ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 483 ต่างคนต่างสู้ (1)
บทที่ 483 ต่างคนต่างสู้ (1)
ซ่าหลุนอากู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนที่อาจารย์ของเจ้าจะเลิกติดตามองค์จักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่ง ก็มักจะเล่นหมากรุกกับข้าอยู่บ่อยครั้ง พวกเราเปรียบโลกมนุษย์เป็นกระดานและให้สรรพสิ่งเป็นตัวหมาก ในบางครั้งเราต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะบรรลุผลลัพธ์”
เขาหวดแส้หนังเบาๆ ‘เปรี๊ยะ…’ เกิดเสียงตามรอยร้าวตามพื้นผิวแท่นแปดทิศ
“ถ้าอย่างนั้นหมากรุกตานี้เราต้องตั้งใจเดินให้ดี หมากตัวนี้ชื่อเว่ยเยวียน”
ท่านโหราจารย์ยกจอกสุราจิบก่อนพึมพำคำหนึ่ง จากนั้นร่างกายของซ่าหลุนอากู่ก็บิดเบี้ยวคล้ายกับคลื่นสมอง กระทั่งผ่านไปสักพักถึงได้คืนสภาพเดิม
เมืองจิ้งซานที่อยู่ห่างออกไปซึ่งกำลังซ่อมแซมบูรณะใหม่ จู่ๆ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนเสมือนแผ่นดินไหว วังหลวงที่สร้างขึ้นใหม่พังทลายลง พื้นดินโดยรอบแตกร้าวเป็นร่องลึกยาวนับสิบจั้ง[1]
“บังเอิญเสียจริงที่หมากตัวนี้ของข้าก็ชื่อเว่ยเยวียน”
ซ่าหลุนอากู่ตวัดแส้หนังหวดตัวหมากลงไปเรียงอยู่บนกระดาน
ท่ามกลางมวลเมฆจับกลุ่มกันหนาทึบปกคลุมท้องฟ้าเหนือหอสังเกตการณ์ ทันใดนั้นสายฟ้าขนาดเท่าถังน้ำผ่าลงมา ทว่าไม่ได้ผ่าโดนร่างท่านโหราจารย์ มันฟาดลงมาเพียงครึ่งก่อนจะเลือนหายไปราวกับถูกส่งไปยังอีกห้วงมิติหนึ่ง
“อยู่ในเขตต้าฟ่งแต่มาหาเรื่องข้า ช่างเลินเล่อ”
ท่านโหราจารย์พยักหน้าเล็กน้อย พลางหยิบจอกสุราจิบแล้ววางลงอย่างไม่รีบร้อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลีลาการเล่นที่มั่นอกมั่นใจและวางแผนรัดกุมนั้นคล้ายคลึงกับท่านอาจารย์อย่างมาก ที่แท้เขาก็เรียนมาจากท่านนี่เอง แต่ไม่รู้ว่าการเป็นคนดื้อรั้นชอบทำอะไรวู่วามแบบนั้นสืบทอดมาจากท่านหรือไม่… ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!”
สิ้นคำเรียกไพ่ตายใบนี้ว่า ‘ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์’ หยาดโลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมาจากเสื้อคลุมพ่อมดของซ่าหลุนอากู่ก่อนหายวับไป
ขณะเดียวกันคังกั๋วอันไกลโพ้นก็บังเกิดคลื่นสึนามิขนาดมหึมาถล่ม
สีหน้าของซ่าหลุนอากู่ซีดเซียวลงพลางกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“ในความคิดข้า แม้ว่าเขาจะหุนหันพลันแล่น แม้ว่าเขาจะทรยศต่อสำนักพ่อมด ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ฆ่าอาจารย์ของตัวเอง ในช่วงที่เขาดูแลต้าฟ่ง ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาต้องต่อสู้กับสำนักพ่อมด… เทพพ่อมด!”
แส้หนังตวัดตัวหมากรุกลงไปเดินบนกระดานจนเกิดเสียงกระทบกัน
ท่านโหราจารย์ไม่สะทกสะท้าน กลับกันเขาเพียงรินสุราใส่จอกขณะเกิดเมฆอึมครึมขึ้นเหนือศีรษะ
ในดินแดนต้าฟ่ง ตราบใดที่ต้าฟ่งยังไม่ล่มสลาย เขาก็ยังคงไม่มีวันดับสูญ
ท่านโหราจารย์เหล่มองแล้วกล่าวว่า
“ครั้นเมื่อจักรพรรดิอู่จงก่อกบฏท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบบังคับ ห้าร้อยปีก่อนพวกขุนนางกังฉินจ้องแต่แสวงหาผลประโยชน์ ทำให้เหล่าขุนนางเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ระรานราษฎร ประชาชนจึงเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ท่านอาจารย์เชื่อว่าการให้เวลาต้าฟ่งนั้น จะช่วยขจัดภัยเรื้อรัง อีกทั้งฟื้นฟูความโปร่งใสของเหล่าขุนนาง
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่าหากไม่มีการล้างบาง ย่อมไม่เกิดการสร้างสิ่งใหม่ ต้าฟ่งต้องเกิดใหม่จากเถ้าธุลี[2] ในภายหลังข้าจึงชนะ บ้านเมืองสงบรุ่งเรืองตลอดห้าร้อยปีนี้ถือเป็นสินน้ำใจที่ข้ามอบให้แก่เขาอย่างดีที่สุด”
ซ่าหลุนอากู่เดินช้าๆ ไปยังแท่นแปดทิศแล้วมองลงไปที่เมืองหลวง แล้วเอ่ยถาม “ต้าฟ่งครานี้ คล้ายคลึงกับเมื่อห้าร้อยปีก่อนอย่างไร”
ท่านโหราจารย์ตอบ “ไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ได้ โดยไม่ทำลายสิ่งเก่า”
หลังจากผ่านไปห้าร้อยปี ข้ายังคงเป็นโหราจารย์อย่างที่เคยเป็น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
…
“ซ่าหลุนอากู่?”
สวี่ชีอันนึกขึ้นได้ฉับพลัน พลางเอ่ยชื่อผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักพ่อมด
มีเพียงขุนนางขั้นสูงสุดเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเบื้องบนได้
สำนักพ่อมดวางแผนยึดครองเส้นเลือดมังกร คิดจะผนวกดินแดนศูนย์กลางเข้าสู่อาณาเขตประเทศ แล้วจึงเปลี่ยนต้าฟ่งให้กลายเป็นประเทศที่ควบคุมด้วยสำนักพ่อมด
ถ้าอย่างนั้น ซ่าหลุนอากู่จะพลาด ‘งานสำคัญ’ ในวันนี้ได้อย่างไร
มิน่าเล่า จักรพรรดิเจินเต๋อถึงไม่เกรงกลัว
“ไม่ใช่คนโง่เขลาจริงด้วย!”
จักรพรรดิเจินเต๋อแสยะยิ้มด้วยท่าทีลำพอง
ดูท่าเขาจะควบคุมตนเองได้ยาก? ไม่ ไม่ใช่ควบคุมได้ยาก แต่เขาไม่คิดที่จะควบคุมตนเองด้วยซ้ำ ยอดฝีมือลัทธิเต๋าผู้ที่มีจิตมารพัวพันย่อมเอิกเกริก ออกจะแปลกไปเสียหน่อยหากต้องสงวนทีท่า…
ความคิดของสวี่ชีอันพลันเปลี่ยนไป เขาอาจใช้ประโยชน์จากการที่จักรพรรดิเจินเต๋อตกสู่ทางมารได้อยู่บ้าง?
“นี่ ตอนนั้นที่ข้าสังหารอ๋องสยบแดนเหนือได้ สาแก่ใจข้านัก อ้อ ข้าลืมไปว่านั่นก็คือเจ้า คู่ต่อสู้ผู้ที่แพ้ให้แก่ข้าเท่านั้น ตอนอยู่ฉู่โจว ข้าก็ทำให้เจ้าต้องร้องขอความเมตตา ในวันนี้ข้าก็เอาเลือดหัวหมาอย่างเจ้าออกได้เช่นกัน”
สวี่ชีอันพยายามอย่างยิ่งที่จะวางมาดยโสโอหัง
เป็นอย่างที่คาดไว้ ใบหน้าของจักรพรรดิเจินเต๋อกระตุกเล็กน้อย แววตาวาวโรจน์ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เขาจะเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า
“ฝีมือต่ำต้อยเยี่ยงเจ้า คงอาศัยเพียงคำพูดไม่กี่คำยั่วโทสะข้า?”
‘ไอ้สารเลว ไม่ช้าก็เร็วเจ้านี่ต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ…’ จิตวิญญาณส่วนลึกของจักรพรรดิเจินเต๋อกำลังร้องคำราม
ไม่ได้ผล ดูเหมือนว่าแม้ถูกจิตมารครอบครองแต่ไม่ได้ทำให้สติปัญญาย่ำแย่ไปด้วย…สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากจักรพรรดิเจินเต๋อยังคงคั่งแค้นต่อเพียงอีกวินาทีเดียว เขาจะชูนิ้วกลางแล้วตะโกนใส่
งั้นก็เข้ามาเลย…
“ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เจ้าถูกบังคับให้ประณามตนเอง แล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในท้องพระโรง ก็เป็นการแสดงใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันถาม
จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าเดาสิ”
สวี่ชีอันมองออกไปยังทิศทางฝั่งเมืองหลวงโดยไม่ได้สนใจ พลางพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าเดาว่า เวลานั้นเจ้าคงฉวยโอกาสที่จะสะสางความโกรธแค้นต่ออ๋องสยบแดนเหนือที่ถูกฆ่า หรือไม่ไฟโทสะในครั้งนั้นคงทวีคูณเกินกว่าที่เจ้าจะรับไหว จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมตนเองได้”
จักรพรรดิเจินเต๋อไม่ได้ตอบ ไม่รู้ว่าไม่อยากตอบหรือยอมรับเป็นนัยๆ กันแน่
เขามองออกไปยังทิศทางฝั่งเมืองหลวง พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เจ้ากำลังรอลั่วอวี้เหิงอยู่หรือ?”
สีหน้าสวี่ชีอันเปลี่ยนไป
เมื่อสังเกตเห็นอย่างนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าจักรพรรดิเจินเต๋อขยับกว้างขึ้นอย่างเยาะเย้ย แล้วกล่าวต่อ
“ลั่วอวี้เหิงไม่ยอมจับคู่บำเพ็ญกับข้า แม้กระทั่งไม่พอใจที่ข้าบำเพ็ญธรรม เพราะการที่ข้าบำเพ็ญทำให้ต้าฟ่งล่มสลาย นางโชคไม่ดีพอที่จะหลุดพ้นจากไฟกรรม ถ้านางฉวยโอกาสสังหารข้าได้ นางคงได้หนทางสนับสนุนจักรพรรดิองค์ใหม่”
เพียงได้ยิน มุมปากจักรพรรดิเจินเต๋อโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึง “ข้าหาคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจให้นางได้แล้ว”
…
เมืองจิงเจียวซึ่งอยู่ห่างจากหนานย่วน
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว มองไปที่เงามืดทิศทางตรงข้าม เงานั้นเหยียบลงบนดอกบัวสีดำที่กำลังแย้มบาน ของเหลวเหนียวหนืดสีดำหลั่งไหลจากร่างกาย ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความอาฆาต
ดอกบัวสีดำอยู่ตั้งอยู่ใจกลางมีรัศมีกว้างหลายลี้ ต้นพืชรายล้อมพากันเหี่ยวเฉา ดวงตาเดรัจฉานแดงก่ำ ไร้ซึ่งสติปัญญา รับรู้แค่วิธีผสมพันธุ์หรือฆ่าแกงกันเท่านั้น
แหล่งอาศัยเล็กๆ เฉกเช่นแมลงก็ยังเข่นฆ่ากันเอง
“ศิษย์หลาน!”
เฮยเหลียนเลียริมฝีปากมีเสียง ‘แผล็บๆ’ ใช้น้ำเสียงชั่วช้าทั้งยังลามก เอ่ยหว่านล้อม
“มาหาอาจารย์อาตรงนี้เร็ว อาจะพาเจ้าบำเพ็ญคู่ ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติการเป็นสตรี ฮ่าๆๆ…”
มุมปากลั่วอวี้เหิงกระตุกกึก ก่อนฟันกระบี่เหล็กขึ้นสนิมในมือลง พลางตวาดลั่น “ไสหัวไป!”
แสงสะท้อนคมกระบี่ส่องสว่างยิ่งกว่าแสงตะวัน เหล่าสัตว์กำลังร่วมสมสู่ รวมถึงเหล่าแมลงถูกปลิดชีพโดยพลัน สิ่งเหล่านี้ได้รับผลตามจิตดาบซึ่งแฝงอยู่ในกระบี่เล่มนี้
ดอกบัวบานสีดำพ่นของเหลวหนืดสีดำพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ พวกมันแก่งแย่งกันโอบล้อมปลายกระบี่เล่มคม ท่ามกลางเสียงขู่ฟ่อ มันสกัดการโจมตีด้วยกระบี่ของลั่วอวี้เหิงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าจะสกัดกระบี่ได้สักกี่เล่ม?”
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะเสียงเย็น ตวัดกระบี่ชี้ไปบนฟ้า ระหว่างที่ควงกระบี่นั้น พลังดาบอันคมกริบพวยพุ่งออกมากมาย
คมกระบี่นั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งฟ้าดิน
‘ชี่ชี่ชี่…’
ศีรษะนักบวชเต๋าเฮยเหลียนถูกพลังดาบดั่งพายุฝนกระหน่ำแทงลงมา ทว่าร่างกายของเขาดูเหมือนจะหลอมรวมจากซากตะกอนในน้ำเน่า ของเหลวที่ไหลซึมออกมาช่วยซ่อมแซมบาดแผลที่ถูกแทง
กลับกัน พื้นดินโดยรอบระเบิดกลายเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ ราวกับว่าถูกยิงด้วยลูกกระสุนปืนใหญ่
ของเหลวที่หลั่งไหลจากร่างกายเฮยเหลียนคล้ายจะจางลงเล็กน้อย
ด้วยทักษะที่แข็งแกร่งของนิกายมนุษย์ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
นักบวชเฮยเหลียนหายใจเข้าลึกๆ ช่องท้องพองขึ้นกลายเป็น ‘ลูกบอล’ ซึ่งค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาจนถึงลำคอ จากนั้นก็พุ่งออกมาอย่างรุนแรง
นักบวชเฮยเหลียนพ่นธารน้ำสีดำ ห่อหุ้มลั่วอวี้เหิงราวกับว่าต้องการฉุดนางให้ต่ำช้าลงไปด้วย
“ศิษย์หลาน อาจารย์อาลุ่มหลงในเรือนร่างของเจ้ามาแสนนาน ฮ่าๆๆๆ…”
นักบวชเฮยเหลียนหัวเราะร่า ทั้งชั่วช้าแถมยังบ้าคลั่ง
ชวิ้ง!
กระบี่เหล็กสนิมทะลวงผ่านธารน้ำสีเข้ม ส่องประกายแวววาว ก่อนจะแทงทะลุหัวใจนักบวชเฮยเหลียน
ร่างของลั่วอวี้เหิงผุดขึ้นกลางอากาศ กระชับด้ามกระบี่ในมือแน่นพร้อมสะบัดมือเพื่อสลัดของเหลวสีดำประปรายบนคมมีด
นางไม่อาจแปดเปื้อนพลังของอีกฝ่ายซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเสื่อมทราม แม้จะแปดเปื้อนเพียงเล็กน้อย ก็กระตุ้นไฟกรรมในกายนางได้
ทว่ากระบี่เล่มนี้ใช้การได้ กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธปลุกเสกที่สืบทอดมาจากเหล่าปรมาจารย์นิกายมนุษย์รุ่นก่อนๆ ซึ่งควบแน่นไปด้วยจิตดาบของปรมาจารย์ทุกยุคสมัย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อครู่ลั่วอวี้เหิงและกระบี่ได้รวมเป็นหนึ่ง ส่งผลให้กระบี่บินทะลวงฝ่าของเหลวเหนียวหนืดไปได้
“อ๊ากก ข้าเจ็บ เจ็บเหลือเกิน!”
นักบวชเต๋าเฮยเหลียนกุมหัวใจพร้อมกรีดร้อง
เขาซึ่งถูกยั่วโทสะ พลันรู้สึกว่าศิษย์หลานสาวผู้น่าหลงใหลไม่น่ารักอีกต่อไป จึงตะโกนใส่ด้วยความอาฆาตพยาบาท
“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า…ข้าจะจับเจ้ากลับไปบำเพ็ญคู่ ข้าจะลากเจ้าไปบำเพ็ญคู่กับข้า…สุดท้ายแล้วข้าต้องฆ่าเจ้าทิ้งหรือจับคู่บำเพ็ญกันแน่ น่ารำคาญ ช่างน่ารำคาญจริงๆ…”
ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างเสียสติ ร่างกายของเขาพลันทรุดลง ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่สีดำเท่าตึกขนาดเล็ก
ใบหน้ามนุษย์อ้าปากกว้าง พลางพุ่งเข้าหาลั่วอวี้เหิง ตั้งใจกลืนนางในคราเดียว
ราชครูพลิกกระบี่เหล็กที่ขึ้นสนิมขึ้นมา แล้วค่อยๆ ยื่นกระบี่ออกมาในท่าเตรียมพร้อม
‘ตู้ม!’
ใบหน้ามนุษย์ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็เกิดฝนโปรยลงมาภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้ม
แสงกระบี่ส่องสว่างทอดยาวออกไปหลายลี้ พุ่งตัดผ่านยอดภูเขา แล่นหายลับจนสุดสายตา
ลั่วอวี้เหิงยืนถือกระบี่ด้วยท่าทางสงบ “แค่นี้หรือ”
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องฆ่าเจ้า”
ร่างของผู้นำเต๋าเฮยเหลียนกลับมาหลอมรวมกันอีกครั้ง ด้วยลมหายใจที่แผ่วลง
‘ศิษย์หลานผู้น่ารำคาญคนนี้ ยังไงก็ยังต้องฆ่าทิ้งแน่’
“จินเหลียนเคยขอให้ข้าช่วยร่วมมือจัดการท่าน แต่ข้าไม่อยากช่วยเขาแค่เพราะข้าไม่อยากเสี่ยง เพราะมันไม่ใช่ธุระกงการของข้า ฉะนั้นคราวนี้เป็นผู้อื่นที่ขอร้องให้ข้าลงมือ ตั้งแต่เขาปริปากบางอย่าง ข้าก็ตระหนักได้ว่าลองแสดงทักษะที่แท้จริงสักครั้งก็ได้”
ลั่วอวี้เหิงกัดปลายนิ้ว พลางกระชับกระบี่ขึ้นสนิม แล้วพูดเบาๆ ด้วยความมั่นใจทั้งแฝงด้วยความเอาแต่ใจ
“เฮยเหลียน เจ้าหนีไปได้แล้ว”
…
จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อรูปลักษณ์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของสวี่ชีอันสะกิดต่อมความสุขของเขาโดยตรง ในฐานะปิศาจที่แสดงออกทางอารมณ์อย่างเปิดเผย เขามีความสุขกับการบดทำลายสติปัญญาเช่นนี้
ให้เด็กนี่คิดว่าตนเองเป็นผู้กอบกู้โลก อีกทั้งให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนเองช่างน่าขันและต่ำต้อยเต็มประดา
“การฆ่าทหารขั้นสามช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียจริง แต่ไม่เป็นไร ในไม่ช้าเจ้าจะได้ลิ้มรสความกลัวถึงขีดสุดเอง”
จักรพรรดิเจินเต๋อมองเขาอย่างขบขัน โดยคาดหวังว่าแววตาของสวี่ชีอันจะสะท้อนความหวาดระแวงและฉงนใจ รวมถึงร่องรอยความตื่นตระหนก
ทว่าสิ่งที่เขารอคอยกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของสวี่ชีอัน
“เจ้าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระกับข้า เพราะว่ากำลังรอไหวอ๋องอยู่กระมัง”
คราวนี้ถึงตาสีหน้าจักรพรรดิเจินเต๋อเปลี่ยนบ้าง เขาหรี่ตาลง
เขาจ้องมองสวี่ชีอันด้วยแววตาระแวดระวังทั้งสับสน พลางส่งเสียงหึ
“สมองของเจ้าหาใช่มีไว้เพื่อประดับไม่ เจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไร ต้าฟ่งยังมีผู้ใดที่จะสามารถต่อกรกับทหารผู้เป็นอมตะได้”
สวี่ชีอันทำไขสือ สายตาจับจ้องไปยังศพของจักรพรรดิหยวนจิ่งซึ่งอยู่ไกลๆ
ผู้ควบคุมไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่ลึกลับ ตราบใดที่ร่างอวตารยังมีชีวิตอยู่ และหากมีเวลามากพอ ร่างอวตารทั้งสองร่างจะสามารถซ่อมแซมใหม่อีกครั้งได้
แน่นอนว่าร่างกายที่ถูกตัดศีรษะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ อีกทั้งร่างของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตายไปแล้ว ทว่าไหวอ๋องนั้นแตกต่าง ไหวอ๋องคือทหารขั้นสาม
หลังจากตนเองเข้าสู่ขั้นสาม สวี่ชีอันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องมีพลังเลือดลมถ่ายทอดอย่างเพียงพอ
“ข้าอาจหาทหารขั้นสามไม่ได้ แต่ผู้ใดบอกเล่าว่าการหยุดยั้งขั้นสาม จะต้องใช้คนที่บรรลุขั้นสามเท่านั้น” สวี่ชีอันถามกลับพลางยิ้มกริ่ม
จักรพรรดิเจินเต๋อมีสีหน้าเข้มขึ้น
เขาใช้สายตาเย็นชามองสวี่ชีอัน พลางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้ารู้ว่าไหวอ๋องฟื้นคืนชีพได้อย่างไรใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้น นี่แหละคือจุดประสงค์ที่ข้าปลิดชีพเว่ยเยวียน”
ก็เข้ามาสิ ต่างคนต่างเจ็บกันไปข้างหนึ่งเลย
รอยยิ้มสวี่ชีอันค่อยๆ หุบลง ก่อนเค้นเสียงลอดไรฟันเน้นย้ำทีละคำ “เจ้า-รน-หา-ที่-ตาย-”
จากนั้น สงครามพลันปะทุขึ้น
…………………………………………..
[1] หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง = ประมาณ 3.33 เมตร
[2] มาจากตำนานนกฟีนิกซ์ที่เผาไหม้ตัวเองจนมอดไหม้และถือกำเนิดขึ้นใหม่จากกองเถ้าถ่าน