ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 484 การต่อสู้ที่ดุเดือด
บทที่ 484 การต่อสู้ที่ดุเดือด
เมื่อเผชิญกับคำถามของซ่าหลุนอากู่ ท่านโหราจารย์ก็ยิ้มบางๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า
“ข้าเชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น”
ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์ของข้าคนนั้นไม่อวดดีเช่นเจ้า หากต้องการเปลี่ยนวิธีการเดิมพัน ข้าพนันได้เลยว่าวันนี้สวี่ชีอันจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย”
ท่านโหราจารย์แสดงท่าทีไม่คัดค้าน โดยพูดว่า “ของเดิมพันก็คือแส้ต้อนแกะในมือเจ้าชิ้นนี้ กับแผ่นความลับสวรรค์ของข้า”
ซ่าหลุนอากู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ย่อมได้!”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองดูเหมือนจะตั้งกฎที่ยากจะคาดเดาบางอย่างขึ้นจากการเดิมพันนี้
…
ร่างกายที่ทหารขั้นสามภาคภูมิใจ ถูกกระบี่แทงทะลุหัวใจ เนื้อที่บาดแผลบีบตัว ไม่สามารถสมานได้ในทันที
เป้าหมายของกระบี่ที่แหลมคมอยู่ที่การกัดกร่อนปราณชีวิตของเลือดเนื้อ ทำให้บาดแผลหายช้าลง
นักดาบฝีมือต่ำต้อยไม่เข้าขั้นคนหนึ่ง กลับสามารถแสดงเป้าหมายของกระบี่ได้น่าสะพรึงกลัวขั้นนี้ได้…ใบหน้าของไหวอ๋องกระตุก พยายามระงับความเจ็บปวด
มีทั้งความโกรธ ความริษยา และอยากจะฆ่าให้ตาย รวมถึงความหวาดกลัวที่ไม่อยากยอมรับเล็กน้อย
หากฉู่หยวนเจิ่นสามารถแทงกระบี่ที่สอง ที่สาม หรือมากกว่านั้น วันนี้เขาจะต้องล้มไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน
“เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ จอมยุทธ์ภิกษุแห่งวัดมังกรเขียว ฉู่หยวนเจิ่น และสาวป่าเถื่อนแห่งซินเจียงตอนใต้…” ไหวอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “รอให้ฆ่าสวี่ชีอันให้ตายก่อน พวกเจ้าอย่าได้คิดหนีแม้แต่คนเดียว แม้ต้องตามล่าจนสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะต้องฆ่าพวกเจ้าให้ได้” เขาแสดงความชั่วร้าย หมายจะแก้แค้นให้ได้
เขาไม่เสียเวลาไล่ฆ่า ‘มด’ สี่ตัวนี้อีกต่อไป รีบไปที่หนานย่วนทันที
…
หนานย่วนกลายเป็นสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวมานานแล้ว แผ่นดินเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ป่าเขาพังถล่ม ไฟลุกไหม้ป่า แต่ท้องฟ้ากลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำหนาทึบ อาจจะเกิดฝนตกหนักได้ทุกเมื่อ นี่ไม่ใช่เป็นเพราะการต่อสู้ของคนทั้งสองที่ทำลายความมั่นคงของธาตุแห่งฟ้าดิน ทหารไม่มีความสามารถยอดเยี่ยมขนาดนี้ ปรากฏการณ์ที่ผิดปกติเหล่านี้ ล้วนเกิดจากฝีมือของเจินเต๋อ ลัทธิเต๋าขั้นสองเรียกว่า ‘หนีไฟกรรม” จุดประสงค์ของการหนีไฟกรรมคือการรวบรัดร่างธรรม ร่างธรรมของลัทธิเต๋ามีธาตุสี่ประเภทคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ! ดังนั้น ยอดฝีมือลัทธิเต๋าในขั้นหนีไฟกรรมเข้าใจธาตุทั้งสี่ของฟ้าดินขั้นแรกแล้ว หากบำเพ็ญจนบรรลุขั้นหนึ่งเซียนครองพิภพ การเปลี่ยนธาตุของวัตถุต่างๆ ตามใจชอบเช่นการเปลี่ยนหินให้เป็นทองประเภทนี้ ก็จะทำได้ง่ายมาก
สวี่ชีอันติดอยู่ในสถานที่ที่วุ่นวาย ลมแรงปะทะใบหน้าเหมือนโดนมีดกรีด ค่อยๆ กัดกร่อนพลังเทพวชิระของเขา วงแหวนไฟพิเศษที่ด้านหลังศีรษะจวนจะถูกลมพัดจนดับแล้ว ภายในป่าเขารอบๆ พ่นเปลวไฟออกมาเป็นระยะ หมายจะหลอมละลายเขา แผ่นดินใต้ฝ่าเท้า แรงโน้มถ่วงของโลกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หมายจะทำให้เขาสูญเสียความปราดเปรียว แต่สิ่งที่ทำให้ปวดหัวที่สุดคือ แสงจากกระบี่ของคู่ต่อสู้ที่กวัดแกว่งไปมาเป็นสาย และกระบี่บินที่ฉวัดเฉวียนไปมาเหมือนลูกไฟ รวดเร็วฉับไวราวกับไฟฟ้า
การประสานกันระหว่างวิชากระบี่บินและกระบี่ใจของนิกายมนุษย์ รวมกันแล้วเป็นสิ่งทรมานที่สุด
หลังจากที่เสินซูฟื้นขึ้นมา พลังของจิตเดิมของคนทั้งสองก็รวมกันในระดับหนึ่ง ไม่กลัวการโจมตีจากจิตเดิมของเจินเต๋อเช่นเดิมอีกแล้ว แต่ก็ยังคงยากที่จะป้องกันการถูกก่อกวนเช่นเดิม หากถูกทหารติดตามใกล้ชิดต้องตายแน่ เช่นนี้ การเตรียมพร้อมขั้นสูงสุดของทุกระบบ มักจะมีวิธีรักษาชีวิตให้พ้นภัย
เทพเจ้าหยางของเจินเต๋อล่องลอยไปตามสายลมแรง ประเดี๋ยวก็ลอยไปข้างหน้า ประเดี๋ยวก็ถอยหลัง ราวกับภูตผีปีศาจ
“เจ้าทำได้แค่นี้เองหรือ?”
จักรพรรดิเจินเต๋อยืนต้านลม มองสวี่ชีอันที่อยู่ด้านล่าง หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า
“หากเจ้าทำได้แค่นี้ ข้าก็จะขอเป็นคนดีสักครั้ง โดยการส่งเจ้าไปพบกับเว่ยเยวียน”
ขณะที่พูด ก็มีร่างร่างหนึ่งลอยมาจากท้องฟ้า ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หน้าอกของเขามีรูขนาดใหญ่ที่น่ากลัว เลือดเนื้อค่อยๆ บีบตัวอย่างช้าๆ ยากที่จะสมาน กลิ่นอายสู้สวี่ชีอันยังไม่ได้ แล้วเสินซูเล่า
อ๋องสยบแดนเหนือ!
“น่าเสียดายที่ถูกมดบางตัวทำลายพลังต่อสู้ ไม่เช่นนั้น การฆ่าเจ้านั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”
ในขณะนี้ อ๋องสยบแดนเหนือและเจินเต๋อเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยมีไหวอ๋องขั้นสามเป็นผู้นำ พลังที่น่ากลัวสามารถรวบได้ทั่วโลก กลิ่นอายก็สั่นสะเทือนท้องฟ้าและทะลุก้อนเมฆ กวาดล้างไปถึงใต้พสุธา แผ่นดินส่งเสียงดังครั่นครืน
กษัตริย์แห่งเหยียนกั๋ว หนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย เป็นจุดสุดยอดของการฝึกระบบคู่ขั้นสี่ ได้ชื่อว่าเป็นขั้นที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากขั้นสาม
ถ้าเช่นนั้น จักรพรรดิเจินเต๋อทั้งบำเพ็ญและฝึกวิทยายุทธ์ไปพร้อมๆ กันจนอยู่ในขั้นสองควบขั้นสาม จะแข็งแกร่งเพียงใด
แข็งแกร่งพอที่จะอยู่ต่ำกว่าอันดับหนึ่ง จนแทบจะไร้เทียมทาน
หากสถานะของอ๋องสยบแดนเหนือไม่ตกจากขั้นสูงสุดของขั้นสาม คำว่า ‘แทบ’ คำนี้ ก็สามารถตัดทิ้งไปได้เลย
“ณ ที่นี้ ข้าไร้เทียมทาน!”
เจินเต๋อพูดด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าเขามีเจตนาร้ายลดน้อยลง สงบและเชื่อมั่นในตัวเอง ราวกับตนเป็นเทพเจ้าผู้สูงส่ง
‘ไร้เทียมทานงั้นรึ?’ สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก
…
พระราชวังในเวลานี้ เละเทะเหมือนข้าวต้ม
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดที่ถูกสวี่ชีอันทำให้ตกใจกลัวเหมือนสัตว์ก่อนหน้านี้ เดิมทีคิดจะหนีออกจากพระราชวัง แต่พวกเขาช้าไปหนึ่งก้าว เพราะประตูพระราชวังปิดสนิท มีทหารคอยรักษาการณ์ และไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกทั้งสิ้น
เหล่าขุนนางในเมืองหลวงพากันโกรธเคือง เดินเข้าไปถาม และตะคอกเสียงดัง
ทหารรักษาวังไม่ได้ใส่ใจ ถึงขนาดชักดาบออกมาข่มขู่เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร อย่างไรก็ตาม พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาทและสำนักราชเลขาธิการที่ให้เฝ้าประตูวัง
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดต่างจนใจ จำต้องกลับไปที่ตำหนักกระดิ่งทอง แต่กลับต้องพบกับความประหลาดใจว่า ที่นี่คลื่นลมสงบ ไม่มีเหตุใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
เหล่าขุนนางรวมตัวกันอยู่ที่พระตำหนักหลวงสีหน้าตะลึงงัน คนกระจุกเล็กกลุ่มนั้นดูไม่เหมือนคนที่มีอำนาจสูงสุดของราชสำนัก แต่เหมือนคนแก่ที่ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่เมืองชั้นนอกที่ไม่มีที่อยู่ ไม่มีลูกมากกว่า
“เกิดอะไรขึ้น แล้วฝ่าบาทเล่า แล้วสวี่ชีอันคนทรยศเล่า”
“ขุนนางทุกท่าน พวกท่านพูดมาสิ”
“ขุนนางทุกท่าน พวกท่านรีบพูดมาสิ”
ในเวลานี้ไม่มีเวลาสนใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดต่างกรูเข้าไปในตำหนัก
“ว่าอย่างไรนะ”
เจ้ากรม รองเจ้ากรมฝ่ายตรวจการ ขุนนางใกล้ชิด เป็นต้น รวมทั้งขุนนางชั้นสูงที่ผูกพันกับพระราชวงศ์และสมาชิกราชวงศ์ แม้กระทั่งคนพวกนี้ เวลานี้ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ไม่ใช่เพราะสวี่ชีอันเข้ามาสังหารถึงภายในวัง เจ้าสุนัขแซ่สวี่นั่นแม้แต่กั๋วกงยังกล้าฆ่า เขาจะก่อกบฏเมื่อไหร่ ทุกคนก็ไม่รู้สึกแปลก แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางสับสนจริงๆ ก็คือคำพูดของสวี่ชีอันประโยคหนึ่งที่ว่า ‘จักรพรรดิเจินเต๋อ’ และคำพูดประโยคหนึ่งของจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ว่า ‘เจ้ารู้ตัวตนของข้าจริงๆ’
‘ลูกก็คือพ่อ พ่อก็คือลูก’
“ฝ่าบาท จักรพรรดิพระองค์ก่อน…”
ฝ่ายตรวจการคนหนึ่งพึมพำว่า “ถูกส่งตัวออกไปจากวังพร้อมกับสวี่ชีอันแล้ว”
การหลั่งไหลเข้ามาของขุนนางในเมืองหลวง ทำลายความเงียบ เสียงกระซิบกระซาบดังหึ่งๆ เริ่มดังขึ้น สวี่ชีอันบุกเดี่ยวเข้าไปสังหารถึงในพระราชวัง ฟาดฟันทหารรักษาวังที่คอยขัดขวาง แล้วพาฝ่าบาทหายออกไปจากตำหนักกระดิ่งทอง
“จะรออยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องออกไปนอกวังเพื่อหาทางช่วยฝ่าบาท”
“แต่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พวกเรารออยู่ที่นี่”
“ไม่ ฝ่าบาททรงเป็นถึงจักรพรรดิของประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้ทหารรักษาพระองค์และทหารรักษาวังของพระราชวังอยู่รอคำสั่ง แล้วทรงไปสังหารศัตรูด้วยพระองค์เอง”
“รับสั่งนี้แปลกประหลาดจริงๆ ไม่สมเหตุสมผล…”
มีคนโง่ที่ไหน จะรอจนถึงการประชุมตอนเช้า
ในฝูงชน ฉินหยวนเต้าตะโกนเสียงสูง “ลายพระหัตถ์เป็นของปลอม เป็นของปลอม!”
เขาไม่สนใจขุนนางบุ๋น แต่ดูเหมือนมองไปทางปรมาจารย์และขุนนางชั้นสูง “รีบให้คนไปเปิดประตูเมือง ไประดมทหารรักษาวังทั้งห้ากองพันให้ไปหาทางช่วยเหลือฝ่าบาท”
ไม่ว่าลายพระหัตถ์จะเป็นของจริงหรือของปลอม ฉินหยวนเต้าก็จะสันนิษฐานว่ามันเป็นของปลอม สำหรับเขาแล้ว พระชนม์ชีพของฝ่าบาทสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เพราะหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับฝ่าบาท เขาก็จะอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน ดังนั้น การปลุกระดมกองกำลังและทหารให้ออกไปช่วยเหลือฝ่าบาทจึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าลายพระหัตถ์นั้นฝ่าบาทจะทรงเป็นผู้ทิ้งไว้จริงๆ เวลานี้เขาก็ไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาด
ฉินหยวนเต้าจ้องมองบรรดาขุนนางชั้นสูงอย่างดุดัน “ความดีความชอบในการอารักขา พวกเจ้าไม่ต้องการหรอกหรือ?”
เหล่าขุนนางชั้นสูงและสมาชิกราชวงศ์เริ่มเอนเอียง
ทันใดนั้น ก็มีคนเดินออกมาจากตำหนักกระดิ่งทอง เดินข้ามลานกว้าง ข้ามสะพานจินสุ่ย แล้วเดินไปที่ประตูอู่
ประตูอู่ถูกปิดอย่างแน่นหนา เหล่าทหารรักษาวังก็ขนย้ายเครื่องกีดขวางมาเพื่อขวางทาง
ลุงคนหนึ่งเดินก้าวยาวเข้ามาพลางตะโกนว่า “รีบเปิดประตูเร็วๆ ระดมกำลังคนไปช่วยฝ่าบาทพร้อมกับข้าและคนอื่นๆ”
ทหารรักษาวังไม่สนใจ พวกเขาฟังแต่คำสั่งของจักรพรรดิ ลายพระหัตถ์ที่ประทับตราพระราชลัญจกรและตราประทับของฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีผลบังคับมากกว่าใครๆ
ลุงอีกคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาท่าทางดุดัน “เปิดประตู!”
ทหารรักษาวังยังคงไม่สนใจ และยังจับด้ามมีดแน่น
จวิ้นอ๋องท่านหนึ่งชี้หน้าถลึงตากล่าวว่า “ยังไม่รีบเปิดประตูอีก”
เมื่อสมาชิกราชวงศ์เข้าร่วม บรรดาทหารรักษาวังก็เริ่มหวั่นไหว พูดแก้ตัวว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ใครออกไปทั้งนั้น”
“คนชั่วช้า นั่นมันจดหมายปลอม ฝ่าบาทถูกคนทรยศสวี่ชีอันส่งตัวออกจากพระราชวังไปแล้ว หากยังไม่เปิดประตูเมืองอีก หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับฝ่าบาท พวกเจ้าจะต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตร”
ฉินหยวนเต้ายืนขึ้น แล้วพูดขู่
ทหารรักษาวังที่อยู่หลังเครื่องกีดขวางต่างมองหน้ากัน หวั่นไหวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
…
นอกฝูงชน สมุหราชเลขาธิการหวางมองทุกคนที่อยู่รอบตัว แล้วพูดเรียบๆ ว่า
“องค์รัชทายาท ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องทรงออกหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาททรงหรี่พระเนตร มองไปที่ประตูอู่ที่วุ่นวาย ก่อนส่ายพระพักตร์แล้วตรัสว่า “ขุนนางทุกท่าน ประตูเมืองจะเปิดเร็วๆ นี้ ทหารรักษาวังจะไปช่วยเสด็จพ่อกลับมา”
สมุหราชเลขาธิการหวางพูดเบาๆ “ข้าบอกให้เจ้าไปปิดประตู ใครก็ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น”
องค์รัชทายาททรงตกพระทัย ทรงตรัสเสียงดังว่า “ท่านสมุหราชเลขาธิการ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”
“องค์รัชทายาทคงรู้ว่าฝ่าบาทไม่ได้ประทับอยู่ในวังแล้ว”
“รู้”
“องค์รัชทายาทคงรู้ว่าสวี่ชีอันต้องการปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิและวางแผนกบฏ”
“ฮึ่ม เจ้าหมอนี่ใจกล้ายิ่งนัก”
“องค์รัชทายาทไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อองค์รัชทายาททรงได้ยินเช่นนี้ ก็ทรงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ทรงทอดพระเนตรสมุหราชเลขาธิการหวางเหมือนทอดพระเนตรคนบ้า
“ฝ่าบาททรงมีพระชนมายุมากกว่าห้าสิบพรรษาแล้ว มีพระเกศาดกดำ มีทักษะในการบำเพ็ญธรรมสมบูรณ์แบบ ส่วนองค์รัชทายาท ปีนี้ชันษายี่สิบหกพรรษา ขืนรออีกต่อไป ก็จะสูญเสียวัยหนุ่มไปโดยเปล่าประโยชน์ จะต้องรอถึงเมื่อไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
สมุหราชเลขาธิการหวางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสิบกว่าปีแล้ว หรือว่าทรงผูกพันกับตำแหน่งนี้แล้วหรือ ฝ่าบาทในเวลานี้ประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญธรรม ช่วยให้ทรงมีอายุยืนยาว พระองค์ทรงอยู่ในตำหนักบูรพาปีแล้วปีเล่า ทรงมีความหวังบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ
“ตำแหน่งองค์รัชทายาท พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งมาสิบกว่าปีแล้ว หากดำรงตำแหน่งต่อไปอีกสักสิบปี พระองค์จะยังทรงมีโอกาสอยู่หรือไม่ แม้ว่าจะทรงขึ้นครองราชย์ในอนาคต พระองค์จะทรงประทับบัลลังก์มังกรได้อีกกี่ปี
“คำพูดจากใจของกระหม่อม หากเป็นการล่วงเกิน ก็เป็นการคิดเพื่อองค์รัชทายาททั้งสิ้น พระองค์ทรงคิดทบทวนดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ขององค์รัชทายาทเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ริมพระโอษฐ์อ้ำอึ้ง แววพระเนตรแสดงความปีติยินดี มีทั้งความตื่นเต้น ความงุนงง ความหวาดกลัว ความหวาดหวั่น และความเดือดดาล…ความซับซ้อนของแววพระเนตรนั้นน่ากลัวยิ่งนัก
ดูเหมือนพระองค์จะทรงตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว กัดพระทนต์จิตใจมุ่งมั่น แล้วทรงพระดำเนินเดินไปที่ประตูอู่อย่างรวดเร็ว
“ทุกคนหุบปาก!”
องค์รัชทายาททรงตะโกนดุดัน เพื่อตัดบทการรุกรานของขุนนางชั้นสูงและสมาชิกราชวงศ์ พร้อมกับให้เหล่าทหารรักษาวังลดน้ำเสียงลง
ทุกคนต่างมองมา สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่องค์รัชทายาท
หากก้าวนี้ก้าวผิดไป บางที่อาจจะไม่อาจหวนคืนมาได้อีก…เมื่อนึกถึงตรงนี้ องค์รัชทายาทก็ทรงกัดพระทนต์แน่นยิ่งขึ้น และทรงตรัสเสียงหนักแน่นว่า
“พวกเจ้ารวมตัวกันที่ประตูอู่ ไม่เข้าท่าเสียเลย เสด็จพ่อทรงมีรับสั่ง ใครก็ห้ามออกจากวัง”
ฉินหยวนเต้ารีบพูดว่า “องค์รัชทายาท ลายพระหัตถ์นั่นเป็นของปลอม”
ดวงพระเนตรขององค์รัชทายาทเฉียบขาด “บัดซบ เส้นลายพระหัตถ์ของเสด็จพ่อ ขุนนางทุกท่านจำไม่ได้หรืออย่างไร ตราราชลัญจกรก็จำไม่ได้เช่นกันหรืออย่างไร”
เมื่อมองไปที่องค์รัชทายาท เหล่าขุนนางก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่มีใครพูดอีกต่อไป ต่างคนต่างรู้อยู่แก่ใจ
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงบำเพ็ญธรรมเป็นเวลายี่สิบปี มีกี่คนที่เคยแอบหวังอยู่ในใจว่าจะมีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์?
…
ในเมืองหลวง แม้จะปิดประตูเมืองแล้ว สำหรับชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองนั้นมีผลกระทบไม่มากนัก แต่กลับเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนอกประตูเขตพระราชฐานในเช้าวันนี้ต่างหาก ที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริด และจำได้เป็นอย่างดี
ฆ้องเงินสวี่โยนหัวคนข้ามเขตพระราชฐาน บุกเดี่ยวเข้าไปสังหารถึงในพระราชวัง
และคำพูดที่เขาตะโกนออกมาก่อนหน้านี้ ประโยคที่ว่าวลีที่ว่า ‘ความโกรธของชายผู้หนึ่ง จะทำให้เลือดกระเซ็นเป็นทางยาวห้าก้าว ทุกคนในใต้หล้าจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์’ ก็ได้ถ่ายทอดออกไปปากต่อปากแล้ว
‘กษัตริย์ที่ไร้คุณธรรม ตัดเสบียงอาหารและหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงม้าของกองกำลังหนึ่งแสนนาย ร่วมกันใส่ร้ายขุนนางผู้จงรักภักดี ต้าฟ่งมีกษัตริย์ที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ เหตุไฉนความทุกข์จึงไม่หมดสิ้นเสียที’
“นี่ นี่ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อฆ้องเงินสวี่ แต่พวกเจ้าต้องรู้ว่า เว่ยเยวียนเป็นหัวหน้าของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ฆ้องเงินสวี่เป็นคนประเภทที่ป้ายความผิดให้องค์จักรพรรดิเพราะความแค้นส่วนตัว?”
“ถูกต้อง ในเมื่อฆ้องเงินสวี่พูดเช่นนี้ นั่นย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน”
โดยส่วนใหญ่แล้ว ชาวบ้านยังคงเชื่อใจสวี่ชีอัน คดีที่ราชสำนักและจักรพรรดิหยวนจิ่งสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่จักรพรรดิอย่างไรก็ยังคงเป็นจักรพรรดิ เป็นกษัตริย์ของประเทศ สถานะสูงส่งและต้าฟ่งทั้งหมดก็เป็นของพระองค์ จักรพรรดิทรงลอบติดต่อกับประเทศคู่ปรปักษ์ มันช่างไม่สมเหตุสมผล และยากที่จะทำให้คนเชื่อถือจริงๆ
“หลังจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก พวกเรารออยู่นอกเมืองอย่างทรมานเป็นเวลานาน ได้เห็นเพียงประตูเมืองปิด และไม่เห็นฆ้องเงินสวี่อีกเลย”
“หลังจากที่ฆ้องเงินสวี่เข้าไปสังหารถึงในพระราชวังแล้ว ก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย คงจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับเขาหรอกนะ”
“มาจับตามองความเปลี่ยนแปลงกันเถิด แม้ว่าข้าจะเชื่อใจฆ้องเงินสวี่มาก แต่เรื่องนี้ก็ใหญ่เกินไป รอดูตอนต่อไปแล้วกัน…ข้ายังคงไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะทรงทำเรื่องเช่นนี้ พระองค์ทรงเป็นถึงจักรพรรดินะ”
ในตลาด ภัตตาคาร และหอนางโลม ทุกที่ที่มีผู้คน ต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องนี้กัน
คนที่เชื่อมี คนที่ไม่เชื่อก็มี
ต่างกำลังเฝ้ามองดู รอคอยความจริง
…
เจินเต๋อไม่ต้องกลัวการต่อสู้ระยะใกล้กับสวี่ชีอันอีกต่อไป สายลมแรงที่พัดอย่างบ้าคลั่งได้ช่วยเร่งความเร็วให้เขา ภาพลวงตายังคงอยู่ แต่ร่างได้มาถึงข้างหลังสวี่ชีอันแล้ว
ลางสังหรณ์ของชาวยุทธ์ ทำให้สวี่ชีอันสังเกตเห็นความผิดปกติที่อยู่ข้างหลัง แต่วิญญาณของจักรพรรดิเจินเต๋อที่เร็วกว่าที่เขาจะส่งเสียงคำราม
อาวุธเวทมนตร์สิบกว่าชิ้น ได้รับความเสียหายระหว่างการต่อสู้จนแทบไม่เหลือ เขาทำได้เพียงใช้วิธีดั้งเดิมนี้ คือการใช้จิตเดิมในการโจมตีทหารที่หยาบช้าคนนี้
ทหารถูกทหารจิตขั้นสองหนีไฟกรรมโจมตี จึงตกอยู่ในภาวะหยุดนิ่งชั่วขณะ
หมัดไร้เทียมทานของอ๋องสยบแดนเหนือระเบิดขึ้น ทุบลงไปที่หน้าอกของสวี่ชีอันอย่างแรง
‘ตึง!’
ระหว่างท้องฟ้าและพื้นดินเกิดเสียงดังสนั่น
สวี่ชีอันนั้นลอยกลับหัวออกไป ระหว่างทางได้ยื่นฝ่ามือออก เล็งไปที่จักรพรรดิเจินเต๋อที่กำลังไล่ตามสังหารเขา และพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!”
ไม่เป็นผล
“กลับใจยังมีทางเดินต่อ!”
ไม่เป็นผล
“มีจิตเมตตา!”
ไม่เป็นผล
ศีลของศาสนาพุทธใช้กับยอดฝีมือขั้นสองของลัทธิเต๋าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
เสินซูเป็นเพียงแขนขาดข้างหนึ่ง วรยุทธ์ของสำนักพุทธที่ใช้ได้นอกจากศีลแล้วก็มีน้อยมาก โดยเฉพาะการบรรลุอรหันต์ ร่างธรรมของพุทธศาสนาพวกนี้ เขาไม่มีความรู้เลย อย่างน้อยแขนข้างนี้ก็ใช้ไม่เป็น
‘เช้ง เช้ง!’
แสงของดาบสองสายฟันลงมาบนตัวของสวี่ชีอันเกิดเป็นประกายไฟทันที แต่อานุภาพไม่มากนัก เพราะเป็นกระบี่ใจ
หัวใจสังหารวิญญาณ
แต่ครั้งนี้ กระบี่ใจไม่เกิดผล เพราะสวี่ชีอันพนมมือ แล้วนั่งขัดสมาธิในขณะที่ลอยกลับหัว
ขั้นหกสำนักพุทธฉานซือ!
เมื่อลาหัวโล้นของสำนักพุทธทำท่านี้ ก็จะไม่มีอะไรทำลายพวกเขาได้
นั่งสมาธิ
เจินเต๋อใกล้เข้ามาราวกับภูตผีปีศาจ กดศีรษะของสวี่ชีอันไว้ ระหว่างที่คนหนึ่งผลักคนหนึ่งถอย ทิวทัศน์รอบๆ กลายเป็นภาพหลอน และในช่วงเวลาหนึ่ง หลังของสวี่ชีอันก็ชนเข้ากับวัตถุแข็ง
นั่นคือกำแพงเมือง
เจินเต๋อกดศีรษะของเขา แล้วผลักเขากลับไปที่เมืองหลวง
กำแพงเมืองทั้งเมืองสั่นสะเทือน ตัวกำแพงมีลวดลายสว่างไสวขึ้น ต้านแรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว
ในบริเวณชายแดนและกำแพงเมืองยังมีค่ายกล นับประสาอะไรกับเมืองหลวง
‘ตึง!’
สวี่ชีอันใช้หัวชน ทำให้จักรพรรดิเจินเต๋อลอยออกไป
เจินเต๋อถอยกรูด ฮึดสู้อย่างฮึกเหิม
ครั้งก่อนที่ฉู่โจว คนคนนี้กลืนกินยาโลหิตไปหนึ่งในสี่เม็ด และใช้เคล็ดลับในการเผาไหม้แก่นโลหิต เพื่อเพิ่มพลังเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสอง
ครั้งนี้ไม่มียาโลหิตให้เขาเผาไหม้แล้ว เว้นแต่เผาไหม้แก่นโลหิตของคนแซ่สวี่เท่านั้น
แต่เขาสามารถเลือกที่จะล่าถอย แล้วใช้ประโยชน์จากความเป็นต่อของวรยุทธ์ลัทธิเพื่อประลองฝีมือกับเขา และรอจนสวี่ชีอันใช้แก่นโลหิตจนหมด แล้วค่อยกลับมาเก็บหัวเขา
สถานการณ์ในฉู่โจว ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
นอกจากนี้ แม้ว่าสิ่งชั่วร้ายใต้ทะเลสาบซังผอตนนี้จะเป็นคนของสำนักพุทธ ทว่ามันไม่มีความสามารถที่เป็นส่วนสำคัญที่แท้จริงของสำนักพุทธ (การบรรลุอรหันต์ ร่างธรรมของพระโพธิสัตว์) แต่สวี่ชีอันเป็นเพียงทหาร ความสามารถของทั้งสองคนนั้นมีความซ้ำซ้อนกัน
มองในทางกลับกัน เขามีทั้งวรยุทธ์และการบำเพ็ญเต๋า เป็นระบบคู่ที่สมบูรณ์แบบ
แสงดาบฟาดลงบนร่างของเขาเป็นสายทำให้เกิดประกายไฟเจิดจ้า แต่ร่างกายของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน แม้แต่เพลงดาบของนิกายมนุษย์ก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้มากนัก
หลังจากที่เจินเต๋อโดนหัวชนจนลอยออกไปแล้ว ก็ไม่ได้หวนกระโจนกลับมาสังหารทันที
เขาชี้นิ้วสองนิ้วเหมือนดาบ แล้วชี้ดาบขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดว่า “กระบี่บิน!”
ทันใดนั้น เสียงสั่นสะเทือนดังหึ่งๆ ดังออกมาจากในเมือง ราวกับมีฝูงตั๊กแตนกรูกันเข้ามา
ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองยังคงตกอยู่ในภวังค์กับเหตุการณ์ ‘แผ่นดินไหว’ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อครู่ จึงมองลงไปอย่างกล้าหาญ ที่แท้ฆ้องเงินสวี่กำลังต่อสู้กับคนอื่น
คู่ต่อสู้คือชายวัยกลางคนที่เปลือยท่อนบน มีกล้ามเป็นมัดๆ พลทหารระดับล่างๆ ไม่เคยเห็นไหวอ๋องมาก่อน ดังนั้นจึงจำเขาไม่ได้
ในเวลานี้ เมื่อได้ยินเสียง ‘หึ่งๆ’ พอหันไปมอง ก็ต้องตะลึงงันทันที
ในเมือง มีกระบี่เหล็กลอยอยู่ในท้องฟ้า มุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่นอกเมือง
พวกมันมีจำนวนมหาศาลดุจฝูงตั๊กแตน มิอาจประมาณได้
“เทพ เทพเจ้า…”
เหล่าพลทหารเงยหน้าพึมพำ
ในเมืองหลวงไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ มีคนสังเกตเห็นพลังปราณเคลื่อนไหวอยู่นอกเมืองตั้งนานแล้ว จนกระทั่งภาพที่กระบี่มากมายลอยอยู่เหนือท้องฟ้าปรากฏขึ้น คนเหล่านั้นก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ต่างลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทั่วทุกที่ บ้างก็กระโจนอยู่บนหลังคา มุ่งหน้าสู่เมืองชั้นนอก
ในบรรดายอดฝีมือที่ถูกดึงดูดโดยการต่อสู้เหล่านี้ มีส่วนน้อยที่มาจากเมืองชั้นนอก ส่วนใหญ่จะมาจากเมืองชั้นในและเขตพระราชฐาน
‘เขาเจตนาผลักข้ากลับเมืองหลวง เพราะต้องการให้ทหารรักษาวังห้ากองพันแสดงฝีมือ และเพิ่มโอกาสในการชนะ?’ ใบหูของสวี่ชีอันกระดิกเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงสั่นสะเทือนดังหึ่งๆ ของ ‘อาวุธเหล็ก’
ดาบนับหมื่นเคลื่อนผ่านท้องฟ้า มุ่งหน้าไปรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิหยวนจิ่ง พวกมันเป็นเหมือนทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ต่างกลับสู่ตำแหน่งของตน บางส่วนกลายเป็นด้ามกระบี่ บางส่วนกลายเป็นตัวกระบี่ และบางส่วนกลายเป็นปลายกระบี่…
ดาบยักษ์ที่มีความยาวหกสิบจ้าง กำลังค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
ชาวบ้านในเมืองชั้นนอก เพียงแค่เงยหน้า ก็สามารถมองเห็นกระบี่ยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวโผล่ขึ้นมาครึ่งท่อนบนกำแพงเมืองที่อยู่ระยะไกล
บนกำแพงเมือง ทหารทุกคนไม่สนใจกฎระเบียบ ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองด้วยความเชี่ยวชาญ ยืนดูฉากนี้อยู่บนทางม้า
พวกเขาถูกดาบยักษ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้จิตใจหวาดหวั่น จากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ว่า ลองดูซิว่ามันศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน จึงมีอภินิหารเช่นนี้
ไม่ดูก็ไม่เป็นไร แต่พอดูแล้ว ก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสี
“ไหวอ๋อง?!”
“อ๋องสยบแดนเหนือ!”
เสียงร้องเรียกด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นทั่วทุกทิศ
ในเวลานี้ มีทหารตามมามากยิ่งกว่าเดิม และปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ต่างได้ยินเสียงร้องเรียกด้วยความหวาดกลัว
ไหวอ๋อง? ไหวอ๋องตายแล้วไม่ใช่หรือ เขาตายตั้งแต่เกิดคดีการสังหารหมู่ที่ฉู่โจว
ผู้คนที่มาภายหลังลงมาบนทางม้าด้วยความสงสัย กระเถิบชิดเชิงเทิน แล้วมองลงไปที่บุคคลที่อยู่ใต้กระบี่ยักษ์
“ไหวอ๋อง?!”
ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด
“เป็นไหวอ๋องจริงหรือ หรือมีคนปลอมตัวมา ทำไมจึงต่อสู้กับฆ้องเงินสวี่ แล้วทำไมฆ้องเงินสวี่จึงกลายเป็นแบบนี้ ช้าก่อน ฆ้องเงินสวี่สามารถต่อสู้กับไหวอ๋องได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” มีคนพูดตะกุกตะกัก
สวี่ชีอันตัวดำไปทั้งตัว มีวงแหวนไฟลอยอยู่ที่ด้านหลังศีรษะของเขา ท่าทางเคร่งขรึมดุดัน ราวกับเทพเจ้าและปีศาจ
หากไม่เห็นดาบเล่มนั้นและใบหน้านั้น ก็คงไม่มีใครจำเขาได้
ผู้คนรอบตัวเขายังคงนิ่งเงียบ ไม่สามารถตอบได้ ไม่ว่าจะเป็นไหวอ๋องตัวจริงหรือตัวปลอม หรือการที่ฆ้องเงินสวี่ต่อสู้กับไหวอ๋องอย่างเหนือความคาดหมาย คำถามเหล่านี้ล้วนเกินความสามารถอย่างชัดเจน
ในเวลานี้ มีทหารขั้นสูงที่มาจากเขตพระราชฐานหลายนาย แขกของจวนชนชั้นสูงบางส่วน กระซิบกระซาบกันว่า
“ลืมไปแล้วหรือ เช้าวันนี้ฆ้องเงินสวี่ประณามฝ่าบาท และประกาศว่าทุกคนในใต้หล้าจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์ เขาจะก่อกบฏ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าทหารที่ไม่รู้ความจริงต่างมองหน้ากัน
“อ้อ มีเรื่องแบบนี้ด้วย ข้าไม่เชื่อคำพูดของฆ้องเงินสวี่ แต่เมื่อเห็นไหวอ๋องตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจขึ้นมาทันที”
“ได้ยินใต้เท้าของข้าบอกว่า วันนั้นไหวอ๋องถูกยอดฝีมือลึกลับแยกชิ้นส่วนศพ ตายอย่างชัดเจน”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เว่ยกงเสียชีวิตในสนามรบ ฆ้องเงินสวี่ก่อกบฏ และไหวอ๋องเข้าสิงร่างตัวเอง…”
“ถามตรงๆ เลยสิ!”
มีคนพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็หมอบตัวลงบนเชิงเทิน แล้วตะโกนลงไป
“ฆ้องเงินสวี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ และคนที่ต่อสู้กับเจ้าคือใครกัน เป็นไหวอ๋องจริงๆ หรือ ที่เจ้าพูดที่ประตูเขตพระราชฐานเมื่อเช้านี้ เป็นความจริงหรือไม่”
…………………………………………….