ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 476 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (1)
บทที่ 476 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (1)
ปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนัก เพราะฆ้องเงินจูเฉิงจู้ประจำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพยายามทำให้สาวน้อยแปดเปื้อนอย่างไม่เกรงกลัวความผิด จึงถูกฆ้องทองแดงสวี่ชีอันใช้ดาบฟันจนเกิดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง หลังจากนั้น ฐานการฝึกฝนของเขาก็เสียหายไปกว่าครึ่ง เนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัสครั้งนั้น
สวี่ชีอันจึงถูกเว่ยเยวียนกักขังไว้ที่คุกประจำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตัดสินให้ลงโทษ โดยการตัดเอวออกเป็นสองท่อนในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่คดีซังผอปะทุขึ้นมา ฮว๋ายชิ่งจึงแนะนำสวี่ชีอันให้เป็นหัวหน้านายอำเภอกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ภายใต้คำแนะนำของเว่ยเยวียน จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงอนุญาตให้เขามุ่งมั่นบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชดใช้ความผิด
หลังจากสิ้นสุดคดีซังผอ สวี่ชีอันก็พ้นผิดไปอย่างง่ายดาย จูหยาง พ่อของจูเฉิงจู้รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขาจึงแปรพักตร์ไปพรรคฉี และหักหลังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
การแก้แค้นครั้งนี้สิ้นสุดลง เพราะบุตรแห่งโชคชะตาสวี่ชีอัน เปิดเผยการวางแผนลับๆ ระหว่างพรรคฉีและสำนักพ่อมดโดยบังเอิญ
หลังจากสิ้นสุดเรื่องนี้ จูหยางก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และโดนขับไล่ออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตามความหมายของเว่ยเยวียนก่อนหน้านี้ จูหยางไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งฝืนที่จะเก็บเขาไว้ และมอบตำแหน่งงานง่ายๆ ในกรมทหารให้เขาจนถึงปัจจุบัน
หยวนสยงก้าวลงจากเกวียน และเงยหน้าขึ้นไปมองแผ่นป้ายตระกูลจูด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ฝ่าบาทวางหมากได้ลึกซึ้งจริงๆ”
เมื่อมาถึงประตูจวนตระกูลจู หยวนสยงก็กล่าวรายงานสถานะของตนเอง และมองตามยามเฝ้าประตูเดินกลับเข้าไปในจวน
ไม่นาน จูหยางผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ และกลิ่นอายที่แข็งแกร่งก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ “ฝ่ายตรวจการหยวนโตว การมาของท่านนำแสงสว่างมาสู่จวนอันต่ำต้อยของข้า”
หยวนสยงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รบกวนใต้เท้าจูแล้ว” พลางทอดสายตามองเข้าไปด้านในจวน
จูหยางจึงกล่าวทันทีว่า “รีบเข้ามาเถอะ”
ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรอง จูหยางสั่งให้ทาสรับใช้นำชาที่ดีที่สุดในจวนมาเสิร์ฟให้เขา ขณะนั้น หยวนสยงก็ถามขึ้นมาว่า “สภาพร่างกายของลูกชายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เขาเปิดปากพูดเรื่องนี้ทันทีที่มาถึง จูหยางที่ผ่านประสบการณ์โชกโชน ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงส่ายศีรษะอย่างหมดหนทางและตอบว่า “วันนั้นลูกชายข้าถูกเจ้าเด็กตระกูลสวี่ทำร้ายจนสาหัส บาดแผลกระทบถึงหัวใจและปอด หลังจากอาการบาดเจ็บค่อยๆ ดีขึ้น เขาก็ติดอยู่ในบ่วงโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด เส้นทางวิทยายุทธ์จึงถูกตัดขาดไปโดยปริยาย”
ตอนนั้นจูเฉิงจู้อยู่ในขั้นหลอมปราณ ระดับการฝึกฝนไม่นับว่าสูงนัก การที่เขายังมีชีวิตรอดกลับมาก็นับว่ามีโชคแล้ว เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เขาย่อมติดอยู่ในบ่วงโรคเรื้อรังอย่างแน่นอน เพราะยิ่งระดับการฝึกฝนสูงเท่าใด พลังชีวิตก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นจูหยาง อาการบาดเจ็บเช่นนั้นคงดีขึ้นภายในสามวันเท่านั้น
“เขาคงกำเริบเสิบสานได้อีกไม่นานแล้ว”
หยวนสยงไอกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใต้เท้าจูน่าจะได้ยินเรื่องที่เว่ยเยวียนตายที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดแล้วกระมัง”
ลำแสงแห่งความสุขและความเกลียดชังปรากฏขึ้นในแววตาของจูหยาง เขากล่าวยิ้มเยาะว่า “ตายได้เสียก็ดี หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมมีผลตามมาเสมอ”
จูเฉิงจู้เป็นลูกชายที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา เขาเคยคาดหวังว่า ลูกชายคนนี้จะสืบทอดวิชาความสามารถ กลายเป็นฆ้องทองคำคนต่อไป จึงฝึกฝนลูกชายด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อสิ่งนี้
จูเฉิงจู้อยู่ในขั้นหลอมปราณตอนอายุยี่สิบสามปี เขากำลังมีอนาคตที่สดใสอย่างมาก แต่ทั้งหมดถูกทำลายด้วยน้ำมือของสวี่ชีอัน
จูหยางคือคนที่เว่ยเยวียนเลื่อนขั้นให้กับมือ เขาได้รับการชื่นชมจากเว่ยเยวียนในสงครามด่านซานไห่ หลังจากนั้นก็เลื่อนขึ้นทีละขั้น จนกระทั่งเข้าสู่ขั้นสี่ และกลายเป็นฆ้องทองคำ ความเมตตากรุณาที่เว่ยเยวียนมีต่อเขาลึกซึ้งดุจภูผา แต่ด้วยเหตุนี้ เขาก็ยิ่งเกลียดเว่ยเยวียนมากขึ้นเช่นกัน
เขาคอยติดตามเว่ยเยวียนด้วยความจงรักภักดีมาตลอดหลายปี เขายังไม่ดีเท่าฆ้องทองแดงคนหนึ่งงั้นหรือ?
ทำให้ตระกูลนักโทษด่างพร้อยแล้วอย่างไร เรื่องเท่าเม็ดถั่วเขียวเท่านั้น แต่หัวใจของเว่ยเยวียนกลับเข้าข้างคนนอก และเพิกเฉยไมตรีจิตที่ผ่านมาตลอดหลายปี
วันนั้นที่ได้ยินว่าเว่ยเยวียนตายในสงครามที่เมืองจิ้งซาน จูหยางก็เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดื่มสุราจนเมามายกับลูกชายจูเฉิงจู้
“กรรมตามสนองเว่ยเยวียนแล้ว และกรรมของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ใกล้จะมาถึงแล้วเช่นกัน”
หยวนสยงเปิดฝาถ้วยน้ำชาออก พลางยกจิบเล็กน้อยและกล่าวว่า “ใต้เท้าจู ถึงเวลาที่ท่านจะพลิกสถานการณ์แล้ว”
จูหยางหรี่ตาลง และมองหยวนสยงด้วยแววตาเป็นประกาย “ฝ่ายตรวจการหยวนโตวกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรรึ?”
หยวนสยงยิ้มตาหยีมองเขา “ฝ่าบาทให้ข้ารับช่วงตำแหน่งของเว่ยเยวียน ควบคุมดูแลที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าจึงกวาดล้างการทุจริตภายในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ตามสะดวก เป็นที่รู้กันดีว่า เว่ยเยวียนคือผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ในกำมือเขามากว่ายี่สิบปี คนนอกแม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังเข้าไปไม่ได้”
จูหยางพยักหน้าช้าๆ
หยวนสยงกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ถึงแม้ข้าจะกวาดล้างความนิยมของสังคมจนหมดสิ้น แต่นายพลที่ไม่มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ข้าต้องเก็บไว้บางส่วน ตะครุบไว้บางส่วน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากใต้เท้าจูแล้ว”
ในฐานะที่จูหยางตกอยูในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จึงกล่าวอย่างไม่มีทางเลือกว่า “เว่ยเยวียนปลดข้าออกจากตำแหน่ง ขับไล่ข้าออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่นี่คือความคับข้องใจระหว่างข้ากับเว่ยเยวียน ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพี่น้องในที่ทำการปกครอง ใต้เท้าหยวน ท่านทำให้ข้าลำบากใจมาก”
หยวนสยงจิบชาหนึ่งอึก ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “ข้ามาหาใต้เท้าจูครั้งนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่อง ตอนนั้นพวกท่านสองพ่อลูกถูกเว่ยเยวียนกดขี่ และจำต้องออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตอนนี้เว่ยเยวียนตายแล้ว สิ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ทำให้ได้รับความเป็นธรรมได้ คดีที่ควรกลับคำตัดสิน แน่นอนว่าต้องกลับคำตัดสิน ข้าวางแผนจะทูลขอฝ่าบาท ช่วยให้ท่านเข้ารับตำแหน่งเดิม หวังว่าใต้เท้าจูจะช่วยข้าดูแลจัดการที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้เป็นอย่างดี”
ในที่สุดจูหยางก็ยิ้มออกมา “ใต้เท้าหยวนอยากเก็บคนพวกใดไว้ และอยากตะครุบคนพวกใดรึ?”
หยวนสยงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ทุจริต ข้าเชื่อว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน”
ทั้งสองสบตากันด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น
…
ณ ที่ทำการปกครองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เสียงฝีเท้าของเหล่าฆ้องทองแดงทยอยเดินกลับมาที่ที่ทำการปกครองเป็นกลุ่มๆ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาถูกเจ้าพนักงานของที่ทำการปกครองเรียกกลับ โดยไม่รู้เหตุผลที่มาที่ไป เจ้าพนักงานกล่าวเพียงว่า ฆ้องทองคำจ้าวเรียกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ด้านนอกทั้งหมดกลับไปที่ทำการปกครอง
“ฆ้องทองคำจ้าวเรียกพวกเรากลับมาด้วยเหตุอันใดรึ?”
“อาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องเป็นเรื่องด่วนแน่ๆ”
“ช่างเป็นปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ”
เหล่าฆ้องทองแดงสนทนากันเสียงเบา และไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
การตายของเว่ยเยวียน เป็นการสู้รบที่ไม่อาจยอมรับได้สำหรับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ราวกับพวกเขาได้สูญเสียกระดูกสันหลังไปในชั่วข้ามคืน
ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศในที่ทำการปกครองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและคุกรุ่นอย่างยิ่ง
ผู้ชายคนนั้น แม้ว่าปกติเขาจะไม่ออกมาจากหอเฮ่าชี่ แต่ตราบใดที่เขายังอยู่ ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็จะไม่มีวันถล่มลงมา
ในตอนนี้ ซ่งถิงเฟิงที่ฝึกอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณแล้วยกชาขึ้นมาจิบ พลางนึกถึงวันที่หนิงเยี่ยนยังอยู่ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
ตอนนั้น เขา จูกว่างเสี้ยว และสวี่หนิงเยี่ยน ทั้งสามตระเวนไปตามท้องถนน (ซื้อของ) และฉวยโอกาสเวลาพักกลางวันหนึ่งชั่วยามไปฟังเพลงที่หอคณิกา เวลานั้นถึงแม้กระเป๋าเงินจะว่างเปล่า คนก็เฉื่อยชาและกระสับกระส่าย แต่กลับมีความสุขจริงๆ
ว่าตามคำพูดของสวี่หนิงเยี่ยน หากตอนยังหนุ่มยังแน่นไม่เจ้าชู้ก็ไร้ประโยชน์ พอแก่ตัวแล้วน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าด้วยความเสียดาย เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เป็นทหารที่หยาบคาย กลับสามารถพูดคำไม่กี่คำที่คนอื่นไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่รู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ยอดเยี่ยมมาก
‘จะยอมหรือไม่’ ที่เขาพูดครั้งก่อน จนถึงตอนนี้ซ่งถิงเฟิงก็ยังไม่ได้คิดทบทวนอย่างละเอียด เขาไปที่หอคณิกาเพื่อช่วยหญิงสาวผู้น่าสงสารจากครอบครัวยากจน และถามพวกนางว่า “จะยอมหรือไม่?”
เหล่าแม่นางมักจะกล่าวว่า “ได้สิ ได้สิ”
แต่เมื่อเขาสวมกางเกงและไม่ให้เงิน เหล่าแม่นางก็จะกลับคำว่าไม่ได้แล้ว
ฆ้องเงินสวี่อาศัยคำพูดไม่กี่พยางค์นี้ในการซื้อตัวแม่นางฝูเซียงมากว่าครึ่งปีได้อย่างไร เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาจนถึงทุกวันนี้
ตอนนี้ แม้แต่แม่นางฝูเซียงก็ยังป่วยตายไปแล้ว เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สรรพสิ่งยังคงเหมือนเดิม แต่คนได้เปลี่ยนไปแล้ว
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอาจจะยังกลับมาไม่ครบทั้งหมด ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั่งอยู่ในห้องชุนเฟิงมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วก้านธูปแล้ว
ตอนนี้ซ่งถิงเฟิงอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ พูดได้ว่าเขาคือชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่หาได้ยากในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ถึงแม้จะไม่น่าอัศจรรย์เท่าสวี่ชีอัน แต่ตอนที่เว่ยเยวียนยังอยู่ ที่ทำการปกครองวางแผนที่จะปลูกฝังและฝึกฝนซ่งถิงเฟิง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ไม่ว่าใครในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นและปราศจากความชั่วร้าย เว่ยเยวียนล้วนทุ่มเทแรงกายแรงใจในการบ่มเพาะ นี่คือหลักการที่เขายึดถือมาโดยตลอด
แต่ความอาวุโสและความน่าเชือถือของซ่งถิงเฟิงยังไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงปะปนอยู่ในตำแหน่งฆ้องทองแดงมาโดยตลอด
“กว่างเสี้ยว สิ่งเดียวที่ข้าตั้งตารอในช่วงครึ่งปีหลังมีเพียงเรื่องการแต่งงานของเจ้า” ซ่งถิงเฟิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
เดิมทีคิดว่าหากผ่านปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนักไปแล้ว วันคืนก็คงสงบลงมาก ใครจะไปคิดว่าการตรวจสอบข้าราชสำนักเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ปีนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายจริงๆ คดีอวิ๋นโจวเมื่อต้นปี คดีสังหารหมู่ของไหวอ๋องตอนกลางปี และยังมีความปั่นป่วนหลังฤดูเก็บเกี่ยวนี้อีก
ซ่งถิงเฟิงทอดสายตาผ่านประตูที่เปิดอยู่ มองใบไม้ที่เหี่ยวเฉาในสวน พลางกล่าวพึมพำว่า “เป็นปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ช่างเป็นปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ กว่างเสี้ยว พวกเราสองพี่น้องจะต้องอดทนผ่านไปให้ได้”
จูกว่างเสี้ยวที่กลายเป็นคนเงียบขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ ตอบรับเพียงคำว่า “อืม”
ในขณะที่พูด ก็มีเสียงกลองดังมาจากสนามประลอง
“ฆ้องทองคำจ้าวกำลังเรียกพวกเรา”
ทั้งสองออกมาจากห้องชุนเฟิงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหลี่อวี้ชุน ตามด้วยหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดในที่ทำการปกครอง และมุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่สนามประลองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อซ่งถิงเฟิงมาถึงสนามประลอง และกวาดสายตามองรอบๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงที่พบว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมารวมตัวกันที่นี่มากกว่าที่คาดไว้ คนที่กำลังพักผ่อนเหล่านั้นล้วนถูกเรียกมาที่นี่ด้วย
นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…
เขาเหลือบตามองจูกว่างเสี้ยวและหลี่อวี้ชุนที่อยู่ข้างๆ ทั้งสองก็รู้สึกสงสัยเช่นเดียวกัน
ทั้งสามอยู่เงียบๆ ในห้องชุนเฟิง รอจนกระทั่งสามสิบนาที จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ
ทันทีที่ได้ยินเสียงก็ชายตามองไปด้านข้าง ปรากฏว่าเป็นกลุ่มทหารรักษาวังที่มาพร้อมกับดาบและชุดเกราะสะอาดสะอ้านจำนวนมาก เมื่อคาดคะเนจากสายตาเบื้องต้น พบว่ามีไม่ต่ำกว่าห้าร้อยนาย
ทหารรักษาวัง?
ซ่งถิงเฟิงแอบขมวดคิ้ว
กองทัพทหารรักษาวังพุ่งเข้ามา และล้อมกลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไว้อย่างแน่นหนา แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนรู้สึกสับสนมากขึ้น เมื่อเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังย่างกรายมาไกลๆ ตรงกลางเป็นชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามท่านหนึ่ง สวมเครื่องแบบสีแดงเลือดนก ทางด้านซ้ายของเขาคือฆ้องทองคำจ้าวที่มีท่าทีสงบนิ่ง ส่วนคนทางด้านขวาคือจูหยาง ข้างกายจูหยางคือจูเฉิงจู้
อย่าว่าแต่หลี่อวี้ชุน ซ่งถิงเฟิง หรือจูกว่างเสี้ยว แม้แต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ เมื่อเห็นพ่อลูกคู่นี้แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เมื่อเดินใกล้เข้ามา หยวนสยงก็ไขว้สองมือไว้ที่ด้านหลัง เดินมาหยุดที่เบื้องหน้าเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ฆ้องทองคำจ้าวกวาดสายตามองพวกเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะกล่าวเสียงดังโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ตามพระราชกระแสรับสั่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฝ่ายตรวจการหยวนโตวจะรับช่วงตำแหน่งของเว่ยกง ควบคุมดูแลที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล อีกไม่นาน พวกเจ้าจะได้พบกับหยวนกง”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลลุกฮือขึ้นมาทันที บ้างก็มองหน้ากัน บ้างก็ซุบซิบนินทา
“ไอ้ขี้หมา เขามีสิทธิ์อะไรมาควบคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล?” มีฆ้องเงินกล่าวซุบซิบด้วยความกังขา
“ก็แค่คนถ่อยที่ประจบและแอบอิงผู้มีอำนาจคนหนึ่ง สมควรที่จะกำกับดูแลหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลงั้นรึ?”
“ต่อให้จะรับช่วงตำแหน่งของเว่ยกง ก็ต้องเป็นเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงไม่ใช่รึ”
หยวนสยงหรี่ตาลงด้วยความสงบเยือกเย็น
ฆ้องทองคำจ้าวเหลือบตามองผู้บังคับบัญชาที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งท่านนี้ด้วยจิตใจจมดิ่ง ก่อนจะตะโกนว่า “หุบปากซะ! พวกเจ้าจะก่อกบฏรึ?”
เขาโกรธที่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่รู้จักพิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้า ผู้บังคับบัญชาที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่เปรียบเสมือนขี้ใหม่หมาหอมที่กำลังไฟแรง ยิ่งไม่เชื่อฟังก็จะยิ่งเชือดไก่ให้ลิงดูได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้หยวนสยงมาเพื่อ ‘สืบคดี’
ฆ้องทองคำจ้าวเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียนเช่นกัน ฆ้องทองคำล้วนเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน รวมทั้งจูหยางก็เคยเป็น
เหตุผลที่เขายังนอนหลับฝันดี ไม่ถูก ‘ติดร่างแห’ ไปด้วย เพราะมีการฝึกฝนของทหารขั้นสี่เป็นเหตุผลที่สำคัญ
ที่ต้าฟ่ง แม้แต่กองกำลังใดก็ตามในจิ่วโจว ขั้นสี่ล้วนเป็นบุคคลระดับกลางและระดับสูงทั้งสิ้น โดยเฉพาะทหาร พวกเขามีการโจมตีที่แข็งแกร่ง การป้องกันที่เหนียวแน่น และการทำลายล้างสูง ตราบใดที่ไม่ได้ก่ออาชญากรรมที่ไม่อาจให้อภัยได้ ราชสำนักมักใช้นโยบายที่นุ่มนวลกับทหารขั้นสี่ทั้งสิ้น
หยวนสยงต้องการฆ้องทองคำขั้นสี่จำนวนมากพอที่จะสนับสนุนหน้าตาของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงประกาศนิรโทษให้แก่เขา
สำหรับมุมมองของฆ้องทองคำจ้าว ในเมื่อไม่สามารถขัดขวางพระบัญชาของจักรพรรดิได้ แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ นอกจากไหลไปตามกระแสน้ำ? เขาปกป้องอยู่ที่นี่ ดีกว่ามอบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดให้กับจูหยาง
จูหยางกลับมาที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอีกครั้งด้วยความคิดที่จะแก้แค้น ซึ่งไม่เหมือนกับเขา
ในเมื่อเว่ยกงพลีชีพแล้ว การเผชิญกับความจริงถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คือกำลังกายและกำลังสมองครึ่งหนึ่งของเว่ยกง อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถปกป้องแทนเว่ยกงได้
หยวนสยงเพิกเฉยต่อคำตำหนิของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และกล่าวเสียงดังว่า “บ่ายวันนี้ มีผู้หญิงนามว่าลู่หลี่ซื่อ มาตีกลองร้องเรียนที่หน้าประตูอู่ ว่าเว่ยเยวียนเก็บรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบ ใส่ร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรีดไถทรัพย์สินเงินทอง และทำให้ลูกสะใภ้ของนางแปดเปื้อน ฝ่าบาทกริ้วมาก และมีพระบัญชาให้ข้ารับช่วงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่อ เพื่อกวาดล้างความชั่วที่ผิดหลักทำนองคลองธรรม ลงโทษผู้ที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตน”
เสียงสาปแช่งและเสียงตะโกนปะทุขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่รู้ว่าลู่หลี่ซื่อคือใคร แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการสบถอันหยาบคายของพวกเขา
เว่ยกงเก็บรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบ?
ทั่วทั้งที่ทำการปกครอง ใครก็รู้ว่าเว่ยกงซื่อสัตย์และยุติธรรมที่สุด ผู้หญิงคนหนึ่งกล้าร้องเรียนว่าเว่ยกงรีดไถทรัพย์สิน และข่มเหงคนในครอบครัวของนาง นางเหมาะสมที่จะร้องเรียนงั้นรึ?
ต่อให้เว่ยกงจะรีดไถเงินจริง เขาจะขู่กรรโชกประชาชนเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาทั่วไปงั้นรึ?
เหล่าฆ้องทองแดงและฆ้องเงินไม่ได้โง่ พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่ามีคนต้องการใส่ร้ายเว่ยกง และบุคคลนั้น มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นหยวนสยง รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้
เขาคือศัตรูทางด้านการเมืองของเว่ยกง
“เสียงดังเกินไปแล้ว!” หยวนสยงกล่าวเสียงเบา
ฆ้องทองคำจ้าวกำลังจะตะโกนตำหนิพวกเขา แต่จูหยางกลับก้าวออกไปเสียก่อน พลังปราณของยอดฝีมือขั้นสี่โหมกระหน่ำออกมาอย่างรวดเร็ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ที่นี่ถึงกับสีหน้าซีดเผือด และยืนไม่มั่นคงชั่วขณะ
เสียงดังเอะอะสงบลงในทันใด
หยวนสยงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และกล่าวเสียงดังว่า “ข้าได้รับรายงานลับมาแล้ว อย่างไรก็ไม่สามารถเก็บคนทุจริตไว้ได้อย่างแน่นอน ต่อไป คนที่ถูกเอ่ยชื่อให้ก้าวออกมา”
“จางต้งเหลียง”
ไม่มีการตอบสนอง
“จางต้งเหลียง!”
ยังคงไม่มีการตอบสนอง หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังต่อต้านอย่างเงียบๆ
หยวนสยงไม่ได้พูดอะไรอีก และชายตามองจูหยางที่อยู่ข้างๆ เล็กน้อย
จูหยางเข้าใจในทันที และจับจ้องไปที่ฆ้องเงินคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม พลางยกแขนขึ้นและเล็งฝ่ามือไปที่บุคคลนั้น เป็นสัญญาณให้จับกุมเขาในทันใด
ชายผู้มีรูปร่างแข็งแกร่งถูกบังคับให้ ‘เบียด’ ออกมาจากกลุ่ม เขาพยายามขัดขืนอย่างสุดความสามารถ เท้าทั้งสองข้างครูดกับพื้นจนเกิดรอย แต่เมื่อเห็นตนเองถูกลากออกมาแล้วก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หยวนสยงยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ข้าได้รับราชโองการให้จัดการคดี ฝ่าฝืนคำสั่งของข้าเท่ากับต่อต้านพระราชโองการ โทษประหารชีวิต!”
………………………………………………