ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 475 ฟ้องร้ององค์จักรพรรดิ
บทที่ 475 ฟ้องร้ององค์จักรพรรดิ
จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้ดีว่าการต่อสู้ในราชสำนักเปรียบเหมือนกับการปรุงปลาตัวเล็กๆ ต้องค่อยๆ ตุ๋นไฟอ่อนจึงจะได้รสชาติที่น่าพอใจ
แผนตีสนิทคนกลุ่มหนึ่งและกดดันคนอีกกลุ่มหนึ่งก้าวหน้าไปตามลำดับ ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ศัตรูโต้กลับและระบายอารมณ์ ค่อยๆ บั่นทอนกำลังใจและจิตใจอันฮึกเหิมในการต่อสู้ของอีกฝ่ายลงทีละน้อย
หากเขาผู้ที่เป็นถึงประมุขของประเทศต่อต้านความเห็นทั้งปวง แล้วบีบบังคับให้เว่ยเยวียนถูกตัดสินต้องโทษ ท้ายที่สุดมันย่อมจบลงด้วยการที่เหล่าขุนนางปิดล้อมประตูอู่หลังการจากไปของไหวอ๋อง
การที่ขุนนางจะปิดล้อมประตูอู่ได้ก็เพราะเขาที่ลงทุนลงแรงไปมากโขไม่ใช่หรือ
หมากที่วางไว้และทุกอย่างที่ทำมาจะค่อยๆ พลิกโฉมคดีฉู่โจวทีละน้อย ลงล็อกตามหลักทฤษฎีตุ๋นไฟอ่อนทุกกระเบียดนิ้ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งเดินทอดน่องอยู่ในพระราชวัง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาต้องการรักษาสมดุลแห่งโชคชะตาไว้ไม่ให้หลุดลอยไป แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือเขย่าโชคชะตา
ในเมื่อสองประเทศเหยียนคังใช้การไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือเอง
แม้วันนั้นจะยังไม่ได้วางแผนยุทธการครั้งนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ทำให้ในราชสำนักเกิดเสียงแตกแยกออกเป็นหลายฝ่าย สำหรับผู้มีประสาทรับรู้กลิ่นอันเฉียบแหลมและวิเคราะห์สถานการณ์ในท้องพระโรงได้อย่างเฉียบคม นี่ถือเป็นสัญญาณที่สำคัญมาก
ผู้ที่ต้องการแสดงจุดยืน ตอนนี้ต้องทำการเลือกข้างแล้ว
ส่วนผู้ที่ไม่ก็ปิดปากอย่างเชื่อฟัง คอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
สองวันมานี้วาระการประชุมน้อยใหญ่ภายในราชสำนักถูกจัดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง อดีตสมาชิกของพรรคเว่ยไม่ยอมล่าถอย ทั้งสมาชิกพรรคหวาง หยวนสยงและฉินหยวนเต้าต่างก็โต้เถียงกันอย่างดุเดือด
จักรพรรดิหยวนจิ่งประทับบนบัลลังก์เฝ้าดูการต่อสู้ของคนใหญ่คนโตเหมือนที่เคยทำอย่างหลายทศวรรษที่ผ่านมา
สิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือสมุหราชเลขาธิการหวางที่ต่อสู้เคียงเว่ยเยวียนมาครึ่งค่อนชีวิต ด้วยทัศนคติอันน่าทึ่งเขาจึงยืนหยัดข้างอดีตสมาชิกของพรรคเว่ยอย่างไม่ย่อท้อ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อวางแผนยุทธการในครั้งนี้
…
ณ หน้าลานเล็กทางตอนเหนือของเมือง
รถม้าหรูหราค่อยๆ จอดเทียบข้างถนน ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบลำลองลงมาจากรถม้ารายล้อมด้วยผู้ติดตาม ก่อนจะเคาะลงที่ประตูลานเล็ก
คนที่เปิดประตูออกมาเป็นลูกสะใภ้ร่างบาง เพราะอีกฝ่ายนุ่งผ้าซิ่นเมื่อเห็นชายหนุ่มมากมายยืนอออยู่ที่นอกประตูจึงตกใจรีบปิดประตูฉับพลัน
ผู้ติดตามคนหนึ่งยื่นมือเข้าไปขวางไว้พลางตำหนิว่า “อย่าริอาจหยาบคาย รู้หรือไม่ว่าผู้ใดยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า”
สะใภ้เล็กที่ถูกขวางเอาไว้ รีบถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก ตะโกนเข้าไปด้านใน “ท่านแม่ มีแขกมาเจ้าค่ะ…”
หญิงชราผมขาวเดินออกจากบ้านพร้อมไม้เท้า มองไปยังเหล่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างระแวดระวัง “พวกท่านเป็นใคร?”
หญิงชราเองก็เป็นผู้มั่งคั่งสูงศักดิ์ เพียงมองเนื้อผ้าราคาแพง เสื้อผ้าที่ถูกตัดเย็บอย่างดี เช่นเดียวกับรัดหยกที่ห้อยอยู่รอบเอวของชายวัยกลางคนแวบเดียว ก็สามารถระบุได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา
สิ่งนี้ยิ่งทำให้หญิงชราหวาดระแวงมากขึ้น
จุดประสงค์ของพวกขี้ข้าจากราชสำนักนั้นแสดงออกชัดเจนว่าพวกเขาต้องการขู่กรรโชก แม้ว่าจะน่ารังเกียจแต่อย่างน้อยก็ตรงไปตรงมา ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ตระกูลของนางยากจนข้นแค้นแต่ละวันใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก พวกขี้ข้าไร้มนุษยธรรมพวกนี้ไม่มีทางให้ค่ามาเหยียบที่นี่อีก
แล้วชายวัยกลางคนผู้สูงศักดิ์เบื้องหน้าคนนี้มีธุระอะไรกัน?
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเงินทอง
ชายวัยกลางคนยืนอยู่กลางลานบ้านพร้อมด้วยเหล่าแม่ไก่ตัวน้อยที่ตรงมุมบ้าน กลิ่นมูลไก่เบาบางที่โชยอบอวลในอากาศทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าคือภรรยาเอกของลู่เจิ้นหนานใช่หรือไม่?” เขาถาม
ลู่เจิ้นหนานเป็นชื่อเดิมของลู่เหยีย
ทันใดนั้นหญิงชราก็ร้องครวญครางออกมาดังลั่น ทิ้งไม้ค้ำแล้วทรุดนั่งลงบนพื้นเล่นละครตามวิถีมารยาหญิง กล่าวโดยสรุปคือนางกรีดร้องเรียกความสนใจ ก่อนจะยกตนเหนือศีลธรรมรับบทเป็นผู้บริสุทธิ์
แม้หญิงชราจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์และวิถีที่ได้เรียนรู้มาจากเมืองย่านตลาดค้าขาย
ทว่าคำพูดต่อมาของชายวัยกลางคนทำให้เสียงร้องของหญิงชราหยุดลงในทันที ราวกับแม่ไก่แก่ถูกใครบางคนบีบคอ
“เจ้าอยากพลิกโฉมคดีของลู่เจิ้นหนานหรือไม่?”
คนแซ่ลู่ลักพาค้าคน ขืนใจคนดี ทั้งยังพลิกโฉมคดีอีก? หญิงชราไม่ได้พยักหน้าหรือปฏิเสธ เพียงมองชายวัยกลางคนอย่างว่างเปล่า
ชายวัยกลางคนยกยิ้ม ก่อนเปลี่ยนเป็นคำพูดที่หญิงชาวตลาดพอจะเข้าใจได้มากที่สุด
“จากการเนรเทศลูกชายของเจ้า คนที่ชื่อเว่ยเยวียน ผู้เป็นหัวหน้าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตอนนี้เขาเสียชีวิตในสนามรบแล้ว มีใครบางคนต้องการแก้รูปคดีของเหล่าผู้บริสุทธิ์ที่ถูกเว่ยเยวียนทำร้ายเหล่านั้น แล้วคืนความบริสุทธิ์และผลงานความชอบให้กับพวกเขา หากหลังมื้อกลางวันเจ้าไปเคาะประตูอู่ ฟ้องร้องเว่ยเยวียนในข้อหายักยอกทรัพย์และใส่ร้ายป้ายสีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ข้ารับรองได้เลยว่าลูกชายที่ถูกเนรเทศไปยังชายแดนของเจ้า จะกลับมารวมตัวก่อนเทศกาลวสันต์ปีนี้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นดวงตาของหญิงชราพลันสว่างวาบขึ้น ท่าทางกระตือรือร้น
ก่อนจะรู้สึกตื่นกลัวเล็กน้อยอีกครั้ง พึมพำเสียงเบา “การฟ้องร้องจักรพรรดิมีโทษถึงประหารชีวิต”
ตามกฎหมายต้าฟ่ง ผู้ที่กระทำจะถูกลงโทษด้วยการโบยไม้ห้าสิบครั้ง
หากชนะคดีก็จะไม่เป็นอะไร แต่หากแพ้จะต้องถูกตัดสินจำคุกสูงสองพันลี้หรือตลอดจนชีวิตจะหาไม่
ด้วยอายุของหญิงชราที่ปาเข้าไปห้าสิบแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคดีความ ถึงตอนนั้นคงอยู่รวมกับคนตายหงำเหงือกที่คุกนั่นจนกว่าจะเวียนว่ายให้คู่สามีภรรยาดึงพาให้มาเกิดถึงจะรอด
ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะพลางเอ่ย “วางใจเถอะ พวกเราจะปกป้องเจ้าเอง หากเจ้าตายไป งานของพวกเราไม่นับว่าสูญเปล่าหรอกหรือ?”
ขณะพูดก็เหลือบมองผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้าง
ผู้ติดตามโยนทองคำหนึ่งแท่งลงพร้อมกับหนังสือคำร้องหนึ่งฉบับ
ชายวัยกลางคนกล่าว “เมื่อเจ้าเขียนหนังสือคำร้องเสร็จเรื่องนี้ก็จะจบ ไม่เพียงแต่เจ้าจะได้ลูกชายกลับคืนมา แต่หลังจากนั้นยังมีรางวัลเป็นทองคำห้าสิบตำลึง ซึ่งมากพอที่จะทำให้ตระกูลของเจ้าสุขสบายไปทั้งชาติ”
หญิงชรากัดฟันกรอดอย่างแน่วแน่ “ขอบคุณใต้เท้ายิ่งนักที่เมตตาเห็นแก่ข้าน้อย!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เรื่องขั้นตอนและวิธีการฟ้องร้องจักรพรรดิ ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง…”
…
ในวันนั้นที่ด้านนอกประตูอู่เกิดเสียงกลองดังระทึกกึกก้อง หญิงชราคนหนึ่งพร้อมด้วยลูกสะใภ้และหลานชาย ตีกลองร้องทุกข์ฟ้องร้องเว่ยเยวียนในข้อหายักยอกทรัพย์และใส่ร้ายป้ายสีประชาชนผู้บริสุทธิ์
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ละเลยการปกครองมากว่ายี่สิบเอ็ดปีทรงพิโรธทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น เขาจึงสั่งให้ฝ่ายตรวจการสอบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ราชสำนักประจำเมืองหลวง จากนั้นแวดวงข้าราชการในเมืองหลวงต่างก็ค่อยๆ ลุกฮือขึ้น
หญิงชราถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจการจับตัวไปในทันที นางถูกนำตัวไปที่ห้องสอบสวนของฝ่ายตรวจการ ก้มศีรษะกลัวตัวสั่นงันงก
ซึ่งสาวชาวตลาดเกรงกลัวขุนนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“เจ้าคือลู่หลี่ซื่อสินะ?”
หลังเกิดคดีใหญ่โต เสียงอันน่าเกรงขามของศาลพิพากษาก็ดังขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ” หญิงชราตัวสั่น
“เงยหน้าขึ้น” เสียงอันน่าเกรงขามเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หญิงชราเงยหน้าขึ้นช้าๆ เห็นรูปร่างหน้าตาของขุนนางอาวุโสซึ่งกำลังนั่งพิจารณาคดีร้อนอยู่อย่างชัดเจน เกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ ขุนนางอาวุโสผู้นี้คือชายวัยกลางคนที่มาเยี่ยมเยือนนางเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ผู้ซึ่งสอนแนะให้นางฟ้องร้ององค์จักรพรรดิ
“ข้าหยวนสยง เจ้ามีเรื่องข้องใจอะไรว่ามา”
“ขะ ข้าน้อย สิ่งที่อยากจะพูดล้วนเขียนไว้ในหนังสือคำร้องหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่พอ ต้องสอบสวนเพิ่มเติม หากข้าถามเจ้าจงตอบ ห้ามปกปิดเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ…”
“ลู่เจิ้นหนานสามีของเจ้า เขาค้าคน ออกปล้นทั้งคนดี เด็กและผู้ใหญ่จริงหรือไม่?”
“ไม่เป็นจริงเช่นนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ สามีของข้าเป็นเพียงพ่อค้าธุรกิจตัวเล็กๆ เป็นพลเมืองดีที่ขยันขันแข็ง เขาจะค้าคนได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“เช่นนั้น เหตุใดเตาเหยียกลุ่มพ่อค้าคนกลาง ถึงยืนยันว่าลู่เจิ้นหนานเป็นผู้นำของกลุ่ม?”
“ข้าน้อยไม่รู้เจ้าค่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อนเลย อีกอย่างตอนนั้นสามีของข้าก็ตายด้วยโรคร้าย ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาใส่ร้ายรังแกคนตายที่พูดไม่ได้ทั้งสิ้น”
“หืม เป็นการใส่ร้ายงั้นหรือ” หยวนสยงพยักหน้าและถามอีกครั้ง “หลังจากที่ตระกูลลู่ถูกยึดทรัพย์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
“พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาสร้างปัญหา และเรียกร้องเงินที่บ้านเกือบทุกวันเจ้าค่ะ”
“หือ ขู่กรรโชกข่มเหงผู้บริสุทธิ์สินะ มีอะไรอีก?”
“พวกเขาลวนลามลูกสะใภ้ของข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม ย่ำยีลูกสะใภ้ให้เกิดมลทิน ขืนใจคนดีเสียด้วย”
…
หลังจากสอบสวนกินเวลาไปนานนม หยวนสยงก็ไปที่วังเพื่อรายงานต่อจักรพรรดิหยวนจิ่งพร้อมผลการสอบปากคำ
จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเรียกให้ทุกคนตั้งโต๊ะประชุมเล็กที่ห้องทรงพระอักษรโดยทันที
‘ปัก!’
จักรพรรดิหยวนจิ่งหักม้วนคดี ท่าทีโกรธถึงขีดสุด
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยักยอกเงิน กดขี่ข่มเหงคนดี แม้ภรรยาและลูกจะแยกจากตนแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง ยังขูดเลือดขูดเนื้อ ย่ำยีศักดิ์ศรีของผู้หญิง…โชคร้ายของผู้ใต้บังคับบัญชาจริงๆ คงอดรนทนมานานสินะ ไม่นึกเลยว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้ซึ่งควรเป็นข้าราชการคอยตรวจตราดูแลจะเน่าเฟะถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ข้าผิดหวังในตัวเว่ยเยวียนมาก ข้าปฏิบัติต่อเขาเปรียบเหมือนวีรบุรุษ แต่เขากลับกลายเป็นกบฏไปเสียได้”
หลิวหงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายออกจากแถว เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเว่ยกง คดีสำคัญเช่นนี้ควรได้รับการพิจารณาจากทั้งสามฝ่าย ไม่ควรฟังความหยวนสยงข้างเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน คดีนี้เขาต้องการพ้นข้อสงสัย ทั้งสมาชิกของพรรคเว่ยเองก็จะได้รอดพ้นไปด้วย แต่เขากลับถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งกีดกันและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปแทรกแซงในคดีนี้
จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยเย้ยหยัน “ได้รับการพิจารณาจากทั้งสามกรมงั้นหรือ พวกเจ้าจะยอมรับผลการพิจารณาคดีหรือไม่? ในคดีของพระสนมฝู พวกเจ้าสอบสวนทุกคน ผลออกมาเป็นอย่างไรล่ะ? ล้วนเป็นการกล่าวโทษกันไปมาให้ตัวเองพ้นผิดทั้งนั้นใช่หรือไม่”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง
สมุหราชเลขาธิการหวางออกจากแถว เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าบาท คดีนี้มีความสำคัญยิ่ง เมื่อไม่เป็นไปตามระเบียบเช่นนี้ โปรดพิจารณาคดีผ่านทั้งสามฝ่ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินหยวนเต้ารองเจ้ากรมทหารยืนขึ้นทันทีพลางเอ่ยตอบโต้
“ครั้นการตรวจสอบข้าราชสำนัก ฆ้องทองคำอยู่ด้านบน ส่วนฆ้องทองแดงอยู่ด้านล่างของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พวกเขาล้วนถูกจำคุกในข้อหาทุจริตและติดสินบน การทุจริตมีมาช้านานและตอนนี้เว่ยเยวียนก็ตายแล้ว พวกสวะทุจริตกลุ่มนี้จึงไร้ที่พึ่งพิง ข้าคิดว่านี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะสอบสวนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างละเอียดถี่ถ้วนและกวาดล้างโรคเรื้อรังพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งหยุดมองเขา ก่อนหันเหไปที่หยวนสยงและพูดว่า
“ใต้เท้าหยวน ข้าขอยกเรื่องหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้แก่เจ้า ตรวจสอบให้ละเอียด ตรวจดูให้แน่ใจว่ากำจัดโรคเรื้อรังออกไปหรือยัง แล้วจงส่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้ใสสะอาดคืนมาให้กับข้า”
หยวนสยงเปี่ยมสุขได้แต่ยับยั้งอารมณ์เอาไว้ ขานรับเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ!”
…
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไป เจ้ากรมทหารก็รีบตามสมุหราชเลขาธิการไปติดๆ พร้อมกระซิบ “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ เราควรทำอย่างไรดี?”
เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อทำลายชื่อเสียงเว่ยกง เมื่อ ‘ด้านมืด’ ของที่ทำการปกครองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเผยออกมา เว่ยเยวียนซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะใสสะอาดได้อย่างไรกัน?
ถึงตอนนั้นไม่ต้องคิดถึงยศกงหรือจงอู่หรอก
สมุหราชเลขาธิการหวางตอบเฉไฉ “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าคนที่เงียบเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
สีหน้าของเจ้ากรมทหารพลันเปลี่ยนไป
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวอย่างเฉยเมย “ดูแลคนของเจ้าให้ดีเถอะ ในแวดวงราชการ เมื่อหมดอำนาจก็ไม่มีใครสนใจแล้ว มันเป็นความจริงที่ยืนยงมานับพันปี”
ชายชราหันหน้าไปมองพระราชวังด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
…
หยวนสยงออกจากวังด้วยรถม้า ทว่าไม่ได้กลับไปที่ฝ่ายตรวจการหรือตรงไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ซึ่งคุมขังนักโทษแต่อย่างใด
“คนที่คุ้นเคยกับพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมากที่สุดย่อมต้องเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลด้วยกันเอง หากต้องการทำงานให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด คงขาดความช่วยเหลือจากคนผู้นั้นไปไม่ได้เลย”
หยวนสยงหรี่ตาพลางเคาะนิ้วลงบนเข่าเบาๆ
กรงล้อโคลงเคลงบ่งบอกว่าเขาออกจากเขตพระราชฐานแล้ว เดินรถผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงตำหนักแห่งหนึ่งของเมืองชั้นใน
ตำหนักชาด!
…………………………………………….