ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 479 เตรียมการล่วงหน้า
บทที่ 479 เตรียมการล่วงหน้า
จินเหลียนแห่งพรรคฟ้าดินช่างมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อจริงๆ…
สวี่ชีอันถอนหายใจในใจและอธิบายแผนของเขาอย่างละเอียด
ในขณะที่ฟังอยู่ จู่ๆ ฉู่หยวนเจิ่นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงส่งข้อความไปว่า ‘ช้าก่อน เจ้ามีสิทธิ์อะไรเป็นกำลังหลัก? ต่อให้เจ้าจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่แล้ว แต่ก็ไม่มีทางจัดการกับเจินเต๋อได้’
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหลและตระหนักได้ในทันใด โดยเฉพาะหลี่เมี่ยวเจินที่เป็นพยานในการเลื่อนสู่ขั้นสี่ของสวี่ชีอัน ไม่มีใครเข้าใจสวี่ชีอันดีไปกว่านาง
ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจมากเพียงใดในขอบเขตขั้นสี่ แต่อย่างไรขั้นสี่ก็คือขั้นสี่ ยังเป็นแค่คนธรรมดา ซึ่งห่างไกลจากนักรบที่อยู่ในขอบเขตขั้นสามจำนวนนับไม่ถ้วน และเจินเต๋อก็ยังเป็นนักรบขั้นสองของลัทธิเต๋า ขอบเขตอันยิ่งใหญ่ทั้งสอง แตกต่างกับเขาราวฟ้ากับดิน
สวี่ชีอันส่งข้อความว่า ‘ข้าอยู่ขั้นสามแล้ว’
“???”
ทุกคนในพรรคฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง และจิตใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ข้าได้ยินว่าอย่างไรนะ? เด็กนี่อยู่ขั้นสามแล้วรึ?! เขาคลุกคลีอยู่กับคนลัทธิขงจื๊อมาเป็นเวลานาน ก็เลยติดนิสัยคุยโวโอ้อวดมาใช่หรือไม่…
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง
เจ้าคนเลว รังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว ตอนแรกที่พบกันที่อวิ๋นโจว เจ้าเป็นเพียงแค่ฆ้องทองแดงขั้นแปดอยู่เลย?!
วิญญาณดวงน้อยในร่างของหลี่เมี่ยวเจินกำลังกรีดร้อง
คนอื่นๆ ต่างก็แสดงความประหลาดใจในแบบฉบับของตนเอง
ช่วงเวลานี้ ทุกคนในพรรคฟ้าดินต่างก็นึกถึงฉากตอนที่หมายเลขสามเพิ่งได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนั้นเขายังเป็นบุคคลตัวเล็กๆ ที่ถูกนักบวชเต๋าจื่อเหลียนทำให้ตกใจจนตัวสั่น
ตอนนั้น คือเดือนสิบช่วงปีที่แล้ว
คิดไปคิดมาแล้วก็เกือบหนึ่งปีพอดี เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งปีในการก้าวออกจากขอบเขตคนธรรมดา และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่เหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง
ทหารขั้นสามมีพลังชีวิตอันแข็งแกร่ง อายุยืนยาว ไม่มีปัญหาในการดำรงอยู่หลายร้อยปี
เขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
มีคนสามารถเลื่อนจากขั้นแปดขึ้นสู่ขั้นสามได้ภายในหนึ่งปีจริงๆ รึ? ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น เกรงว่ายังไม่แข็งแกร่งเช่นนี้เลยกระมัง…
แต่ละคนในพรรคฟ้าดินล้วนมีโอกาสและจังหวะของตนเอง แต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์ของตนเอง แต่พวกเขาต้องยอมรับว่าตนเองค่อนข้างธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชีอัน
ทำไมไม่พูด เป็นใบ้กันหมดแล้วรึ…เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน สวี่ชีอันก็ส่งข้อความไปว่า ‘ศิษย์พี่ฉู่ ตอนเจ้ากลับเมืองหลวง อย่าลืมพาเอ้อร์หลางกลับมาพร้อมกันด้วย ส่งเขาไปพบกับอาสะใภ้รองของข้าที่สำนักอวิ๋นลู่’
โฉนดบ้านและที่ดินของเจี้ยนโจวถูกซื้ออย่างลับๆ วันที่เขาไปภูเขาเฉวี่ยนหรงในวันนั้น ไม่มีใครบอกเขา ซึ่งตอนนั้นเขาไปที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงเพียงคนเดียว…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้ว และพบว่าดูเหมือนตนเองจะหลงลืมอะไรไป
ตอนนั้นเฉาชิงหยางนัดข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ข้าไปคนเดียว หลังจากนั้นก็ซื้อบ้านพักระหว่างทาง และพบกับบรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์…อืม ไม่มีปัญหา
หมายเลขสี่ ‘เข้าใจแล้ว ข้าจะกลับเมืองหลวงคืนนี้เลย เจ้าให้สำนักโหราจารย์เตรียมยาอายุวัฒนะบำรุงชี่ให้ข้าด้วย’
หากเร่งกระบี่บินเต็มกำลัง เขาก็จะกลับถึงเมืองหลวงภายในสามชั่วยาม เวลานั้นก็น่าจะมืดแล้ว เขายังสามารถงีบหลับสั้นๆ และกินยาบำรุงชี่ เรื่องใหญ่จะรอช้าไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อสิ้นสุดการประชุมกลุ่ม สวี่ชีอันก็เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลงไป ก่อนจะชักดาบไท่ผิงออกมา
‘ฉับ!’
เขาตัดปลายนิ้วก้อยของตนเองในฉับพลัน
“ต่อให้ไม่ใช้งานระดับเพชรไร้พ่าย และอาศัยเพียงคมของดาบไท่ผิง ก็ยากที่จะทำร้ายข้า จำเป็นต้องแปลงพลังปราณให้กลายเป็นปราณดาบเท่านั้น!”
สวี่ชีอันพยักหน้า รู้สึกพอใจกับร่างกายของตนเองในเวลานี้อย่างมาก
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงการสมานแผลที่ปลายนิ้ว เซลล์กำลังแบ่งตัวเพื่อซ่อมแซมบาดแผลด้วยอัตราความเร็วที่น่าตกใจ เขาฝืน ‘สัญชาตญาณ’ นี้ไว้ และก้มลงไปหยิบปลายนิ้วก้อยขึ้นมา ก่อนจะนำมาต่อเข้ากับบริเวณที่ขาดไป
เนื้อและเลือดดิ้นขยุกขยิก นิ้วก้อยเชื่อมกันใหม่อีกครั้ง สมานกันจนแนบสนิทโดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้แต่อย่างใด
เขาเฝ้าสังเกตตนเอง “ทุกเซลล์ในร่างของทหารขั้นสามล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายชีวิตอันยิ่งใหญ่ หากมีกล้องจุลทรรศน์ เซลล์ของข้าน่าจะแตกต่างจากเซลล์ของมนุษย์ทั่วไป เอ๋ เช่นนี้จะทำให้ข้าเป็นหมันหรือไม่?!”
น่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ในโลกนี้มีพวกครึ่งปีศาจ แสดงว่ากฎการสืบพันธุ์ไม่ได้ควบคุมโลกใบนี้ เห็นวิชาการปลูกถ่ายชีวิตที่น่ากลัวของซ่งชิงก็รู้แล้ว ตอนนั้นข้าก็ตกใจจนไม่ได้นึกถึงด้านนี้…
ทหารขั้นสี่ที่กลืนยาโลหิตเพื่อเลื่อนขั้นจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ไม่สิ เกือบจะสิ้นชีพตลอดกาลต่างหาก ไม่แปลกใจที่น้อยคนจะกล้าเดินบนเส้นทางนี้ ไม่แปลกใจที่ต้าฟ่งมีทหารมากมาย แต่กลับมีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือเท่านั้นที่อยู่ขั้นสาม และวิธีการกลั่นยาโลหิตจากชีวิตคนนับแสน ทหารที่หยาบคายย่อมไม่มีทางรู้ เพราะลัทธิเต๋าควบคุมความลับข้อนี้อยู่ ซึ่งไหวอ๋องได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีตั้งแต่แรก สำหรับพ่อมดและโหรจะเข้าใจหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบในขณะนี้
ส่วนแบบข้า คือมีทหารขั้นสูงเสียสละแก่นโลหิตบางส่วน เพื่อช่วยให้ข้าเลื่อนขั้น กล่าวได้เพียงว่า ท่านพ่อช่างดีจริงๆ อืม ท่านโหราจารย์ก็มีคุณงามความดีเช่นกัน หากไม่มีการเตรียมการของเขา ข้าก็ไม่มีทางวางรากฐานล่วงหน้าได้
ของขวัญของเว่ยกงคือความรักและการถ่ายทอดวิชา ไม่รู้ว่าของขวัญของท่านโหราจารย์คืออะไร แต่ตอนนี้ข้ารู้บางส่วนแล้ว อืม คือการฆ่าจักรพรรดิไม่ใช่รึ ราชวงศ์เป็นรากฐานของโหร หากท่านโหราจารย์ฆ่าจักรพรรดิ ย่อมต้องประสบกับการสะท้อนกลับของโชคชะตา แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าเป็นเพียงทหาร นอกจากนี้ ยังโอบกอดโชคชะตาไว้ในร่าง ข้าจึงไม่จำเป็นต้องกลัวการสะท้อนกลับ แต่การฆ่าจักรพรรดิ สุดท้ายก็ต้องติดบ่วงกรรมกระมัง
เขาเล่นกับนิ้วก้อยของตนเอง และนึกย้อนถึงสภาพร่างกายของตนเองเมื่อสักครู่
หลังจากขั้นสามขึ้นไป แขนขาของทหารที่ขาดวิ่นไม่เพียงแต่สามารถงอกใหม่ได้ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกันใหม่ได้ การงอกใหม่ ทหารจะต้องบริโภคแก่นโลหิตของตนเอง หากแขนขาที่ขาดวิ่นงอกใหม่โดยตลอด ในไม่ช้าก็เร็วก็จะหมดแรง และถูกชีวิตบดขยี้จนตายในที่สุด
ส่วนการเชื่อมต่อกันใหม่จะบริโภคน้อยมาก เพราะท้ายที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ ในช่วงแรกเริ่มของขั้นสาม หากถูกตัดศีรษะแล้วก็สามารถตายได้ เพราะจิตเดิมยังแข็งแกร่งไม่พอ ข้าในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพการณ์เช่นนั้น
ในช่วงกลางของขั้นสาม จิตเดิมจะไล่ตามกายเนื้อ เวลานั้น ต่อให้ศีรษะถูกตัดก็สามารถงอกออกมาใหม่ได้อีก จิตเดิมจะกลับสู่ตำแหน่งเดิม แต่หากอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิตเดิมจะตกเป็นเป้าของพ่อมดหรือยอดฝีมือลัทธิเต๋า ความเสี่ยงในการพังพินาศก็ยังสูงมาก นอกจากนี้ หากถูกฆ่าแบบแยกชิ้นส่วน ทุกชิ้นส่วนจะไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นขั้นสาม ก็อาจทำให้แก่นโลหิตหลุดรอดออกมามากเกินไป เนื่องจากการซ่อมแซมตามสัญชาตญาณ สุดท้ายก็จะเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง การฆ่าแบบแยกชิ้นส่วนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฆ่าทหารขั้นสูง
จุ๊ๆ…จากมุมมองนี้ เสินซูจะน่ากลัวแค่ไหนกัน?
เสินซูก็ถูกแยกชิ้นส่วนอวัยวะเช่นกัน และถูกผนึกไว้ใต้ทะเลสาบซังผอถึงห้าปี ภายในห้าปีนั้น แก่นโลหิตยังไม่สลายหายไป และยังคงเพียบพร้อมไปด้วยปราณชีวิตที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ จิตเดิมของเสินซูก็ยืนหยัดมาห้าร้อยปีโดยไม่ถูกลบล้าง…
ยิ่งฐานการฝึกฝนสูงเพียงใด ก็จะยิ่งเข้าใจความน่ากลัวของเสินซู
ขอบเขตสูงสุดของเสินซูมีความแข็งแกร่งมาก เขาต่อยท่านโหราจารย์ในหมัดเดียวไม่ใช่รึ?
สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนอากาศ ท่ามกลางเสียงระเบิด ‘ตูม’ ของพลังปราณ และผ่านทะลุทะลวงขึ้นไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว
ทหารขั้นสามสามารถบินในอากาศโดยอาศัยพลังปราณ ในบรรดาวิธีการบินในอากาศของระบบหลักทุกระบบ นี่เป็นการบินในอากาศที่มีการบริโภคมากที่สุด แต่ระดับความเร็วกลับช้าที่สุด
ระดับความเร็วการบินในขอบเขตเดียวกันจะช้าที่สุด แต่หากอยู่บนพื้นดิน ระดับความเร็วของทหารจะเร็วที่สุด แม้ว่าจะเป็นโหรที่ควบคุมการลำเลียงก็ตาม เว้นแต่จะลำเลียงในระยะสิบลี้หรือสิบกว่าลี้ภายในคราวเดียว มิเช่นนั้นการลำเลียงในระยะประชิด จะถูกพลังระเบิดของทหารไล่ตามได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นพลังการทำลายล้างก็จะติดตัวไปด้วย
ไม่นาน เมืองหลวงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
สวี่ชีอันถลาลงสู่พื้นดิน แปลงกายเป็นหนุ่มหล่อจากชาติที่แล้ว ผสมผสานเข้ากับฝูงชนที่จอแจ จนกลายเป็นหนึ่งในฝูงชน
เขากลับมาถึงหอดูดาว กระโดดขึ้นไปบนแท่นแปดทิศ เสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้นท่ามกลางลมพัดกรรโชก และร่างของเขาก็ตกลงที่ข้างกายท่านโหราจารย์อย่างมั่นคง
“ศิษย์พี่หยางเล่า?” สวี่ชีอันถามท่านโหราจารย์
“ข้าเกรงว่าเขาจะทนรับการถูกเฆี่ยนไม่ไหว ก็เลยขังเขาไว้ในคุกใต้ดินแล้ว” ท่านโหราจารย์กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ชีวิตก็ยากลำบากเช่นนี้แล้ว จะปล่อยให้ข้าหาความสุขจากศิษย์พี่หยางไม่ได้เลยรึ…สวี่ชีอันบ่นพึมพำ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “ข้าเพิ่งเข้าสู่ขั้นสาม ต้องรบกวนท่านโหราจารย์แล้ว”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า และตบศีรษะของสวี่ชีอันด้วยฝ่ามือเดียว
…
ล้อเกวียนสั่นโคลงเคลง
รถม้าหรูที่ทำจากไม้จันทน์สีแดงหยุดลงที่ด้านนอกอารามรัตนะ
สวี่ชีอันที่ปลอมตัวแล้วออกมาจากรถม้าของหลินอัน หญิงงามยกชายประโปรงขึ้น พลางกระโดดลงมาจากรถม้าอย่างมั่นคงโดยมีสวี่ชีอันประคอง
ยายตัวร้ายเดินไปที่ประตูทางเข้าของอารามรัตนะด้วยท่าทีสง่างาม ก่อนจะเชยคางขึ้นเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “ข้าต้องการพบราชครู อืม เสด็จพ่อของข้าอยู่หรือไม่?”
“ฝ่าบาทมิได้ประทับอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
คนเฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานด้านในทันที ไม่นานเขาก็เดินเร็วกลับมา พลางกล่าวว่า “องค์หญิง ท่านราชครูเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ยายตัวร้ายเดินนำสวี่ชีอันเข้าไปด้านใน
“องค์หญิง ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จงอย่าเกลียดข้าเลย…”
ยายตัวร้ายกะพริบดวงตาดอกท้ออันเป็นประกายปริบๆ และกล่าวเสียงหวานว่า “เจ้าคงไม่…กำลังจะหมั้นกระมัง?!”
จู่ๆ น้ำเสียงของนางก็แหลมขึ้นอย่างกะทันหัน
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ อยากจะกุมมือนาง อยากจะล้มเลิกแผนอีกครั้ง แต่ฉลามยักษ์อาจจะ ‘มอง’ มาแล้ว
ราชาแห่งท้องทะเลที่เจริญเต็มวัยถือหอกเหล็กอยู่ในมือ ต้องรู้จักเวลาและโอกาสที่เหมาะสม เพื่อเลือกแทงปลาที่เหมาะสม
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด เพราะกลิ่นคาวเลือดอาจกระตุ้นความดุร้ายที่อยู่ภายในตัวของฉลามยักษ์
เมื่อเข้าใกล้ที่อยู่อาศัยอันงดงามและเงียบสงบของลั่วอวี้เหิง เขาก็เข้าไปในลานบ้าน โดยปล่อยให้หลินอันรอด้านนอก และผลักประตูเข้าไปในห้องอันเงียบสงบของลั่วอวี้เหิง
ราชครูนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูกด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ดวงตาทั้งสองข้างเปิดขึ้นเล็กน้อย จุดสีชาดที่หว่างคิ้ว ทำให้ใบหน้าที่งดงามของนางดูเย็นยะเยือกราวกับเทพเซียน
“ข้าเข้าสู่ขั้นสามแล้ว” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา
ลั่วอวี้เหิงเปิดเปลือกตาขึ้นมา จ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
หัวใจของนางสั่นเทาอย่างรวดเร็ว จนนางเกือบจะควบคุมการแสดงออกของตนเองไม่ได้ ปล่อยให้อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันขาวผ่องที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
“เจ้าทำได้อย่างไร?”
ลั่วอวี้เหิงลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังพูดความลับบางอย่าง
“ก่อนเว่ยกงจะออกรบ ได้ทิ้งยาโลหิตไว้ให้ข้า” สวี่ชีอันกล่าวส่งสัญญาณว่า “นอกจากนี้ ข้ายังตรวจสอบคดีของอดีตจักรพรรดิเจินเต๋อจนกระจ่างแล้ว”
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้ลั่วอวี้เหิงฟังอย่างละเอียด
ลั่วอวี้เหิงเงียบอยู่นาน และพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะกล่าวกึ่งถอนหายใจว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าต้องการฆ่าจักรพรรดิ แต่ด้วยกำลังของข้าเพียงคนเดียว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถรับมือกับอดีตจักรพรรดิได้ ขอราชครูโปรดให้ความช่วยเหลือด้วย”
ฆ่าจักรพรรดิ มิใช่เพียงฆ่าหยวนจิ่ง แต่ยังหมายถึงเจินเต๋อ
ลั่วอวี้เหิงไม่ได้ตอบกลับ มีเพียงน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้นอย่างไพเราะว่า “โหราจารย์ไม่สามารถลงมือกับจักรพรรดิได้ นั่นเป็นเพราะโหรมิสามารถเชือดเฉือนกับราชวงศ์ได้ ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการฆ่าจักรพรรดิ เป็นสิ่งที่โหราจารย์ไม่มีทางทนรับได้ มิเช่นนั้น จักรพรรดิในทุกราชวงศ์จะไม่วางใจโหราจารย์เช่นนี้อีก”
ทว่ายอดฝีมือขั้นสามขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นระบบใดล้วนไม่ยินดีที่จะจัดการกับจักรพรรดิ เพราะคนที่ฆ่าผู้ที่มีโชคชะตาอันใหญ่หลวง ย่อมต้องแบกรับการสะท้อนกลับของโชคชะตาเช่นเดียวกัน
“เมื่อข้าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ จะทนแบกรับการสะท้อนกลับนี้ไม่ไหว เจ้า…เจ้าปลดกางเกงทำไมกัน?!” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จู่ๆ เจ้าเด็กนี่ก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก และปลดเข็มขัดต่อหน้านาง
“ราชครูอยากบำเพ็ญคู่กับข้ามาโดยตลอดไม่ใช่รึ โอกาสดีๆ เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ท่านไม่ควรพลาด” สวี่ชีอันกล่าวเสียดสีเล็กน้อย
หลังจากนั้น เขาเห็นก้อนเมฆสีแดงก่ำปรากฏขึ้นบนใบหน้ารูปไข่ของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ หรือราชครูแห่งต้าฟ่ง หรือหญิงงามประจำชาติที่หาใครเปรียบมิได้ท่านนี้
ลั่วอวี้เหิงมองเขาด้วยสีหน้าสับสน “เจ้า เจ้ารู้หมดแล้ว…”
สวี่ชีอันพยักหน้า “นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกข้า”
ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วขึ้น พลางทอดสายตาไปอีกด้านหนึ่ง และกล่าวเสียงเบาว่า “ถึงแม้ข้าจะมี มีแผนเช่นนี้ แต่…ก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเจ้า เรื่องคู่บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
นางแสดงสีหน้าและน้ำเสียงที่เย็นชา แต่ลักษณะการพูดที่ตะกุกตะกักกลับทำให้นางขายหน้า
ราชครูยังคงเป็นสาวน้อยที่มีความพิธีรีตองมากคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อืม แน่นอนว่าข้าต้องอาบน้ำ ขั้นตอนที่ควรมีก็ไม่น้อย…สวี่ชีอันวิพากษ์วิจารณ์ในใจ พลางหยุดปลดเข็มขัด และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากฆ่าจักรพรรดิ ข้าก็จะเป็นคนของราชครูแล้ว”
เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อซื่อสัตย์ต่อลั่วอวี้เหิง เจ้าโลภในร่างกายข้า ข้าขอให้เจ้าช่วยเหลือ แน่นอนว่าข้าก็โลภในร่างกายของเจ้าเล็กน้อย…นี่ยิ่งเหมือนการแลกเปลี่ยนที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
แต่ความประทับใจของสวี่ชีอันมีต่อลั่วอวี้เหิงนั้นไม่เลวเลย และเขาก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมกิจกรรมรักกับนาง ก่อนที่จะปลูกฝังความรู้สึก ดังคำที่คนโบราณกล่าวว่า ‘วันเวลาผ่านไปนานๆ ก็จะรักกันเอง’
น้ำในดวงตาของลั่วอวี้เหิงสั่นไหว พร้อมกับความเขินอายที่แผ่กระจายไปทั่วจิตใจ นางกล่าวเสียงเบาว่า “พรุ่งนี้ข้าจะลงมือเอง เจ้าไปซะ!”
สวี่ชีอันโค้งตัวคำนับ ก่อนจะถอยออกไปจากห้องอันเงียบสงบ
เมื่อออกมาแล้ว ยายตัวร้ายก็เข้ามาต้อนรับ ถามจอแจว่า “เจ้าคุยอะไรกับราชครูรึ?”
สวี่ชีอันตอบตามความเป็นจริง “ข้าชวนราชครูบำเพ็ญคู่ แต่นางปฏิเสธ”
ยายตัวร้ายกลอกตาด้วยความเอือมระอา
สวี่ชีอันกล่าวอีกว่า “นางคิดว่าเรื่องคู่บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ข้าคงต้องแห่เสลี่ยงแปดคนแบกไปสู่ขอนางถึงหน้าประตูบ้านกระมัง”
ยายตัวร้ายหัวเราะ ‘คิคิ’ ราวกับแม่ไก่ตัวน้อย “ยังไม่ออกจากอารามรัตนะเลย ระวังราชครูได้ยิน แล้วเจ้าจะโดนลงโทษ”
สวี่ชีอันชายตามองนาง เดี๋ยวต่อไปเจ้าก็จะหัวเราะไม่ออกแล้ว
“ต่อไป พาข้าไปจวนตระกูลหวาง” เขากล่าว
…
หลังจากหวางเจินเหวินกลับจวนแล้ว ก็เริ่มให้สมาชิกในตระกูลเก็บของให้เรียบร้อย ตั้งแต่เสื้อผ้าส่วนตัวไปจนถึงวัตถุโบราณ ของตกแต่งบ้าน ภาพวาด ผลงานประดิษฐ์ตัวอักษร ล้วนถูกเก็บลงในกล่องทั้งหมด
สมาชิกในตระกูลสับสนและงุนงงไม่น้อย แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว
คุณชายรองหวางรวบรวมความกล้าถามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงไม่กล้าถามอีก และเอาแต่ยุยงให้น้องสาวที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดไปสืบข่าวอย่างไม่หยุดหย่อน
จากการที่หวางซือมู่รับรู้สถานการณ์ในท้องพระโรงล่าสุด รวมถึงเรื่องที่ท่านพ่อพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของเว่ยเยวียน นางก็พอจะมีคำตอบในใจแล้ว
มีความเป็นไปได้ทั้งหมดสองทาง หนึ่ง ท่านพ่อวางแผนลาออกจากราชการ สอง ฝ่าบาททรงวางแผนทำให้ท่านพ่อออกจากราชการ
ตำหนักหลังนี้เป็นของพระราชทาน และตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน ซึ่งแตกต่างจากมรดกถาวรของขุนนางชั้นสูง หากขุนนางบุ๋นลาออกจากราชการและกลับบ้านเกิด ตำหนักพระราชทานเช่นนี้ก็ย่อมถูกเก็บคืน แตกต่างกับขุนนางชั้นสูง หากผู้อาวุโสเสียชีวิตลง ก็จะมีทายาทมารับช่วงตำแหน่งนั้นต่อ ตำหนักพระราชทานก็จะสามารถตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ตลอดไป
ว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ควรเป็นเช่นนั้น ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับเว่ยเยวียน ถึงแม้วีรบุรุษจะเคารพซึ่งกันและกัน แต่สุดท้ายก็เป็นศัตรูทางการเมืองต่อกัน ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้…
หวางซือมู่หน้านิ่วคิ้วขมวด และกล่าวตำหนิว่า “พี่รอง ท่านช่างน่ารำคาญจริงๆ จะไปไหนก็ไปเถิด”
จู่ๆ คุณชายรองหวางก็ดับไฟ พลางเบะปาก สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปในทันใด
ซึ่งเป็นเวลาพอดีกับที่ทาสรับใช้เข้ามารายงานว่า “คุณหนู องค์หญิงหลินอันเสด็จมาเจ้าค่ะ”
หวางซือมู่รู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย นางลุกขึ้นยืนและออกไปต้อนรับทันที หลินอันนับว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายยังติดต่อกันอยู่เป็นระยะๆ
เมื่อมาถึงห้องรับรอง ก็สังเกตเห็นองค์หญิงรองในชุดกระโปรงสีแดงได้อย่างรวดเร็ว ใบหน้ารูปไข่และดวงตาดอกท้อยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เช่นเคย
“องค์หญิง!”
หวางซือมู่แสดงความเคารพเป็นการต้อนรับ พลางสังเกตการแสดงออกของหลินอัน จะว่าไปแล้ว เหตุผลที่นางและหลินอันได้กลายมาเป็นสหายกัน นับว่าองค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
องค์หญิงหลินอันชอบทำตัวเป็นปีศาจและยายตัวร้าย แต่นอกจากทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจและรู้วิธีเอาใจจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว นางก็ไม่มีทักษะอันยอดเยี่ยมแต่อย่างใด
จนกระทั่งรู้จักหวางซือมู่ นางจึงมีกุนซือหัวสุนัข ซึ่งนางมักจะขอความคิดเห็นจากหวางซือมู่ในการสร้างความยากลำบากให้กับฮว๋ายชิ่งอยู่เสมอ แม้ว่าความคิดส่วนใหญ่ของหวางซือมู่จะทำให้หลินอันขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ แต่ก็ยังสามารถสร้างความหัวเสียให้แก่ฮว๋ายชิ่งได้บ้างเป็นครั้งคราว
“ซือมู่!”
หลินอันทักทายด้วยรอยยิ้ม พลางถามว่า “ข้าต้องการพบสมุหราชเลขาธิการหวาง”
ในขณะที่กล่าว นางก็เหลือบตาไปมองสวี่ชีอันที่ปลอมตัวมา
หวางซือมู่ผู้มีนิสัยช่างสังเกต ย่อมเห็นรายละเอียดปลีกย่อยนี้ได้อย่างทันทีทันใด นางจึงมองสวี่ชีอันอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง
ลักษณะภายนอกและการแสดงอารมณ์ดูธรรมดาทั่วไป ค่อนไปทางจืดชืด แต่ในเมื่อผู้ชายคนนี้สามารถอยู่ข้างกายองค์หญิงหลินอันได้ คาดว่าสถานะของเขาคงไม่ธรรมดา
เวลานี้เอง นางก็ได้ยินผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนนี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ว่าอย่างไร น้องสะใภ้”
……………………………………………