ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 478 ทางออกของเว่ยเยวียน
บทที่ 478 ทางออกของเว่ยเยวียน
สายตาของสวี่ชีอันหยุดอยู่ที่กล่องไม้จันทน์หุ้มผ้าแพร กล่องถูกปิดแน่นหนา ส่องประกายรำไร
เขายื่นมือออกไปช้าๆ แล้วกดลงบนกล่องผ้า
จ้าวโส่วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าต้องขอเตือนเจ้าว่า ทันทีที่เปิดกล่องนี้ เจ้าก็จะเข้าสู่กระบวนการอย่างเป็นทางการทันที”
ใบหน้าของสวี่ชีอันสงบ “ข้ารู้แล้ว”
เขาเปิดกล่องทันที สีแดงเลือดหมูส่องสะท้อนเข้าตา ภายในกล่องผ้า มียาโลหิตขนาดเท่าไข่นกพิราบวางอยู่
ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ โอนเอนไปมาดัง ‘ซวบซาบ’ กิ่งไม้เหี่ยวแห้งนอกศาลาแตกหน่อสีเขียวอ่อน พื้นดินมีหญ้าผุดยอดแหลมขึ้นมา แมลงผุดออกมาจากพื้นดิน พรั่งพรูกันมาที่ศาลาเป็นกลุ่มๆ
แต่ถูกบดบังไว้ด้านนอกศาลาด้วยม่านปราณ
ริมฝีปากของสวี่ชีอันขยับเล็กน้อย “ยาโลหิต…”
จ้าวโส่วพยักหน้า “ก่อนที่เว่ยเยวียนจะจากไป ได้ทิ้งยาโลหิตส่วนหนึ่งไว้ที่นี่ เขากับข้าเคยคาดคะเนร่วมกันว่า จะทิ้งยาโลหิตส่วนนี้ไว้หรือไม่ก็ตาม ล้วนไม่ส่งผลต่อโอกาสที่จะได้รับชัยชนะที่เมืองจิ้งซาน
“ดังนั้น เว่ยเยวียนจึงแบ่งยาโลหิตส่วนหนึ่งมอบให้ข้าเก็บรักษาไว้ เขาบอกว่า สนามรบที่สำนักพ่อมดเขาจะเป็นคนปราบให้ราบคาบเอง ส่วนสนามรบในเมืองหลวงนั้น ขอมอบหมายให้กับสวี่ชีอัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จ้าวโส่วก็ยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ข้าถามเขาว่า ถ้าถึงตอนนั้นสวี่ชีอันไม่สามารถเลื่อนสู่ขั้นสี่ได้เล่า จะทำอย่างไร เขาไม่ได้ตอบข้า เห็นเจ้าตอนนี้แล้ว ข้าจึงเข้าใจว่าในตอนนั้นเขามีความมั่นใจเพียงใด”
‘เว่ยกงคาดไว้ถึงขั้นนี้แล้ว…’ ดวงตาของสวี่ชีอันดูเหมือนจะสงบลงชั่วขณะ ก้มหน้าลงมองยาโลหิต แล้วพูดว่า
“กลืนมันลงไปแล้ว ข้าจะสามารถเลื่อนสู่ขั้นสามได้?”
จ้าวโส่วให้คำตอบยืนยันว่า “ขั้นสามเรียกว่าร่างอมตะ ว่ากันว่าถึงแก่นแท้แล้ว ธาตุแท้ของมันคือพลังชีวิตที่ทรงพลังเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป แขนขาขาดไปสามารถงอกใหม่ได้ ขอเพียงไม่ตายทันที ไม่ว่าอาการบาดเจ็บแบบไหนก็สามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้
“วิธีการบำเพ็ญแบบปกติ คือการหล่อหลอมร่างกายและจิตใจวันแล้ววันเล่า ถ้าสามารถเสริมด้วยชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์เช่นยาอายุวัฒนะก็จะดีที่สุด จากการบำเพ็ญ จะทำให้ร่างกายแปรเปลี่ยน ทำให้เลือดเนื้อมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม”
แน่นอนว่าเขามีทางลัดทางหนึ่ง นั่นก็คือการกลืนกินปราณโลหิต ใช้ปราณโลหิตจำนวนมหาศาลเร่งปฏิกิริยาร่างกายและจิตใจให้แปรเปลี่ยน ลอกคราบร่างมนุษย์ธรรมดาออก ในตอนนั้นเป็นเพราะอ๋องสยบแดนเหนือต้องการปรุงยาโลหิต เพื่อผลักดันร่างกายและจิตใจสู่ขั้นสามขั้นสมบูรณ์ เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่ขั้นสอง
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ ไหวอ๋องปรุงยาโลหิต ก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการดูดปราณโลหิตของพระมเหสี นี่เป็นเรื่องที่เขารู้มานานแล้ว การเลื่อนสู่ขั้นสอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปราณโลหิตของพระมเหสี ไหวอ๋องแค่ต้องการเพิ่มระดับความสำเร็จ ดังนั้นจึงปรุงยาโลหิตเพื่อฝืนเลื่อนสู่ขั้นสามขั้นสมบูรณ์ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ในขั้นสามนี้ ส่วนสำคัญที่สุดของมันคือแก่นชีวิต
จ้าวโส่วโบกแขนเสื้อของเขาเบาๆ ทำให้แมลงที่อัดแน่นอยู่ด้านนอกศาลาสั่นสะเทือนจนกลายเป็นผงละเอียดทันที แล้วพูดต่อว่า “ตามทฤษฎีแล้ว เพียงแค่เลื่อนสู่ขั้นสี่ หากเจ้ามีแก่นชีวิตที่เข้มแข็งมากพอ ก็จะสามารถเลื่อนสู่ขั้นสามได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีคนที่ล้มเหลวเช่นกัน ยาโลหิตเป็นเพียงตัวกระตุ้น สิ่งที่ทหารขั้นสี่ต้องทำไม่ใช่การดูดซับมัน ร่างของมนุษย์ปกติดูดซับพลังงานจำนวนมหาศาลเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ร่างกายระเบิดและตายไป เช่นเดียวกับแมลงเหล่านั้น วิธีที่ถูกต้องคือใช้พลังงานชีวิตของมัน ขัดเกลาร่างกาย กระตุ้นร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง หลุดพ้นจากความสามัญ เมื่อร่างกายของเจ้าเปลี่ยนแปลง และก้าวไปสู่การหลุดพ้นจากความสามัญแล้ว ค่อยดูดซับพลังของยาโลหิตเพื่อซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ หน้าที่ของยาโลหิตคือเป็นเครื่องมือที่พาไปสู่ความสำเร็จ ใช้พลังงานชีวิตนั้นเปิดประตูสู่การหลุดพ้นจากความสามัญ ในเวลานั้นจะต้องอยู่ในสภาพใกล้ตายอย่างแน่นอน แต่ก็มีความสามารถในการดูดซับยาโลหิตแล้ว แล้วยังสามารถใช้ยาโลหิตเพื่อฟื้นฟูร่างกายและซ่อมแซมบาดแผลได้…”
สวี่ชีอันพยักหน้า “เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก”
“ข้าร่ายคาถาในศาลาแล้ว ลองทำการเลื่อนขั้นที่นี่ก็ได้ ถึงจะล้มเหลว ข้าก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้”
คำพูดของจ้าวโส่วมีความหมายตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง สำหรับทหารที่เดินในเส้นทางที่ไม่ชอบธรรม หากล้มเหลวก็ตายสถานเดียว และโอกาสที่ล้มเหลวนั้นมีสูงมาก
หลังจากที่สวี่ชีอันถามเกี่ยวกับรายละเอียดการดูดซับแล้ว ก็คว้ายาโลหิตขึ้นมา แล้วกลืนลงไปในทองโดยไม่ลังเล
‘ตูม!’
ขณะที่ยาโลหิตเพิ่งเข้าไปในคอ เขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสไออุ่นที่พุ่งเข้าไปในท้อง หลังจากนั้นท้องก็เหมือนจะระเบิดทันที
ท่ามกลางความเจ็บปวดอย่างรุนแรง สวี่ชีอันเห็นพื้นดินข้างหน้ามีเลือดกระเซ็นเต็มไปหมด จึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา ท้องของเขาระเบิดจริงๆ
‘พรวด พรวด พรวด…’ รูเลือดระเบิดออกตามร่างกาย เช่น บริเวณหน้าอก หลัง และเอว ทีละรู ตัวเขาเหมือนปีศาจในนิทานที่ถูกเหล่าจอมยุทธ์ยัดระเบิดเข้าไป ร่างกายค่อยๆ พังทลายลง
“หยุดความคิด แล้วดูดซับยาโลหิต”
เสียงของจ้าวโส่วเหมือนมีพลังบางอย่าง ที่ทำให้เขาสามารถหยุดความคิดที่สับสน และหลุดพ้นจากความวุ่นวายได้
สวี่ชีอันกลั้นหายใจและรวบรวมสมาธิ โดยใช้วิธีปรับลมหายใจ พยายามดึงแก่นชีวิตที่สับสนวุ่นวายภายในร่างกายออกมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ว่าแก่นชีวิตนี้ไปถึงตรงไหน มันก็นำความพินาศไปที่ตรงนั้น เส้นลมปราณขาดสะบั้นทีละเส้น เซลล์ระเบิดทีละเซลล์ บาดแผลที่น่ากลัวปรากฏขึ้นทีละแผล และบนร่างกายมีรอยแตกคล้ายใยแมงมุมปรากฏขึ้น
มันไม่ใช่การดูดซับ แต่ด้วยพลังนี้ ทำให้เซลล์ของข้าหลุดพ้นจากความสามัญ มีความเป็นอมตะ แต่ว่าจะทำให้เซลล์เกิดพลังชีวิตใหม่ได้อย่างไร
เมื่อเห็นปราณชีวิตถูกกำจัดไปทีละนิด ภายในใจของสวี่ชีอันก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่อาจปิดบังได้
‘…ช้าก่อน นี่เป็นวิธีเดียวกับที่ไต้ซือเสินซูมอบแก่นโลหิตให้แก่ข้า แตกต่างกันแค่เพียงไต้ซือเสินซูจะกำจัดพลังจิตตานุภาพในแก่นโลหิตก่อน’
สวี่ชีอันนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า เขาแตกต่างจากทหารทั่วไป เขาเคยมีแบบอย่างในการดูดซับแก่นชีวิตของนักรบขั้นสูงสองครั้ง หากเป็นตามที่เจ้าสำนักบอก ข้าน่าจะตายตั้งแต่สองครั้งก่อนแล้ว
‘นักรบธรรมดาจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงลำดับขั้นของชีวิตก่อน จึงจะสามารถดูดซับพลังของยาโลหิตได้ แต่ข้าเคยทำคล้ายๆ กันมานานแล้ว ลองดูดซับโดยตรงคงไม่เป็นไร…’
ภายใต้การปกป้องด้วยพลังการลั่นประกาศิตของเจ้าสำนัก ความคิดของเขากระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที จึงใช้ความคิดควบคุมแก่นชีวิต ไม่ให้พวกมันรุนแรงขนาดนั้น พร้อมกับพยายามดูดซับและบำรุงรักษาเซลล์ไว้ เซลล์ที่ถูกทำลายจะเกิดพลังชีวิตใหม่ จากนั้นก็จะ ‘ตาย’ อีกครั้งจากการทำลายของพลังของยาโลหิต แล้วเกิดใหม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่ถูกทำลายและเกิดใหม่ เซลล์ก็จะเหมือนกับเหล็กธรรมดาถูกชุบไฟและถลุง
สวี่ชีอันรู้สึกดีใจ เขามีพื้นฐานในการดูดซับพลังของยาโลหิตได้โดยตรง เขาหลุดพ้นจากความสามัญไปครึ่งก้าวนานแล้ว ภายใต้การปกป้องของเสินซูผู้เป็นแบบอย่างในการดูดซับแก่นโลหิตสองครั้งก่อน ได้สร้างพื้นฐานที่หนาแน่นให้เขา
‘ท่านโหราจารย์ นี่เป็นหนึ่งในของขวัญที่ท่านมอบให้?’
เขาอดนึกถึงสิ่งที่เสินซูเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ การบำรุงรักษานั้นได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งช่วยให้เสินซูสมปรารถนา แล้วยังช่วยให้เขาสมปรารถนาอีกด้วย ท่านโหราจารย์ก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างดี?
‘เขาปูทางไว้ให้ข้านานแล้ว?’
บังคับให้กำจัดความหวาดหวั่นและความหวาดกลัวที่มีต่อเหรียญกษาปณ์เฒ่า เขาดูดซับพลังของยาโลหิตด้วยความอดทน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หลังแก่นชีวิตส่วนสุดท้ายถูกดูดซับเข้าไป บาดแผลบนร่างกายของสวี่ชีอันก็หายเป็นปกตินานแล้ว
เสื้อผ้าเปื้อนเลือด แต่ร่างกายกลับสุกใสราวกับหยก ไร้มลทินมัวหมอง
จ้าวโส่วหรี่ตา พูดยิ้มๆ ว่า “ขอแสดงความยินดีกับฆ้องเงินสวี่ด้วย เลื่อนสู่ขั้นสาม ก้าวเข้าสู่การหลุดพ้นจากความสามัญแล้ว”
เจ้าสำนักเป็นขั้นสาม และข้าก็เป็นขั้นสามเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าข้าจะจับเขาแขวนแล้วเฆี่ยนได้ไหม… โอ้ จ้าวโส่วเป็นขั้นสามระดับสูงสุด ห่างจากขั้นสองเพียงก้าวเดียว ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ…สวี่ชีอันแสดงความคารวะตอบด้วยความนอบน้อม “ขอบคุณเจ้าท่านเจ้าสำนักที่ช่วยเหลือ”
จ้าวโส่วยิ้มและส่ายหน้า “คนที่ช่วยเจ้าไม่ใช่ข้า แต่เป็นเว่ยเยวียน ใช่แล้ว…” เขามองไปทางเมืองหลวง
…
สวี่ชีอันเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยทั้งตัว มาถึงบ้านที่อารองอาศัยอยู่
ไม่เห็นหลิงอินและลี่น่าอยู่ที่ลานบ้าน อารองและสวี่หลิงเยวี่ยนั่งดื่มน้ำชาที่โต๊ะหิน ส่วนอาสะใภ้นั่งพรวนดินและรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนเพาะดอกไม้
“ท่านพี่ สำนักนี้มหัศจรรย์มากเลย ดอกไม้ที่นี่ไม่เหี่ยวเฉาตลอดทั้งปี เมื่อก่อนเอ้อร์หลางเคยบอกข้า ข้ายังไม่เชื่อเลย …” อาสะใภ้พูดเสียงอ่อนหวาน
อารองสวี่ลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ มองหลานชายที่เดินเข้ามา
คนที่เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าวคือสวี่หลิงเยวี่ยที่โผสู่อ้อมอกเขา หลังตรุษจีนนางก็จะกลายเป็นสาวอายุสิบเก้าปีแล้ว รูปร่างเติบโตงดงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พี่ใหญ่!” สวี่หลิงเยวี่ยพูดสะอึกสะอื้น ทั้งดีใจและเสียใจ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
หลังจากหลี่เมี่ยวเจินกลับถึงเมืองหลวง ได้มาบอกเรื่องราวของสวี่ชีอันที่สำนักอย่างละเอียด บาดเจ็บสาหัส ยังไม่หาย หมดสติไม่รู้สึกตัว จนเกือบจะเสียชีวิตแล้ว
อารองสวี่รู้สึกโล่งใจ
อาสะใภ้หันไปมอง เห็นว่าหลานชายไม่ด้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ใบหน้าก็สดใสขึ้นทันที รีบเก็บอารมณ์ทันใด บุ้ยปากแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ข้าบอกแล้วว่าดวงชีวิตของเด็กคนนี้ทั้งเหม็นทั้งแข็ง ไม่ต้องเป็นห่วงเขาให้เหนื่อยเปล่าหรอก”
ความเย่อหยิ่งของเอ้อร์หลางได้รับถ่ายทอดมาจากอาสะใภ้นี่เอง
ทักทายปราศรัยอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็หยิบสัญญาซื้อบ้านและสัญญาซื้อที่ดินที่เตรียมเอาไว้ออกมาแล้วพูดว่า “อารอง ข้าซื้อบ้านในเจี้ยนโจวไว้หลังหนึ่ง พรุ่งนี้เวลาเหม่า ท่านพากับอาสะใภ้และน้องๆ ผู้หญิงออกเดินทางได้เลย”
เขาไม่ได้ให้เงินไว้ ตอนนี้บ้านสกุลสวี่มีเงินแล้ว ไม่ขาดค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายที่จะตามมาภายหลัง นอกจากนี้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับเขา ก็จะมีคนนำเงินฝากของเขามอบให้อารองสวี่
อารองสวี่อ้าปาก ไม่ได้รับไว้ มองหลานชายด้วยความซาบซึ้งใจ “แล้วเจ้าเล่า”
สวี่ชีอันยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าถอยไปไม่ได้อีกแล้ว”
อารองสวี่จึงรับสัญญาซื้อบ้านและสัญญาซื้อที่ดินไว้ “ตกลง”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาพูดเสียงต่ำว่า “เรื่องของเจ้าข้าบังคับไม่ได้มานานแล้ว อารองแค่เสียดาย ที่ไม่ได้เห็นเจ้าแต่งงาน อย่างน้อย อย่างน้อยก็ต้องมีผู้สืบสกุลไว้ให้พี่ใหญ่สักคน เจ้าคนอกตัญญู”
เขารู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง
‘ยกโทษให้กับชีวิตที่เสเพลและลำพองชอบกินฟรีของข้าในชาตินี้ด้วย…” สวี่ชีอันกล่าวขอโทษอย่างจริงใจที่สุดอยู่ภายในใจ “ส่วนเอ้อร์หลาง ข้าจะจัดการให้ดี พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง” สวี่ชีอันพูดจบ ก็โบกมือลาสมาชิกในครอบครัวของเขา
…
หมายเลขหนึ่ง ‘เหตุการณ์ทั้งหมด ก็ประมาณนี้’
ในระหว่างการสนทนาส่วนตัว หมายเลขหนึ่งเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้ฉู่หยวนเจิ่นฟัง หยวนจิ่งก็คือจักรพรรดิพระองค์ก่อน…จักรพรรดิพระองค์ก่อนสมคบกับสำนักพ่อมดสังหารเว่ยเยวียน…จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงต้องการกำหนดให้เป็นฝ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา…
สมองของฉู่หยวนเจิ่นสับสนไปหมด ในข้อมูลเหล่านี้ มีส่วนหนึ่งที่เขารู้มานานแล้ว แต่เรื่องที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนสมคบกับสำนักพ่อมดสังหารเว่ยเยวียน เขาเพิ่งจะได้ยิน
หมายเลขสี่ ‘ตอนนี้ ควรจะทำอย่างไรดี’
ปัญหานี้ ฮว๋ายชิ่งไม่ได้ตอบเขา
พระองค์ไม่รู้ แม้ว่าจะทรงเป็นพระธิดาพระองค์โตที่ฉลาดเช่นเดียวกับองค์จักรพรรดิ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทรงรู้สึกงุนงงและสับสนอยู่บ้างเช่นกัน
ในความเห็นของพระองค์ เรื่องแบบนี้ต้องถามท่านโหราจารย์เท่านั้น และมีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับปัญหาในระดับนี้ได้
หมายเลขสี่ ‘ทำใจลำบาก ทำใจลำบาก’
แม้มีหนังสือปฐพีกั้น ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ปัญญาชนที่หวั่นไหวของฉู่หยวนเจิ่น
หมายเลขสี่ ‘สวี่ชีอันมีความคิดเห็นอย่างไร?’
หมายเลขหนึ่ง ‘เขาฝากข้ามาถามเจ้าว่า พรุ่งนี้ก่อนรุ่งสาง จะสามารถกลับเมืองหลวงได้หรือไม่’
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกหวาดหวั่น แต่กลับไม่ได้ตอบทันที เขาเกิดความคิดที่เหลือเชื่อขึ้นในใจ
พอดีเวลานี้ ในหนังสือปฐพีปรากฏข้อความของสวี่ชีอันขึ้น ไม่ได้เป็นการสนทนาส่วนตัว แต่เป็นข้อความเปิดเผย
‘มีบางเรื่อง ที่ข้าอยากจะบอกทุกท่าน’
ยกเว้นจินเหลียนที่ปิดการติดต่อ และหมายเลขเจ็ด หมายเลขแปดที่การเชื่อมต่อขาดหายไป ผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทุกคนต่างหยิบเศษหนังสือปฐพีออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หมายเลขสาม ‘เกี่ยวกับแผนและจุดประสงค์ของเจินเต๋อจักรพรรดิพระองค์ก่อน เวลานี้ข้าสามารถตอบทุกท่านได้แล้ว’
‘เขา เขารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเจินเต๋อแล้วหรือ เขาเพิ่งหลับไปหนึ่งตื่นแท้ๆ โอ้ สมกับที่เป็นเจ้าจริงๆ…’ หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทั้งรอคอยทั้งเลื่อมใส
นี่…ยังไม่ทันได้ย่อยข้อมูลที่หมายเลขหนึ่งพูดเลย! สีหน้าของฉู่หยวนเจิ่นซับซ้อน และสายตาก็จับจ้องไปที่เศษหนังสือปฐพี เพราะกลัวว่าจะพลาดข้อมูลถัดไป
‘จุดประสงค์ที่แท้จริงของจักรพรรดิพระองค์ก่อน…’ ฮว๋ายชิ่งทรงสูดลมหายใจเข้าลึก ในพระหทัยรู้สึกหวั่นไหว
ไต้ซือเหิงหย่วนกำลังนั่งสมาธิอยู่ในป่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งบนภูเขาชิงหยุน ถือเศษหนังสือปฐพีและดูอย่างตั้งใจ
แม้แต่ลี่น่าก็ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ หยุดความคิด แล้วจ้องเศษหนังสือปฐพี
ในขณะนั้น สวี่ชีอันเล่าการคาดเดาของตัวเองและเจ้าสำนักจ้าวโส่วตั้งแต่ต้นจนจบให้ทุกคนในห้องสนทนาหนังสือปฐพีฟังอย่างละเอียด
เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
ผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทุกคนไม่มีการตอบสนองเป็นเวลานาน
ให้ต้าฟ่งกลายเป็นประเทศบริวารของสำนักพ่อมด เพื่อหลบหลีกกฎที่ว่ามีโชคชะตารัดตัวไม่สามารถเป็นอมตะได้ และเป็นปากเป็นเสียงให้สำนักพ่อมดในที่ราบภาคกลาง กลายเป็นจักรพรรดิในหน้าที่และผู้ครอบงำในอีกรูปแบบหนึ่ง…
‘ประเทศของบรรพบุรุษ ยกให้คนอื่นด้วยสองมืออย่างอ่อนน้อม จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงตกสู่ทางมารลึกเกินไปแล้ว…’
‘ไปตายซะเจินเต๋อ ข้าอยากจะแทงเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้เลย…’
‘แม้ว่าข้าจะฟังไม่เข้าใจนัก แต่รู้สึกร้ายแรงมาก…’
‘อมิตตาพุทธ…’
ทุกคนในพรรคฟ้าดินถูกจู่โจมอย่างหนัก บางคนโกรธแค้น บางคนประหลาดใจ บางคนก็เข้าใจในทันที รู้สึกว่าเงื่อนงำทั้งหมดต่างเชื่อมโยงกัน
หมายเลขหนึ่ง ‘จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงบ้าไปแล้ว ‘
ทุกคนล้วนมีความทะยานอยาก แต่การทำทุกอย่างเพื่อความทะยานอยากโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลย ทำถึงขั้นนี้คงพูดได้เพียงว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงด่างพร้อยเพราะผู้นำเต๋านิกายปฐพี และตกสู่ทางมารลึกเกินไป ความลุ่มหลงจนกลายเป็นความคิดที่น่ากลัว
หมายเลขสี่ ‘สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ทำให้ต้าฟ่งกลายเป็นประเทศบริวารได้อย่างไร’
คำพูดของฉู่หยวนเจิ่น ทำให้ทุกคนถกเถียงกันอย่างดุเดือด
หมายเลขหนึ่ง ‘ใต้หล้ากำลังวุ่นวาย สำนักพ่อมดถือโอกาสโจมตีที่ราบภาคกลาง?’
หมายเลขสอง ‘ไม่ตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ออกไป แต่หลังจากโดนเว่ยเยวียนกวาดล้าง และการต่อสู้ที่ด่านอวี้หยาง สำนักพ่อมดก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก แม้ว่าต้าฟ่งจะอยู่ในความวุ่นวาย คนที่ได้ประโยชน์น่าจะเป็นสำนักพุทธแดนประจิม’
เหิงหย่วนและลี่น่าไม่ได้แสดงความคิดเห็น คนหนึ่งไม่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นเพราะไอคิวไม่มากพอล้วนๆ
หมายเลขสาม ‘เจินเต๋อจะยังคงมีการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย สิ่งที่เขาจะทำต่อไป จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ข้าจะไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว ’
‘เจ้าคิดจะทำอะไร?’
ทุกคนส่งข้อความนี้เกือบจะพร้อมกัน
สวี่ชีอันเงียบเป็นเวลานาน จึงเขียนตอบอย่างช้าๆ
‘ข้าจะปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ!’
ในเศษหนังสือปฐพี มีแต่ความเงียบงัน
‘ข้าจะปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ…’ เมื่อเห็นคำสี่คำนี้ มือของทุกคนก็สั่นเล็กน้อย
สมองของฮว๋ายชิ่งสับสนไปหมด
ในตอนนั้นฉู่หยวนเจิ่นไม่พอใจกับการที่หยวนจิ่งบำเพ็ญธรรม จึงลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปฝึกฝนวิชาดาบ และท่องยุทธภพ แม้ว่าทุกท่าทางและคำพูดจะแสดงออกว่าไม่พอใจและดูถูกหยวนจิ่ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงคำว่าปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ การมีชีวิตในยุคนี้ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม ความคิดย่อมได้รับอิทธิพลจากแนวคิดต่างๆ เช่น ‘กษัตริย์ ขุนนาง บิดา ลูกชาย’ ‘กษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตายขุนนางก็ต้องตาย’ การปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ เป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อน
หลี่เมี่ยวเจินเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ ไม่เคยได้รับการศึกษาแบบลัทธิขงจื๊อ แต่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้เช่นกัน จึงเข้าใจแนวคิดและความหมายของคำว่า ‘กษัตริย์’ เมื่อก่อนที่นางเคยพูดว่าจะแทงหยวนจิ่งให้ตายนั้น เป็นเพียงการระบายอารมณ์มากกว่า
หมายเลขสาม ‘คนไม่มีคุณธรรม สวรรค์จะสังหารเขา กษัตริย์ไม่มีคุณธรรม ข้าจะสังหารเขาเอง ทุกท่าน ยินดีจะช่วยข้าหรือไม่’
สวี่หนิงเยี่ยน ช่างเป็นทหารที่ทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างไม่มีความยำเกรงจริงๆ…อารมณ์ของทุกคนปั่นป่วน
หมายเลขสาม ‘ตกลง’
หมายเลขสี่ ‘ตกลง’
หมายเลขห้า ‘ตกลง’
หมายเลขหก ‘ตกลง’
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดข้อความของหมายเลขหนึ่งก็ส่งมา ‘…ตกลง’
หมายเลขสาม ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน เจ้าคิดอย่างไร’
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทันรอคำตอบจากนักบวชเต๋าจินเหลียน สวี่ชีอันก็ส่งข้อความ ด้วยความรู้สึกโล่งใจว่า ‘ข้าจะบอกแผนการแก่ทุกท่านอย่างละเอียด’
…………………………………………………………