ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 480 ความภักดีอะไรกัน
บทที่ 480 ความภักดีอะไรกัน
“สวี่ ฆ้องเงินสวี่?”
หวางซือมู่เบิกตากว้าง สงสัยว่าตนเองฟังผิดแล้ว
เมื่อครู่เป็นพี่ใหญ่ของฉือจิ้ว เสียงของสวี่ชีอันจริงๆ
ยายตัวร้ายชำเลืองมองสุนัขรับใช้ กล่าวอย่างประหลาดใจ “น้องสะใภ้?”
หวางซือมู่คือว่าที่ภรรยาของเอ้อร์หลาง…สวี่ชีอันยิ้มตาหยีกล่าว “คุณหนูซือมู่กับเอ้อร์หลางต้องใจกัน การมีรักแท้ได้ครองคู่กันตลอดไปเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว”
หวางซือมู่ส่งเสียง ‘ชิ’ ครั้งหนึ่ง ทั้งอับอาย ทั้งโมโห ทั้งอ่อนหวาน จากคำกล่าวของฆ้องเงินสวี่จะเห็นได้ว่า บ้านสกุลสวี่ค่อนข้างพึงพอใจในตัวนาง
อีกทั้งบิดาของนางไม่เคยขัดขวางความสัมพันธ์ของนางกับสวี่เอ้อร์หลางอย่างชัดเจน แม้กระทั่งแสดงท่าทางที่นิ่งเฉย มิฉะนั้น วันนั้นที่นางกลับมาจากจวนสกุลสวี่ ท่านพ่อก็ไม่สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของจวนสกุลสวี่โดยเฉพาะ
‘อ๋อ นี่ไม่ใช่ลึกซึ้งแล้วยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีกหรือ’ ยายตัวร้ายดีใจไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาดอกท้อโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
สวี่ชีอันเข้าสู่คำถามหลัก กล่าว “คุณหนูซือมู่ ข้าต้องการพบสมุหราชเลขาธิการหวางเสียหน่อย จริงสิ ข้าเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ เห็นคนรับใช้กำลังเก็บของ เป็นเพราะเหตุใดหรือ?”
หวางซือมู่ค่อนข้างลังเล กล่าวเสียงเบา “ท่านพ่ออาจต้องลาออกจากราชการ!”
ลาออกจากราชการ? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ปฏิกิริยาครั้งที่หนึ่งหลังจากเว่ยกงเสียชีวิต จักรพรรดิหยวนจิ่งสะสางสถานการณ์ในท้องพระโรงและปรับสมดุลอำนาจของพรรค ดังนั้นจึงต้องรีบนำสมุหราชเลขาธิการหวางลงจากเวที
แต่หลายวันมานี้หยวนจิ่งกำลังพยายามใส่ร้ายป้ายสีเว่ยกง เพื่อสรุปข้อได้ข้อเสียสุดท้ายของการต่อสู้ในครั้งนี้ คงไม่มีเวลามาเล่นงานสมุหราชเลขาธิการหวาง
ลาออกจากราชการในเวลานี้ จะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?
หรือว่าสมุหราชเลขาธิการหวางทราบเองว่าเส้นทางอาชีพกำลังถึงจุดจบ จึงตั้งใจว่าจะลาออกจากราชการล่วงหน้าเสีย แถมยังจบลงด้วยดีอีกด้วย
“ฆ้องเงินสวี่เล่า มาหาท่านพ่อมีธุระอันใดหรือ?” หวางซือมู่ใช้ดวงตาใสแป๋วอันนุ่มนวลน่ารักจ้องมองเขา
“เรียกฆ้องเงินดูเหมือนคนนอก เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถิด” สวี่ชีอันฉีกประเด็น
เขามาหาสมุหราชเลขาธิการหวาง เพื่อขอความช่วยเหลือ
หวางซือมู่จนปัญญากับชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นนี้ กล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะพาพวกท่านเข้าไป”
นางทำท่าเชื้อเชิญ
สวี่ชีอันและหลินอันเดินตามหลังนาง ทะลุระเบียงผ่านลาน มุ่งไปทางจวนอ๋องที่อยู่ลึกเข้าไป
หวางซือมู่สวมเสื้อนอกหลวมๆ สีชมพู ยาวคลุมไปถึงหัวเข่า ท่อนล่างเป็นประโปรงจีบ เวลาเดิน เสื้อนอกกับกระโปรงจะพลิ้วไหว ช่างนุ่มนวลและสง่างามยิ่งนัก
สวี่ชีอันพินิจดูแล้ว น้องสะใภ้ท่านนี้ร่างกายสูง อัตราส่วนสะโพกต่อไหล่ยอดเยี่ยม รูปโฉมก็งดงาม บวกกับเป็นบุตรที่ร่ำรวยของสมุหราชเลขาธิการ ทั้งสวยทั้งฉลาด นางกับสวี่เอ้อร์หลางช่างเป็นสวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กันเสียจริง
ข้อเสียเพียงประการเดียวคือฉลาด มีบุคลิกเข้มแข็ง สถานะสูงส่ง หญิงสาวเช่นนี้ ปกติมีความเป็นไปได้สูงว่ามีเจ้าของ
ในภายภาคหน้าเอ้อร์หลางคิดจะอยู่ด้วยกันโดยไม่แต่งงานก็ยากเสียแล้ว
ทว่าก็ดี ชายที่ดีก็ควรครองคู่กันไปตลอดชีวิต
สวี่ชีอันยอมรับเหตุผลข้อนี้อย่างยิ่ง และคิดว่าตนเองก็เป็นชายที่ดีเช่นนี้
ชั่วพริบตาก็มาถึงห้องตำราของสมุหราชเลขาธิการหวางแล้ว ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็กล่าว “ข้าขอไปห้องน้ำสักประเดี๋ยว”
เข้าห้องน้ำแล้ว หยิบกระดาษวิชามองปราณออกมาหนึ่งแผ่น เผามัน แสงใสสองดวงพุ่งออกมาจากดวงตา แล้วค่อยๆ ลดลง
เมื่อเขากลับมา หลินอันและหวางซือมู่ก็หายไปแล้ว มีเพียงคนรับใช้คนหนึ่งรอปรนนิบัติอยู่
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมาแล้ว คนรับใช้ก็เข้ามาต้อนรับ พลางกล่าวด้วยความเคารพ
“คุณหนูให้ข้ารอปรนนิบัติอยู่ที่นี่ นางบอกจะไปเล่นที่ห้องกับองค์หญิงหลินอัน ท่านเข้าไปเองก็ได้ นางได้แจ้งนายท่านแล้วขอรับ”
นิสัยใช้ได้นี่ ยอดเยี่ยมมาก มีน้องสะใภ้ที่คอยให้คำแนะนำอย่างหวางซือมู่เช่นนี้ ยายตัวร้ายก็ไม่ต้องกลัวถูกรังแกแล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้า เดินมาถึงด้านหน้าห้องตำรา เคาะประตู
“เข้ามา”
เสียงที่ไพเราะและนุ่มนวลของหวางเจินเหวินดังลอดออกมาจากห้องตำรา
สวี่ชีอันผลักประตูเข้าไปเบาๆ ภายในห้องตำรามีแสงสว่างดีเยี่ยม ทั้งกว้างขวางและประณีต หลังโต๊ะไม้หวงฮวาหลีขนาดใหญ่ สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งอยู่อย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาขุ่นมัวและเหนื่อยล้า สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมอีกทั้งจริงจัง…โดยรวมแล้วแสดงให้เห็นว่าชายชราท่านนี้มีสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งนัก
“ฟังคุณหนูซือมู่บอกว่า ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางต้องการลาออกหรือขอรับ?” สวี่ชีอันกล่าวพลางยิ้ม
“ทราบดีว่าคงปิดนางไม่ได้!”
สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “การประชุมพรุ่งนี้ ข้าคงขอลาออกจากตำแหน่ง ตามกฎแล้ว เขาคงรั้งไว้ตามมารยาทเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นจึงอนุญาตให้ข้ากลับบ้านเดิมได้”
“ท่านคิดจะลาออกเองใช่หรือไม่ขอรับ?”
สวี่ชีอันจ้องเขา
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า “ใช่”
ผลตอบรับที่ได้รับจากวิชามองปราณคือความจริง และไม่เคยกล่าวเท็จ ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการกระตือรือร้นที่จะเกษียณตนเอง…สวี่ชีอันยังคงถาม
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
เขาขอหน้ากระดาษวิชามองปราณมาจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น หลังจากไปพบอารอง เขาก็ไม่ได้ขอหน้ากระดาษที่มีวรยุทธ์ขงจื๊ออื่นๆ มาอีก เพราะวรยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสี่หรือขั้นห้า สำหรับนักบวชลัทธิเต๋าขั้นสองแล้วคงไม่ได้ผล
แก่นปราณของลัทธิเต๋าขั้นสี่ ถึงจะมีหมื่นวิธีก็ไม่กล้ำกราย นับประสาอะไรกับขั้นสอง
ส่วนฝั่งเจ้าสำนัก คัมภีร์วรยุทธ์ขงจื๊อเล่มนั้นที่ถือเป็นสิ่งของคงคลังเพียงหนึ่งเดียวของเขา ก็ถูกสวี่ชีอันใช้ไปตั้งนานแล้ว คงหยิบอย่างอื่นออกมาไม่ได้อีก
หากต้องการบันทึกขึ้นมาใหม่ อาจสามารถบันทึกวรยุทธ์ของระบบลัทธิขงจื๊อได้ เพียงแต่วรยุทธ์ลั่นประกาศิตของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสาม สวี่ชีอันไม่กล้าใช้ เพราะหากใช้แล้วอาจไม่สามารถฆ่าเจินเต๋อขั้นสองได้ แต่มันจะทำให้เขาบาดเจ็บแสนสาหัสอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับเขาที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ หลังจากไปท่องเที่ยวประตูนรกมาแล้วสองครั้ง จึงมีความเจ็บปวดภายในใจเล็กน้อยต่อวิชาคุยโวของลัทธิขงจื๊อ
“ในเมื่อไร้แรงเปลี่ยนแปลง ไม่สู้ลาออกจากราชการดีกว่า” สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวอย่างราบเรียบ
“เพียงเพราะเว่ยกงอย่างนั้นหรือ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกกระมัง” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
สมุหราชเลขาธิการหวางลังเลเล็กน้อย ส่ายหน้าพลางกล่าว
“ยังมีความลับอื่นอยู่ในนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องทราบหรอก คงไม่ดีสำหรับตัวเจ้า คนชราอย่างข้าหมดกำลังใจไปนานแล้ว ไม่ปรารถนาจะอยู่ในราชสำนักเป็นเวลานาน แต่ก็น่าเสียดายที่ชาติบ้านเมืองซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จะต้องแตกดับโดยความมืดมิดนั่น…”
สมุหราชเลขาธิการหวางปิดปากอย่างเด็ดขาด
ที่เขาลาออกแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพราะเรื่องเว่ยเยวียนเท่านั้น ปัจจุบันเจ้าเหนือหัวไม่เป็นลูกผู้ชาย อีกทั้งท่านโหราจารย์ยังเอาแต่มองดูอย่างเงียบๆ แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง จะทำอะไรได้?
ร้อนใจไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะอยู่ในราชสำนักต่อไปด้วยเหตุใดกัน
เรื่องเหล่านี้ควรปิดให้เป็นความลับ สวี่ชีอันที่เป็นทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่จำเป็นต้องทราบให้มาก หากรู้มากเกินไป ชีวิตจะต้องทุกข์ทรมาน
สมุหราชเลขาธิการหวางหยิบชาขึ้นมาด้วยความท้อแท้ ก่อนจะจิบชาร้อนเพื่อให้หัวใจที่เย็นชาอบอุ่นขึ้น
“ท่านทราบว่าการตัดขาดเสบียงอาหารเป็นฝีมือของหยวนจิ่งหรือขอรับ?” สวี่ชีอันกล่าวอย่างลองเชิง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“แค่กๆ…”
สมุหราชเลขาธิการหวางตกใจจนลำสัก สำลักไอออกมาอย่างรุนแรง ชาร้อนยังไม่ทันทำให้อบอุ่นไปถึงหัวใจ กลับลวกปากเข้าเสียแล้ว
“เจ้าก็ทราบ?”
สมุหราชเลขาธิการหวางพินิจเขาอย่างตกใจ
“ครั้งนี้ข้ามาก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการขอรับ!”
สายตาของสวี่ชีอันที่มีวิชามองปราณอยู่ภายใน จ้องมองไปที่เขาอย่างมุ่งมั่น
…
จนถึงยามพลบค่ำ สวี่ชีอันกับหลินอันถึงออกจากจวนตระกูลหวาง
หลังจากส่งทั้งสอง หวางซือมู่ก็ตรงมายังห้องตำรา แสงเทียนส่องทะลุผ่านช่องประตูที่เป็นกระดาษออกมา
‘ก๊อกๆ!’
นางยกมือขึ้น ใช้นิ้วมือที่เรียวยาวเคาะสองครั้ง
“เข้ามา!”
เสียงของหวางเจินเหวินดังลอดออกมา
หวางซือมู่ผลักประตูออก ได้กลิ่นกระดาษไหม้ หันหน้าไปมอง พบว่าหวางเจินเหวินผู้เป็นบิดานั่งอยู่ที่โต๊ะกลม บนตักมีตำรากองหนึ่ง ภาพวาด และตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันหลายภาพวางอยู่ กำลังทิ้งพวกมันลงกระถางไฟที่อยู่ปลายเท้าทีละอย่าง
“ท่านพ่อ ท่านกำลังเผาอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
หวางซือมู่ก้าวเข้ามา สาวเท้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
“เผาสิ่งของที่เขียนด้วยความไม่รู้ในช่วงเยาว์วัย”
หวางเจินเหวินก้มหน้า จ้องมองเปลวไฟที่กลืนกินกระดาษ ดวงตาของเขาราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน
“ท่านพ่อ ข้าช่วยท่านนะเจ้าคะ”
หวางซือมู่นั่งลงข้างกายเขา ไม่ฟังคำอธิบาย ก็หยิบตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันขึ้นมา คลี่ออก พลางกล่าวอย่างตกตะลึง
“นี่ นี่มันบทกวีที่ท่านพ่อเขียนเมื่อก่อน ฝ่าบาทยังชื่นชมว่าบทกวีของท่านยอดเยี่ยมนักนี่เจ้าคะ”
บทกวีที่หวางเจินเหวินเขียนถือว่าใช้ได้ ในช่วงวัยหนุ่มมักจะไปคลุกคลีกับชุมนุมบทกวีบ่อยๆ เกือบครึ่งชีวิตก็มีบทกวีดีๆ สองสามบทที่ภูมิใจมาก
นี่คือบทกวีเกี่ยวกับกฎเจ็ดประการของความภักดี เขียนขึ้นด้วยจิตวิญญาณ
หลังจากถูกหยวนจิ่งชม หวางเจินเหวินก็ภาคภูมิใจอย่างมาก จนหยิบมาใส่กรอบและแขวนบนฝาผนัง แขวนเอาไว้นานเกือบสามสิบปี
“เผาเสียเถอะ”
หวางเจินเหวินคว้าบทกวีใบนั้นออกมาจากมือของบุตรสาว แล้วโยนเข้ากระถางไฟ เปลวไฟลุกไหม้มันในชั่วพริบตา กลืนกินตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันซึ่งมีอายุมากกว่าหวางซือมู่
หวางซือมู่รีบร้อน หันไปมองหน้าบิดาด้วยความตะลึงงัน
หวางเจินเหวินน้ำตาไหลเป็นทาง
“ท่านพ่อ?”
หวางซือมู่กล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ
ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เคยเห็นบิดาหลั่งน้ำตามาก่อน เวลานี้กลับรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังถล่มทลายลงมาอย่างไรอย่างนั้น
หวางเจินเหวินจ้องเปลวไฟที่อยู่ในกระถางไฟ กล่าวเสียงเบา “พ่อและเว่ยเยวียนต่อสู้กันมาครึ่งชีวิตแล้ว มีทั้งแพ้และชนะ ด้วยนิสัยของเขา พ่อไม่มีอะไรต้องตำหนิ ความจริงแล้วช่างน่านับถือยิ่งนัก!
“พ่อไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาที่จะครอบครองใต้หล้า มันเผด็จการ และไม่เห็นแก่หน้าใครเกินไป วงการข้าราชการไม่ใช่ของคนหนึ่งคน แต่เป็นของหนึ่งกลุ่ม การดึงคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นพวกถึงจะสามารถกดขี่คนกลุ่มนั้นได้ แต่จะดึงคนมาเป็นพวกอย่างไร? เจ้าต้องทำให้คนอื่นฟังเจ้า และป้อนอาหารให้พวกเขาได้กินจนอิ่ม
“จะโกงกินก็ไม่สนใจ แค่สามารถทำงานได้ก็พอแล้ว ข้าราชการสุจริตที่คุยโวมือเปล่าถึงจะเป็นผู้ทำร้ายประเทศและประชาชน เจ้าหน้าที่ที่สามารถทำงานได้ก็ยิ่งมีน้อยมาก ในการจัดการประเทศ ไม่สามารถคาดหวังกับสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้
“เว่ยเยวียนก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนั้น เขาสามารถทนต่อการโกงกินเล็กน้อยได้ กลับไม่สามารถทนต่อการโกงกินที่มากได้ เขาสามารถทนต่อความผิดพลาดเล็กน้อยได้ แต่ไม่สามารถทนต่อความผิดพลาดครั้งใหญ่ได้ หลายปีมานี้ เขาต้องการปรับปรุงค่านิยมของผู้ใต้บังคับบัญชา จนถูกข้าผลักให้กลับไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือ เจ้าต้องการปรับปรุงคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ก่อนอื่นต้องเก็บกวาดคนที่อยู่ด้านหน้าให้สะอาดเสียก่อน
“แต่คนที่อยู่ด้านหน้าคงเก็บกวาดไม่สะอาด ซือมู่ เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
หวางซือมู่เม้มปาก กล่าวอย่างหยั่งเชิง “ฝ่าบาทหรือเจ้าคะ?”
หวางเจินเหวินไม่ได้พยักหน้า และไม่ได้ส่ายหน้า พลางส่งเสียงถอนหายใจ “ตอนนี้เว่ยเยวียนเสียชีวิตในสนามรบแล้ว ครึ่งชีวิตหนึ่งต่างอุทิศแก่คนของต้าฟ่ง แม้แต่ชื่อเสียงหลังความตาย ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ ดูใจดำไปเสียหน่อย
“วันนี้ที่พ่อเผาสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพราะความใจดำของเขา จักรพรรดิไร้ความรู้สึกที่นั่งอยู่ตำแหน่งนั้น แม้จะโหดเหี้ยมอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหา ในตำราประวัติศาสตร์มีคนอย่างเว่ยเยวียนมากมาย เมื่อก่อนอาจมี แต่ภายภาคหน้าคงมีเยอะยิ่งกว่า
“สิ่งที่พ่อปวดใจก็คือพ่อทำอะไรไม่ได้ ทหารแปดหมื่นนายพลีชีพเพื่อต้าฟ่ง เด็กและหญิงม่ายถูกทอดทิ้งแปดหมื่นกว่าครัวเรือน เมื่อการต่อสู้ถูกกำหนดให้พ่ายแพ้ เงินบำนาญจึงลดลงครึ่งหนึ่ง…”
หวางเจินเหวินยื่นมือขวาออกมา จ้องไปยังผิวหนังแข็งหนาที่เกิดจากการจับพู่กันเป็นระยะยาว ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งใจและกาย
“พู่กันที่จับมาสิบกว่าปี แม้แต่ดาบยังจับไม่ขึ้น ทนเห็นเขาทำลายรากฐานหกร้อยปีของบรรพบุรุษในครั้งเดียว กลับไม่มีอำนาจ ในยามสงบ ในมือไม่มีอำนาจทางทหาร อำนาจทั้งหมดทรงได้รับจากจักรพรรดิ เขาสามารถเรียกคืนได้ตลอดเวลา บัณฑิตกลับกลายเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์
“พ่อร่ำเรียนตำรานักปราชญ์มาทั้งชีวิต ท่องแต่ความภักดี ความภักดี ความภักดี พ่ออยากจะถามนักปราชญ์เอกเฉิงซื่อ ภักดีหามารดาอะไรกัน?”
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน เตะกระถางไฟจนลอย ประกายไฟพลันระเบิดทันที
“ภักดีหามารดาอะไรกัน!”
…
ยามเหม่า ท้องฟ้ารุ่งสาง จักรพรรดิหยวนจิ่งสวมเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองสว่าง ศีรษะสวมมงกุฎประดับมุก ท่าทางเปี่ยมไปด้วยบารมีอันเข้มงวด
เขาเอามือไขว้หลัง มองไปยังหอดูดาวที่สูงตระหง่านแห่งนั้น
หลังจากมองเช่นนั้นอยู่นาน เขาก็หันหลังกลับเข้าห้องบรรทมไป ขันทีเฒ่ากำลังจะเดินตามเข้าไป ทันใดนั้นเสียงที่น่าเกรงขามทั้งเย็นชาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ดังลอดเข้าสู่โสตประสาท
“ไม่ต้องตามมา”
ขันทีเฒ่าเลยหยุดอยู่ข้างนอก
หลังจากเข้าห้องบรรทม จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เดินไปยังพื้นที่สะอาด ก้มหน้าลง ก้าวแล้วก้าวเล่า เหมือนกำลังวัดอะไรบางอย่างอยู่
หลังจากนั้นสิบกว่าก้าว เขาก็หยุดลง จักรพรรดิหยวนจิ่งกรีดข้อมือด้วยปลายนิ้ว จนเลือดไหลรินออกมา
บนพื้นก็เกิดลวดลายที่แปลกประหลาด บิดเบี้ยวขยับไปมาด้วยตัวเอง
หลังจากค่ายกลเป็นรูปร่าง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็หยิบไข่มุกที่โปร่งใสออกมาจากหน้าอก มันขนาดเท่ากำปั้น ภายในไข่มุกมีดวงตาหนึ่งคู่ รูม่านตาล้ำลึกนั้นจ้องมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างไม่แยแส
นี่คือสมบัติของสำนักพ่อมดที่ปิดผนึกดวงตาข้างหนึ่งของเทพอูไว้
ภายในมีร่องรอยพลังของเทพอู
จักรพรรดิหยวนจิ่งปล่อยไข่มุก มันไม่ตกพื้น แต่กลับลอยอยู่กลางอากาศ โปรยพลังลักษณะกึ่งโปร่งใสออกมาเป็นทาง
พลังเหล่านี้ที่เพิ่งร่วงหล่นลงมา ก็ถูกค่ายกลที่เกิดจากการก่อตัวของเลือดจักรพรรดิหยวนจิ่งย้อมจนกลายเป็นสีแดงสด
ในชั่วพริบตา จักรพรรดิหยวนจิ่งได้ยินเสียงร้องของมังกรที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากพื้น ใจกลางของค่ายกลมีแสงสีทองสว่างวาบขึ้น ทันใดนั้นหัวมังกรสีทองก็ยื่นออกมาอย่างช้าๆ
ในไข่มุก ทันใดนั้นลูกตาพลันจมลึกลงไปเป็นเวลานาน ราวกับกลายเป็นกระแสน้ำวน ทำให้เกิดแรงดูดมหาศาล
มังกรสีทองขยับศีรษะไม่หยุด พยายามอย่างเต็มที่ที่จะต้านทานแรงดูดกลืน พลางปล่อยเสียงโหยหวนออกมา มีเพียงคนที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงร้องของมังกร
“โชคชะตากระจัดกระจายจนถึงตอนนี้ เส้นเลือดมังกรไม่มั่นคงแล้ว แต่ยังเหลืออีกนิดเดียว ต้องเขย่าเพิ่มอีกหน่อย เรื่องที่จัดการเว่ยเยวียนได้ก็ประกาศให้ใต้หล้าและเมืองหลวงทราบในทันที
“ความไม่พอใจและความขุ่นเคืองของผู้คนมากกว่าสามล้านคนในเมืองหลวง ความตื่นตระหนกของผู้คนสามล้านคนเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ในสงคราม เพียงพอแล้วที่ไข่มุกจะดึงจิตวิญญาณเส้นเลือดมังกรออกมา เว่ยเยวียน ข้าควรจะตั้งชื่อมรณกรรมที่เสื่อมเสียให้เจ้าอย่างไรดีเล่า?”
มุมปากของจักรพรรดิหยวนจิ่งยกขึ้น ทันใดนั้นก็หันกลับ และเดินออกจากห้องบรรทมไป
…
ยามเหม่า ท้องฟ้ายังไม่สว่าง
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่เฝ้ายามทั้งคืนบิดขี้เกียจ เดินไปทางประตูที่ทำการปกครองพร้อมกัน
เวลานี้ เป็นเวลาประชุมศาลพอดี จึงมีฆ้องทองแดงและฆ้องเงินเข้ามาไม่หยุดหย่อน ระหว่างทาง เห็นสายตาของซ่งถิงเฟิงดูแปลกๆ
เมื่อวาน ฉากที่เขาต้องทนอับอายเพราะคลานลอดใต้หว่างขาค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ เป็นคนที่มีความสามารถมาก น่าเสียดายที่สมองยังอ่อนเกินไป คนเช่นนี้แม้ตบะจะสูงแค่ไหนก็เป็นผู้นำไม่ได้
เมื่อก่อนเห็นเขาเอ้อระเหยลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัย แค่รู้สึกว่ายังไม่รอบคอบพอ ดูจากตอนนี้แล้วแม้แต่งานใหญ่ยังทนไม่ได้
ครั้นรู้สึกถึงสายตาของสหายร่วมงานที่อยู่รอบๆ ดวงตาของซ่งถิงเฟิงก็หรี่ลง เผยรอยยิ้มที่ไม่แยแสออกมาทันที พยายามรักษาท่าทีที่เอ้อระเหยลอยชายเอาไว้
ดวงตาของจูกว่างเสี้ยวเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใน
เดิมที เขาเองก็ควรได้รับความอับอายที่ต้องตกป็นเป้าสายตาสักครั้งหนึ่ง กลายเป็นซ่งถิงเฟิงที่จงใจหาเรื่อง เอาหน้าทิ้งลงบนพื้น ทำให้เขาหลีกหนีจากความอับอายของจูเฉิงจู้จนพ้น
จูกว่างเสี้ยวทราบนิสัยของตนเองดี ให้ตายอย่างไรก็แบกรับกับความอับอายที่ต้องตกเป็นเป้าสายตานี้ไม่ไหว
สิ้นปีนี้เขาก็จะแต่งงานแล้ว เริ่มต้นธุรกิจ และชีวิตที่งดงามในอนาคตกำลังรอเขาอยู่ ซ่งถิงเฟิงไม่อยากให้ชีวิตที่งดงามของพี่น้องเขาต้องพังทลาย ดังนั้นเขาจึงฉีกศักดิ์ศรีของตนเอง ทิ้งลงบนพื้นให้คนเหยียบย่ำอย่างอำมหิต
เมื่อเห็นซ่งถิงเฟิงแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย เดินอย่างคล่องแคล่วและตรงไปตรงมา ทันใดนั้นจูกว่างเสี้ยวก็นึกถึงสวี่ชีอันขึ้นมา หลังจากข่าวการเสียชีวิตในสนามรบของเว่ยกงแพร่มายังเมืองหลวง เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
คนของจวนสกุลสวี่จากไปตัวเปล่า
ภายภาคหน้าหากไม่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้คนอื่นรู้ ก็คงท่องไปตามยุทธภพแล้วกระมัง
“หากหนิงเยี่ยนอยู่ที่นี่ คงไม่ทนมองเจ้าถูกเหยียดหยามเป็นแน่” จูกว่างเสี้ยวกล่าวพลางกัดฟันกรอดด้วยความแค้น
“แล้วจะตายไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”
ซ่งถิงเฟิงกลอกตา กล่าวอย่างอารมณ์เสีย “หลังจากเว่ยกงเสียชีวิต เมืองหลวงก็คงทนเขาไม่ได้แล้ว จากไปแล้วก็ดี ถึงเขาไม่ไปข้าก็จะไล่ให้เขาไป ไม่จากไปก็ไม่ใช่พี่น้องแล้ว”
จูกว่างเสี้ยวยิ้มยิงฟัน “ก็ใช่”
ทันใดนั้นซ่งถิงเฟิงก็ส่งเสียง ‘ถุย’ ดุด่า “ไม่รู้จักทิ้งที่อยู่ไว้ เฮ้อ หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในชีวิตนี้”
เพิ่งเดินถึงปากประตู ก็ชนเข้ากับจูเฉิงจู้ที่สวมเครื่องแบบฆ้องเงินและเหน็บดาบไว้ที่เอว
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวก้มศีรษะ รีบเดินอย่างรวดเร็ว
“รอเดี๋ยว!”
จูเฉิงจู้ส่งเสียงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง หันกลับครึ่งตัว จ้องมองทั้งสองพร้อมเอ่ยถาม “ใกล้เวลาประชุมศาลของที่ทำการปกครองแล้ว พวกเจ้าสองคนจะไปไหน?”
สมควรตาย! ซ่งถิงเฟิงแอบด่าเงียบๆ ใบหน้าพลางปั้นรอยยิ้มที่ประจบสอพอขึ้น กล่าวอย่างสุภาพ
“ฆ้องเงินจู พวกข้าสองคนเฝ้าเวรยามทั้งคืน กำลังจะกลับไปพักผ่อนขอรับ”
จูเฉิงจู้กล่าวอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าเฝ้าเวรทั้งคืน? เหตุใดข้าถึงไม่ทราบ”
จูกว่างเสี้ยวคิ้วยกขึ้นทันที
คำสั่งเฝ้าเวรเมื่อคืน ไม่ใช่จูเฉิงจู้หรือที่เป็นผู้ออกคำสั่ง หลังหลี่อวี้ชุนเข้าคุกหลวงไปแล้ว จูเฉิงจู้ก็ปล่อยผ่านทั้งสองคนอย่าง ‘กระตือรือร้น’
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจูเฉิงจู้จงใจทำให้พวกเขาลำบาก
“ใช่ ใช่ ใช่ อาจจะเป็นพวกข้าที่จำผิดไป” ซ่งถิงเฟิงพยักหน้าติดต่อกัน พลางประจบประแจงอย่างไม่รู้สึกละอาย “พวกข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้ จะกลับไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เดิมทีจูเฉิงจู้ต้องการฉวยโอกาสสั่งสอนสองคนนี้ ครั้นเห็นถึงความถ่อมตัวของคนแซ่ซ่ง ก็ส่ายหน้าและหัวเราะ
เขาตะโกนเพื่อหยุดทั้งสองอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย “เวรยามคืนนี้ก็รบกวนพวกเจ้าแล้ว ลำบากหน่อย ทั้งสองท่านเป็นเพื่อนสนิทกับสวี่ชีอัน วีรบุรุษของต้าฟ่ง ต่างก็เป็นคนที่มีทักษะสูง คงสามารถทำงานได้มากขึ้น”
นี่กะจะไม่ให้พวกเขาได้พักผ่อน และต้องการให้พวกเขาทำงานจนเหนื่อยตายอย่างนั้นรึ
ซ่งถิงเฟิงกำหมัดและคลายออกอยู่หลายครั้ง หนังหน้ากระตุกเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าที่ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง โค้งคำนับพลางกล่าว “รับทราบขอรับ รับทราบขอรับ”
เขาหันกลับไปทันที พาจูกว่างเสี้ยวไปยังด้านในที่ทำการปกครอง
ด้านหลัง เสียงหัวเราะเยาะของจูเฉิงจู้ดังขึ้น “เจ้าพวกสวะเอ๊ย”
รอบข้าง หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ปรารถนาให้ความเป็นชายของซ่งถิงเฟิงกลับมา แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เผยให้เห็นท่าทางเกลียดชังที่เหล็กไม่ยอมกลายเป็นเหล็กกล้า
พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะนำหยกอันเป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า ดังนั้นพวกเขาจึงคาดหวังให้คนอื่นกล้าพอ จะได้อาศัยความเสียสละของคนอื่นมาเติมเต็มจิตใจที่ไร้ความกล้าของตนเอง
ขณะนั้นเอง ปากประตูที่ทำการปกครอง เสียง ‘จุ๊ๆ’ พลันดังขึ้น “ช่างเป็นผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เสียจริงนะ ฆ้องเงินจู”
…………………………………………….