ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 476-2 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (2)
บทที่ 476 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (2)
ฆ้องทองคำจ้าวเกรงว่าจูหยางจะชิงลงมือก่อนอีกครั้ง จึงรีบคว้าจางต้งเหลียงไว้ และยกกำปั้นขึ้นมากล่าวว่า “ใต้เท้า เจ้าบ้านี่ไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วง ได้โปรดออมมือด้วย”
จางต้งเหลียงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เส้นเลือดสีเขียวที่คอปูดโปนออกมา เขาคำรามเสียงต่ำอยู่ในลำคอว่า “ข้าไม่ยอมรับ ฆ้องทองคำจ้าว ไม่ต้องช่วยเขา หากเว่ยกงยังอยู่ เขาหยวนสยงจะกล้าย่างกรายเข้ามาในที่ทำการปกครองหรือไม่? ฆ้องทองคำคนอื่นๆ ยังอยู่ แต่จูหยางเพิ่งกลับมา? ข้าเพียงแค่นึกเสียใจที่วันนั้นไม่ได้ติดตามหัวหน้าของข้าไปออกรบด้วยกัน คงโชคดีกว่าถ้าเขาสามารถตามเว่ยกงไปออกรบ และตายที่เมืองจิ้งซาน ดีกว่าตายด้วยน้ำมือคนของตนเอง”
หยวนสยงกล่าวเสียงเบาว่า “ใต้เท้าจู หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จะอยู่หรือจะตาย ล้วนต้องให้ฝ่าบาทตัดสิน”
จูหยางพยักหน้า และกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาไหลเวียนพลังปราณในร่างกาย พลางดึงจางต้งเหลียงขึ้นมาและชกไปที่หน้าอกของฆ้องเงินท่านนี้อย่างรวดเร็ว
‘ตุบ!’ เสื้อผ้าด้านหลังของจางต้งเหลียงฉีกออกในทันใด
ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก
จางต้งเหลียงค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นด้วยลมหายใจรวยริน
ผู้บังคับบัญชาไฟแรงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ จุดไฟกองแรกลงบนร่างของบุคคลที่น่าสงสารนี้
‘ชิ้ง!’
เสียงตวัดดาบดังลอยมา ฆ้องเงินต่างชักดาบออกมามากขึ้น
‘ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!’
ทหารรักษาวังที่อยู่รอบๆ ก็ทยอยชักดาบขึ้นมาเช่นกัน เพื่อเตรียมตัวปราบปรามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกเมื่อ
จูหยางหรี่ตาลง พลางก้าวขึ้นไปด้านหน้า ใช้ศักดิ์ศรีของการเป็นทหารขั้นสี่สยบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมด
“หยุดให้หมด!”
ฆ้องทองคำจ้าวตะโกนว่า “พวกเจ้าคิดจะกบฏรึ ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึ?”
“ฆ้องทองคำจ้าว”
“หัวหน้า…”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างก็ตอบสนองด้วยความรุนแรงอย่างมาก
“หรือว่าท่านมองไม่ออกรึ เขากำลังกวาดล้างพวกเรา ไม่ว่าพวกเราจะมีความผิดหรือไม่ ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี”
“ฆ้องทองคำจ้าว เว่ยกงไม่อยู่แล้ว ในที่ทำการปกครองมีเพียงท่านที่สามารถตัดสินใจให้เหล่าพี่น้องได้ ท่านจะเป็นสุนัขของหยวนสยงไม่ได้”
“หัวหน้า ท่านทนเห็นเหล่าพี่น้องถูกใส่ความได้รึ?”
อย่างน้อยพวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่…
เส้นเลือดสีน้ำเงินปูดโปนอยู่บนหน้าผากของฆ้องทองคำจ้าว เขากล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “เก็บ-ดาบ-ลง-ไป”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้สึกหวั่นใจมาก มีทั้งความโกรธแค้น ความไม่พอใจ ความโศกเศร้า ยังไม่ยอมเก็บดาบลงแต่อย่างใด
หยวนสยงเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครอบครัวของทุกท่านล้วนอยู่ในเมืองหลวงกระมัง”
ฆ่าคนแทงใจดำ!
เงื่อนไขในการรับเลือกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือ บรรพบุรุษมากกว่าสามชั่วอายุคนต้องเป็นคนเมืองหลวง และมีภูมิหลังตระกูลที่ขาวสะอาด
ทำไมน่ะหรือ? ก็เพื่อป้องกันทหารเหล่านี้ใช้กำลังฝ่าฝืนกฎอย่างไรเล่า
เว่ยกงตายในสนามรบ หากฆ้องทองคำที่เหลือไม่ตายในสนามรบก็ยังไม่กลับมา พวกเขาพร้อมใจที่จะต่อต้าน แต่ไม่มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
“ถ้าสวี่หนิงเยี่ยนยังอยู่…” มีคนกล่าวพึมพำเสียงเบา
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดตกอยู่ในความฟุ้งซ่านชั่วขณะ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสหายร่วมงานที่ใช้ดาบฟันป้ายคาดเอว สิ้นสุดสถานะการเป็นคนของทางการนับจากนั้น
ใช่แล้ว หากสวี่หนิงเยี่ยนยังอยู่ ด้วยความเมตตาของเว่ยกงที่มีต่อเขา และอุปนิสัยอันแข็งแกร่งที่ประจักษ์แจ้งในแววตาของเขา จูหยางและหยวนสยงยังจะกล้าหยิ่งผยองเช่นนี้หรือไม่?
หยวนสยงและคนอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกัน แต่กลับไม่ตอบสนอง และรู้สึกรังเกียจที่จะตอบสนอง
การแสดงออกของจูเฉิงจู้บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ชีอัน ฆ้องทองแดงที่ถ่อมตนในตอนแรกเริ่ม คือหัวโจกในการทำลายอนาคตของเขา
เขาเกลียดชังบุคคลนี้อย่างสุดซึ้ง ช่วงเวลาเพียงหนึ่งปีสั้นๆ สรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว ฆ้องทองแดงผู้ถ่อมตนคนนั้นได้กลายมาเป็นใต้เท้าใหญ่ที่เขาเทียบไม่ติด
แม้ว่าสวี่ชีอันจะล่วงเกินฝ่าบาท ทว่านั่นกลับไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถแทรกแซงหรือตอบโต้ได้
ด้วยเหตุนี้ เปลวไฟแห่งความพยาบาทจึงลุกโชนอยู่ในใจของเขา โดยที่เขาไม่สามารถหาทางออกได้ มันเผาจิตวิญญาณวันแล้ววันเล่า ทำให้จิตใจของเขาบิดเบี้ยว…
“หลี่อวี้ชุน!”
“ฉู่หงเหอ!”
“หมิ่นซาน!”
“ถางโย่วเต๋อ!”
“…”
ฆ้องเงินถูกเอ่ยชื่อออกมาทีละคน พวกเขาถูกปลดอาวุธ ถูกทหารรักษาวังบิดแขนไปด้านหลังและมัดมือทั้งสองข้าง ในชั่วพริบตาเดียว ฆ้องเงินที่อยู่ที่นี่ก็หายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
ฆ้องเงินเหล่านั้น บ้างก็ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก บ้างก็ยิ้มด้วยความเย็นชา บ้างก็ถ่มน้ำลาย แต่กลับไม่มีความเกรงกลัว หรือความคิดที่จะร้องขอความเมตตาแต่อย่างใด
ไม่มีฆ้องทองแดงในรายชื่อเหล่านั้น ในฐานะที่เป็นระดับล่างสุดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล โดยทั่วไปแล้ว ฆ้องทองแดงไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนอยู่ในกองทัพ
แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าหยวนสยงจะไม่จัดการกับพวกเขา
รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาผู้มีจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิมท่านนี้กล่าวเสียงดังว่า “ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีตำแหน่งว่างจำนวนมาก ข้ารับช่วงต่อในที่ทำการปกครองในช่วงเวลาวิกฤตนี้ กำลังขาดผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่พอดี จึงจำเป็นต้องเลื่อนขั้นให้ทหารที่ซื่อสัตย์ ก่อนรุ่งสางวันพรุ่งนี้ ตราบใดที่มีใครคนใดในหมู่พวกเจ้าเขียนจดหมายรายงานการทุจริตและติดสินบน การขู่กรรโชกประชาชนของสหายร่วมงาน ข้าจะเลื่อนขั้นให้”
ช่างเป็นแรงจูงใจที่อุบาทว์สิ้นดี
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ที่นี่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และไม่ตอบสนองใดๆ เช่นกัน
แต่หยวนสยงกลับรู้ว่ามีเมล็ดพันธุ์แห่งความอิจฉาริษยา และความทะเยอทะยานที่ถูกปลูกฝังในคนกลุ่มนี้แล้ว
สำหรับฆ้องทองแดงเหล่านี้ การเลื่อนขั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาก ไม่เพียงแต่ต้องมีการฝึกฝนที่สอดคล้องกัน ยังต้องมีผลงานที่มากพอด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงมีฆ้องทองแดงบางส่วนที่อยู่ในขั้นหลอมวิญญาณมานาน แต่ได้รับการเลื่อนขั้นล่าช้าอย่างยิ่ง ขอเพียงมีความทะเยอทะยาน และแรงจูงใจเท่านั้น ใครบ้างจะไม่อยากเลื่อนขั้น?
ตอนนี้ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเกิดความโกลาหล นี่ยิ่งเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีความทะเยอทะยาน และกระตือรือร้นในการเลื่อนขั้น
หยวนสยงไม่มองเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่น่าผิดหวังอีกต่อไป เขาหันไปมองจูหยางและฆ้องทองคำจ้าว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฆ้องทองคำทั้งสอง ตามข้าไปที่หอเฮ่าชี่”
เขามีความปรารถนาอันบ้าคลั่งที่จะเข้าไปที่นั่น แทนที่ตำแหน่งของเว่ยเยวียน
ฆ้องทองคำจ้าวพยักหน้า และกวาดสายตามองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคน ก่อนจะกล่าวว่า “แยกย้ายกันได้”
จูกว่างเสี้ยวได้ยินเสียงซ่งถิงเฟิงกล่าวพึมพำที่ข้างหูว่า “ก้มหน้า รีบก้มหน้าเร็วเข้า ไปจากที่นี่กัน…”
จูกว่างเสี้ยวที่กำลังหดหู่ตกตะลึงเล็กน้อย และตามเหล่าสหายร่วมงานไปด้านนอกสนามประลองตามสัญชาตญาณ
แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงลอยมาว่า “หยุดก่อน!”
ทุกคนทยอยหยุดฝีเท้าลง พลางหันไปมองด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
คนที่ตะโกนให้หยุดคือจูเฉิงจู้ ฆ้องเงินในตอนนั้น หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ที่นี่แทบจะรู้จักเขาทั้งหมด
จูเฉิงจู้ไม่สนใจคนอื่นๆ ชี้ไปที่ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “เจ้าทั้งสองคนก้าวออกมา”
จิตใจของซ่งถิงเฟิงจมดิ่ง เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ และกล่าวว่า “ฆ้องเงินจู ขอแสดงความยินดีกับท่านในการฟื้นคืนตำแหน่งเดิมด้วย ฆ้องเงินจูเรียกข้าน้อยด้วยเหตุอันใดรึ?”
เขาเข้าได้กับทุกฝ่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากต้องพูดจาประจบสอพลอขึ้นมา ก็สามารถทำได้โดยคิ้วไม่ขมวดสักนิด
จูเฉิงจู้เผยรอยยิ้มมุ่งร้าย และกล่าวเสียงดังว่า “หยวนกง ข้าต้องการรายงานว่าทั้งสองคนนี้รับสินบาทคาดสินบน และปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย ข้าเห็นด้วยตาของข้าเอง”
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงซีดเผือดด้วยความตกใจ
หยวนสยงพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวว่า “งั้นให้เป็นหน้าที่หลานจัดการแล้วกัน”
เขาไม่ได้หยุดนิ่ง และยังคงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับฆ้องทองคำทั้งสองต่อไป
ฆ้องทองคำจ้าวมองจูหยาง และกล่าวเตือนด้วยความปรารถนาดีว่า “สองคนนั้นคือสหายรักของสวี่ชีอัน”
นี่ไม่ใช่แค่เตือนจูหยางเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงด้วย
จูหยางยังไม่ทันพูด หยวนสยงก็เปิดปากกล่าวเสียงเบาว่า “เว่ยเยวียนตายแล้ว พวกเขาไร้ซึ่งที่พึ่ง เจ้าว่าสวี่ชีอันยังจะกระโดดโลดเต้นได้อีกนานเพียงใด?”
จูหยางระเบิดหัวเราะขึ้นมา
ฆ้องทองคำจ้าวไม่พูดอะไรอีก
ทางด้านซ่งถิงเฟิงก็ก้มหน้าโค้งเอวขอความเมตตา “ฆ้องเงินจู เรื่องที่ผ่านมา ข้าน้อยทำผิดไปแล้ว ผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาผู้น้อย ท่านอย่าถือสาเอาความกับผู้น้อยอย่างข้าเลยนะขอรับ”
จูเฉิงจู้ถามราวกับแมวแหย่หนู “เจ้าทำผิดที่ใด?”
ซ่งถิงเฟิงตกตะลึง เขาผู้มีสายตาเฉียบแหลมและการคิดคำนวณอย่างรอบคอบ รีบตีอกชกหัวและกล่าวด้วยอารมณ์โมโหว่า “ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของข้าซ่งถิงเฟิง ก็คือการผูกมิตรกับสวี่ชีอัน ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจและสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำในตอนแรก”
เขาและจูเฉิงจู้ไม่มีความเกลียดชังต่อกัน เหตุผลทั้งหมดที่ถูกกลั่นแกล้ง เป็นเพราะจูเฉิงจู้เกลียดสวี่ชีอัน จึงพาลหาเรื่องเขาไปด้วย
เวลานี้ เขาทำได้เพียงแสดงทัศนคติการเป็นนกสองหัวเท่านั้น ยิ่งอ่อนแอมากเพียงใด ก็จะยิ่งปัดเป่าความโกรธของจูเฉิงจู้ออกไปได้มากเท่านั้น ต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า การที่เขาสานสัมพันธ์กับสวี่ชีอันในตอนนั้น เพียงเพราะสวี่ชีอันได้รับการยกย่องชื่นชมจากเว่ยเยวียน เขาจึงเข้าไปประจบสอพลอ และไม่มีมิตรภาพอันลึกซึ้งหลงเหลืออยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าใบหน้าของจูเฉิงจู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ แต่สิ่งที่เขาพูดหลังจากนั้นทำให้ซ่งถิงเฟิงรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด “เจ้าไม่อยากติดคุกก็ย่อมได้ งั้นก็ลอดผ่านหว่างขาของข้าไป”
จูเฉิงจู้กางขาออก และเผยรอยยิ้มมุ่งร้าย “ลอดไป ข้าจะไม่คิดหยุมหยิมกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับสวี่ชีอันก่อนหน้านี้อีก”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างก็หันไปมองซ่งถิงเฟิง ภายใต้การถูกจับตามอง สีหน้าของเขาค่อยๆ ซีดลงอย่างช้าๆ “ฆ้องเงินจู นี่ นี่ ท่านล้อเล่นรึ…”
‘เผียะ!’
แก้มของซ่งถิงเฟิงกลายเป็นสีแดงก่ำ บวมเป่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จูเฉิงจู้หน้าตาถมึงทึง “ล้อเล่น? เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นกับเจ้ารึ? ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว จะคว้าไว้หรือไม่ ก็มองตนเองแล้วชั่งน้ำหนักซะ ข้าให้เวลาเจ้าเพียงสามอึดใจ”
ร่างของซ่งถิงเฟิงสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย เขากำหมัดแน่นแล้วคลายออก คลายออกแล้วกำแน่นอีกครั้ง
สุดท้าย เขาก็คุกเข่าลงภายใต้การจับตามองของทุกสายตา วางทั้งสองมือลงบนพื้น และค่อยๆ ลอดใต้หว่างขาของจูเฉิงจู้ไป
จูเฉิงจู้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เขาหันไปมองจูกว่างเสี้ยว “ตาเจ้าแล้ว จะเข้าคุก หรือลอดใต้หว่างขานายน้อยไป”
ช่วงเวลาเมื่อสักครู่ หัวใจที่บิดเบี้ยวของเขาได้รับความพึงพอใจอย่างมาก
ดวงตาของจูกว่างเสี้ยวจมมืด เขายอมตายเสียดีกว่าทนรับความอัปยศเช่นนี้
“ข้า ข้าเอง ข้าทำแทนเขาเอง…” ซ่งถิงเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประจบสอพลอ “ข้าชอบลอดใต้หว่างขาฆ้องเงินจู วันนี้ข้าน้อยเป็นผู้มีความดีความชอบ แต่ก็เป็นเรื่องให้ถูกว่าร้ายถากถาง ที่สามารถเพลิดเพลินกับการปฏิบัติตัวเช่นนี้ได้”
“แน่นอนว่าเป็นนกสองหัว ตอนแรกเจ้าก็หาความชื่นชอบจากสวี่ชีอันด้วยวิธีนี้รึ?” จูเฉิงจู้กล่าวด้วยความสมเพช
“ใช่ใช่ใช่…” ซ่งถิงเฟิงพยักหน้าด้วยความตระหนก และคลานเข้าไปใต้หว่างขาของจูเฉิงจู้อีกครั้ง
“ไม่เลว ไอ้หมอนี่น่าสนใจดี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบว่ามีคนชอบลอดใต้หว่างขาคนอื่น”
จูเฉิงจู้ตบหน้าซ่งถิงเฟิง และกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นว่า “นี่เป็นผลของการเลือกคบสหายโดยประมาท”
เขาไม่สนใจคนขี้แพ้เช่นนี้อีก และสาวเท้าไปตามทางที่ท่านพ่อเดินไป
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนบริเวณสนามประลองก็หายไปทั้งหมด เหลือเพียงจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิง
“ไอ้สารเลว อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น!”
ซ่งถิงเฟิงสบถ ‘เฟ้ย’ ก่อนจะหันไปมองจูกว่างเสี้ยว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่แยแสว่า “ไอ้หมอนี่ อยู่กับสวี่หนิงเยี่ยนมาตั้งนาน แต่กลับไม่รู้จักเรียนรู้จากเขาสักนิด ตรงกันข้าม อารมณ์โมโหร้ายกลับทวีความรุนแรงขึ้น เจ้าจะแต่งงานสิ้นปีนี้แล้ว ถูกขังคุกในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่ตายก็ต้องถูกลอกหนัง สุดท้ายก็ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถึงเวลานั้นจะรับแม่นางตระกูลไหนเข้ามาได้? ชั่วชีวิตนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พบหญิงงามที่อยากแต่งงานด้วย และนางยังเต็มใจที่จะแต่งเข้ามาเป็นผู้หญิงของเจ้า สวี่หนิงเยี่ยนจอมเจ้าเล่ห์นั่น วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ที่สำนักสังคีต ก็ยังไม่พบกับแม่นางเช่นนี้ไม่ใช่รึ”
จูกว่างเสี้ยวถึงกับน้ำตาไหล
ซ่งถิงเฟิงมุ่ยปาก และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะอายอะไรกัน ข้าไม่คิดมากอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ลอดใต้หว่างขา ให้เรียกคนอื่นว่าพ่อ ข้าก็ไม่ติด เจ้าเห็นการแสดงออก ‘นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำได้’ บนใบหน้าของข้าหรือไม่ หากเป็นเจ้า คงไม่มีหน้าจะใช้ชีวิตต่อไปแล้วกระมัง”
เขาโบกมือและกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ ข้าจะนั่งอยู่คนเดียว”
จูกว่างเสี้ยวส่งเสียงฟึดฟัดออกมาจากจมูก ก่อนจะตอบรับว่า “อืม” และหมุนตัวเดินออกไป
ไม่มีคนอื่นอยู่ที่สนามประลองแล้ว ซ่งถิงเฟิงยกมือขึ้นมาปิดหน้า ไหล่หนาทั้งสองข้างสั่นระริก เสียงร้องไห้ที่ถูกกลั้นไว้เล็ดลอดออกมาจากหว่างนิ้วของเขา
ช่างน่าอัปยศอดสู!
…
วันถัดมา การประชุมตอนเช้า
หยวนสยงยื่นจดหมายกล่าวโทษเว่ยเยวียน ในข้อหาทำผิดร้ายแรง ซึ่งรวมถึงการสมรู้ร่วมคิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาในการทุจริต และรีดไถประชาชน ละโมบในความก้าวหน้า เป็นผลให้ทหารแปดหมื่นนายตายในแผ่นดินศัตรู
ในการประชุมตอนเช้า จักรพรรดิหยวนจิ่งประณามเว่ยเยวียนด้วยความโกรธแค้น ตำหนิว่าเขาทำลายชาติบ้านเมืองต่อหน้าขุนนางชั้นสูง และเหล่าขุนนางที่อยู่นอกพระราชวัง
เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปทั่วฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎร
…
ที่ห้องหนังสือ ณ จวนเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหง
หลิวหงทุบแจกันลายครามด้วยความโกรธ เจ้าหน้าที่ทางการระดับสามท่านนี้สาปแช่งด้วยความแค้น และคำรามเสียงดังสนั่น “ไอ้คนถ่อยไร้ยางอาย! ข้ากับหยวนสยงไม่สามารถประนีประนอมกันได้แล้ว!”
ฝ่ายตรวจการจางสิงอิง เจ้ากรมทหาร และอดีตแกนนำพรรคเว่ยจำนวนหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องหนังสืออันกว้างขวาง ทุกคนล้วนไม่สามารถทำตามแผนใดๆ ได้
ในท้องพระโรง ไม่มีใครสามารถต่อกรกับจักรพรรดิที่มีกำลังวังชา และมีอำนาจอยู่ในมืออย่างเต็มที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรพรรดิองค์นี้ที่มีสุนัขล่าเนื้อ ที่เต็มใจบุกตะลุยโจมตีข้าศึกจำนวนมากอยู่ใต้บังคับบัญชา
“เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เกรงว่าจะฟื้นฟูสถานการณ์โดยรวมกลับมาได้ยาก” สมาชิกแกนนำท่านหนึ่งกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
จางสิงอิงกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า “เว่ยกงต่อสู้ในท้องพระโรงอย่างสุขุมรอบคอบมายี่สิบปี บอกว่าเขาใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน รีดไถเงินโดยมิชอบ แต่มีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่หอเฮ่าชี่มายี่สิบปีแล้ว เมืองหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยทัศนียภาพอันงดงาม แต่กลับไม่มีที่ใดที่เป็นบ้านของเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงใหม่กับข้า พยายามปฏิรูปใหม่ และกอบกู้ราชสำนักของชาติที่กำลังถดถอย เขาไม่มีบุตร อยู่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร และมอบจิตวิญญาณทั้งหมดให้กับราชสำนัก หากไม่มีเว่ยกง ยี่สิบปีมานี้ ฝ่าบาทจะบำเพ็ญธรรมได้อย่างมั่นคงปลอดภัยเช่นนี้รึ? เหตุใดฝ่าบาทไม่แม้แต่จะประทานชื่อหลังมรณกรรมให้แก่เขา?”
บรรยากาศที่หนักอึ้งและเศร้าสลดกระจายไปทั่วห้องหนังสือ
เจ้ากรมทหารสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเราต้องพิจารณาในตอนนี้คือปกป้องตนเอง เมื่อเรื่องของเว่ยกงสิ้นสุดลง ก็น่าจะถึงเวลาที่พวกเราสมาชิกพรรคเว่ยถูกกวาดล้าง เฮ้อ ฉินหยวนเต้าเริ่มจ้องตำแหน่งของข้าอีกแล้ว”
“สำหรับคดีของเว่ยกง ตราบใดที่พวกเราไม่ล้ม ตราบใดที่มีคนอยู่รอดในหมู่พวกเรา ในอนาคตก็ย่อมมีโอกาสกลับคำพิพากษาได้”
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวเพียงชั่วคราวไม่สามารถอธิบายอะไรได้ ดังคำโบราณที่ว่า เมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ขุนนางของราชวงศ์เก่า ก็จะถูกแทนที่โดยขุนนางของราชวงศ์ใหม่
ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราชวงศ์หยวนจิ่งได้ งั้นก็รอจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มีตัวอย่างที่ลูกชายตบหน้าพ่ออยู่ทุกที่ในประวัติศาสตร์ คดีถูกใส่ร้ายมากมายที่ถูกตัดสินผิดพลาด ล้วนถูกชะล้างหลังจากผ่านไปสิบปี
หลิวหงถอนหายใจ และกล่าวทันทีว่า “เพียงแต่การขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทในอนาคต อาจจะไม่สามารถกลับคำพิพากษาในคดีของเว่ยกงได้”
“จริงสิ สวี่ชีอันล่ะ?” จู่ๆ เจ้ากรมทหารก็ถามขึ้นมา
จางสิงอิงเม้มริมฝีปาก และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าส่งคนไปดู ประตูจวนตระกูลสวี่ปิดสนิท ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงอาคารบ้านเรือนที่ว่างเปล่า หนิงเยี่ยน เขาน่าจะไปจากเมืองหลวงแล้ว”
หลิวหงฝืนยิ้ม “ไปได้ก็ดีแล้ว หากเขาไม่ไป ก็ไม่มีใครปกป้องเขาได้ พวกเราก็ปกป้องเขาไม่ได้ เฮ้อ เขาคงผิดหวังกับราชสำนักอย่างมาก”
………………………………………………………………