ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 485 สังหารจักรพรรดิ (1)
บทที่ 485 สังหารจักรพรรดิ (1)
ทหารผู้นั้นอาจคิดว่าตนเองมีฐานการฝึกฝนที่ดี ตนเองก็นับว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ต่อให้ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ในระดับขั้นนี้ได้ แต่ก็ยังสามารถพูดได้กระมัง?
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมา
เจินเต๋อหรี่ตามองทหารผู้นั้นที่อยู่ขั้นห้าเป็นอย่างน้อย แต่จู่ๆ ร่างของทหารที่โผล่ศีรษะออกมาและตะโกนถามเสียงดังผู้นั้นก็ตกลงมาจากกำแพงเมือง จิตเดิมดับสูญ ตายอย่างเงียบเชียบ โดยไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
เกิดความเงียบสงัดไปทั่วทั้งกำแพงเมือง ไม่ว่าจะเป็นพลทหารทั่วไปก็ดี หรือทหารที่เข้าร่วมสงครามอันอึกทึกนี้ก็ดี ทุกคนต่างก็ล่าถอยออกไปตามๆ กัน พลางมอง ‘ไหวอ๋อง’ ด้วยความตื่นตระหนก แต่ในวินาทีต่อมาก็ต้องละสายตาไปทางอื่น เพราะไม่กล้าดึงดูดความสนใจของร่างอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ด้วยความกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นแมลงตัวที่สองที่ต้องตายอย่างเงียบเชียบ
“สวี่ชีอัน เจ้าประกาศตนว่าทำเพื่อประชาชนไม่ใช่รึ เจ้าเป็นศีลธรรมของต้าฟ่งไม่ใช่รึ เจ้าคือคนที่ได้รับความนิยมมากกว่าราชสำนักไม่ใช่รึ?”
สายตาอันเฉียบแหลมของจักรพรรดิเจินเต๋อ เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียดชัง และดูถูกเหยียดหยาม เขาถือดาบยักษ์ที่มีความยาวกว่าหกสิบจั้ง พลางกล่าวตะโกนว่า “หากเจ้ากล้าหลบดาบนี้ ก็จะได้รู้กันว่า เพียงข้าตวัดดาบนี้เพียงครั้งเดียว จะมีคนตายในเมืองหลวงมากเท่าใด?”
เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบของคดีสังหารหมู่ ยังคงเป็นหนามในใจที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ของเจินเต๋อมาโดยตลอด เขาวางแผนเพื่อกลั่นยาโลหิตและยาวิญญาณมาหลายปี แต่ผลสุดท้ายกลับถูกผู้อื่นทำลายลง ร่างอวตารของไหวอ๋องก็ตายในฉู่โจว ขโมยไก่ไม่ได้ ซ้ำยังเสียข้าวสารอีกกำมือ
สำหรับ ‘เต๋ามาร’ ผู้นี้ ที่ส่งเสริมให้เกิดผลกระทบอันร้ายแรง ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สวี่ชีอันยังบุกไปที่ประตูอู่ และตัดหัวกั๋วกง ซึ่งเป็นเหมือนการตบหน้าเขาผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิอย่างดุเดือดต่อหน้าประชาชน ถูกบุคคลตัวเล็กๆ เช่นนี้ตบหน้า ต้องรู้สึกเช่นไร?
ต่อมา ท่านโหราจารย์ จ้าวโส่ว เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารก็บีบบังคับให้เขาออกกฤษฎีกาต้องโทษ เขาจึงถูกเหยียบย่ำใบหน้าอย่างร้ายแรงอีกครั้ง
ไม่ว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองลึกเพียงใด ต่างก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธอย่างขีดสุด
นอกจากนี้ เขาไม่เคยปกปิดความคิดอันชั่วร้ายของตนเอง เช่นเดียวกับเต๋ามารนิกายปฐพี เพราะจักรพรรดิเจินเต๋อเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้ายโดยเนื้อแท้
“เจ้าจะลองขัดขวางการหลอมจิตวิญญาณดาบของข้าก็ย่อมได้ แต่เจ้าไม่มีทางไล่ตามข้าทันอย่างแน่นอน” จักรพรรดิเจินเต๋อหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอันบ้าระห่ำอีกครั้ง “เจ้าจะหนีไปก็ได้!”
ในระหว่างที่พูด ก็มีดาบเหล็กหลายเล่มกวัดแกว่งไปทั่วท้องฟ้า และผสานเข้ากับดาบยักษ์เล่มนั้น พลังของมันทวีความรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
พลทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองตัวสั่นไปทั้งร่าง พลางอุ่นเครื่องปืนใหญ่และบรรจุกระสุนด้วยมือที่สั่นเทา แต่ผู้บังคับบัญชาการกลับขัดขวางพวกเขา ด้วยการตะโกนเสียงแข็งว่า “วิ่ง!”
บุคคลที่เป็นเหมือนเทพเจ้าเช่นนี้ จะใช้ปืนใหญ่จะจัดการได้อย่างไร
ในชั่วพริบตาเดียว เหล่าพลทหารต่างก็กระจัดกระจายออกไปที่กำแพงเมืองทั้งสองด้านด้วยความแตกตื่น บัดนี้กำแพงเมืองที่อยู่ด้านหลังสวี่ชีอันมีเพียงความว่างเปล่า
ดาบยักษ์ขนาดหกสิบจั้งเต็มไปด้วยอำนาจอันทรงพลัง ปราณกระบี่พุ่งทะยานทะลุท้องฟ้า ซึ่งปราณกระบี่ที่ถูกหลอมรวมในนั้น เป็นฝีมือของยอดฝีมือนิกายมนุษย์ขั้นสองท่านหนึ่ง ที่ได้รวบรวมด้วยพลังทั้งหมดของเขา หากดาบยันต์ของลั่วอวี้เหิงเป็นดาบติดมือของนิกายมนุษย์ขั้นสอง เช่นนั้น ดาบเล่มนี้ของเจินเต๋อก็เป็นยอดฝีมือขั้นสองของนิกายมนุษย์ ผู้ซึ่งสะสมความแข็งแกร่งไว้ในดาบมาช้านาน
เหตุผลที่จักรพรรดิเจินเต๋อเรียกดาบเหล็กมาจำนวนมาก ก็เพราะอาวุธธรรมดาไม่สามารถต้านทานเจตนาดาบอันมหึมาของเขาได้ ซึ่งก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้
ในดาบนี้ ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยปราณกระบี่อันรุ่งโรจน์เท่านั้น แต่ยังมีพลังของกระบี่ใจในการตัดขาดจิตเดิมอีกด้วย แม้ว่าสวี่ชีอันจะผนึกกำลังกับเสินซู จนพลังปราณเดือดพล่านจนถึงระดับสูงสุดของขั้นสาม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือลัทธิเต๋าขั้นสาม ผู้ฝึกฝนดาบนิกายมนุษย์ที่มีทักษะในการฆ่าโจมตีและแข็งแกร่งในด้านศิลปะการต่อสู้ เขาก็รู้สึกถึงการถูกคุกคามและแรงกดดันอันมหาศาล
หากใช้ดาบนี้อย่างหนักหน่วง กายเนื้ออาจจะยังอยู่ แต่จิตเดิมสาบสูญไปแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาสามารถหนีไปได้ แต่จักรพรรดิเจินเต๋อใช้ประชาชนในเมืองมาข่มขู่ และบีบบังคับให้เขารับดาบ
นี่เป็นที่มาของการที่เจินเต๋อผลักดันให้เขาออกไปนอกเมืองหลวง หากรับ ก็ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานจากดาบเล่มนี้ หากไม่รับ ไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียง แต่หัวใจแห่งวิทยายุทธ์ของสวี่ชีอันจะต้องเปื้อนฝุ่น ยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาบริสุทธิ์อย่างแน่นอน
สวี่ชีอันค้นหาวิธีการของตัวเองในใจภายใต้แรงกดดันมหาศาล สำนักพุทธทรงศีลใช้ไม่ได้ผลกับเจินเต๋อ เว้นแต่เขาจะเป็นสำนักพุทธขั้นสองหรือขั้นหนึ่งเช่นกัน ทักษะการนั่งเข้าฌานย่อมไม่สามารถสกัดกั้นดาบนี้ได้อย่างแน่นอน
วรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อก็ไม่สามารถใช้การได้ หากใช้วิธีลั่นประกาศิตสลายดาบเล่มนี้ การสะท้อนกลับหลังจากเรื่องนี้ ก็คงไม่น้อยกว่าการยอมรับดาบเล่มนี้มากนัก
ท่านโหราจารย์ก็ไม่ลงมือ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกซ่าหลุนอากู่ครอบงำแล้วจริงๆ ถึงแม้จะพูดว่า ท่านโหราจารย์จะได้เปรียบในการเป็นเจ้าถิ่น เพราะกายอยู่ในเมืองหลวง แต่ซ่าหลุนอากู่คือยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี แม้จะเอาชนะท่านโหราจารย์ในต้าฟ่งไม่ได้ แต่การรั้งตัวเขาไว้สักพักก็ไม่ใช่ปัญหา
ดาบเหล็กเล่มสุดท้ายผสานเข้าด้วยกัน ในที่สุดเจินเต๋อก็รวบรวมจิตวิญญาณดาบได้อย่างสมบูรณ์ นิ้วดาบของเขาสั่นเล็กน้อย ราวกับแม้แต่ตนเองก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังมหาศาลนี้ได้
ชีวิตกว่าสามล้านชีวิตทั่วทั้งเมื่อหลวง ล้วนจิตใจกระสับกระส่าย เมื่ออยู่ภายใต้จิตวิญญาณอันน่าเกรงขามของดาบนี้
นี่คือยอดฝีมือขั้นสอง ผู้ดุจดั่งความยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์
“ฆ่ามัน!”
เจินเต๋อแผดเสียงคำรามดังสนั่น ความปลื้มปีติยินดีฉายชัดบนใบหน้า นิ้วดาบกำลังควบคุมดาบยักษ์ด้วยความพยายามอย่างเต็มกำลัง
สวี่ชีอันเบิกตากว้าง เมื่อเห็นดาบกำลังพุ่งลงมาจากท้องฟ้า เขาก็ก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว พลางแบมือออก และคำรามว่า “ดาบจงมา!”
ลำแสงจากฟากฟ้าแผดเสียงดังก้องไปทั้งแผ่นดิน มันเคลื่อนตัวราวกับดาวตกซึ่งถูกล้อมรอบด้วยชั้นเมฆอันปั่นป่วน
‘ดาบสลักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์’
สมบัติชิ้นแรกของลัทธิขงจื๊อ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เคยใช้มันสลักคัมภีร์ลงบนตำราม้วนไม้ไผ่ทีละตัวอักษร ซึ่งตกทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นมานับช้านาน
ดาบสลักสั่นสะเทือนหึ่งๆ ด้วยความปีติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่ปรากฏตัวเหมือนตอนที่ปฏิบัติงานราชการเมื่อสองครั้งก่อนอีกต่อไป ครั้งนี้ ดาบสลักมีความผันผวนทางอารมณ์อย่างรุนแรง มันกำลังยินดี มีความสุข และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ราวกับมันได้กลับคืนสู่มือเจ้าของอีกครั้ง
สวี่ชีอันกระชับดาบสลักแน่น ดวงตาทั้งสองข้างฉายแสงอย่างชัดเจน เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกก้าว พลางตวัดดาบสลักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ไปข้างหน้า
ปราณกระบี่และจิตดาบปะทะกันที่เบื้องหน้า แต่ก่อนการปะทะ มีเปลวเพลิงที่พร่างพราวปะทุขึ้นที่ช่องว่างระหว่างทั้งสอง ราวกับสองคุณลักษณะที่ขัดแย้งกันมาบรรจบกัน จนทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรง
‘ตูม!’
การปะทะกันของพลังงานทั้งสองก่อให้เกิดแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว พื้นที่ทั้งหมดราวกับพังทลายลง พลังแห่งการทำลายล้างแผ่ซ่านไปทั่ว
พลทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง ต่างก็ล้มลงและเสียชีวิตโดยพลัน
ค่ายกลป้องกันกำแพงเมืองที่ด้านหลังสวี่ชีอันทลายลงเป็นอันดับแรก ตามด้วยกำแพงที่เริ่มแตกร้าว และทลายลงในที่สุด กำแพงกว่าครึ่งหนึ่งทลายลงอย่างกะทันหัน ฝุ่นบนพื้นดินถูกขูดออกไปทีละชั้น ก่อนจะม้วนขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระแสลมที่เดือดพล่านราวกับพายุทราย
เสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง พื้นทรุดตัวลงเป็นหลุมลึกกว่าสิบเมตร สวี่ชีอันและจักรพรรดิเจินเต๋อยืนนิ่ง โดยที่ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนอากาศอันว่างเปล่า
จู่ๆ ใบหน้าของจักรพรรดิเจินเต๋อก็บิดเบี้ยว กล้ามเนื้อแก้มกระตุก เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน แขนขวาที่ถือนิ้วดาบของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง ฝีเท้าไม่มั่นคงอย่างยิ่ง
ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายอีกครั้ง พลางคำรามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ชีวิตข้า ไม่เชื่อในจักรพรรดิ!”
หลังจากสิ้นสุดเสียงคำรามนี้ ปีศาจพันมือที่มีแขนสิบสองคู่ และภาพเสมือนของชายชราผู้สวมเสื้อคลุมและมงกุฎขงจื๊อที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็หายวับไปทันที ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์และเสินซูล้วนชื่นชมเขามาก
‘ชิ้ง’
ณ จุดที่ดาบสลักปะทะกันกับดาบยักษ์ เกิดเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับเสียวฟัน
ดาบเหล็กพังทลายลงทีละเล่ม บ้างก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นส่วนเหล็ก บ้างก็ละลายกลายเป็นเหล็กหลอม
อาวุธธรรมดาก็คืออาวุธธรรมดา หลังจากปราณกระบี่ของยอดฝีมือขั้นสองแห่งนิกายมนุษย์หมดลง พวกมันก็จะสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว เริ่มจากจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ ไปจนถึงดาบยักษ์ทั้งหมด
สวี่ชีอันก้าวไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเหล็กหลอมสีแดงเข้มและชิ้นส่วนเหล็กที่ตกลงมา ก่อนจะแทงดาบสลักไปที่หน้าอกของจักรพรรดิเจินเต๋อ ใช้พลังยกร่างเขาขึ้น ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด
ร่างหนึ่งถูกกระชากออกมา
กายเนื้อของจักรพรรดิเจินเต๋อฉีกขาดออกจากกันด้วยเจตนาดาบของดาบสลัก
เทพเจ้าหยางซึ่งล้อมรอบด้วยแสงสีทองและแสงสีดำออกจากกายเนื้อ ลำแสงที่พุ่งมายังหน้าอกของเขาดุจดั่งกองกำลังศัตรูที่บุกเข้ามาภายในซึ่งยากจะกำจัด
เจินเต๋อร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด
ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังฉวยโอกาสฆ่าเทพเจ้าหยาง จู่ๆ ภาพอันตรายก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา เขาหันตัวกลับ พลางหยิบดาบไท่ผิงออกมา
‘ชิ้ง ชิ้ง…’
ร่างทั้งสองแยกออกจากกันเพียงสัมผัสเดียว ท่ามกลางเสียงปะทะ
ไหวอ๋องไถลออกมา ในระหว่างนั้น เทพเจ้าหยางของเจินเต๋อก็โถมเข้าไป และหลอมรวมกับร่างสุดท้ายนี้
สวี่ชีอันสะบัดดาบไท่ผิงอย่างสงบ ฟันกายเนื้อของเจินเต๋อออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เขาสูญเสียร่างเดิม และตัดขาดความเป็นไปได้ในการฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์
“ลั่วอวี้เหิงเคยบอกข้าว่า ช่วงเวลาข้ามผ่านหายนะของผู้แข็งแกร่งในลัทธิเต๋า สิ่งที่เป็นข้อห้ามเด็ดขาดคือการสูญเสียกายเนื้อ เพราะความหมายอันลึกซึ้งของเทพเจ้าแห่งแผ่นดินขั้นหนึ่ง ความจริงแล้วคือการรวมตัวกันอีกครั้งของเทพเจ้าหยางและกายเนื้อ เจินเต๋อ หากไร้ซึ่งกายเนื้อที่เกิดตามธรรมชาตินี้แล้ว ก็จะตัดโอกาสในการก้าวสู่ขั้นหนึ่งของเจ้า ถึงแม้จะเข้าสิงได้ ก็ยังเข้ากับเทพเจ้าหยางไม่ได้ เว้นแต่เจ้าจะยอมใช้เวลาหลายร้อยปีในการค่อยๆ ปรับตัว”
สวี่ชีอันถือดาบสลักไว้ในมือซ้าย ถือดาบไท่ผิงไว้ในมือขวา สีหน้าสงบนิ่ง
เมื่อเทียบกับการจัดการกับทหารขั้นสาม ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์มีความร้ายแรงถึงชีวิตสำหรับเทพเจ้าหยาง นี่คือสิ่งที่จ้าวโส่วบอกเขา
ดาบสลักเป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายของสวี่ชีอัน เป็นส่วนหนึ่งในแผนสังหารจักรพรรดิของเขา
ดาบเล่มนี้ตัด ‘อนาคต’ ของเจินเต๋อ และในเวลาเดียวกันยังทำให้เทพเจ้าหยางของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก
“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตายยิ่งนัก…”
จักรพรรดิเจินเต๋อขบเคี้ยวเขี้ยวฟันสาปแช่ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทอย่างแรงกล้า
“สวี่ชีอัน เรื่องที่ข้านึกเสียใจที่สุดคือการปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ ข้าน่าจะฆ่าเจ้าให้ตายตั้งแต่ตอนที่เจ้าสังหารเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงแล้ว”
จักรพรรดิที่ถูกผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้แปดเปื้อนท่านนี้ สูญเสียความสามารถในการจัดการอารมณ์ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
สวี่ชีอันมองกิริยาที่เสื่อมเสียของเขาด้วยสายตาเย็นชา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ฝึกลมหายใจและหลอมปราณ เพื่อฟื้นฟูพลังร่างกาย
กลิ่นอายของไหวอ๋องไม่พวยพุ่งอีกต่อไป ในขณะเดียวกันเจินเต๋อก็ได้รับบาดเจ็บจากดาบสลัก แต่ถึงแม้ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาจะอ่อนล้า และกลิ่นอายลดลงเล็กน้อย แต่ตาชั่งแห่งชัยชนะเริ่มเอียงเอนมาทางเขาแล้ว
จักรพรรดิเจินเต๋อร้องคำรามครู่หนึ่ง จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ลงเล็กน้อย พลางจ้องสวี่ชีอันด้วยสายตามุ่งร้าย “หลังจากเข้าสู่ขั้นสอง ข้าก็หาหนทางในการสงบไฟแห่งกรรมเหมือนกับลั่วอวี้เหิง ความคิดของนางคือ บำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิ จากนั้นก็อาศัยโชคชะตาในการสงบไฟกรรม และรอดจากทัณฑ์พิโรธไปอย่างราบรื่น เมื่อสิบปีก่อน ข้าก็มีความคิดเช่นเดียวกับนาง แต่สงครามด่านซานไห่ที่ตามมาหลังจากนั้นทำให้ต้าฟ่งสูญเสียโชคชะตาไปเกือบครึ่ง สิ่งนี้ทำให้ข้าประหลาดใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ข้าเห็นความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นทหารก็ดี ลัทธิเต๋าก็ดี ล้วนไม่สามารถควบคุมโชคชะตาได้ ต่อให้ข้าฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนอันดับหนึ่งในปฐพี สุดท้ายก็ต้องสิ้นชีพ สวรรค์ช่วยข้าไว้จริงๆ สิ่งที่เสียใจคือลั่วอวี้เหิงล้มเลิกความคิดที่จะบำเพ็ญคู่กับข้าในเวลาต่อมา สิ่งนี้ทำให้ข้าเสียโอกาสในการฉกฉวยหลิงยวิ่นของนาง ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา ไม่ว่าข้าปรารถนาสิ่งใด นางล้วนปากแข็งมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงควรเปลี่ยนความคิด ในเมื่อเส้นทางนิกายมนุษย์ไม่สามารถพาข้าบรรลุเป้าหมาย ทำไมไม่หาวิธีใหม่เล่า? ข้าสามารถเดินบนเส้นทางของยอดฝีมือ ใช้ร่างอวตารของไหวอ๋องเป็นหลักและน้าวนำในการสะสมยาโลหิต ดูดซับพลังชีวิตและแก่นแท้ของเทพดอกไม้เพื่อเลื่อนสู่ขั้นสอง หลังจากนั้นก็รับเทพเจ้าหยางไว้ในร่าง กลายเป็นยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลก ยอดฝีมือแทบไม่มีจุดบกพร่องใดๆ ย่อมไม่เกรงกลัวไฟแห่งกรรมเผาร่าง แต่สิ่งที่ต้องแลกคือการตัดระบบลัทธิเต๋า กลายเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเทพเจ้าแห่งแผ่นดิน เพราะไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่ของข้า สิ่งที่ปรากฏออกมาคือจิตเดิม ไหวอ๋องและหยวนจิ่งคือบุตรชายของข้า แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ตัวข้าอยู่ดี กายเนื้อไม่มีทางหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงต้องละทิ้งร่างเดิม วันนี้เจ้าช่วยข้าตัดสินใจแล้ว”
เขาหรี่ตาลง และมองไปทางพระราชวัง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “นับเวลาดูแล้ว เหลืออีกไม่มาก! ประชาชนเมืองหลวงมองว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษ วันนี้ข้าจะตัดหัววีรบุรุษแห่งต้าฟ่งอย่างเจ้าซะ”
เขาไม่พูดอะไรอีก เริ่มหลอมจิตเดิมที่อยู่ในร่างกายทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียว การหลอมรวมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กลายเป็นกระแสพลังงาน ‘สีขุ่น’ ที่ลอยวนเวียนอยู่รอบกายเขา พลังปราณของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลิ่นอายเริ่มพวยพุ่งราวกับจรวด
สวี่ชีอันยังคงไม่สนใจศัตรูผู้มีพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในเสี้ยววินาที แต่กลับหันไปมองทางพระราชวัง…
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร ขุนนางชั้นสูง ทหารรักษาวังที่อยู่ในพระราชวัง…ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงร้องอันแหลมคมของมังกร ซึ่งดังมาจากห้องบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็หันไปมองตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ช่วงเวลานี้ จู่ๆ เหล่าสมาชิกในราชวงศ์และพระญาติต่างก็เจ็บหัวใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความตื่นตระหนกที่อธิบายไม่ถูกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นวันสุดท้ายของโลก ราวกับหายนะอันยิ่งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา
ยายตัวร้ายที่นอนอยู่บนโต๊ะในตำหนักเส้าอินขมวดคิ้วแน่น พลางกดหน้าอก ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด
“เจ็บมาก ข้าเจ็บจะตายแล้ว…”
ที่ลานกว้างด้านหลังประตูอู่ องค์รัชทายาทกดหน้าอก โค้งตัวลง สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากไร้ซึ่งสีเลือด
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านหลังตกตะลึงอย่างยิ่ง ส่วนเหล่าขุนนางก็ดึงสายตากลับมาให้ความสนใจกับสถานการณ์ขององค์รัชทายาทแทน
ที่นอกตำหนักจิ่งหยาง ฮว๋ายชิ่งนั่งพึงเสาหยกขาวด้วยความเจ็บปวด แต่แทนที่นางจะกุมหน้าอก กลับกำหมัดแน่น และจ้องไปที่ตำหนักจิ่งหยางตาเขม็ง
“อึก…”
ท่ามกลางเสียงคำรามของมังกรอันอึกทึก มังกรยักษ์สีทองตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากหลังคาตำหนักจิ่งหยาง ผู้คนในพระราชวังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“มังกร มังกร?!”
เสียงอุทานดังขึ้นรอบด้าน
วิญญาณเส้นเลือดมังกรออกมาจากพื้นดิน หลุดพ้นจากต้าฟ่งแล้ว
มังกรจินหลงตัวนี้คาบลูกแก้วสีใสไว้ในปาก ซึ่งมีลูกตาซ่อนอยู่ในลูกแก้วลูกนั้น มันลึกล้ำราวกับกระแสน้ำวน
แต่ ณ ทะเลสาบแห่งหนึ่งในเขตพระราชฐานเวลานี้ มีดวงตาวิญญาณมังกรสีทมิฬกำลังจ้องมังกรจินหลงที่แหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า มันกำลังแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความโกรธจัด
ทะเลสาบซังผอ ประติมากรรมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศ ซึ่งถือดาบทองเหลืองอยู่ในมือกำลังเปล่งเสียงดังแสบแก้วหู…
“ดูสิ มีมังกรด้วยรึ?”
“ทุกคนรีบหันไปมองเร็วเข้า มีมังกรอยู่บนท้องฟ้า”
ขณะนี้ คนเดินเท้าบนถนนทุกสายต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองมังกรจินหลงที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง และแผดเสียงอย่างต่อเนื่อง
คนธรรมดาทั่วไปรู้จักเพียงมังกรน้ำเท่านั้น มังกรน้ำที่อยู่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ ซึ่งมักจะรับบทวายร้ายในหนังสือภาพและหนังสือนิทาน ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
“ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับดาบเหล่านั้น?”
“ไม่รู้ รอดูว่าราชสำนักจะพูดว่าอย่างไรแล้วกัน ทุกคนไปรอดูที่กระดานประกาศเถอะ”
ความผิดปกติทุกสิ่ง ตลอดจนอำนาจบีบบังคับที่ทำให้ใจสั่นและกระวนกระวายใจเมื่อสักครู่ เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถสัมผัสได้
ณ หอดูดาว ทันทีที่วิญญาณเส้นเลือดมังกรปรากฏตัวออกมา ในที่สุดท่านโหราจารย์ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ดวงตาที่สงบนิ่งราวกับบ่อน้ำโบราณเปล่งแสงประกายระยิบระยับออกมา ท่านโหราจารย์ยกมือขึ้น ตะครุบไปที่จินหลง แต่เขากลับจับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ราวกับจินหลงและเขาไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน
ซ่าหลุนอากู่ที่ถือแส้ต้อนแกะไว้ในมือกำลังยิ้มตาหยี กล่าวว่า “ที่ต้าฟ่ง แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ถ้าต้องขัดขวางเจ้า นั่นก็เป็นเรื่องที่ข้าทำได้เช่นกัน”
ท่านโหราจารย์นิ่งเงียบ
…
จักรพรรดิเจินเต๋อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลางตะโกนเสียงดังว่า “จงมา!”
เมื่อมังกรจินหลงได้รับคำสั่งเรียก ก็ม้วนตัวบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เจินเต๋อเหยียบอยู่บนหัวมังกร มองสวี่ชีอันลงมาจากที่สูง
“ไปยืนที่สูงเช่นนั้นทำไมกัน” สวี่ชีอันลอยอยู่บนอากาศ เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเจินเต๋อในระยะไกล
จักรพรรดิเจินเต๋อเหยียบอยู่บนวิญญาณมังกร โอบกอดโชคชะตาไว้ในร่าง พร้อมกับมีพลังของพ่อมด เขารู้สึกมั่นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “หากต้าฟ่งไม่พินาศ เจิ้นก็ยังเป็นราชาของประเทศที่โอบกอดโชคชะตาไว้ในร่าง สวี่ชีอัน เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า เจ้ามีดาบสลักของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ เจิ้นเองก็มีดาบสยบดินแดน”
เสียงดังราวกับสายฟ้าฟาด
ขณะนี้ เสียงอันดุเดือดดังไปทั่วทุกที่ในเมืองหลวง
ผู้คนเงยหน้าขึ้นไปมองมังกรจินหลงที่ลอยอยู่กลางอากาศอันไกลโพ้น แม้จะไม่สามารถมองเห็นร่างที่อยู่บนหัวมังกรได้อย่างชัดเจน แต่กลับได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิเจินเต๋อเพิ่งกล่าวเมื่อสักครู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“บุคคลนั้นเรียกแทนตนเองว่า ‘เจิ้น’ เขาคือจักรพรรดิงั้นรึ?”
“เขากำลังต่อสู้กับฆ้องเงินสวี่…”
ที่ต้าฟ่ง คนที่กล้าเรียกแทนตนเองว่า ‘เจิ้น’ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เอาอะไรมาสู้กับเจ้างั้นรึ?”
สวี่ชีอันมองตรงไปที่เขา และกล่าวอย่างสุขุมว่า “มีบางเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า”
เสียงของเขาไม่เบาและไม่ดัง แต่ก็ทำให้จักรพรรดิเจินเต๋อได้ยิน แต่ประชาชนในเมืองหลวงกลับไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
เจินเต๋อมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
สวี่ชีอันฉีกยิ้มอย่างมีนัย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมลั่วอวี้เหิงถึงไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเจ้า เพราะผู้ชายที่นางสนใจอย่างแท้จริงคือข้าอย่างไรล่ะ”
เจินเต๋อพ่นลมหายใจด้วยความเย้ยหยัน และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ใช้วิธียั่วยุงั้นรึ? เจ้าโง่ หากเจ้าคิดว่าการกล่าวคำพูดผิวเผินเหล่านี้ จะทำให้ข้าโกรธ งั้นก็ลองทำต่อไปเถอะ”
สวี่ชีอันมองจักรพรรดิท่านนี้ ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรมากว่าหกสิบปีด้วยความเวทนา และกล่าวว่า “เจ้าต่อสู้กับข้ามานานเช่นนี้ ยังไม่รู้อีกหรือว่าข้าก็สามารถใช้กระบี่ใจได้?”
สีหน้าของเจินเต๋อจมมืด
“ฉู่หยวนเจิ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้า แต่เขาคือลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนิกายมนุษย์ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่วิชาดาบเป็นการส่วนตัว ตอนที่ข้าอยู่เจี้ยนโจว ข้าเคยใช้ยันต์เรียกลั่วอวี้เหิงมา แน่นอนว่านางต้องมา เพราะผู้ชายของนางกำลังมีอันตราย มิเช่นนั้น ด้วยอุปนิสัยของนางที่อยู่อย่างสันโดษในอารามรัตนะมายี่สิบปีโดยไม่ออกไปข้างนอก และไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องใด จะเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยไม่มีเหตุผลงั้นรึ? นอกจากนี้ เจ้ายังคิดว่าการที่นางยื่นมือเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างเรา ก็เพื่อช่วยให้กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ถ้าข้าบอกเจ้าว่านางเข้ามาแทรกแซงเพราะข้าเล่า?”
ทุกๆ คำพูดของสวี่ชีอัน ทำให้สีหน้าของเจินเต๋อจมมืดลงทีละนิดอย่างช้าๆ
เขาปรารถนาลั่วอวี้เหิงมานานแล้ว ยี่สิบปีที่ผ่านมา เขามีความคิดที่จะบำเพ็ญคู่กับนางมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งล้วนถูกปฏิเสธ ตอนนี้ สวี่ชีอันกลับบอกว่าหญิงงามที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก และมักจะปฏิเสธตนเองด้วยสีหน้าเย็นชาอยู่เสมอ กำลังชื่นชอบเขา และอยากบำเพ็ญคู่กับเขางั้นรึ?
แม้ว่าเจินเต๋อจะมีเจตนาร้ายกับลั่วอวี้เหิง แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ความโกรธที่พลุ่งพล่านก็ยังคงสุมอยู่ในอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
………………………………………………