ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 483-2 ต่างคนต่างสู้ (2)
บทที่ 483 ต่างคนต่างสู้ (2)
เงาทะมึนทะยานขึ้นฟ้า ร่างนั้นสวมชุดเกราะหนา ใบหน้าหล่อเหลา ค่อนข้างคล้ายคลึงกับจักรพรรดิหย่วนจิ่ง ดวงตาเรียวรีราวนกการเวกชำเลืองมองอย่างเย็นชา
‘อ๋องสยบแดนเหนือ’ เขาพุ่งมาจากทิศทางสุสานของจักรพรรดิ
วันนั้นศพถูกส่งจากฉู่โจวมายังเมืองหลวง เพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งพยายามปกปิดหลักฐานคดีสังหารหมู่ไหวอ๋อง จึงทำให้เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารลุกฮือต่อต้าน เหล่าขุนนางปิดล้อมประตูอู่ พากันด่าทอ ก่อจลาจลกันอย่างวุ่นวาย
ด้วยสมมติฐานเช่นนี้ กลับไม่มีใครสนใจศพของไหวอ๋องเสียด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วการต่อกรกับศพย่อมไร้ความหมาย หากเทียบกับการต่อสู้กับจักรพรรดิซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
รวมถึงสวี่ชีอันกับเจิ้งซิ่งไหว ตอนนั้นพวกเขาก็สนใจแต่เหตุการณ์ในศาลเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องศพของไหวอ๋องนัก
หารู้ไม่ นี่คือเจตนาของจักรพรรดิเจินเต๋อ
ศพไหวอ๋องถูกซ่อนในสุสานของจักรพรรดิมาโดยตลอด และเขาเพิ่งฟื้นคืนชีพ
‘ฟิ้ว!’
กระบี่บินทะลุทะลวงมาในอากาศ พุ่งตรงไปยังศีรษะของอ๋องสยบแดนเหนือ
อ๋องสยบแดนเหนือเพียงสะบัดฝ่ามือไปมา เกิดเสียงชิ้งดังฟังชัดก่อนที่กระบี่บินจะร่วงลง จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าบนพื้นว่างเปล่าพลางแหงนมองท้องฟ้า บนนั้นมีกระบี่บินลอยเด่นอยู่สองเล่ม แต่ละเล่มมีคนเหยียบอยู่สองคน แบ่งออกเป็น นักดาบชุดดำ พระภิกษุห่มจีวรเรียบง่าย เด็กสาวผิวสีเปลือกข้าวสาลี และสาวงามในชุดนักพรตเต๋า
“ข้าคือใคร ใครคือเรา!”
ไหวอ๋องแค้นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ส่ายศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดว่า “พวกเจ้าไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1]ไม่กี่ตัว กล้าขวางทางข้างั้นรึ?”
เขาคิดว่าสวี่ชีอันจะมีไพ่เด็ดอยู่บ้าง
‘แค่นี้เองหรือ?’
ฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจินและลี่น่า หันศีรษะไปมา มองไต้ซือเหิงหย่วนกำลังคร่ำครวญอย่างทุกข์ระทม
“อมิตตาพุทธ”
เหิงหย่วนประนมมือ กล่าวเสียงขรึม “ประสกเข่นฆ่าผู้คนไปแล้วสามสิบแปดหมื่นคนในฉู่โจว อาตมาเศร้าใจ ที่มิมีโอกาสได้สั่งสอนประสกให้เป็นผู้เป็นคน”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะขัดจังหวะ กล่าวต่อว่า “ไต้ซือ อย่ามัวแต่พิรี้พิไร ลงมือเลยเถอะ พวกเราไม่ได้มีหน้าที่มาถ่วงเวลาแค่หนึ่งเค่อนะ พวกเราต้องตัดกำลังรบของเขาด้วย”
เหิงหย่วนพึมพำ “มีเหตุผล!”
กับพวกบาปหนา ไม่จำเป็นต้องเปลืองวาจาให้มากความ แต่ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ผู้นั้นยอมจำนน
อัฐิธาตุลอยอยู่เหนือหัวเหิงหย่วน เปล่งประกายแสงนวลเรืองรอง จากนั้น เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก สะบัดให้เกิดเปลวไฟ
ขอเซ่นไหว้ความสามารถที่เป็นแก่นแท้…อัญเชิญผู้ยิ่งใหญ่!
ในความว่างเปล่าอันมืดมิด ร่างหนึ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์[2] เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาลอยลงมารวมเข้ากับอัฐิธาตุ จากนั้นภาพลวงตากลายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ในทันที
นี่คือพระอรหันต์ พระอรหันต์ขั้นสองแห่งสำนักพุทธ!
แน่นอนว่า การอัญเชิญวิญญาณวีรชนลงมานั้น ต่อให้หลอมรวมกับอัฐิธาตุแล้วก็ยังเทียบไม่ได้กับองค์พระอรหันต์ตัวจริง
แม้แต่เหิงหย่วนซึ่งเป็นกำลังหลัก หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ คอยหนุนเป็นกำลังเสริม ก็ไม่สามารถต้านทานพลังที่สูงสุดขั้นสามได้
ไหวอ๋องเห็นสิ่งนี้แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น “ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ข้าก็สามารถจัดการพวกเจ้าได้”
ท่าทางเหยียดหยามที่แสดงออกมา ขัดกับความระแวดระวังที่ก่อตัวในใจ
ไต้ซือเหิงหย่วนประนมมือ ก้มหน้าลงท่องบทสวดมนต์ บทสวดสีทองอำพันซึ่งดูเป็นรูปร่างจับต้องได้ลอยออกมาจากปากของภิกษุทีละบท กระทั่งบรรจบกันเป็น ‘สายธาร’ สีทองอร่ามพุ่งไปยังอ๋องสยบแดนเหนือ
อ๋องสยบแดนเหนือเดินโซเซ ปวดหัวราวกับมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายผุดขึ้นเด่นชัด เขาไม่สามารถยืนกลางอากาศได้อีกต่อไป ถึงได้ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว
จอมเวทขั้นเจ็ด สุดยอดแห่งการโปรดสัตว์!
หากเป็นวิญญาณ คงเข้าสู่กระบวนการหลุดพ้น ก่อนหวนคืนสู่ภพภูมิใหม่อีกครั้ง
หากเป็นผู้มีชีวิต แล้วมีความคิดอยากฆ่าตัวตายอย่างแรงกล้า อยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นวิญญาณ แต่พยายามบอกว่าตัวเองยังไม่อยากตาย
สำนักพุทธจะบอกว่า ‘ไม่จริง ท่านอยากตาย’
ลี่น่าคือคนแรกที่กระโดดลงมาจากกระบี่บิน ชาวซินเจียงตอนใต้ผิวดำตัวเล็กๆ จะเป็นผู้ออกรบคนแรกเสมอ นางเหยียดแขนและขาพุ่งลงไปที่พื้นราวกับลูกธนูอันแหลมคม เมื่อเข้าใกล้อ๋องสยบแดนเหนือ จึงกางแขนและขาออก ทะยานอ้อมไปด้านหลังอ๋องสยบแดนเหนือ
อ๋องสยบแดนเหนือในเวลานี้ยังคงปวดหัวอย่างสาหัส ตกอยู่ในสภาวะโลกทัศน์มืดลง ลี่น่าเกี่ยวขาทั้งสองข้างรัดรอบเอวทหารขั้นสาม มือทั้งสองข้างของนางคล้องแขนใหญ่กำยำทั้งสองข้างของเขา จากนั้นจึงออกแรงกระชากไหล่เขาไปทางด้านหลัง
สมแล้วที่เป็นหญิงสาวมากพละกำลังแห่งลี่กู่ ไม่คิดเลยว่ากำลังของนางจะตรึงร่างไหวอ๋องไว้ได้นานหลายวินาที
‘ชิ้ง!’
ฉู่หยวนเจิ่นดึงกระบี่ออกจากฝักคาดเอวแล้วเหวี่ยงมันออกไป
หลี่เมี่ยวเจินยกมือขวา พลิกฝ่ามือหันเข้าหาอ๋องสยบแดนเหนือ
แกร๊ง…เสื้อเกราะที่เขาสวม เสื้อด้านใน เข็มขัด รองเท้าและอื่นๆ ล้วนบีบตัวเขาจนดัดหลังให้งองุ้ม รัดเอวแน่น หรือแม้แต่คอเสื้อก็รัดคอเขาแน่นเช่นกัน ทำให้อ๋องสยบแดนเหนือขยับตัวให้หลุดพ้นจากลี่น่าได้ยาก
เมื่อกระบี่ของฉู่หยวนเจิ่นพุ่งมาถึงก็แทงเข้าระหว่างคิ้วของไหวอ๋อง ไร้การปะทุของพลังอันแกร่งกล้า เนื่องจากกระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ใจ
ฟาดฟันจิตวิญญาณ
ทุกคนในพรรคฟ้าดินพร้อมใจกันโจมตีโดยปริยาย พวกเขาโจมตีด้วยคลื่นแห่งการควบคุม จนสามารถควบคุมทหารขั้นสามสูงสุดผู้นี้ได้นานกว่าห้าวินาที
เหิงหย่วนในฐานะกำลังหลักไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปโดยเด็ดขาด ในขณะที่ท่อง ‘ไม่เอาชีวิต’ เขาก็ยกกำปั้นใหญ่เท่าหม้อเหล็กทุ่มใส่อ๋องสยบแดนเหนือดุจพายุฝนถล่ม
พระอรหันต์ผู้ ‘ทรงศีล’ ออกแรงเท่านี้ ก็เพียงพอที่จะควบคุมอ๋องสยบแดนเหนือได้ชั่วขณะหนึ่ง
‘ปัง ปัง ปัง!’
กำปั้นทุบร่างทหารขั้นสาม พอจะทำให้ทหารผู้มีผิวดั่งทองแดงกระดูกดุจเหล็กกล้า[3]ตายได้ กระทั่งลี่น่าที่กำลังล็อกแขนอ๋องสยบแดนเหนือก็ระดมทุบไปด้วยจนเลือดไหลไม่หยุด
ทุบแม้แต่ลมปราณของไหวอ๋องที่ไม่มั่นคง
‘ตู้ม!’
ชุดเกราะอ๋องสยบแดนเหนือระเบิด ลี่น่าตัดด้ายแล้วโยนมันออกไปราวกับว่าว ความโอหังของทหารจอมเผด็จการถูกทำลายย่อยยับ สะเทือนถึงทุกสิ่งโดยรอบ รวมถึงไต้ซือเหิงหย่วน
แขนลี่น่าบิดงอจนกระดูกแทงออกมาจากเนื้อ เลือดไหลทะลัก สูญเสียพลังการต่อสู้ในทันที
ตั้งแต่แรกเริ่ม หน้าที่ของพรรคฟ้าดินไม่ใช่การกำจัดไหวอ๋อง ภาพที่เห็นก็ไม่ใช่ความจริง
ประการแรก สิ่งที่เหิงหย่วนอัญเชิญมาเป็นเพียงแค่เสี้ยววิญญาณพระอรหันต์ในตอนนั้น ความแข็งแกร่งอาจไม่เทียบเท่าร่างจริง และแม้ว่าร่างที่แท้จริงของพระอรหันต์จะมาด้วยตนเอง ก็ยากที่จะฆ่าทหารขั้นสามระดับสูงสุดผู้นี้
ประการที่สอง วิญญาณวีรชนผู้นี้คงอยู่ได้เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น เราใช้เวลาหนึ่งเค่อในการฆ่าทหารขั้นสูงที่ทั้งอึดทั้งทนได้หรือไม่?
ประการสุดท้าย ขั้นสามและขั้นสี่มีความแตกต่างกันอยู่มากโข ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งนั้นกว้างเกินไป อีกฝ่ายสามารถผิดพลาดได้นับครั้งไม่ถ้วน กลับกัน หากพวกเขาผิดพลาดแค่ครั้งเดียวอาจทำลายพวกเดียวกัน
อ๋องสยบแดนเหนือโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี เขาเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากความเจ็บปวดของผู้คนเพื่อฆ่าพวกเขา และไม่ได้แสดงความเมตตาแม้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เขากำลังจะใช้กำปั้นพลังชี่กำจัดสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้
เหิงหย่วนประนมมือ “ละเว้นจากการฆ่า”
ไหวอ๋องชะงักกำปั้นลง แม้ว่าอยากชกออกไปเพียงใด
หลี่เมี่ยวเจินฉวยโอกาสชี้ฝ่ามือไปที่ลี่น่า ใช้พลังเหวี่ยงนางให้ปลิวไปไกล
นางไม่ห่วงอาการบาดเจ็บของลี่น่า เพราะการตั้งรับของยอดฝีมือสำนักลี่กู่ย่อมไม่วิปริตเหมือนเหล่าทหาร พวกเขามีพลังฟื้นฟูสูง โดยทั่วไป ตราบใดที่ยังมีชีวิตรอดอาการบาดเจ็บยังหายได้ โดยระยะฟื้นตัวขึ้นอยู่ความรุนแรงของอาการ
ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ลี่น่าอยู่ในพระราชวังใต้ดิน นางเคยถูกทำลายธาตุหยินจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์ แต่นอนเพียงคืนเดียวก็ฟื้นตัวดังเดิม
พรรคฟ้าดินจากสี่หายไปหนึ่ง เหลือแค่สาม
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินสมกับเป็นเสาหลักของพรรคฟ้าดิน คนหนึ่งจากนิกายมนุษย์ควบคุมกระบี่บินหลายร้อยเล่ม คนหนึ่งเขวี้ยงธงเรียกวิญญาณ ระฆังคุมวิญญาณ และของวิเศษชิ้นอื่นๆ ล้อมไหวอ๋องให้ติดกับ โดยมีเหิงหย่วนเป็นกำลังหลัก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดเฉกเช่นเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด กระบี่บินหลายร้อยเล่มแตกเป็นเศษเหล็กบ้าง หลอมละลายเป็นเหล็กไหลบ้าง ในที่สุดอาวุธจากนิกายมนุษย์ที่หลี่เมี่ยวเจินหอบมาก็หมดลง
ลมปราณของไหวอ๋องลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับทหารระดับเขาแล้ว เพียงควบคุมลมปราณครึ่งชั่วโมงก็ฟื้นฟูความเสียหายได้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่ได้การ แบบนี้ไม่ได้การแน่…ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำในใจ
หน้าที่ของพวกเขาทั้งสี่คือสกัดอ๋องสยบแดนเหนือภายในหนึ่งเค่อ ทั้งนี้ต้องทำให้พลังการต่อสู้ของเขาลดลง การมีอัฐิธาตุพระอรหันต์ทำให้ไม่ยากที่จะจบเรื่องในหนึ่งเค่อ แต่ยากตรงที่ต้องทำให้อ๋องสยบแดนเหนือได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งยากพอๆ กับการทะยานขึ้นไปบนฟ้า
หากไหวอ๋องที่อยู่ในสภาวะสูงสุดให้การสนับสนุนจักรพรรดิเจินเต๋อ เมื่อทั้งสองรวมเป็นหนี่ง สวี่ชีอันต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทหารขั้นสามสูงสุดผนวกรวมกับยอดฝีมือขัั้นสอง ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
อ๋องสยบแดนเหนือมองนักดาบชุดดำอย่างเย็นชาระคนเย้ยหยัน พูดว่า “ฉู่หยวนเจิน เจ้าไม่เหมาะสมกับเป็นจอหงวน เจ้าฝึกกระบี่แบบไหนกัน? ฝึกฝนมาหลายปีขนาดนี้ ฝีมือกลับเหมือนฝึกใช้เข็มปัก ไม่เจ็บไม่คันใดๆ ข้าอยู่มาสองราชวงศ์ ดูแลราชนักมาแรมปี เห็นปัญญาชนแบบเจ้ามามากมาย ปัญญาชนเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ที่สุด การลาออกจากตำแหน่งเหล่านั้นเพื่อออกมาฝึกวิชาดาบอาจดูสง่างาม แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องโง่เขลา หลายปีมานี้เจ้าได้ฝึกอะไรไปบ้าง? เจ้าไม่พอใจกับการบำเพ็ญของข้า แล้วทำอย่างไรได้? กระบี่ชิงเฟิงสามฟุตในมือเจ้าทำข้าเจ็บได้สักเท่าไรกัน?”
คนผู้นี้มีความสามารถเหลือล้นในตอนนั้น เขาได้อันดับจอหงวน ลมฤดูวสันต์พึงพอใจในเกือกม้า[4] น่าเสียดายที่เรื่องเล็กน้อยทำให้เขาอาฆาตแค้นผู้เป็นกษัตริย์ ถึงได้ลาออกมาเพื่อฝึกวิชาดาบ
ตอนนี้เขากลายเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป ช่างน่าขันนัก
ขณะไหวอ๋องพูดก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาเรียวรีหรี่ลงราวกับต้องการจะกลืนกิน
‘ควรรู้สีกอย่างไรที่ตกเป็นเป้าหมายของยอดฝีมือขั้นสามแบบตัวต่อตัว?’ ฉู่หยวนเจิ่นตระหนักได้
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น บนไหล่ของเขาเหมือนแบกภูเขาสองลูก ขนลุกชัน มือเท้าสั่นเล็กน้อย
ไหวอ๋องทำเสียง ‘จิ๊’ ขั้นสี่กับขั้นสามแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว นักปราชญ์ผู้ทิ้งตำรามาฝึกดาบไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย
“อมิตตาพุทธ!”
ไต้ซือเหิงหย่วนก้าวไปข้างหน้า สิงโตแห่งสำนักพุทธเปล่งเสียงคำราม “สังหารโจรร้าย!”
สังหารโจรร้ายระดับเต๋า!
พระอรหันต์ที่หลอมรวมกับร่างกายเขาสว่างวับขึ้นมา ใบหน้าถมึงทึงขององค์เทพจินกังปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เกิดแสงสว่างเรืองรองจากลวดลายอันลึกซึ้งที่สร้างบนร่างธรรม จากนั้นลมปราณอันแข็งแกร่งก็กระจายไปทั่วบริเวณ
ดวงตาร่างธรรมเปล่งประกายเป็นแสงสีทอง หุ้มล้อมไหวอ๋องไว้
ไหวอ๋องซึ่งมีลางสังหรณ์ถึงอันตรายกลับไม่อาจหลบหลีกได้ทัน เขาเหมือนต้องมนตร์สะกด ครู่ต่อมาลูกตาของเขาก็พุ่งออกมาจากเบ้าทั้งสองข้างพร้อมเลือดกระเซ็นอาบแก้ม รูจมูก ปาก และรูหูมีเลือดไหลทะลักออกมาพร้อมกัน
เลือดออกทั้งเจ็ดทวาร
ราวกับมีคนเอาไม้มาตีหน้าผากไหวอ๋อง แล้วทั้งร่างก็หงายหลังล้มตึงลงไป
หลังจากถูกจู่โจมครั้งนี้ อัฐิธาตุก็หายกลับเข้าร่าง พร้อมกับพลังของเหิงหย่วนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเขาหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ต่อ
ไหวอ๋องคำรามออกมาด้วยความปวดร้าวจนทนไม่ได้ การจู่โจมครั้งนี้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส เขากุมหน้าพลางงอหลังลง
หลี่เมี่ยวเจินลดกระบี่บินถลาไปทางเหิงหย่วนเพื่อพาเขาออกไป ทว่าการไม่มีพระอรหันต์คอยควบคุม ทำให้นางเพิ่งตระหนักได้ว่าทหารขั้นสามน่ากลัวเพียงใด เมื่อนางไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
นิ้วทั้งห้าของไหวอ๋องกำความว่างเปล่าไว้ ทำให้หลี่เมี่ยวเจินยากจะขยับ เขาคิดจะกำนิ้วทั้งห้าให้แน่นขึ้น นักพรตหญิงนิกายสวรรค์ผู้นี้ต้องถูกบดขยี้จนกระดูกแตกสลาย
ฉู่หยวนเจิ่นมองดูฉากนี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง กระบี่ชิงเฟิงบนหลังที่ไม่เคยถูกชักออกจากฝักนับตั้งแต่เขาเดินทางไปตามยุทธภพจู่ๆ ก็สั่นสะท้าน
อ๋องสยบแดนเหนือกำลังจะ ‘ฆ่า’หลี่เมี่ยวเจิน เขารับรู้ได้ ทันใดนั้นเขาก็หันมองด้านหลัง กระบี่ชิงเฟิงสั่นอย่างรุนแรง
“นี่ ฉู่หยวนเจิ่น เจ้ายังอยากอวดกระบวนดาบอยู่หรือ?”
อ๋องสยบแดนเหนือถามเสียงกลั้วหัวเราะ “ไอ้พวกมด กล้าดวลฝีดาบหรือไม่?”
‘พวกขั้นสี่ก็ไม่ต่างจากมด’
มือเท้าของฉู่หยวนเจิ่นสั่นเทา รูม่านตาขยายกว้าง เปรียบดั่งวันวานเป็นเหมือนหมอกควัน วันนี้กลับท่วมท้นปกคลุมในจิตใจ
ฉู่หยวนเจิ่นกำพร้าตั้งแต่เด็ก ถูกคู่สามีภรรยาที่ไม่มีลูกอุปการะเลี้ยงดู หลังจากทั้งคู่ล้มป่วยเสียชีวิต เขาได้ร่ำเรียนกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง
อุดมคติและความรู้ของเขาล้วนมาจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นที่เสียชีวิตในตำหนักกระดิ่งทอง อาจารย์ผู้มีความรู้ชั้นยอด น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถรับราชการได้ ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์น้ำมันเกลือไม่ซึม[5]ทำให้เขาก้าวหน้าได้ยากในราชสำนัก
โดยปกติเวลาสอนฉู่หยวนเจิ่น อาจารย์มักจะบอกว่า “อย่าเลียนแบบข้า”
ตอนสอบขุนนาง รัชศกหยวนจิ่งที่ยี่สิบเจ็ด ฉู่หยวนเจิ่นสอบได้อันดับจอหงวน[6] อาจารย์ผู้มีพระคุณร้องไห้ตื้นตันใจ ตบไหล่เขาแล้วยังพูดคำเดิมว่า “อย่าเลียนแบบข้า”
บรรดาผู้สอบจอหงวนล้วนแล้วแต่มีแววอนาคตไกล เพียงแต่ต้องกลมกลืนสักหน่อย จำไว้ว่าต้องวางตัวสำรวม หรือตระหนักต่อความทะเยอะทะยานในอนาคต
ฉู่หยวนเจิ่นยึดถือความล้มเหลวของอาจารย์เป็นต้นแบบ และตนเองไม่ใช่คนอวดรู้ ดังนั้นหัวใจของเขาจึงลุกโชน
ในปีเดียวกันนั้น เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรงในยงโจว ชาวบ้านไม่มีพืชผล ทั้งนี้ราชสำนักไม่อาจบรรเทาภัยพิบัติครั้งนี้ได้ ส่งผลให้เกิดความอดอยากทุกหย่อมหญ้า
ในเวลาเดียวกันนี้เอง จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับเปิดเตาหลอมยาอายุวัฒนะ สำหรับกลั่นยาเม็ดใหญ่ทุกฤดูกาล โดยมีราคาหลายสิบพันตำลึงเงิน
นักปราชญ์ผู้นั้นถูกเพื่อนร่วมงานเยาะเย้ยว่าเป็นนักปราชญ์คร่ำครึ จากนั้นเขาจึงประณามจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเจ็บแสบในตำหนักกระดิ่งทอง ทุกถ้อยคำล้วนคมดุจมีด ก่อนจะจบชีวิตลงด้วยการเอาหัวโขกเสาจนตาย
จักรพรรดิกล่าวว่า “ในเมื่อท่านกล้ายืนหยัดจนตัวตาย เช่นนั้นก็จงไปสู่สุคติ”
ไม่มีใครกล้าช่วยชีวิตเขา ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต อาจารย์ผู้มีพระคุณคว้ามือฉู่หยวนเจิ่นไว้แน่น กล่าวคำพูดสุดท้ายซึ่งยังคงเป็นคำเดิม “อย่าเลียนแบบข้า…”
ฉู่หยวนเจิ่นเดินออกไปจากราชสำนัก ตั้งแต่นั้นเขาก็เดินทางไปรอบๆ ยุทธภพด้วยชุดดำและกระบี่คู่กาย
เพราะมิอาจทำใจให้สงบ ท้ายที่สุดจึงยังคะนึงห่วงหา!
ฉู่หยวนเจิ่นตะโกนว่า “ออกมา!”
เกิดเสียง ‘ชิ้ง’ เมื่อคมดาบชิงเฟิงยาวสามฟุตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในที่สุดกระบี่เล่มนี้ก็ได้ออกจากฝัก ให้รู้กันไปเลยว่าวันนี้ ใครกันที่เป็นฝ่ายอยุติธรรม?
ชิ้ง!
พื้นดินโป่งนู่นขึ้น เม็ดดิน เม็ดทรายสีเหลือง และก้อนกรวดพุ่งขึ้นตามกระบี่ชิงเฟิง เพียงพริบตาเดียว ด้านหลังฉู่หยวนเจิ่งก็ปรากฏมังกรปฐพีความยาวร้อยจั้งทะยานขึ้นฟ้า โดยหัวมังกรคือกระบี่ชิงเฟิง
ซึ่งกระบี่เล่มนี้เป็นตัวแทนแห่งความกล้าหาญ
“ไป!”
ฉู่หยวนเจิ่นชี้ปลายดาบไปที่ไหวอ๋อง
สิ้นเสียงตะโกนกร้าว มังกรปฐพีผู้ยิ่งใหญ่ก็ค้อมหัวลงพลางขดวนรอบร่างผู้เป็นนายสามครั้ง จากนั้นจึงคำรามไปยังทิศทางที่ปลายกระบี่ชี้
อ๋องสยบแดนเหนือรับรู้ถึงพลังอันแข็งแกร่งแฝงอยู่ในกระบี่เล่มนี้ เมื่อฉู่หยวนเจิ่นชี้ดาบมา เขาจึงก้าวถอยทันที จากนั้นร่างของเขาก็วาบวับจากซ้ายไปขวา รวดเร็วดุจภูตผี
เวลานี้ นักดาบผู้ซึ่งไม่เดินตามเส้นทาง ยึดเอาเส้นทางนิกายมนุษย์ ‘เขา’ และเคล็ดลับที่เขาสร้างขึ้นมาจากการบำเพ็ญจิต แสดงให้เห็นด้านที่ไม่สมเหตุสมผล
กระบี่ชิงเฟิงแยกตัวออกจาก ‘ร่างมังกร’ แล้วหายไปในพริบตา ก่อนปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในระยะไกลออกไป
อ๋องสยบแดนเหนือซึ่งพยายามหลบหลีกสุดกำลังหยุดเคลื่อนไหว ก้มมองอึ้งๆ ไปที่รูขนาดใหญ่บนอก
กระบี่แทงทะลุหัวใจ
สิบปีแห่งวิญญาณนักปราชญ์ ตอนนี้ดับสูญแล้ว
อ๋องสยบแดนเหนือกรีดร้องโหยหวน ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส โดยยากที่จะจินตนาการถึงความทรมานที่ทำให้ทหารขั้นสามกรีดร้องออกมา บนอกมีรูขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการรักษา
ลมปราณขั้นสามสูงสุดของไหวอ๋องอ่อนกำลังลง
เขากลับมายุทธภพด้วยความมั่นใจ พยายามฆ่ายอดฝีมือทั้งสี่ด้วยมือของตนเอง ไม่คาดคิดว่าพลังหลังจากต่อสู้กับมดขั้นสี่ไม่กี่ตัวจะลดลงเพียงนี้
และมดเหล่านั้น…ทำให้อ๋องสยบแดนเหนือต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาแหงนมองท้องฟ้า คราวนี้เหลือเงาดำอยู่ไม่กี่ร่างเท่านั้น
เหล่ามดวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก
แม้อาการบาดเจ็บเหล่านี้จะฟื้นตัวได้อย่างมากก็ภายในครึ่งชั่วโมงก็ตาม แต่เขารอนานขนาดนั้นไม่ได้ จำต้องรีบประคอง ‘ตนเอง’ ขึ้นมา
…
หอดูดาว
ท่านโหราจารย์พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลองเดิมพันดูก็ได้ว่าสวี่ชีอันต้องใช้เวลานานเท่าใดในการฆ่าเจินเต๋อ”
สีหน้าซ่าหลุนอากู่มืดมน “เจ้าเชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
……………………………………………..
[1] ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา อุปมาอุปไมบุคคลหรือสิ่งของที่มีเพียงชื่อ ไร้ซึ่งประโยชน์แท้จริง
[2] ผ้ากาสาวพัสตร์ ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นคำเรียกผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่ม
[3] ผิวดุจทองแดง กระดูกดั่งเหล็กกล้า หมายถึงร่างกายแข็งแรงมาก
[4] ลมฤดูวสันต์พึงพอใจในเกือกม้า แสดงถึงความ อิ่มเอมใจ แสดงออกว่าพอใจอย่างเต็มที่ มีชีวิตชีวา
[5] น้ำมันเกลือไม่ซึม อุปมาถึงคนมีทิฐิ หัวแข็ง ดื้อรั้น
[6] จอหงวน ชื่ออันดับผู้สอบราชการได้คะแนนสูงสุด