ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 481 ก่อกบฏ
บทที่ 481 ก่อกบฏ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่ที่อยู่ด้านหน้าชะงักค้าง ยืนนิ่งอยู่กับที่
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่รอบๆ เองก็มีปฏิกิริยาที่ไม่ต่างกัน
รูม่านตาของจูเฉิงจู้หดตัวเล็กน้อย เสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยและแปลกหู มันปรากฏในความฝันของเขานับครั้งไม่ถ้วน ราวกับฝันร้าย
เขาคอยเกลียดชัง คอยสาปแช่ง ในขณะเดียวกันเขาก็หวาดกลัว เศร้าโศก ด้วยคิดว่าตอนเองนั้นไม่มีความหวังที่จะได้แก้แค้น
ทว่าตอนนี้ คนผู้นั้นมาอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว
เขาไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะหันหลังไปมอง
ขณะที่ฝีก้าวประชิดเข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาสองข้างของจูเฉิงจู้ก็สั่นไหว แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
แต่ผิดคาด เสียงฝีเท้านั้นก้าวผ่านตัวเขาไป มุ่งตรงไปยังซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว
สวี่ชีอันในชุดคราม ถืออาวุธที่คล้ายดาบหรือกระบี่ไว้ในมือ เตะซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวคนละที ก่อนจะกล่าวเป็นเชิงเย้ยหยัน
“ดูท่าชีวิตพวกเจ้าสองคนคงจะไม่ราบรื่นสักเท่าไรสินะ”
สีหน้าของจูกว่างเสี้ยวเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้นยินดี น้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบแก้ม
ซ่งถิงเฟิงโกรธจนไม่ยอมหันกลับไปมอง เขาด่าพลางสะอึกสะอื้น “ไอ้ลูกหมาเอ๊ย เหตุใดเจ้ายังไม่หนีไปอีก คิดว่าตัวเองเป็นอมตะหรือไง”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่รอบด้านทั้งดีใจ ทั้งสับสน และเป็นกังวลว่าเหตุใดสวี่หนิงเยี่ยนถึงยังไม่หนีไป แต่ยังกล้ากลับมายังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าพ่อลูกตระกูลจูกลับมาแล้ว เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าหยวนสยงขึ้นมารับตำแหน่งของเว่ยกง ได้รับแต่งตั้งเป็นหยวนกงแล้ว?
ถูกต้อง เขาไม่รู้เลย เพราะเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อวาน
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ารีบหนีไปเร็ว”
ใครบางคนในฝูงชนกระซิบเตือน
ขณะนี้เอง จูเฉิงจู้ก็คล้ายจะหลุดออกจากพันธนาการบางอย่างได้ และควบคุมสองขาของตนเองได้อีกครั้ง ก่อนจะออกวิ่งพุ่งตรงไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในที่ทำการหน่วยอย่างบ้าคลั่ง
ในตอนนี้เอง เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหลายก็แข่งกันตะโกนเกลี้ยกล่อม โดยไม่ต้องกังวลใจ
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าไม่ควรกลับมาที่นี่ หนีไปซะ รีบออกไปจากเมืองหลวงเสีย”
“หนิงเยี่ยน ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ภายใต้บัญชาของหยวนสยงแล้ว เขาแต่ตั้งจูหยางกับลูกชายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฆ้องทองคำจ้าวก็กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว”
“ตอนนี้ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตกไปอยู่ในมือของหยวนสยงและพ่อลูกจูหยางแล้ว จูหยางอยู่ขั้นสี่ เจ้ารีบหนีไปให้ไวเลย”
สวี่ชีอันรับฟังทุกสิ่งผ่านหู ขณะที่จ้องมองซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนสี “ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”
“แล้วถ้าข้าเล่าให้เจ้าฟังแทนล่ะ ว่าอย่างไร”
เสียงของจูหยางมาก่อนตัว
ท่ามกลางสายตาของผู้คนในลานขนาดใหญ่ จูหยางปรากฏตัวขึ้นในเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ปักลายฆ้องทองคำไว้บนอก
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีจูเฉิงจู้ก็ตามมา พร้อมกับชี้หน้าสวี่ชีอัน ชักสีหน้าถมึงทึงพลางกล่าว
“ท่านพ่อ เจ้าคนต่ำต้อยนี่ริอ่านกลับมาเหยียบที่ทำการปกครอง ฆ่ามันเลย ฆ่ามันเสียตอนนี้เลย”
จูหยางไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแต่ประจันหน้ากับสวี่ชีอันจนกระทั่งฆ้องทองคำจ้าวมาถึง
เฮ้อ…จูหยางพ่นลมหายใจเย็นชาออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ฆ้องทองคำจ้าว เจ้าร่วมมือกับข้าสังหารเจ้าคนโฉดชั่วนี้เสียดีกว่า หยวนกงและฝ่าบาทจึงจะเห็นค่าในตัวเจ้าอย่างแท้จริง หยวนกงเฝ้ามองลงมาจากดาดฟ้าหอดูดาว”
ฆ้องทองคำจ้าวหันกลับไปมอง และเห็นคนในชุดคลุมสีแดงสดที่มองลงมาจากหอสังเกตการณ์บนชั้นเจ็ดของหอเฮ่าชี่ที่อยู่ไกลๆ
ฆ้องทองคำจ้าวถอนสายตากลับมา และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอันซับซ้อน “เจ้ากลับมาเพื่ออะไร”
สวี่ชีอันยกมุมปากขึ้น “กลับมามาทวงหนี้แค้น!”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อย่างรู้อยากเห็นกับความเคลื่อนไหวตรงหน้ามีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์กลับถอยห่างออกไปจนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ
การต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นสี่ อาจจะทำลายที่ทำการปกครองราบเป็นหน้ากลองได้ ส่วนตบะของสวี่ชีอันอยู่ในขั้นใด พวกเขาไม่ทราบ แต่ไม่อ่อนด้อยอย่างแน่นอน
ทว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง สองฆ้องทองคำร่วมมือกันล้มเขาได้ไม่ยากอยู่แล้ว หากว่ามียอดฝีมือจากที่อื่นเพิ่มเข้ามาอีกคน สวี่หนิงเยี่ยนได้ตายสถานเดียว
“เหตุใดเขาถึงกลับมาล่ะ”
“เว่ยกงตายแล้ว ไม่มีใครช่วยเขาได้อีก เขาทำให้ฝ่าบาทหมางพระทัยจนต้องโทษประหาร กลับมาเพื่ออะไร”
“โธ่โว้ย สวี่หนิงเยี่ยนกลับมาเพื่ออะไร บัดซบเอ๊ย เขาเป็นสหายร่วมหน่วยของข้า ข้าทนเห็นเขาตายไม่ได้จริงๆ”
“พวกเรามันคนต่ำต้อย ต่อให้ไม่พอใจแล้วจะทำอย่างไรได้ เจ้าจะยอมสละชีวิตคนในครอบครัวของเจ้า เพื่อช่วยชีวิตเขาหรือ”
“ถูกต้อง เจ้าไม่เห็นฆ้องทองคำจ้าวเปลี่ยนใจไปร่วมมือกับจูหยางสังหารสวี่หนิงเยี่ยนหรือ ซ้ำร้ายยังมีหยวนสยงคอยจับตามองจากหอเฮ่าชี่อีก”
“ผลัดแผ่นดินใหม่ ข้าราชบริพารก็ต้องเปลี่ยนใหม่ด้วย หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่ต่างกัน ยุคสมัยของเว่ยกงสิ้นสุดลง ไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้ว”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเฝ้ามองจากระยะไกล ต่างพูดคุยถกเถียงกัน บ้างก็รู้สึกทอดถอนใจ บ้างก็รู้สึกกล้ำกลืน บ้างก็รู้สึกสิ้นหวัง
เพียงจูหยางดีดนิ้วมือ ดาบของเขาก็หลุดออกจากฝักพร้อมเสียงเสียดสี และประกายแสงจากดาบที่เจิดจ้าอยู่ในอากาศ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนในที่นี้รู้สึกเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ประกายแสงจากดาบยาวกระตุ้นให้เส้นขนบริเวณหลังมือลุกชัน
จูหยางกระโจนไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียว ไกลกว่าสิบจั้ง พร้อมทั้งตวัดคมดาบ หมายจะตัดคอของสวี่ชีอัน
ไม่ว่าข่าวลือที่ด่านอวี้หยางจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตบะของสวี่ชีอันในตอนนนี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับขั้นสี่ได้ ลำพังตัวเขาคนเดียวอาจจะไม่สามารถโค่นล้มสัตว์ร้ายตนนี้ลงได้
แต่ตราบใดที่ฆ้องทองคำจ้าวคอยหนุนหลัง สองคนร่วมมือกัน ต้องสังหารสวี่ชีอันได้อย่างแน่นอน
สวี่ชีอันใช้หลังมือฟาดออกไป!
ผัวะ!
ศีรษะของเขาก็ระเบิดเละเหมือนแตงโม กระดูก สมอง เลือดเนื้อ และดวงตาสาดกระจายเป็นวงอยู่บนพื้นหินปูนเหนือลานกว้าง
ร่างของจูหยางก้าวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวก่อนจะล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้น ทั่วทั้งลานกว้างภายในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็เงียบสนิทราวกับป่าช้า
กระดูกเหล็กผิวทองแดงของจูหยางไม่อาจต้านทานฝ่ามือของเขาได้ เพียงสะบัดฝ่ามือเบาๆ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจต้านทานได้ และต้องตกตายด้วยฝ่ามือนั้นเช่นกัน…รูม่านตาของฆ้องทองคำจ้าวหดเล็กเท่ารูเข็ม ราวกับกำลังจ้องมองไปยังแสงที่เจิดจ้า
จูหยาง ฆ้องทองคำขั้นสี่ถูกเขาตบตายง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ ขะ…เขาสังหารกองทัพศัตรูนับพันนับหมื่นด้วยดาบเดียว ตัวคนเดียวได้จริงๆ หรือ?! หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เฝ้ามองจากระยะไกลต่างแน่นิ่งไร้สุ้มเสียง และแล้วพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือนั้นไม่ใช่เรื่องโป้ปดเกินจริง แต่เป็นความสำเร็จอันงดงามในสมรภูมิ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวต่างตกอยู่ในภวังค์ ไม่อาจยอมรับได้ว่าสหายร่วมหน่วยที่ไปเที่ยวหอคณิกาและสำนักสังคีตกับพวกเขามาตลอด จู่ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวไปแล้ว
ลูกตบฉาดเดียวทำเอาฆ้องทองคำขั้นสี่หัวสมองกระจุยกระจาย ช่างเป็นตบะที่น่าสะพรึงกลัวโดยแท้
สวี่หนิงเยี่ยน ตอนนี้ เขา…เขาบรรลุถึงขั้นใดกันแน่
ความคิดสุดเพ้อเจ้อผุดขึ้นมาในใจของทุกคน ทว่าพวกเขาต้องกดข่มเอาไว้ไม่ให้มันเข้ามาในหัว เพราะความคิดดังกล่าวมันบ้าคลั่ง สุดโต่งเกินกว่าสามัญสำนึกจะรับได้
ใบหน้าจูเฉิงจู้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดราวกับแผ่นกระดาษ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ร่างกายของเขาสั่นสะท้านราวกับกิ่งไม้ที่ไหวเอนไปตามแรงลม
บิดาผู้เป็นดั่งเทพเจ้า บิดาผู้เป็นที่พึ่งพิงเดียวของเขา บิดาผู้เป็นถึงทหารขั้นสี่ของเขา ถูกคนผู้นี้ตบตายในฉาดเดียว
ไม่ต่างอะไรจากการตบมดตัวหนึ่งให้ตายเลย
ความกลัวอย่างแรงกล้าเกาะกุมหัวใจของจูเฉิงจู้ทันที ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นสะท้าน ของเหลวสีขุ่นส่งกลิ่นเหม็นพลันไหลลงมาจากเป้ากางเกงของเขา
“ถอยไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า มิฉะนั้น เจ้าก็ต้องตายในสภาพเดียวกับจูหยาง”
สวี่ชีอันมองไปยังฆ้องทองคำจ้าว
ฆ้องทองคำจ้าวข่มความกลัวของตนอย่างยากเย็น ก่อนจะกุมหมัดโค้งคำนับ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันเคลื่อนสายตามาทางซ่งถิงเฟิง ชี้นิ้วไปที่จูเฉิงจู้ “เจ้านั่น ข้ายกให้เจ้าจัดการ”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าไปเบื้องหน้า มุ่งตรงไปยังหอเฮ่าชี่
ทุกสายตาจ้องมองตามเขาไป คิดอยากจะตามไปด้วย แต่ก็ไร้ซึ่งความกล้า จนกระทั่งแผ่นหลังของสวี่ชีอันหายวับไป ทุกคนก็หันกลับมามองที่ซ่งถิงเฟิง
ซ่งถิงเฟิงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าจูเฉิงจู้ และกางขาออก “ถ้ายังอยากมีชีวิตต่อ ก็ลอดผ่านตรงนี้ไป”
“ข้าจะลอดๆ…”
จูเฉิงจู้คุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนก ร้องขอความเมตตาไปด้วย ในขณะที่คลานลอดหว่างขาของซ่งถิงเฟิง
จูกว่างเสี้ยวที่ยืนอยู่ข้างๆ ชักดาบออกมา ฟาดลงไปอย่างเร็วรวดและรุนแรง จนศีรษะหลุดตกลงมา
ใบหน้าของจูเฉิงจู้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หยดน้ำตาคลอบริเวณหัวตา อ้าปากพะงาบๆ และแล้วในที่สุดก็นิ่งสนิทไปชั่วนิจนิรันดร์
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ซ่งถิงเฟิงยกมือขึ้นปิดใบหน้า พร้อมทั้งร่ำไห้และหัวเราะ ราวกับคนบ้า
เขาระบายความอัดอั้นในอกออกมา
ทันใดนั้น ก็มีคนชี้ไปทางหอเฮ่าชี่ พร้อมตะโกนลั่นด้วยความตกใจ “สวี่หนิงเยี่ยนจะฆ่าหยวนสยงแล้ว…”
ทันใดนั้น ทุกคนมองตามไป เห็นสวี่ชีอันคว้าคอเสื้อของหยวนสยง พร้อมดันร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาออกจากหอสังเกตการณ์บนชั้นเจ็ด
…
“หยวนสยง โอ้ ไม่สิ หยวนกง!”
สวี่ชีอันแสยะยิ้มพลางจ้องมองหยวนสยงที่ใบหน้าซีดเผือด พยายามตะเกียกตะกายไม่หยุด
“ได้ยินว่าหยวนกงทุ่มเทกายใจ ขุดคุ้ยความผิดมหันต์สิบประการของเว่ยกง จับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่กระทำการทุจริตเข้าคุก ชำระล้างภาพลักษณ์ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และมีบทบาทสำคัญที่ช่วยเปิดโปงความผิดร้ายแรงของเว่ยกงที่กระทำต่อชาติด้วยนี่”
หยวนสยงมองเห็นจิตสังหารที่ลุกโชนในแววตาของเขา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สวี่ชีอัน ข้าเป็นข้าราชสำนัก เป็นขุนนางขั้นสาม จะ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ”
เมื่อเห็นว่าดวงตาของสวี่ชีอันยังคงเย็นชา เขาก็ประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว และหันมาขอความเมตตาแทน
“ฝ่าบาทบีบบังคับให้ข้าทำ ข้าไม่มีทางเลือก ข้าเป็นขุนนางจะปฏิเสธได้อย่างไร ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ข้าเถิด สวี่ชีอัน ยกโทษให้ข้าเถิดนะ”
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดำสนิทราวกับช่วงเวลาก่อนอรุณรุ่งจะมาถึง สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านร่างของหยวนสยงจนสั่นสะท้าน เช่นเดียวกับหัวใจของเขา
“เจ้ารีบออกไปจากเมืองหลวงเสียตอนนี้เลย แล้วขะ…ข้าจะซื้อเวลาให้เจ้าเอง หากสายเกินไป พวกหมารับใช้ข้างล่างนั่นก็จะไปรายงานเรื่องของเจ้า แล้วถ้าหากประตูเมืองปิดลง เจ้าก็จะออกไปไหนไม่ได้อีก”
เขาไม่ยอมปฃ่อยโอากาสรอดชีวิตให้หลุดมือ ตอนนี้คิดเพียงแต่ต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตให้รอดพ้นไปจากหายนะนี้ให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยไปรายงานฝ่าบาททีหลัง ให้มาสังหารไอ้คนอัปรีย์ผู้นี้
“ยกโทษให้เจ้าเป็นเรื่องของเว่ยกง หน้าที่ของข้ามีเพียงส่งเจ้าไปพบเขาเท่านั้น”
สวี่ชีอันคลายมือออก
หยวนสยงหงายหลังตกลงไปจากชั้นเจ็ด กระแทกเข้ากับพื้นเบื้องล่างเสียงดังตุ้บ ลูกตาถลน สิ้นลมโดยที่ดวงตาจ้องมองฟากฟ้าอยู่อย่างนั้น
เขาตายคาที่ทันที
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ไกลออกไป ต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นภาพนี้
“สวี่หนิงเยี่ยน กะ ก่อกบฏ…”
ขุนนางใหญ่ขั้นสามคนหนึ่ง คิดจะฆ่าก็ฆ่า เขาเป็นถึงบุคคลสำคัญ เป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งเชียวนะ
“ช่างหัวพวกมันสิ ข้าชังน้ำหน้าพวกมันมานานแล้ว ฆ่าทิ้งเสียได้ก็ดี” ใครบางคนกดเสียงต่ำ เอ่ยระบายความในใจออกมา
จากนั้นก็เกิดความเงียบงันขึ้นมาชั่วขณะ…
“ฆ่าเสียได้ก็ดี”
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นของเว่ยกง หยวนสยงมันเป็นใครมาจากไหนกัน”
“พ่อลูกสกุลจูทรยศที่ทำการปกครอง ถูกไล่ออกไปตั้งนานแล้ว ถุย ฆ่าทิ้งเสียได้ก็ดี”
ความหดหู่ใจที่เกิดขึ้นเมื่อวานถูกระบายออกจนหมด
สวี่หนิงเยี่ยนก็ยังคงเป็นสวี่หนิงเยี่ยนคนเดิม ไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น เขากลับมาแล้ว ความคับแค้นใจและความอัปยศทั้งหลายถึงคราวสะสางกันคราวนี้
…
สวี่ชีอันกลับไปที่ห้องน้ำชา ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม แต่ไม่มีคนในชุดครามที่นั่งอยู่ที่โต๊ะชา รอคอยเขาด้วยสายตาอันอ่อนโยนอีกต่อไป
เขาเปิดฝาถ้วยชา น้ำชาในกายังร้อนกรุ่น คิดว่าหยวนสยงคงจะสั่งให้คนไปต้มชามาให้ก่อนหน้านี้ไม่นาน
สวี่ชีอันรินน้ำชาจากกาลงในถ้วย จิบเข้าไปหนึ่งอึก ก่อนจะส่ายหัวและกล่าวว่า “ดื่มชาไม่ได้รสชาติเอาเสียเลย วันนี้ข้าอย่างจิบเหล้า เว่ยกง ท่านเอาด้วยหรือไม่”
ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่า ห้องน้ำชาเงียบสงัด ไร้เสียงคนตอบรับ
เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา ไหเหล้าชั้นยอดที่เขาเก็บรักษาเอาไว้มานานพลันร่วงลงมา เขาแกะผนึกโคลนออก ก่อนจะยกขึ้นกระดก
เขาดื่มอึกแรกเสียอึกใหญ่ อึกที่สองช้าลง จากนั้นก็ค่อยๆ จิบทีละนิด ไม่นานก็หมดไปเกินครึ่งไห
สวี่ชีอันดื่มไปพลาง รำพึงถึงอดีตไปพลาง
เขาเริ่มเมามายจนกระทั่งสายตาเริ่มพร่ามัว รู้สึกกรึ่มๆ ในระดับหนึ่ง ยังไม่เมาถึงขั้นที่สติหลุด
ในความมึนเมานั้นเอง สวี่ชีอันคล้ายจะเห็นคนในชุดครามผู้มีผมหงอกแซมขมับสองข้างนั่งอยู่ตรงข้าม ดวงตากร้านโลกมาแรมปี จ้องมองมาทางเขาอย่างอบอุ่น
“เว่ยกง ข้าน้อยจะร้องเพลงให้ท่านฟังสักหนึ่งเพลง”
ในเมื่อท่านอยากฟังมาตลอด วันนี้ข้าจะร้องให้ฟังเอง
เขาถือไหเหล้า ก้าวเดินไปช้าๆ ไปยังหอสังเกตการณ์ เวลานี้สายลมยามเช้าพัดกระหน่ำไล้ผ่านใบหน้าของเขาไป เขาหวนระลึกถึงวันวาน จากนั้นก็เริ่มร้องเพลง
“ข้าหยัดยืนกลางสายลมโบก ปรารถนาจะปัดเป่ารวดร้าวในฤทัย…”
เขาชี้นิ้วออกมาราวกับดาบ มองเมืองหลวงด้วยสายตาเหยียดหยาม ทันใดนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้น
“แหงนมองฟ้าเมฆเคลื่อนคล้อย ดาบในมือเอ่ยถ้อย ถามใครหนอเป็นยอดคนในใต้หล้า”
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ หันไปมองทางพระราชวัง จ้องมองไปทางวังหลัง น้ำเสียงก็พลันอ่อนโยนลง
“โลกนี้ดารดาษร้อยพันสิ่งโสภา ข้าปักใจรักโฉมสุดาเพียงผู้เดียว อาดูรใจใครเลยมิเคยประสบ ต้องร้างรักเฝ้าถนอมดั่งชีวัน…”
“ในใจข้านี้เจ้าเป็นที่หนึ่ง ร่วมโศกสุขเป็นตายอยู่เคียงข้าง แปรจิตผยองด้วยความอบอุ่นจากเจ้า”
“ในใจข้านี้เจ้าเป็นที่หนึ่ง น้ำตาข้าไหลรินรดฟ้า แม้นชาติหน้ากลับมาครองแผ่นดิน ขอหวนคืนสู่อกยุพินยามตะวันลาลับสนธยา”
“ขอหวนคืนสู่อกยุพินยามตะวันลาลับสนธยา…”
เขายกไหเหล้าขึ้นและดื่มรวดเดียวหมดไห
สวี่ชีอันโยนไหเหล้าทิ้งจากอาคารสูง หมุนตัว มองไปยังคนในชุดคราม และเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะลั่น “เว่ยกง ข้าร้องเพลงเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
คล้ายจะได้ยินเสียงอ่อนโยนแว่วผ่านเข้ามาในหู “เยี่ยมมาก”
สวี่ชีอันหัวเราะเสียงดังลั่น ทว่าน้ำตากลับหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย เขาไม่กล้ามองไปยังที่ตรงนั้นอีก ได้แต่เดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องน้ำชา
จากนี้ไปท่าจะทำอย่างไรต่อ
ก็ก้าวขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์น่ะซี
แล้วถ้าหากท่านไปแล้วไม่หวนคืนล่ะ?
ข้าก็จะไปแล้วไม่หวนคืนอย่างไรเล่า!
…
ตำหนักกระดิ่งทอง
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ประทับบนบัลลังก์มังกร จ้องมองลงมายังเหล่าขุนนางชั้นสูงที่อยู่ในท้องพระโรง
สายตาของเขาหยุดที่ตำแหน่งที่ว่างอยู่จุดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เหตุใดท่านหยวนยังไม่มาอีก”
หยวนสยงไม่ได้ขอลาพัก แต่กลับขาดการประชุมราชสำนัก ตามกฎหมายต้าฟ่ง การขาดประชุมราชสำนัก หรือมาสาย ต้องถูกหักเงินเดือนเป็นเวลาสามเดือน และต้องถูกโบยเป็นเวลาสิบห้าที
หลังจากถูกเฆี่ยนสิบห้าครั้งแล้ว พวกปัญญาชนผู้อ่อนแอมักจะล้มหมอนนอนเสื่อไปนานถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนทีเดียว
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้โกรธที่หยวนสยงขาดประชุม เพียงแต่ในอนาคต เขายังต้องการหยวนสยงมาเป็นม้าบุกทะลวงศัตรูต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เลิกคอยหยวนสยง และหันไปมองฉินหยวนเต้า รองเจ้ากรมทหารแทน
หยวนสยงไม่อยู่ เขาผู้เป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคหวงต้องขึ้นมาทำหน้าที่แทน เขาจึงก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที พร้อมโค้งคำนับและกล่าว
“ฝ่าบาท สงครามกับสำนักพ่อมดและเรื่องราวที่ค้างคาของเว่ยเยวียนถูกผัดผ่อนมาจนถึงวันนี้ ไม่สามารถผัดผ่อนต่อไปได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ครอบครัวของเหล่าทหารผู้เสียชีวิตยังรอคอยการชดเชยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วท่านฉินคิดจะทำเช่นไร”
ฉินหยวนเต้ากล้าวด้วยท่าทีปวดร้าว “เว่ยเยวียนเดินหน้าด้วยความละโมบ ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ในภาพรวม บีบบังคับให้กองทัพโจมตีเมืองจิ้งซาน เป็นผลให้พลทหารกว่าแปดหมื่นนายต้องล้มตาย ทำให้พลทหารชั้นยอดของต้าฟ่งไปกว่าแปดหมื่นนาย เว่ยเยวียน แม้ตายก็ยังชดใช้ความผิดนี้ไม่ได้
“หลังจากสงครามเมืองจิ้งซาน กองทัพของเหยียนกั๋วและคังกั๋วก็ร่วมกันโจมตีด่านอวี้หยาง แม้ว่าจะล่าถอยไปแล้ว แต่กองทหารที่เก่งกาจก็ยังคงอยู่ที่นั่น และจะกลับมาได้ทุกเมื่อ
“สถานการณ์ในเซียงโจว จิงโจว และอวี้โจวถึงคราววิกฤต อาจจะถูกกองทัพของสำนักพ่อมดโจมตีได้ตลอดเวลา ราษฎรสามเมืองตกอยู่ในอันตราย ทางออกในตอนนี้ คือให้ส่งคณะทูตไปเจรจาสงบศึกกับสำนักพ่อมด ชดใช้ความเสียหายที่เว่ยเยวียนก่อขึ้น
“ส่วนเว่ยเยวียนที่ตกตายไปแล้วนั้น ขอให้ฝ่าบาทโปรดประทานนามหลังมรณกรรมว่า ‘ลี่’ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพผู้ทารุณ (武厉) มีความหมายว่าบ้าคลั่ง ทารุณ
จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดตามองเหล่าขุนนางชั้นสูง และถามเนิบๆ ว่า”ท่านทั้งหลายมีข้อคิดเห็นเช่นไร”
ไม่มีใครเอ่ยปากออกมา บางคนหันไปมองตำแหน่งที่ว่างอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งของสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน
ในสายตาของเหล่าขุนนางชั้นสูง ดูท่าสมุหราชเลขาธิการหวางจะยอมแพ้เสียแล้ว
ในเมื่อสมุหราชเลขาธิการหวางไม่สนใจต่อเรื่องนี้อีกแล้ว พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเสี่ยงชีวิตงัดข้อกับฝ่าบาทเพื่อเว่ยเยวียนอีกต่อไป
ผู้ที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ล้วนแต่เป็นผู้ที่หลักแหลม เข้าใจในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างดี มีหรือจะมองแผนการของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ออก
ตอนนี้ชื่อเสียงของเว่ยเยวียนนั้นย่อยยับไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะร้องขอบรรดาศักดิ์ หรือสมญานามว่าแม่ทัพผู้เที่ยงธรรม
ก่อนอื่นต้องพลิกคดีของเขาให้ได้เสียก่อน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้ที่ประทับอยู่เหนือบัลลังก์มังกรนั้นไม่ยินยอม
เรียกร้องไปก็เปล่าประโยชน์!
ส่วนเหล่าอดีตสมาชิกพรรคเว่ยนั้น ต่างสิ้นศรัทธาในตัวหยวนจิ่ง จึงเบนเข็มเป้าหมายไปยังรัชสมัยถัดไป รอให้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เมื่อไร พวกเขาจะพลิกคดีแทนเว่ยกงเอง
จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกยิ้มมุมปาก แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านฉินว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังมาจากนอกตำหนัก
เสียงภายนอกดังก้องเข้ามาไม่หยุดหย่อน ราวระลอกคลื่นก็ไม่ปาน
ฟังดูโกลาหลอย่างยิ่ง
“มีเรื่องเอะอะอะไรกัน”
พวกขุนนางชั้นสูงทั้งหลายต่างตกตะลึง ตัวอยู่ในตำหนัก แต่กลับได้ยินเสียงของเหล่าขุนนางข้าราชบริพารที่โหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก ไม่ต่างจากเสียงของสัตว์ร้ายที่วิ่งโร่ไปทั่ว
นี่ทำให้เหล่าขุนนางชั้นสูงตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ แต่ก็ไม่ยังทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เหล่าขุนนางชั้นสูงกรูกันเข้าไปยังบานประตูตำหนักด้วยความสับสนงุนงง จึงเห็นภาพของเหล่าเดรัจฉานในชุดราชการทั้งหลายหนีตายหัวซุกหัวซุนไปทั่วบริเวณจัตุรัสเบื้องล่าง
ชายผู้หนึ่งในชุดครามถือดาบไว้ในมือ ตรงเข้ามายังตำหนักกระดิ่งทอง เบื้องหลังของเขามีแต่ซากศพเกลื่อนกลาด ทั้งหมดนั้นเป็นทหารรักษาพระองค์ทั้งสิ้น
หัวใจของเหล่าขุนนางชั้นสูงสั่นสะเทือนอย่างแรง ความรู้สึกราวกับเผชิญเรื่องเหลือเชื่อ เพ้อเจ้ออยู่
หกร้อยปีนับตั้งแต่สถาปนาต้าฟ่ง นอกจากจักรพรรดิอู่จงผู้ยึดครองบัลลังก์แล้ว ยังไม่มีใครที่กล้าบุกเข้ามาสังหารคนถึงตำหนักกระดิ่งทองได้อีก
ไม่มี!
ในเวลานี้ แม้แต่กลุ่มข้าราชการบุ๋นผู้อำนาจสูงสุดของต้าฟ่งไว้ในมือ ข้าเก่าเต่าเลี้ยงในราชสำนัก หรือเหล่าขุนนางชั้นสูงผู้มีกลยุทธ์ล้ำเลิศที่สุด ก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้ด้วย ‘ความสงบในใจ’
สีหน้าของแต่ละคนเปลี่ยนไปอย่างมาก บ้างก็โกรธแค้น บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็สิ้นหวัง บ้างก็หวาดกลัว…
ชายในชุดครามกระชับดาบในมือที่มีแผ่นทองแดงแปดทิศขนาดเล็กห้อยลงมาจากด้ามจับด้วยด้ายสีแดง เขาเดินผ่านประตูตำหนักกระดิ่งทองเข้ามา ขว้างดาบยาวพุ่งไปยังองค์เหนือหัวที่ประทับบนบัลลังก์มังกร ท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนางชั้นสูงที่ตื่นตระหนก
พร้อมกับเปล่งเสียงคำรามดังสนั่น
“ไอ้…จักรพรรดิ…ชาติหมา…”
ดาบยาวพุ่งทะยานออกไป
เหล่าขุนนางชั้นสูงต่างคิดเป็นเสียงเดียวกัน
สวี่ชีอันก่อกบฏ!
…………………………………………………………….