ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 482-2 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2)
บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2)
ณ ชานเมือง หนานย่วน
ค่ายกลที่สลักอยู่นอกป่าสว่างขึ้น จักรพรรดิหยวนจิ่งในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองปรากฏตัว ในมือของเขากุมดาบไท่ผิงเอาไว้และสังเกตรอบๆ ตัวด้วยความนิ่งสงบ
“หนานย่วน!”
เพียงแค่กวาดตามอง เขาก็รู้แล้วว่าที่นี่คือลานล่าสัตว์หลวง ผืนป่ากว้างใหญ่สองร้อยหกสิบลี้ ช่างเป็นที่ที่เหมาะกับการสู้รบเสียจริง
สายตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งเพ่งมองไปที่ที่หนึ่ง ประกายมุ่งร้ายล้ำลึกวนเวียนอยู่ในดวงตา เขาสะบัดมือขว้างดาบไท่ผิงออกไป
แสงสีใสส่องประกายวาบ ร่างของสวี่ชีอันปรากฏขึ้น ดาบไท่ผิงก็พุ่งออกมาพอดีราวกับเป็นเขาที่ขว้างดาบออกมาเอง
‘เคร้ง!’
ประกายแสงสีทองระเบิดวาบ ดาบไท่ผิงที่ถูกขว้างออกไปเข้ามาอยู่ในมือของเจ้าของด้วยความดีใจ
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ หัวคิ้วก็ขมวดแน่น
“ขั้นสาม? ข้าเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าปราณโลหิตของเว่ยเยวียนในตอนนั้นถึงไม่เต็มขั้นสอง ที่แท้ก็มีแผนเผื่อไว้ จิ๊ หากมิใช่เพราะคุ้นเคยกับเขา ข้าต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเจ้าเป็นลูกนอกสมรสของเขา”
เขาที่แปดเปื้อนจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีย่อมไม่เก็บงำความริษยาของตน จิตชั่วร้ายกลายเป็นจิตสังหาร
ความริษยาคือหนึ่งในความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดในนิสัยมนุษย์ จักรพรรดิองค์นี้ฝึกตนมายี่สิบปีจนเลื่อนขั้นจากมนุษย์ธรรมดาไปเป็นขั้นสองเพื่อหนีไฟกรรม และกลายเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในจิ่วโจว แต่ตอนนี้เขารู้สึกอิจฉาริษยาเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกับความอัปยศอดสูที่เขาต้องทนรับ อีกฝ่ายกลับดีเลิศไปเสียหมด ทั้งได้รับชื่อเสียงคุณงามความดี แม้แต่เว่ยเยวียนก็ยังยินดีปูทางให้กับเขา
แค่เพียงปีเดียว จากมดงานกระจอกๆ หนึ่งตัวกลับกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม
เขาเก็บดาบเข้าฝัก แล้วสั่งสมพลังพลางยิ้มเยาะ “หากข้าบอกเจ้าว่าฮว๋ายชิ่งกับองค์ชายสี่เป็นสายเลือดของเขา เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งชักสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ากำลังยั่วยุข้า”
แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงการตวัดแทงของสวี่ชีอัน
ประกายแสงอันน่าตื่นตะลึงฟาดฟันลงมา
ดาบไท่ผิง+ดาบเดียวตัดฟ้าดิน+กระบี่ใจ+เลี้ยงจิต+สิงโตคำรามสำนักพุทธ!
หยกสลาย!
เมื่อประกายดาบฟาดฟันออกมา เสียงสิงโตคำรามก้องสะเทือนหูก็ดังสะเทือนจิต
จักรพรรดิหยวนจิ่งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของดาบเล่มนี้ ร่างกายจึงหายวับไปทันใดและเปล่งประกายวูบวาบด้วยความรวดเร็วยิ่ง ร่างสีเหลืองปรากฏขึ้นมาในพริบตาและหายไปในพริบตาเดียว แต่เขาก็ไม่อาจหลบดาบเล่มนี้พ้นได้
เขายื่นมือออกไป ฝ่ามือที่มีแสงสีทองและสีดำสนิทพัวพันอยู่จับเข้าที่ประกายดาบเอาไว้แน่น
‘ชิ้ง…’
ท่ามกลางเสียงพลังปราณที่ถูกปล่อยเข้ามาหลอมละลาย ประกายแสงนั้นก็ถูกทำลายล้างลงไป
เทพเจ้าหยางแห่งลัทธิเต๋าได้รับสมญานามว่าเป็นร่างธรรมอมตะ ซึ่งเป็นระดับที่พัฒนาจนหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกรายได้แล้ว
และทันทีที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทพขั้นหนึ่ง เทพเจ้าหยางก็จะหลอมรวมกับกายเนื้อ จนถึงขั้นสามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับจอมยุทธ์ได้
แต่แน่นอนว่า พลังต่อสู้และความทนทานย่อมสู้จอมยุทธ์ไม่ได้แน่
สวี่ชีอันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้วฟันดาบลงมา เขาไม่ได้คาดหวังว่า ‘จิต’ ของขั้นสี่จะสามารถทำอันตรายยอดฝีมือระดับหนีเคราะห์กรรมขั้นสองได้หรอก
จิต ก็ต้องมีการฝึกฝน
จิตแห่งจอมยุทธ์จะพัฒนาได้ก็ต่อเมื่อไปถึงขั้นสอง เพราะขั้นสามคือร่างอมตะ จึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิตแห่งขั้นสี่
เฉกเช่นขั้นสี่ของลัทธิขงจื๊อที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับขั้นสามในสายเดียวกัน
สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการก็คือการใช้ดาบนี้ทำให้ระยะของทั้งสองฝ่ายสั้นลงแล้วจัดการคู่ต่อสู้แบบรัวกระบวนท่า
จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันเงยหน้าแล้วร้องคำรามไร้เสียง
จากนั้นสมองของสวี่ชีอันสั่นสะเทือนจนเกิดอาการมึนหัวตาลาย ภายในรัศมีหลายสิบลี้รอบๆ สัตว์เล็กอย่างแมลงและสัตว์ใหญ่อย่างกวางผาหรือหมูป่าล้วนสิ้นลมกันไปทีละตัวๆ โดยที่ร่างกายไร้ซึ่งบาดแผล
เมื่อจับช่องว่างในช่วงที่จิตเดิมของเขาตื่นตกใจได้ ประกายแสงหลายสายก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
กระจกส่องเทพคว้าจิตเดิมของอีกฝ่ายเอาไว้ได้และเริ่มการควบคุม
ยันต์เรียกวิญญาณชะล้างเงาแสงออกไปและทำลายจิตเดิม
ตะปูกินวิญญาณสามชิ้นถูกยิงออกมา มันสามารถทะลวงผ่านจุดปราณแต่ละจุดบนศีรษะของอีกฝ่ายได้ แต่ในเมื่อเขาอยู่ภายใต้ร่างของจอมยุทธ์ พวกมันก็ได้แต่ต้องกระเด็นออกไป
แหวนทองแดงสองวงจับอยู่บนข้อมือสองข้างของสวี่ชีอันแน่น
ลัทธิเต๋าขั้นเจ็ดมีชื่อว่าสังเวยปราณ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์รวมไปถึงกระบี่บินได้ เมื่อมาถึงระดับอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง การขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์หลายชิ้นในครั้งเดียวจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
นอกจากนั้น ลัทธิเต๋ายังเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการฝึกตนนอกจากพวกโหรที่สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์ได้ เพียงแต่ไม่เก่งกาจเท่ากับโหรที่สามารถเพิ่มความสามารถให้อาวุธเวทมนตร์ได้แทบจะทุกชนิด
จักรพรรดิหยวนจิ่งขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์เพื่อโจมตีพลางเอ่ยเรียกชิงเฟิงออกมา ดาบหนึ่งเล่มปรากฏขึ้น ประกายแสงเจิดจรัสปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
เขาฝึกสายนิกายมนุษย์และถึงจะเป็นขั้นสองเหมือนกับลั่วอวี้เหิง แต่พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วอวี้เหิงเลย
ในบรรดาลัทธิเต๋าสามสำนักนั้น นิกายมนุษย์เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่สุด
แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ เมื่อพูดถึงพลังโจมตี ฝีมือดาบของนิกายมนุษย์ก็ยังโดดเด่นที่สุดอยู่ดี พวกเขาเชี่ยวชาญการในหักโค่นกระดูกเหล็กผิวทองแดงของจอมยุทธ์มาก
เพราะมีประกายแสงของดาบนี้ พลังเทพวชิระจึงยืนหยัดอยู่ได้ไม่กี่อึดใจก็ไม่อาจควบคุมไหวแล้ว หนึ่งดาบจึงแทงทะลุเข้ามา
เสือดสีแดงเข้มสาดอยู่บนหลังของสวี่ชีอัน
จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุ้นปราณกระบี่ออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วทำลายปราณชีวิตของขั้นสามที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาได้ผู้นี้ ประกายในแววตาสาดความมุ่งร้ายของเต๋ามารนิกายปฐพีออกมาแล้วหัวเราะเยาะอย่างโฉดชั่ว
“เพิ่งเข้าสู่ขั้นสาม คู่ควรมาต่อสู้กับข้าด้วยหรือ”
เขาก้าวสู่ขั้นสองมาหลายปีและฝึกตนด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีในอาณาจักร แล้วเจ้าเด็กที่เพิ่งก้าวสู่ขั้นสามได้ผู้นี้จะมาแข่งขันกับเขาได้อย่างไร
“จับเจ้าได้แล้ว”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มกระหยิ่มที่ใช้อุบายสำเร็จ เขาตะโกนลั่นว่า “เสินซู!”
กลิ่นอายล้ำลึกสุดหยั่งที่น่าเกรงขามและแสนสะพรึงฟื้นตื่นขึ้นมาภายในร่างของสวี่ชีอัน
ที่หว่างคิ้วปรากฏอักขระเวทราวกับเปลวเพลิงขึ้นมา สีผิวถูกย้อมเป็นสีดำสนิทอย่างรวดเร็ว หลังศีรษะพลันปรากฏวงแสงที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงชัชวาล
กลิ่นอายของสวี่ชีอันระเบิดพล่าน จากระดับต้นของขั้นสามก็พุ่งไปยังจุดสูงสุดของขั้นสามในชั่วพริบตา
นี่ยังไม่ใช่พลังของเสินซูเดี่ยวๆ แต่เป็นพลังของทั้งสองคนรวมกัน
‘ปัง!’
อาวุธเวทมนตร์กระจกทองแดงระเบิดลั่น
ยันต์เรียกวิญญาณระเบิดลั่น
แหวนทองแดงระเบิดลั่น
“ข้าเป็นคนนำ!” สวี่ชีอันกล่าว
ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงอย่างแท้จริงแล้ว จึงมีความสามารถในการควบคุมและสามารถสังหารยอดฝีมือของสายการฝึกตนอื่นๆ ติดต่อกันได้โดยไม่จำเป็นต้องให้เสินซูเป็นผู้นำ
“ได้!”
ในร่างของเขา เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของเสินซูดังขึ้นมา
เสินซูถูกบังคับให้ตื่นขึ้น ส่วนผู้ที่สามารถเรียกจอมพลังชั้นยอดสุดให้ตื่นจากการหลับใหลได้ก็ย่อมมีแต่จอมพลังชั้นยอดสุดอีกคนเท่านั้น
หลังจากฟื้นขึ้นมาวันนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยร้องขอท่านโหราจารย์หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการให้ช่วยเขาปลุกเสินซู
แต่ท่านโหราจารย์ในตอนนั้นได้ปฏิเสธไปโดยไม่ได้บอกเหตุผล เพียงบอกให้เขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่สักเที่ยวก่อน
ตอนที่เขารับยาโลหิตที่เว่ยเยวียนทิ้งไว้ให้มาจากมือของเจ้าสำนัก สวี่ชีอันจึงรับรู้ถึงความตั้งใจของท่านโหราจารย์
หลุมไร้ก้นบึ้งที่กินไม่เคยอิ่มอย่างเสินซูคนนี้ หากตื่นขึ้นมา ยาโลหิตของเว่ยเยวียนคงพอจะทำให้เสินซูอิ่มได้
ครู่ต่อมา การโจมตีที่ดุเดือดราวกับพายุพัดฝนซัดสาดก็มาถึงตัวของหยวนจิ่ง คลื่นอากาศที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ แตกกระจายออก ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้สึกเพียงแค่ทั่วทุกสารทิศล้วนมีแต่ศัตรูเต็มไปด้วย การโจมตีนั้นมาจากทุกทิศทางและกระหน่ำซัดราวกับสายฝน ไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็ยากจะต่อต้านได้
นี่คือจอมยุทธ์ขั้นสูง
‘ฟึ่บ!’
สวี่ชีอันประสานมือแล้วแทงไปยังอกของจักรพรรดิหยวนจิ่งก่อนจะใช้แรงฉีกทึ้ง
แยกศพ!
เลือดสาดกระเซ็นลงบนร่างสีดำสนิทจนทำให้ยิ่งดูดุร้ายราวกับมารปีศาจ
ตอนนี้เอง จักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นชีพอย่างเป็นทางการ เป็นการสิ้นชีพที่มีความหมายอย่างนั้นจริงๆ
เงาร่างแสงสีทองและแสงสีดำผุดออกมาแล้วยืนตรงอยู่กลางอากาศ พร้อมทั้งมองมาที่สวี่ชีอันด้วยสีหน้าดำทะมึน
อดีตจักรพรรดิเจินเต๋อ
สวี่ชีอันมองศพที่อยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน ในหัวผุดภาพในอดีตขึ้นมาไม่หยุด ล้วนเป็นภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามและเย็นชาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
และภาพที่จักรพรรดิผู้นี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
แม้ว่าเขาจะถูกเจินเต๋อครอบงำไปนานแล้ว แม้ว่าจักรพรรดิผู้นั้นในอดีตจะเป็นอดีตจักรพรรดิเจินเต๋อมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังรู้สึกสบายใจกว่ามาก
เขาสังหารจักรพรรดิสุนัขคนนี้แล้ว และต่อจากนี้หยวนจิ่งก็จะกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีชีวิตอยู่อีก
สีหน้าของเจินเต๋อกระตุกเล็กน้อย แม้ว่าร่างกายของหยวนจิ่งจะมีขีดจำกัดในการฝึกตน แต่สำหรับเขาแล้ว นั่นกลับเป็นชีวิตจริงๆ
หนึ่งปราณสู่ไตรวิสุทธิเทพ หนึ่งคนมีสามชีวิต
ประมือกันมาหนึ่งเค่อ สุดท้ายเขาก็เสียไปหนึ่งชีวิต
จักรพรรดิเจินเต๋อมองพินิจเงาร่างที่ราวเทพมารปีศาจตนนั้นอย่างหวาดกลัว จากนั้นก็พลันตระหนักบางอย่างได้ จึงชี้ไปยังสวี่ชีอันแล้วตะโกนลั่นออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า ที่แท้ก็เป็นเจ้า เจ้าก็คือบุคคลลึกลับที่ปรากฏตัวในฉู่โจววันนั้นนั่นเอง สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผออยู่ในร่างของเจ้า!”
เขาทั้งริษยาและเคียดแค้น
ที่แท้ก็เป็นเขาเอง คนที่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือก็คือสวี่ชีอัน
“หากรู้ว่าเป็นเจ้าแต่แรก วันนั้นที่กลับมายังเมืองหลวง ข้าควรจะสับศพเจ้าให้เละเป็นชิ้นๆ ข้าเสียดายนัก ข้าพลาดโอกาสสังหารเจ้าไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ เจ้าเก็บซ่อนมันจากข้าได้ก็เพราะท่านโหราจารย์ปกปิดความลับของสวรรค์แทนเจ้า ทำให้ข้าสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันไม่ได้”
จักรพรรดิเจินเต๋อโกรธจนจิตใจใกล้จะระเบิดออกมา เขาเฝ้ามองเจ้าสิ่งเล็กๆ นี่เติบโตขึ้นมากับตา นี่มันการเลี้ยงเสือเพื่อให้มาฆ่าทีหลังชัดๆ
จนถึงวันนี้จึงได้รู้ว่าคนที่สังหารร่างอวตารอีกร่างของตนนั้นอยู่ข้างๆ มาตลอด
สวี่ชีอันไม่ใช่แค่สังหารร่างอวตารของเขาเท่านั้น แต่ยังพาศพกลับมาเมืองหลวง กระโดดโลดเต้นไปมาและสังหารกั๋วกง พร้อมทั้งก่นด่าว่าเขาต่อหน้าประชาชน
รังแกกันเกินไปแล้ว เกินไปแล้วจริงๆ!
จักรพรรดิเจินเต๋อทั้งตะลึงและโกรธเกรี้ยว จิตชั่วช้าในใจท่วมท้นอย่างล้นหลาม เขากัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าอีกครั้งแน่”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงราบเรียบ “หยวนจิ่งตายแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป บัลลังก์ต้าฟ่งก็ต้องถึงคราวเปลี่ยนมือ”
ได้ยินดังนั้น จักรพรรดิเจินเต๋อจึงเผยรอยยิ้มหยันอันโฉดชั่วออกมา “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด นับจากวันนี้เจ้าของต้าฟ่งจะต้องเปลี่ยนมือจริงๆ และมันจะกลายเป็นประเทศราชของสำนักพ่อมด”
อย่างที่คิด เป้าหมายของอดีตจักรพรรดิก็คือทำให้ต้าฟ่งกลายเป็นประเทศราชของสำนักพ่อมด เขาต้องการเลียนแบบซ่าหลุนอากู่….สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
จักรพรรดิเจินเต๋อเริ่มกลืนกินไอวิญญาณของฟ้าดินเพื่อฟื้นฟูสภาพของตน เขากางแขนออกราวกับกำลังแสดงความยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้ารู้จักเส้นเลือดมังกรหรือไม่ ราชวงศ์นี้ปกครองที่ราบภาคกลาง ไม่ใช่แค่ปกครองผู้คนหรอก แต่ยังรวมถึงดินแดนด้วย จิตใจมนุษย์ก่อเกิดเป็นโชคชะตา ส่วนเส้นเลือดมังกรนั้นคือแก่นแท้ที่รวมขึ้นมาจากโชคชะตาและดินแดน ข้าแค่ดึงจิตวิญญาณของเส้นเลือดมังกรออกมาแล้วมอบให้กับเทพอู ภาคกลางก็จะเกิดภัยพิบัตินานัปการไม่หยุดหย่อน แต่เพราะเส้นเลือดมังกรยังมีชีวิตอยู่ การก่อกบฏจึงไม่มีทางสำเร็จได้ หากสำนักพ่อมดควบคุมเส้นเลือดมังกรของที่ราบภาคกลาง ชะตาฟ้าเข้ามาอยู่ในมือ การจะควบคุมที่ราบภาคกลางได้ก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว”
“เจ้าก็เลยช่วยสำนักพ่อมดสังหารเว่ยกง?”
สวี่ชีอันไม่รู้จักเส้นเลือดมังกรนัก แต่รู้จักโชคชะตา หลังจากต้าฟ่งสูญเสียโชคชะตาไปครึ่งหนึ่ง พลังอาณาจักรในช่วงหลายปีนี้จึงถดถอยลงเรื่อยๆ หากตรงนี้ไม่แห้งแล้ง ตรงนั้นก็เกิดน้ำท่วม
ทุกปีไม่มีหยุด
ส่วนตนที่ได้รับโชคชะตามา ตลอดทางเขาสามารถเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นโชคดีได้ ทั้งได้พบกับการผจญภัยมากมายและเลื่อนขั้นถึงขั้นสามได้ในปีเดียว ดูเผินๆ เหมือนจะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่หลายคน แต่ความจริงแล้วร่างกายนี้มีโชคชะตาติดตัวอยู่ต่างหาก
หากเส้นเลือดมังกรถูกสำนักพ่อมดชิงไป ผลจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้
“เว่ยเยวียนจำเป็นต้องตาย หากเขายังมีชีวิตอยู่ วันนี้คนที่ข้าต้องเผชิญหน้าด้วยก็จะเป็นเขา พลังต่อสู้ของจอมยุทธ์ขั้นสองมากกว่าเจ้าหลายเท่าตัวนัก”
จักรพรรดิเจินเต๋อกลืนกินไอวิญญาณต่อ การโจมตีที่ระเบิดขึ้นมาเมื่อครู่ทำให้เขาบาดเจ็บเป็นอย่างมาก
“เว่ยเยวียนคือยอดอัจฉริยะที่แทบไม่เคยเจอในหลายร้อยปี หากเขาไม่ตาย ซ่าหลุนอากู่ก็ไม่อาจกินนอนได้อย่างสบายใจ แม้ว่าสำนักพ่อมดจะควบคุมเส้นเลือดมังกรได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าสู่ที่ราบภาคกลางได้ง่ายๆ แน่นอนว่าที่ข้าสังหารเว่ยเยวียนยังมีเหตุผลอยู่สามอย่าง อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง จริงสิ ตอนทรงราชกิจข้าได้เปิดใช้ค่ายกลเพื่อถอดเส้นเลือดมังกรแล้ว เจ้าไม่รีบกลับไปขัดขวางหรือ? ข้าไม่ถือสาที่จะไปสู้ในเมืองหรอกนะ”
แต่ข้าถือ…เรื่องเหล่านี้เว่ยกงคงคาดเดาไว้ได้แล้วใช่หรือไม่ ตอนไปเมืองจิ้งซาน สำนักพ่อมดก็หาวิธีมาจัดการเหมือนกัน แต่เว่ยกงไม่ได้เลือก หากนั่งดูเทพดูหลุดออกมาจากผนึกเฉยๆ ต่อให้เว่ยกงมีความสามารถด้านการนำทัพสูงแค่ไหน แต่ก็สู้ขั้นเหนือระดับไม่ได้หรอก…สวี่ชีอันเอ่ยถาม
“เจ้าคิดจะชิงเส้นเลือดมังกรไป แล้วท่านโหราจารย์เห็นด้วยหรือ”
ในฐานะที่เป็นโหรขั้นหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใจโชคชะตาไปมากกว่าเขาอีกแล้ว จักรพรรดิเจินเต๋อคิดจะฉกชิงเส้นเลือดมังกรไปภายใต้สายตาของท่านโหราจารย์ ก็เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
แม้ว่าท่านโหราจารย์จะไม่อาจสังหารเจินเต๋อได้ แต่เขาก็สามารถหยุดการฉกชิงเส้นเลือดมังกรได้
จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะลั่น “ท่านโหราจารย์คือศัตรูตัวฉกาจในแผนการอมตะของข้า หากไม่หาวิธีไปรั้งเขาไว้ แล้วข้าจะชิงเส้นเลือดมังกรได้อย่างไรเล่า”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น
…
อารามรัตนะ
ลั่วอวี้เหิงเดินออกมาจากห้องสงบใจและไปยังลานเล็ก ก่อนจะยื่นมือขาวสล้างออกมาบนสระเล็กๆ
ดาบเหล็กขึ้นสนิมหนึ่งเล่มทะลวงผิวน้ำขึ้นมาแล้วเข้ามาสู่มือของนาง
ลั่วอวี้เหิงกระโดดตัวขึ้นไปแล้วหายไปจากกลางลานนั้น
…
ณ หอดูดาว
เกิดความผันผวนขึ้นในความว่างเปล่า เงาร่างที่สวมเสื้อคลุมพ่อมดก้าวออกมาจากความว่างเปล่านั้น
เขาคือชายชราผู้ถือแส้แกะอยู่ในมือ มีเคราสีขาวโพลน แววตาสงบนิ่ง แม้จะเป็นผู้อาวุโสที่ดูไม่ต่างอะไรกับชายชราทั่วไปคนหนึ่ง ทว่าการปรากฏตัวของเขาก็ทำให้ท้องฟ้าเหนือหอดูดาวเต็มไปด้วยเมฆทะมึน
เมฆดำลอยล่องอยู่ใกล้กับหอดูดาวเป็นอย่างมาก ใกล้จะเหมือนกับอยู่เหนือศีรษะ สายฟ้าสว่างวาบเคลื่อนไปมาอยู่ระหว่างชั้นเมฆ
ชั่วขณะที่ชายชราปรากฏตัวขึ้น แท่นแปดทิศก็มีลวดลายอักขระค่ายกลส่องสว่างขึ้นมาและเริ่มการสังหารเขา
ทว่าชายชราราวกับไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าการโจมตีใดๆ ล้วนไม่มีผลต่อเขาทั้งนั้น
“ศิษย์หลาน หากเจ้ามีพลังการทำลายอย่างเว่ยเยวียน อาจารย์ปู่อย่างข้าจะจากไปเดี๋ยวนี้เลย” ซ่าหลุนอากู่ยิ้มพราย
ท่านโหราจารย์ยกแก้วสุราขึ้นจิบเบาๆ
“พลังอาณาจักรของต้าฟ่งอ่อนแอมาจนถึงวันนี้ เจ้ายังจะมีพลังอยู่สักเท่าไหร่กัน” ซ่าหลุนอากู่นั่งลงบนโต๊ะ
ท่านโหราจารย์ยิ้มเย็น “โหรใช้สมอง จอมยุทธ์ต่างหากที่ใช้แต่กำลังอันหยาบคาย”
ขณะที่กล่าว บนโต๊ะก็มีกระดานหมากรุกปรากฏขึ้นมา
“เล่นสักตาเถิด”
“ใช้หมากตัดสินแพ้ชนะ?”
ท่านโหราจารย์เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ใช่ หากจบตานี้ เรื่องทุกอย่างก็จบแล้ว”
………………………………………………