ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 487 โต้ตอบ
บทที่ 487 โต้ตอบ
ตะปูดอกแรกตอกลงไปที่หัวใจ กีดขวางการไหลเวียนขนส่งเลือดและลมปราณ ตะปูดอกที่สองปักเข้ากลางกระหม่อมที่จุดไป่ฮุ่ย ปิดผนึกทวารจิตใจ และปิดกั้นประสาทสัมผัสรับรู้โชคชะตา เลือดและพลังปราณของสวี่ชีอันถูกปิดกั้นพร้อมกัน ตบะทั้งร่างนั้นถูกปิดผนึก
สิ่งที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตนั่นก็คือ ตะปูสีทองที่เต็มไปด้วยสลักพุทธธรรมดอกนี้ คล้ายกับตั้งใจจะทำร้ายเสินซูโดยเฉพาะ ตะปูสองดอกพุ่งเข้าร่าง เสินซูก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ
เขาก็ถูกผนึกแล้วเรียบร้อย
ไม่มีสัญญาณบอกเหตุอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชีอันหรือว่าเสินซู ก็โดนซุ่มโจมตีต่อหน้าโหรชุดขาวทั้งนั้น ทั้งสองล้วนไม่ได้รับสัญญาณเตือนภัยอันตรายล่วงหน้าใดๆ
แม้ว่าร่างกายจะบาดเจ็บอย่างหนัก สถานการณ์รอบด้านล้วนแย่ลง ถ้าพูดถึงตบะของพวกเขาในตอนนี้แล้ว นี่มันช่างไร้เหตุผลเสียจริงๆ เลย
แต่โหรชุดขาวก็สามารถทำได้สำเร็จแล้ว
ปลายนิ้วของโหรชุดขาวนั้นคีบตะปูเจ็ดดอกที่เหลืออยู่ไว้ ไม่ได้เคลื่อนไหวมืออย่างรีบร้อนและยังมองไปทางด้านหอดูดาว มองไปยังทางซ่าหลุนอากู่และท่านโหราจารย์ที่อยู่บนแท่นแปดทิศ
โหรชุดขาวยิ้มหัวเราะเบาๆ พลางพูด “ไข่มุกไร้สีของสำนักพุทธ ช่างมีประโยชน์จริงๆ หากไม่มีมัน ข้าคงไม่มีทางที่จะไปมีอิทธิพลที่จะส่งเจ้ามาถึงตรงหน้าได้ คงไม่ถูกเจ้าและมารภิกษุค้นพบ” เพื่อที่จะรับมือกับเขา สำนักพุทธได้ละสิ่งที่สำคัญลง
ในฝ่ามือของเขา นั้นคือเม็ดไข่มุกประคำที่ถูกทำให้เป็นเศษละเอียด
เขา…เขาคือท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ซ่าหลุนอากู่ก็อยู่ที่เมืองหลวงเช่นกัน อีกทั้งท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน สามรุ่นรวมกันก็ครบแล้ว… ดวงใจของสวี่ชีอันค่อยๆ ดำดิ่งลึกลงไป
ของขวัญทั้งหลายที่มอบให้ ล้วนมีราคาแอบแฝงไว้อย่างลับๆ
ตอนนี้ คนที่ได้รับหนี้มาแล้ว
ตะปูสองดอกพุ่งเข้าร่าง พลังเลือดติดขัด พลังปราณหยุดนิ่ง แขนขายากที่จะเคลื่อนไหว
นอกจากความสามารถในการคิดพิจารณา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย
ลูกตาของสวี่ชีอันกลอกไปมาไม่หยุด มองเห็นแค่เพียงยอดบนสุดของหอดูดาว
โหรชุดขาวละสายตากลับมา มองที่สวี่ชีอันพลางพูด
“เมืองหลวงคืออาณาเขตของเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซ่าหลุนอากู่ก็ยังมีชีวิตอยู่จนเป็นพันปีแล้ว แต่สิ่งที่แฝงอยู่ที่หยั่งรากลึกลงไป ถ้าหากพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีอย่างสุดความสามารถ การขัดขวางเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทางฝั่งลั่วอวี้เหิงก็มีผู้นำเต๋านิกายปฐพีขวางทางไว้อยู่
“คนที่สามารถช่วยเจ้าได้ มีเพียงแค่จ้าวโส่วผู้เดียวเท่านั้น แต่ทว่า ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสี่ ก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก”
ใบหน้าของโหรชุดขาวท่านนี้ดูพร่าเบลอและเลือนราง ราวกับว่าปกคลุมไปด้วยกระเบื้องโมเสก ทำให้สวี่ชีอันไม่มีทางที่จะมองใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูสบายใจและสงบนิ่ง ด้วยความมั่นใจอย่างที่สุดว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
ดาบสยบดินแดน รีบมาช่วยข้าที…สวี่ชีอันกรีดร้องในใจ
ดาบสยบดินแดนสั่นครืนๆ แสดงเจตนาของดาบออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
แต่โหรชุดขาวนั้นลูบจับอย่างตามอำเภอใจ ดาบทองเหลืองนั้นก็สงบลงไป ดาบสยบดินแดนนั้นถูกผนึกไว้ชั่วคราว
“อาวุธวิเศษได้รับแบบทดสอบอันยิ่งใหญ่แห่งโชคชะตาหกร้อยปี สำหรับระดับสูงในระบบธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น นี่ถือเป็นเครื่องมือประหารชิ้นใหญ่ แต่สำหรับการจัดการกับโชคชะตา โหรที่มีความชำนาญในด้านการหลอมอาวุธและค่ายกล กลับไม่ได้เป็นภัยอันตรายเลยแม่แต่น้อย” น้ำเสียงของโหรชุดขาวสงบนิ่ง
ขณะที่พูดไป เขาก็รับดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์จากในมือของสวี่ชีอันมา ดาบนั้นสั่นไหว แสงสว่างไหลกระจายล้นออกมาจากปลายนิ้วของเขา แต่กลับไม่สามารถทำร้ายอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย
เวลาเพียงไม่นาน ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ก็สงบลง โดนผนึกไว้ชั่วคราว
“ดาบนี้น่ะ ต้องอยู่ในมือของลัทธิขงจื๊อ จึงจะสามารถแสดงพลานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าอาวุธวิเศษใดๆ ที่ไม่ได้ปลุกเสกโดยนายท่าน ก็จะลอยอยู่บนน้ำเหมือนพืชน้ำ ไม่มีทางที่จะนำมาใช้งานได้ เมื่อใดที่พลังงานที่มีถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ก็จำเป็นต้องอุ่นเติมพลังอยู่พักหนึ่ง นี่คือเกร็ดความรู้เล็กๆ ที่โหรเพิ่งจะเข้าใจ เจ้าต้องศึกษาให้มาก”
เขาพูดอย่างไม่เดือดไม่ร้อน สวี่ชีอันที่พูดอยู่นั้นสีหน้าซีดขาว ในใจนั้นเป็นกังวลเป็นอย่างมาก
ฟิ้ว!
เวลานี้ แสงแปลบปลาบของดาบนั้นพุ่งออกมา ตัดไปทางโหรชุดขาว
เขาฉวยมันติดมือขึ้นมาจากในน้ำ จับดาบไท่ผิงไว้ในมือ พลางส่ายหน้าอย่างสิ้นหวังหน่อยๆ
“ในเวลาที่อาวุธแยกกับเจ้าของ มีสิ่งเดียวที่นายท่านสามารถรู้ได้ คือสำหรับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันก็ไม่ได้มีประโยชน์มากมายนักแล้ว”
ลำแสงในฝ่ามือของโหรชุดขาวประกายขึ้นมาปกคลุมบนดาบไท่ผิง ทันใดนั้นอย่างรวดเร็ว ตัวดาบที่สั่นระริกก็สงบลง ดาบไท่ผิงก็ถูกผนึกไว้แล้วเช่นกัน เมื่อขว้างดาบทิ้งออกจากมือไป ดาบไท่ผิงก็ตกลงที่ปากประตูเมืองที่ถล่มลงมาเป็นซากปรักหักพัง ปักลงอยู่บนพื้น
“ยังมีกลอุบายอะไรอีกหรือไม่? ถ้าหากไม่มีแล้วล่ะก็ ข้าก็จะพาเจ้าไปแล้ว” โหรชุดขาวพูด
ณ เวลานี้ สวี่ชีอันพบว่าตนเองสามารถพูดได้แล้ว เขาจึงลองเอ่ยพูด “โชคชะตาบนตัวของข้า เป็นท่านที่เก็บซ่อนไว้หรือ?”
โหรชุดขาวไม่ตอบอะไร มือข้างหนึ่งจับบ่าของเขาเอาไว้ ร่างนั้นก็กะพริบและพาเขาจากไป
ภาพตรงหน้าของสวี่ชีอันเบลอ เป็นฉากพร่ามัว เขาพบว่าร่างของตนเองนั้นอยู่แถวเขตนอกเมือง ทางด้านซ้ายเป็นไร่นาที่ถูกทิ้งร้างทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ทางด้านขวานั้นเป็นทะเลสาบเล็กๆ ภูเขาหลายลูกที่อยู่ไกลๆ รวมตัวกันคล้ายกำลังชุมนุม
ที่นี่คือที่ไหนกันนะ…
โหรส่งเขามาโดยไม่ได้บอกเหตุผลอันใด เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ร่างของเขานั้นอยู่ที่ไหน
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้ส่งตัวมา!”
ในน้ำเสียงสุขุมทุ้มต่ำนั้นมีเงาคนปรากฏชัดเจนขึ้นมาตรงหน้า บนหัวสวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอก สวมใส่ชุดนักปราชญ์ขงจื๊อเก่าๆ เส้นผมบางๆ บนศีรษะ ตอนนี้ได้ถูกเก็บรวบไว้ภายใต้มงกุฎแล้ว
เจ้าสำนักจ้าวโส่ว!
“ไม่อนุญาตให้แขนขาของเจ้าแตะต้อง”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง แต่คำพูดที่พูดออกมา นั้นเต็มไปด้วยกฎที่ทำให้ผู้คนไร้หนทางที่จะต่อต้านและคัดค้าน
ลำแสงเจิดจ้าลำนี้ทำให้โหรชุดขาวจำเป็นต้องแยกออกจากสวี่ชีอัน จ้าวโส่วอาศัยมงกุฎแห่งปราชญ์เอก ทำให้ตำแหน่งของตนเองนั้นเลื่อนขั้นเป็นถึงระดับสอง
หลังจากที่แยกโหรชุดขาวออกไป เขาก็ออกคำสั่ง “ถอยออกไปหนึ่งร้อยลี้”
ใบหน้าของโหรชุดขาวดูสับสนแล้วก็หายไปในทันที
“ได้…ได้รับการช่วยเหลือแล้วหรือ? ไม่ใช่เจ้าบอกว่าส่งตัวมาไม่ได้หรอกหรือ? ลัทธิขงจื๊อนี่ไร้ศีลธรรมอย่างที่คิดไว้จริงๆ…”
สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เกือบจะโผเข้าหาอ้อมอกของจ้าวโส่วแล้วเรียกเขาว่าท่านพ่อ
แต่ไม่นานต่อมา สวี่ชีอันมองเห็นโหรชุดขาวปรากฏตัวอยู่ข้างกาย แล้วยิ้มพลางพูด
“ไม่เลวเลย โชคชะตาบนตัวของเจ้า คือสิ่งที่ข้าปลูกฝังเข้าในร่างกายของเจ้า จุดประสงค์เพื่อจะปิดบังท่านโหราจารย์”
สวี่ชีอันชะงักงันไปชั่วครู่ “เจ้ากลับมาได้อย่างไรกัน?”
โหรชุดขาวพูดพลางยิ้มหัวเราะ “เดินกลับมาน่ะสิ”
ระหว่างที่พูด ภายใต้เท้าของสวี่ชีอันก็ปรากฏลำแสงกระบวนพยุหะแปดทิศ ภายใต้เท้าของโหรชุดขาวก็เหยียบย่ำพอดีตรงที่ประตูลม
สวี่ชีอันมองเขาอย่างงงงวย ก่อนที่จิตใจจะดำดิ่งลงไปอีกครั้ง
สีหน้าของจ้าวโส่วไม่เปลี่ยนไป พลางพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน “กักขังบริเวณ!”
แสงลำหนึ่งพุ่งตกลงมาจากฟ้า แผ่คลุมไปบริเวณรอบๆ กว่าสิบลี้ ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ภายในกรงพันธนาการนี้เป็นอีกโลกโลกหนึ่ง และภายนอกกรงพันธนาการนี้ก็เป็นอีกโลกหนึ่ง
เขากำลังถ่วงเวลาออกไป เพื่อรอให้ท่านโหราจารย์มาถึง
โหรชุดขาวหัวเราะพลางพูด “เช่นนั้นข้าก็จะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน”
เขาก้าวเหยียบลงไป แต่ละด้านแต่ละทางของค่ายกลเกิดรูปแบบรอยขึ้นอย่างไร้หลักฐานยืนยัน เพื่อปกคลุมให้จ้าวโส่วอยู่ข้างใน ค่ายกลเหล่านี้ไม่เหมือนกัน มีรอยผสานเหมือนแสงฟ้าผ่า มีรอยวนเป็นเกลียวสลัวๆ ของหมอก มีรอยถูกตีทั่วทุกสารทิศ มีรอยเปลวไฟลุกโชน แต่กลับหลอมผสมรวมกันเป็นหนึ่งค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกมันเหล่านั้นปรากฏพร้อมๆ กันใต้เท้าของจ้าวโส่ว แล้วผนึกกำลังกันรัดแน่น
มงกุฎบนหัวของจ้าวโส่วอ่อนแสงลง พลังอันยิ่งใหญ่ของการคุ้มกายา เขายกปลายนิ้วขึ้น พลางบรรจงวาดเป็นพุทธมนต์ พุทธมนต์หลอมรวมกับร่างกายของเขา ทันใดนั้นจุดสีทองเล็กๆ ก็ผลิบาน ปกป้องรักษาพลังเทพวชิระ พลังอันยิ่งใหญ่และพลังเทพวชิระทำให้เขาถูกปกป้องอย่างแน่นหนา
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับสูงของลัทธิขงจื๊อแล้ว ขอเพียงแค่ได้พบเจอก็สามารถใช้ได้แบบฟรีๆ เหตุการณ์นี้ที่จ้าวโส่วใช้ฟรีๆ ก็คือระดับเพชรไร้พ่ายของสวี่ชีอัน
ต่อมา จ้าวโส่วก็ได้เลียนแบบโหรชุดขาว เอาเท้าเหยียบลงไป รอยต่างๆ ของค่ายกลก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายใต้ตัวเขา และค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น ต้องการที่จะครอบคลุมโหรชุดขาวไว้ภายใน แต่โหรชุดขาวเพียงแค่โบกแขนเสื้อ ก็สามารถกวาดล้างค่ายกลที่จ้าวโส่วแสดงไว้ให้ราบคาบ
รับมือกับโหรด้วยค่ายกล จะมีผลได้อย่างไร?
โหรชุดขาวปลดถุงหอมที่เอวออกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ชั่วพริบตาเดียว อาวุธเวทมนตร์แต่ละชิ้นก็บินว่อนปลิวออกมาราวกับได้มาฟรีๆ
ปืนใหญ่แต่ละลำเรียงรายกันไป ฐานรองยิงหน้าไม้แต่ละตัววางอยู่ที่พื้น พร้อมกับปืนไฟเป็นมัดๆ หน้าไม้ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ศูนย์กลางของพวกมันเพ่งเล็งไปที่จ้าวโส่วอย่างพร้อมเพรียง ดาบแหลมคมที่ตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลนนิ่ม แต่ละเล่มค่อยๆ ลอยตามไป
นอกจากนี้ ยังมีอาวุธเวทมนตร์อื่นๆ ที่มีประสิทธิผลแปลกๆ อย่างเช่นเชือกเส้นใหญ่ที่ทำมาสำหรับใช้พันธนาการ กระจกทองสัมฤทธิ์ข่มขู่จิตเดิม ระฆังทองสัมฤทธิ์ใหญ่ที่ทำเพื่อผนึก
ช่างหรูหราโอ่อ่าเกินไปเสียจริงเชียว เมื่อเทียบกันแล้ว ทหารคงทำได้เพียงแค่พรรณนาอย่างสามัญเท่านั้น…เมื่อได้เห็นลัทธิขงจื๊อระดับสูงและโหรระดับสูงต่อสู้กันกับตาตัวเอง สวี่ชีอันก็รู้สึกปลงขึ้นมา
ภายใต้เสียงคำรามของปืนใหญ่ โหรชุดขาวก็หยิบตะปูขึ้นมาหนึ่งตัว ปักลงตรงที่ตันเถียนของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเจ็บที่ท้องน้อยอย่างรุนแรง เหงื่อเย็นไหลพรูออกมาไม่หยุด พลางพูดด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“ทำไมจึงต้องนำโชคชะตามาให้ข้า?”
โหรชุดขาวไม่ตอบอะไร แล้วหนีบตะปูตัวหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ในใจสวี่ชีอันรู้สึกเหน็บหนาวและหวาดกลัว คิดอยากจะถอยหลังออกไปตามจิตใต้สำนึก แต่ร่างกายหลับไม่ขยับอย่างที่ใจคิด “คดีภาษีคือเจ้าที่เป็นคนชี้นำบงการ จุดประสงค์คือทำเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นวิธีการที่ ‘ชอบธรรม’ เพื่อจะให้ข้าถูกส่งตัวออกจากเมืองหลวงงั้นหรือ?”
โหรชุดขาวยิ้มพลางพูด “ที่เจ้าคาดเดานั้นไม่ผิดเลย”
“แต่ข้านึกไม่ออกว่าทำไมต้องใช้คดีภาษีเพื่อนำข้าออกจากเมืองหลวง จากกลอุบายและความสามารถของเจ้า ถึงแม้ว่าเมืองหลวงจะมีท่านโหราจารย์ลงมือบัญชาการด้วยตนเอง เจ้าก็สามารถพาข้าออกมาจากเมืองหลวงได้เช่นเดียวกัน”
สวี่ชีอันจ้องมองไปที่เขา พยายามมองไปยัง ‘กระเบื้องโมเสก’ ที่ปกคลุมอย่างหนา เพื่อสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของเขาอย่างละเอียด
โหรชุดขาวลูบหัวเขา น้ำเสียงอ่อนโยน คล้ายกับผู้อาวุโสพูดกับลูกหลาน
“เจ้าไม่ใช่อัจฉริยบุคคลผู้ตัดสินคดีแห่งต้าฟ่งหรอกหรือ ให้เวลาเจ้านานขนาดนี้ เจ้ายังไม่สามารถตรวจสอบได้อีกหรือ?”
ให้ข้าตรวจสอบใต้หว่างขาแม่เจ้าน่ะสิ…สวี่ชีอันเกือบจะระเบิดคำหยาบคายออกมา แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ พยายามจะถ่วงเวลา กล่าวต่อ
“ตอนที่อยู่อวิ๋นโจว เป็นเจ้าที่ช่วยข้าไว้ใช่หรือไม่?”
“อืม!” โหรชุดขาวตอบกลับอย่างสั้นกะทัดรัดแต่ใจความนั้นชัดเจน
“เจ้าช่วยข้า ไม่ใช่เพราะมอบเป็นของขวัญให้ข้า แต่เป็นเพราะว่าอวิ๋นโจวก็คือสวี่โจว เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้า ใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันก็สรรหาคำมาโต้ตอบไม่ยอมวางมือ
“ก็ไม่ได้โง่เขลานี่”
น้ำเสียงของโหรชุดขาวสงบนิ่ง พลางหยิบตะปูขึ้นมา ปักลงไปที่บริเวณตันเถียนของสวี่ชีอัน กล่าวต่อไป
“เจ้าเดาออกได้อย่างไร?”
หน้าของสวี่ชีอันซีดขาว เหงื่อผุดออกเต็มศีรษะเป็นเม็ดๆ น้ำเสียงของเขาค่อนข้างอ่อนแรงลง
“เพราะว่าที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของอวิ๋นโจวนั้นดีมากแล้ว ด้านหลังนั้นมีทะเลกว้างใหญ่ แม้ว่าพวกเจ้าจะสู้รบแล้วแพ้ ก็ยังสามารถอาศัยขึ้นเรือหนีออกทะเลไปได้”
“แล้วทำไมถึงเป็นอวิ๋นโจว ไม่เป็นเมืองอื่นๆ ที่อยู่ติดทะเล?”
“เพราะว่าสินค้าของอวิ๋นโจวนั้นอุดมสมบูรณ์และมีหลากหลาย เป็นสองรองจากอวี้โจวและจางโจว ถูกยกย่องให้เป็น ‘ยุ้งฉางแห่งต้าฟ่ง’ ไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่เหล็ก หรือยาต่างๆ ในแง่ของขุมทรัพย์บนภูเขา อวิ๋นโจวก็เป็นที่สองรองจากภูเขาสือว่านของซินเจียงตอนใต้ก็เท่านั้น นอกจากนี้พวกโจรในพื้นที่ก็เที่ยวออกรังแกชาวบ้าน ก็เป็นที่กำบังที่ดีที่สุดของพวกเจ้าในการตั้งทัพ
“สำนักพ่อมดก็พึงพอใจและเล็งที่แห่งนี้ไว้เช่นกัน ดังนั้นจึงวางแผนอย่างลับๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คอยสนับสนุนพวกโจรภูเขา สมคบคิดกับพรรคฉี และขนส่งยุทธปัจจัย นี่มันละเมิดผลประโยชน์ของเจ้าอย่างที่สุด
“ด้วยเหตุนี้เจ้าก็เลยยืมมือของเว่ยกง ยืมมือของข้า เพื่อกำจัดสำนักพ่อมด แบบนี้จึงจะไม่สามารถเปิดโปงพวกเจ้าได้ และยังสามารถกำจัดกำลังของสำนักพ่อมดให้หมดสิ้นไปได้อีก
“เหนือไปกว่านั้น ถ้าหากว่าข้าเดาถูกทั้งหมดละก็ ผู้บัญชาการหยางชวนหนานแห่งอวิ๋นโจวคนนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นคนของพวกเจ้าใช่หรือไม่”
โหรชุดขาวปรบมือเบาๆ มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่รอยยิ้มนั้นชอบใจนัก
“เดาได้ถูกเผงพอดิบพอดี เจ้ายังเดาอะไรได้อีก ก็ลองพูดออกมาอีกก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ยืดถ่วงเวลาอีกหน่อย”
“น่าเสียดายที่ข้ารู้สำนึกช้าไปเสียแล้ว” สวี่ชีอันส่ายหน้าฝืนยิ้ม
สาเหตุที่วันนั้นรีบยืนยันว่าสมุหเทศาภิบาลซ่งฉางฝู่แห่งอวิ๋นโจวคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะว่าเจ้าขาพิการเหลียงโหย่วผิงถูกจับตัวไป แล้วเหลียงโหย่วผิงก็คือคนที่โหรชุดขาวส่งตัวมานั่นเอง และเหลียงโหย่วผิง…เป็นเพื่อนสนิทของหลี่เมี่ยวเจิน ที่ผู้บัญชาการหยางชวนหนานจับไว้ได้ที่อวิ๋นโจว
อวิ๋นโจวเป็นที่ที่แปลกมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์และร่ำรวย แต่โจรกลับเที่ยวรังแกชาวบ้านไปทั่ว ประชาชนทั่วไปอยู่กันอย่างยากลำบาก อย่าว่าแต่สวี่ชีอันเลย วันนั้น…แม้แต่จูกว่างเสี้ยวก็ยังเรียกแบบไม่เหมาะสม
หลังจากเรียกดวงวิญญาณจีเชียนออกมาเพื่อไต่ถามวิญญาณที่เจี้ยนโจว สวี่ชีอันก็คิดมาโดยตลอดว่าแท้จริงแล้วสวี่โจวนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก เขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจเสียที พอมาสืบรู้ทุกอย่างภายหลัง เขาจึงรู้ทุกอย่างได้ทันที
“ตอนแรกที่อวิ๋นโจว ทำไมจึงไม่ดึงโชคชะตาของข้าออก?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ามองเห็นแล้วหรอกหรือ”
โหรขุดขาวโปรยตะปูในมือออกมา พลางพูด “สิ่งที่ถูกปิดผนึกภายใต้ซังผอนั้นอยู่ภายในร่างกายของเจ้า หากต้องการดึงโชคชะตาภายในตัวเจ้าออกมา ข้าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเขา
“มารภิกษุท่านนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไป แม้ว่าจะเป็นข้า ก็ไม่มีทางที่จะผนึกเขาได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไปที่ดินแดนประจิมทิศ นำข่าวที่เสินซูอยู่ในร่างกายของเจ้าไปบอกสำนักพุทธ พวกเขาจึงนำสมบัติตะปูตอกวิญญาณให้ข้ายืมอย่างง่ายๆ โดยไม่ลังเล”
มิน่าล่ะเขาถึงสามารถทำลายพลังเทพวชิระของข้าได้ง่ายๆ และผนึกเสินซูได้ง่ายๆ มีเพียงพระเท่านั้นที่จะสามารถจัดการรับมือกับพระได้โดยแท้จริง… สวี่ชีอันใช้วิธีพูดแขวะเพื่อคลายความสิ้นหวังในจิตใจ
“ทำไมไม่ยืมเร็วกว่านี้ ทำไมไม่ยืมช้ากว่านี้ ทำไมจึงต้องรอจนถึงเวลานี้?”
ในน้ำเสียงของโหรชุดขาวนั้นเจือความหัวเราะเยาะปนความไม่ทุกข์ร้อน “แน่นอนว่ารอให้เว่ยเยวียนสู้รบจนตาย ชีพจรมังกรของเจ้าก็จะแตกสลายไป รอให้เจ้าฆ่าเจินเต๋อ”
สวี่ชีอันหรี่ตาลง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหยวนจิ่งคือเจินเต๋อ?”
โหรชุดขาวถามกลับ “เจ้าลองเดาสิ”
ไม่รอให้สวี่ชีอันได้ตอบอะไร เขาก็พูดต่อทันที “เว่ยเยวียนไม่ตาย ไม่ใช่แค่สำนักพ่อมดที่กินนอนไม่สงบ ข้าเองก็กินนอนหลับได้ไม่สงบเช่นกัน เทพสงครามแห่งต้าฟ่งไม่ตาย ใครจะกล้าก่อเรื่อง? ตอนนี้ชีพจรมังกรได้กระจายไปเรียบร้อยแล้ว ศูนย์กลางจะต้องจลาจลเป็นแน่ และเป็นจังหวะโอกาสที่ดีที่สุดที่ข้าจะหยิบเอาโชคชะตากลับมา”
ระหว่างที่พูด ก็มีตะปูทองอีกหนึ่งดอก ปักเข้าลงตรงจุดต้าจุยของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันร้องเสียงต่ำด้วยความจุกแน่น จนเกือบจะหมดสติไปแล้ว ตะปูห้าดอกในร่างกายกำลังออกฤทธิ์ร่วมกัน กัดกร่อนปราณชีวิตของเขา ยิ่งผนึกตบะของเขายิ่งขึ้นไปอีก และยิ่งผนึกเสินซูยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน
สถานการณ์ของเขาตอนนี้ช่างย่ำแย่จริงๆ หลังจากสังหารเจินเต๋อเรียบร้อย หยกสลายไปสองครั้ง ร่างกายของเขาก็อยู่ในสภาพที่บาดเจ็บอย่างหนัก
แล้วตอนนี้ยังมาโดนท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งปักตะปูตอกวิญญาณเข้าร่างอีก เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากจากเขา ด้วยความอ่อนแรงจากการไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนในก่อนหน้านี้ เป็นความอ่อนแรงประเภทที่ว่าสามารถตายได้ตลอดทุกเมื่อ
“ปีนั้น ท่านหลบหนีการล้อมสังหารจากจักรพรรดิอู่จง และพระโพธิสัตว์สำนักพุทธ ตลอดจนท่านโหราจารย์ในยุคนั้นมาได้อย่างไร?” สวี่ชีอันไม่ลืมความตั้งใจเดิมที่จะถ่วงเวลาเอาไว้
โหรชุดขาวมองไปทางจ้าวโส่วที่อยู่ไกลๆ พลางเปิดถุงหอมอีกรอบหนึ่ง เรียกอาวุธเวทมนตร์แต่ละชิ้นออกมา อาวุธเวทมนตร์ระดับสูงส่งเสียงคำรามออกมา เสริมพลังของ ‘กองกำลัง’ ขึ้นมา ในเวลาเดียวกัน เขาก็กระทืบเท้าอีกครั้ง แผ่กระจายสะเทือนไปทั่วทุกที่ จนสามารถยืมใช้พลังฟ้าดินของค่ายกลได้เพื่อครอบคลุมเอาจ้าวโส่วไว้ภายใน
ตัวเจ้าสำนักจ้าวโส่วเองนั้นก็เป็นระดับสามที่สมบูรณ์มาก อีกทั้งยังมีมงกุฎแห่งปราชญ์เอกที่ปลุกเสกอีก คงไม่ด้อยไปกว่าระดับสองแน่…สมกับที่เป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง เกรงว่าระยะห่างเพียงหนึ่งระดับ จะเป็นเพียงแค่เส้นบางๆ เท่านั้น
สวี่ชีอันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาอีกครั้ง
จ้าวโส่วถูกควบคุมจำกัดบริเวณอีกครั้ง โหรชุดขาวหยิบตะปูขึ้นมา พร้อมกับพูด
“คิดจะสังหารระดับหนึ่ง มันง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน?”
ตะปูดอกที่หก ปักลงตรงจุดมิ่งเหมินที่หลังเอว
“เขายังคงต่อต้าน สมกับที่เป็นมารภิกษุที่ทำให้สำนักพุทธต่างพากันปวดหัวเสียจริงๆ รอจนเมื่อเขาถูกผนึกอย่างถึงที่สุด ข้าก็จะจัดตั้งกองกำลังเพื่อไปทวงโชคชะตาของข้ากลับคืน เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าอาจจะตายได้”
“โชคชะตาของข้าเพิ่มขึ้น เจ้าทำลายชีวิตของข้า ไม่กลัวโชคชะตาเคราะห์ร้ายจะแว้งกัดหาตัวหรือ?”
สีหน้าของสวี่ชีอันซีดขาว ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่เป็นเพราะกำลังอ่อนแรง
“ท่านโหราจารย์ไม่กล้าลงมือกับเจินเต๋อ เพราะว่าเขาเป็นท่านโหราจารย์ของต้าฟ่ง ห้าร้อยปีก่อน เป็นเขานี่เองที่อาศัยเส้นสายของเชื้อพระวงศ์เพื่อให้กลายเป็นระดับหนึ่ง สังหารจักรพรรดิ และทำให้เป็นเหมือนการทำลายรากฐานของตนเอง โชคชะตาบนตัวเจ้านั้นก็มาจากเส้นสายนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
“ข้าสังหารเจ้า คงไม่ได้เป็นการทำลายรากฐานของตนเอง เพียงแค่ต้องยอมรับผลกรรม และเพราะว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ผลกรรมนี้ เมื่อเทียบกับที่พวกยอดฝีมือจัดการกับเจ้า อาจจะเบากว่าเสียอีก” โหรชุดขาวพูดอย่างขำขัน
“เหตุผลบางอย่างที่ว่านั้นคือเหตุผลอะไร เกี่ยวกับที่เจ้าเก็บซ่อนโชคชะตาไว้ในร่างกายของข้าในปีนั้นหรือไม่?” สวี่ชีอันหรี่ตา
โหรชุดขาวไม่ตอบคำถาม แต่กลับพูดขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดท่านโหราจารย์จึงได้หักหลังข้า? และทำไมข้าถึงได้เลื่อนจากระดับหนึ่งเป็นระดับสอง?” สวี่ชีอันส่ายหน้า
โหรชุดขาวกล่าวต่อ “ถ้าหากเจ้ารู้ว่าระดับหนึ่งและระดับสองของระบบโหรเรียกว่าอะไร เจ้าก็จะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากมายเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง”
ตะปูดอกที่เจ็ด ปักลงตรงกลางท้องของสวี่ชีอัน
เลือดและเหงื่อผสมรวมกัน สีแดงไหลย้อมลงบนชุดครามที่ขาดรุ่งริ่ง เขานิ่งเงียบลงครู่หนึ่ง พลางพยักหน้า
“ข้าอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับคนที่สังหารท่านโหราจารย์ในปีนั้นเสียจริงๆ”
…………………………………………..