่าวว่า “ให้หยวนสยงเข้ามาพบข้า”
ไม่นาน หยวนสยงก็เข้ามาในห้องทรงพระอักษร
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่อ่อนโยนอีกต่อไป เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำด้วยความเย็นชาว่า “ว่ากันว่าวิถีการเป็นข้าราชบริพารนั้น สิ่งที่ต้องพิถีพิถันที่สุด ไม่ใช่ทำเพื่อประเทศ ไม่ใช่ทำเพื่อกษัตริย์ หรือทำเพื่อประชาชน แต่เป็นคำสี่พยางค์ที่ว่า ‘วางตัวสำรวม’ รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาน่าจะเชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี”
หยวนสยงตกตะลึงอย่างขีดสุด พลางคุกเข่าลงที่พื้น และตะโกนว่า “กระหม่อมสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมหายใจด้วยความเย็นชา “หืม? เจ้าทำความผิดอะไร ลองพูดให้ข้าฟัง”
หยวนสยงมีประสบการณ์รับราชการมาหลายปี เขาย่อมคุ้นเคยกับเหตุผลที่ว่า อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ เขาจึงกล่าวด้วยท่าทีหวาดกลัวว่า “การไม่สามารถแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทได้ ถือเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าราชบริพารพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้น และกล่าวว่า “ตอนนี้เว่ยเยวียนสิ้นชีพที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดในเมืองจิ้งซานแล้ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่สามารถเป็นเรือที่ขาดหางเสือได้ จำเป็นต้องมีคนมาควบคุมดูแลหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่ง และฝ่ายตรวจการคนหนึ่ง เดิมทีข้าชอบใจใต้เท้าหยวน”
หยวนสยงเกือบจะได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นรัวราวกับกลอง ความตื่นเต้นพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง และไม่เปิดเผยความรู้สึก พลางโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งและกล่าวว่า “กระหม่อมจะรับใช้ฝ่าบาทจนกว่าร่างกายจะเเหลกราญพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวว่า “ใต้เท้าหยวนคิดอย่างไรกับสงครามตะวันออกเฉียงเหนือ?”
หยวนสยงกล่าวเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาททรงชี้ทางสว่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
…
วันถัดมา การประชุมตอนเช้าดำเนินไปตามปกติ
สามวันมานี้ ราชสำนักล้วนหารือถึงผลที่ตามมาภายหลังอย่างแข็งขัน แต่ขุนนางทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริงยังไม่เริ่มต้นขึ้น
สงครามการต่อสู้นี้เรียกว่าเป็นการช่วยเหลือเผ่าปีศาจ และโจมตีสำนักพ่อมด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องสำรวจสาระสำคัญของผลลัพธ์
หลังจากสำรวจสาระสำคัญของผลลัพธ์ ถึงจะสามารถประกาศสู่สาธารณะ ให้คำอธิบายแก่ประชาชนใต้หล้า นักประวัติศาสตร์ยังต้องรู้ว่าควรเขียนอย่างไร ยกย่อง หรือว่าโจมตี
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หยวนจิ่งถูกชักจูงตลอดเวลา ขุนนางบางส่วนที่มีความคิดและสายตาอันเฉียบแหลมก็คิดอะไรบางอย่างออก
ฝ่าบาทกำลังรอให้มีคนออกเสียงที่แตกต่างออกไป เพียงแต่นี่จะเป็นเรื่องผิดในที่สุด ผู้ที่ออกหน้าเป็นคนแรก ย่อมต้องเสียชื่อ จะมีขุนนางคนใดไม่หวงแหนชื่อเสียงของตนเอง?
เรื่องนี้แตกต่างจากข้อพิพาททั่วไป หากทำผิดพลาด เจ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศได้ทุกนาที จากนั้นก็จะถูกชำระบัญชี หรือไม่ก็ถูกลดตำแหน่ง หรือถูกไล่ออก หลังจากนั้นเจ้าก็จะถูกบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์
ในขณะที่ฟ้ายังไม่สว่าง เหล่าขุนนางชั้นสูงเดินเข้ามาทางประตูด้านข้างของประตูอู่ท่ามกลางเสียงระฆังตามลำดับ ก่อนจะเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง
เทียนรูปมังกรผันหลงเคลือบทองที่เรียงรายเป็นแถว ส่องแสงสว่างไปทั่วตำหนักอันยิ่งใหญ่
ขุนนางชั้นสูงเข้าไปในท้องพระโรง และรออยู่ครึ่งชั่วยาม จักรพรรดิหยวนจิ่งที่สวมเสื้อคลุมสีทองก็เดินมาอย่างช้าๆ
ในขณะที่จักรพรรดิและขุนนางหารือเกี่ยวกับประเด็นหลังสงคราม เจ้ากรมการคลังเดินออกมาจากแถว และกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่เป็นการเหมาะสมที่จะผัดวันเรื่องเงินบำรุงขวัญอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงโปรดให้คำอธิบายแก่ประชาชนใต้หล้า และครอบครัวของทหารที่สิ้นชีพไปในเร็ววันด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้หลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ เขามองลงไปที่ขุนนางทุกคน พลางกล่าวช้าๆ ว่า “ขุนนางทุกท่านคิดว่าอย่างไร?”
ฝ่ายตรวจการจางสิงอิงเดินออกมาจากแถว และกล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท เว่ยกงยึดครองแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด และสังหารหมู่เมืองจิ้งซาน นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ที่ราบกลาง ขอฝ่าบาททรงโปรดถวายสมัญญาแก่เว่ยกงให้เป็นเว่ยกั๋วกงชั้นหนึ่ง สมัญญาจงอู่ ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากจักรพรรดิอู่จง นี่ถือเป็นเกียรติอันสูงสุด
เว่ยกั๋วกงชั้นหนึ่ง เป็นชั้นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุด
จงอู่ เป็นสมัญญาที่มีเกียรติสูงสุดของผู้บัญชาการทหาร
อย่างไรเว่ยเยวียนก็ไม่ใช่ปัญญาชนที่มาจากการสอบขุนนาง ทั้งไม่มีลาภยศ มิเช่นนั้น จางสิงอิงคงกล้าที่จะเอ่ยปากขอพระราชทานสมัญญา ‘เหวินเจิ้ง’ จากจักรพรรดิ
ขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงต่างก็หันมามองหน้ากัน ขณะนี้เกิดการไม่โต้แย้งที่หาได้ยาก หนึ่งในนั้นรวมถึงอดีตศัตรูทางการเมืองด้วย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้เหล่าขุนนางบุ๋นจะต้องรวมหมู่กันออกมาตบหน้าเขาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
ประการแรก คุณูปการและความสำเร็จของเว่ยเยวียนคู่ควรกับเกียรติยศเหล่านี้ ประการถัดมา คนตายก็เหมือนตะเกียงไฟที่ดับแล้ว จะตั้งสมัญญาให้เขาแล้วอย่างไร ซ้ำสิ่งนี้ยังเป็นการแสดงความเอื้ออาทรอันสูงส่งของขุนนางปัญญาชนอย่างพวกเขาได้อย่างประจวบเหมาะ
ขุนนางพรรคเว่ยทยอยเดินออกมาจากแถวทีละคนด้วยความเห็นด้วยกับจางสิงอิง
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่พูดอะไร และชายตามองรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหยวนสยง เขาเข้าใจความต้องการของจักรพรรดิในทันที พลางเดินออกมาจากแถว และกล่าวตะโกนว่า “ไร้สาระ จางสิงอิงและคนพวกนี้ช่างไร้สาระ ฝ่าบาท อย่าทรงหลงกลขุนนางทุจริตเหล่านี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เกิดความโกลาหลขึ้นในท้องพระโรงเล็กน้อย เหล่าขุนนางชั้นสูงใช้กลยุทธ์ล่าถอย และคอยสังเกตว่าคนถ่อยผู้นี้จะกำลังทำอะไรอีก?
จักรพรรดิหยวนจิ่งแสดงท่าทีไม่พอใจ และขมวดคิ้วกล่าวว่า “ใต้เท้าหยวนกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เว่ยเยวียนคือเทพสงครามของต้าฟ่ง เขาทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และสละชีพเพื่อชาติ ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นคนสนิทที่ข้าเชื่อใจ ตั้งสมัญญาเพื่อสดุดีเขาก็ถือเป็นเรื่องอันสมควร”
“ฝ่าบาท!”
หยวนสยงแผดเสียงดังลั่น และกล่าวว่า “เว่ยเยวียนผู้นี้ ความตายยังน้อยไปสำหรับเขา ความบุ่มบ่ามของเขานำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติและประชาชน เขาจึงไม่ใช่ขุนนางที่สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไอ้สารเลว!”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงโกรธจัด เขาเป็นคนสนิทที่เว่ยเยวียนไว้เนื้อเชื่อใจและเลื่อนขั้นให้กับมือ เช่นเดียวกับเจ้ากรมทหาร ทั้งหมดล้วนเป็นกระดูกสันหลังของพรรคเว่ย จางสิงอิงก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
‘เผียะ!’
เสียงตำหนิด้วยความโกรธของหลิวหง แลกกับเสียงแส้และเสียงตะโกนตำหนิที่ดังสนั่นของขันทีชรา “อย่าเอะอะ”
เมื่อมีผู้สนับสนุน หยวนสยงจึงไม่ตื่นตกใจสักนิด เขากล่าวด้วยอารมณ์ฮึกเหิมว่า “ถูกต้อง เป็นเรื่องจริงที่เว่ยเยวียนยึดครองแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ความผิดของเว่ยเยวียนนั้นมากเกินจะคณานับ”
จางสิงอิงหรี่ตาลง และกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “โจมตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดถือว่าเป็นความผิดรึ? ฝ่าบาท หยวนสยงผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด ขอฝ่าบาททรงตัดหัวขุนนางสุนัขผู้นี้เป็นการลงโทษ ฐานสมคบคิดกับศัตรูทำลายชาติด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสยงกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่า “จุดประสงค์ของการออกรบคือ ช่วยเหลือเผ่าปีศาจ หยุดความทะเยอทะยานของสำนักพ่อมดในการผนวกดินแดนทางเหนือ แต่พวกท่านจงดูเถิดว่าเว่ยเยวียนทำอะไร? เขานำกองทัพเข้าจู่โจมเมืองจิ้งซาน ซึ่งเป็นแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด และทำให้ทหารต้าฟ่งกว่าแปดหมื่นนายถูกฝังอยู่ในแผ่นดินศัตรู เว่ยเยวียนเห็นแก่ตัว บุ่มบ่ามและโลภในชื่อเสียงอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้ ฝ่าบาท ทหารทั้งแปดหมื่นนายนั้น พวกเขามีพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดู บางคนก็ยังมีลูกที่ต้องเลี้ยงดูอีก แต่เพราะความโลภของเว่ยเยวียน เป็นผลให้เหล่าทหารต้องสละชีพในต่างแดน คนที่นำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติและพลเมืองเช่นนี้ จะเป็นอัศวินได้อย่างไร? จะคู่ควรได้รับสมัญญาจงอู่ได้อย่างไร?”
เฉียนชิงซูพรรคหวางเดินออกมาจากแถวและกล่าวโต้แย้งว่า “หยวนสยง เจ้าหยุดวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ได้แล้ว อย่าปล่อยข่าวลือให้คนเข้าใจผิด เพื่อช่วยเผ่าปีศาจ ทำให้สำนักพ่อมดถอนกองทัพทหาร ยังมีวิธีที่ดีกว่าการยึดครองแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดด้วยรึ? หลังจากเว่ยเยวียนยึดครองแท่นบูชาหลัก จิ้งกั๋วก็ถอนทัพทันที นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ การล้มตายและบาดเจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสนามรบ นี่เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ยึดครองสำนักพ่อมดได้สำเร็จ แล้วเจ้าจะพูดให้ร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร”
หยวนสยงหัวเราะ ‘เหอๆ’ และกล่าวว่า “พูดให้ร้ายรึ? มีอีกหลายวิธีในการบีบบังคับให้จิ้งกั๋วถอนทัพ หรือว่ายึดเหยียนกั๋วยากกว่าการยึดครองเมืองจิ้งซาน? หรือว่ายึดเมืองหลวงของจิ้งกั๋ว ยากกว่าการยึดครองเมืองจิ้งซาน? เว่ยเยวียนคือตำราพิชัยสงครามของทุกคน เขาย่อมรู้หลักการเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่เขากลับเลือกเมืองจิ้งซาน สุดท้ายกองทัพกว่าหนึ่งแสนนายเกือบถูกกวาดล้าง มีทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายที่รอดกลับมา ทำไม? เพราะเว่ยเยวียนเพียงแค่อยากฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ไม่ใช่รึ?”
ทุกคนในท้องพระโรงเริ่มกระซิบกระซาบที่ข้างหูกันอีกครั้ง
สิ่งที่หยวนสยงพูดทั้งหมดมีเหตุผลหรือไม่?
มี
การออกรบครั้งนี้ก็เพื่อสกัดกั้น และบีบบังคับให้จิ้งกั๋วถอนทัพ ตราบใดที่เว่ยเยวียนโจมตีและปิดล้อมเหยียนกั๋ว บุกโจมตีคังกั๋วที่เป็นกำลังเสริมอีกครั้ง จิ้งกั๋วจะไม่ถอนทัพได้อย่างไร?
อันที่จริงเว่ยเยวียนทำได้แล้ว กองทัพทหารเข้าใกล้เมืองหลวงของเหยียนกั๋ว ต่อมาก็ล้อมโจมตีกองทัพกำลังเสริมทั้งหมดก็จะสำเร็จ หรือบุกจู่โจมเมืองหลวงของจิ้งกั๋วโดยตรงไม่ดีกว่ารึ แต่เขากลับเลือกที่จะโจมตีเมืองจิ้งซาน และตายไปพร้อมกับแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดในที่สุด แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพทหารก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน
ทหารหนึ่งหมื่นแปดพันนายที่เหลือ ส่วนใหญ่ถูกถอนกลับมาจากเหยียนกั๋ว ทหารที่มีชีวิตรอดจากสงครามที่เมืองจิ้งซานมีไม่ถึงห้าพันนาย
หากพูดว่าเว่ยเยวียนไม่มีความคิดละโมบและบุ่มบ่าม ทุกคนที่อยู่ที่นี่ย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน
เมื่อเห็นไฟใกล้จะปะทุ เจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าก็เดินออกมาจากแถว และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าฝ่ายตรวจการหยวนพูดถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เว่ยเยวียนโลภมากและบุ่มบ่าม ไม่เพียงแต่ฝังกองทัพกว่าแปดหมื่นนายในดินแดนศัตรู แต่ยังกระตุ้นความแค้นของสำนักพ่อมดด้วย หากตอนนั้นสวี่ชีอันไม่ได้อยู่ที่ด่านอวี้หยางพอดี เกรงว่าตอนนี้เซียงโจวคงจะกลายเป็นเมืองรกร้าง ประชาชนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมเมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องนี้…สีหน้าของขุนนางพรรคเว่ยทุกคนเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฉินหยวนเต้าใช้เรื่องนี้มาโจมตีเว่ยกง และยังเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
หากด่านอวี้หยางล่มสลาย ประชาชนชาวเซียงโจวก็ต้องเผชิญกับการถูกฆ่าล้างแค้น เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เว่ยกงทำ ก็จะไม่มีคุณงามความดีให้ควรแค่แก่การพูดถึงอีกต่อไป
สมุหราชเลขาธิการหวางขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นภายในจิตใจ กองทัพพันธมิตรเหยียนกั๋วและคังกั๋วจู่โจมด่านอวี้หยางครั้งนี้ เป็นการปูทางให้ฝ่าบาทสกัดกั้นคุณงามความดีของเว่ยเยวียนอีกครั้ง เพียงเพื่อสมัญญาเท่านั้น คงไม่ใช่กระมัง จะต้องมีความลับอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน หรือการทำลายชื่อเสียงและคุณูปการของเว่ยเยวียนเป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมาย…
จิตใจของสมุหราชเลขาธิการหวางเต็มไปด้วยความมืดมน เขาเดินออกจากแถวและกล่าวว่า “ว่ากันตามความจริง ข้าได้พบกับสวี่ชีอันแล้ว เขาบอกกระหม่อมว่า เหตุผลที่เขาไปด่านอวี้หยาง เพราะได้รับการสนับสนุนจากเว่ยเยวียน เว่ยเยวียนรู้ว่าสำนักพ่อมดจะต้องแก้แค้นเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้”
ยอดเยี่ยม!
จางสิงอิงและพรรคพวกต่างก็ดวงตาเป็นประกาย
ฉินหยวนเต้าใช้ความสำเร็จของสวี่ชีอันมาวิจารณ์เว่ยกง การเคลื่อนไหวของสมุหราชเลขาธิการหวางครั้งนี้ ไม่ต่างอะไรกับการดึงฟืนที่กำลังเผาไหม้ออกจากใต้หม้อ
นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็ตาม สวี่ชีอันก็ต้องยืนหยัดข้างเว่ยกงอย่างแน่นอน
ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อนกว่าขิงอ่อน
หยวนสยงกล่าวโต้แย้งว่า “ในเมื่อคำนวณแล้วว่าสำนักพ่อมดจะก่อเหตุแก้แค้น เหตุใดจึงไม่แจ้งราชสำนัก แต่กลับฝากฝังไว้กับประชาชนคนหนึ่งงั้นรึ? หรือท่านสมุหราชเลขาธิการคิดว่าฝ่าบาททรงเป็นเด็กสามขวบ ที่ถูกล่อลวงได้ตามใจชอบงั้นรึ?”
‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ ของหยวนสยงและฉินหยวนเต้าค่อยๆ คล้อยตาม สนับสนุนความคิดของรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาท่านนี้
ทั้งสามฝ่ายโต้แย้งกันจนสถานการณ์วุ่นวายอย่างยิ่ง
เวลานี้เอง จวิ้นอ๋องท่านหนึ่งก็ก้าวออกมา และกล่าวตะกุกตะกักว่า “ฝ่าบาท เว่ยเยวียนละโมบและบุ่มบ่าม เป็นผลให้ต้าฟ่งประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก กระทั่งเผ่าปีศาจยังไม่สูญเสียเท่าต้าฟ่งของพวกเรา นี่กำลังช่วยเหลือเผ่าปีศาจงั้นหรือ? นี่เป็นการตัดกำลังชาติของตนเองต่างหาก แน่นอนว่าเมืองจิ้งซานล่มสลายแล้ว แต่ต้าฟ่งได้ชัยชนะจากที่ใด? เกรงว่าตอนนี้เผ่าปีศาจคงกำลังเสวยสุข พวกเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการจับเสือมือเปล่า หากปีหน้ารุกรานชายแดนฉู่โจวอีก จะทำอย่างไรหรือ?”
ความหมายของจวิ้นอ๋องท่านนี้เรียบง่ายมาก ถึงแม้เมืองจิ้งซานจะถูกตีแตกแล้ว แต่ต้าฟ่งก็พ่ายแพ้ในสงครามเช่นกัน
เว่ยเยวียนสมควรตาย!
มีขุนนางตระกูลสูงศักดิ์หลายท่านเดินออกจากแถวมาสนับสนุนรองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าและรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหยวนสยง
“เอาล่ะ!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งแสดงสีหน้าเศร้าสลด พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “เว่ยเยวียนคือคนสนิทของข้า และอยู่เคียงข้างข้ามากว่ายี่สิบปี เขาพลีชีพเพื่อชาติ ข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเรื่องนี้อีกทีเถอะ”
เขาลุกขึ้นทันที และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออยู่ลับหลังเหล่าขุนนาง มุมปากของจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับค่อยๆ โค้งขึ้น
เขากำลังยิ้ม
…………………………………………………………..