ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 488 ปกป้องความลับของสวรรค์
บทที่ 488 ปกป้องความลับของสวรรค์
คำพูดของโหรชุดขาว ได้พิสูจน์การคาดเดาบางอย่างของสวี่ชีอัน ระบบโหรระดับสาม เรียกว่า ‘ปรมาจารย์ความลับของสวรรค์’ แต่ระดับสองและระดับหนึ่งเรียกว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้
จิ่วโจวในสมัยปัจจุบันนี้ นอกจากท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งที่ริเริ่มก่อตั้งระบบโหร และผู้ทรยศก่อกบฏในสมัยนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าโหรระดับหนึ่งและระดับสองคืออะไร ลูกศิษย์สายตรงอย่างหยางเชียนฮ่วนที่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เป็นอ๋อง ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น
แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าระบบโหรระดับหนึ่งและระดับสองนั้นถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด
สมัยนั้นเมื่อตอนที่คณะทูตสำนักพุทธเดินทางมาถึงเมืองหลวง ในระหว่างที่เขาและเว่ยเยวียนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จึงได้รู้ว่าปีนั้นจักรพรรดิอู่จงสามารถยึดราชบัลลังก์ได้ สำนักพุทธและท่านโหราจารย์คนปัจจุบันนั้นมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องนี้ เป็นผู้นำหลักที่ทำให้ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งล่มสลาย
หลังจากนั้น ก็ได้ช่วยเหลือลี่นาออกมาจากห้องพระราชวังใต้ดิน และบังเอิญได้พบกับท่านโหรแห่งพงไพรนามว่ากงหยางซู่ จากคำพูดของเขาจึงได้รู้ว่าโหรระดับหนึ่งและระดับสองถูกเก็บซ่อนไว้เป็นความลับสุดยอด
ตั้งแต่นั้นมา สวี่ชีอันก็คาดเดาว่าผู้ที่สังหารท่านโหราจารย์ในปีนั้น อาจมีความเกี่ยวข้องกับระดับขั้นก็เป็นได้
“ดูเหมือนว่า เจ้าจะมีความคิดไว้อยู่แล้ว” โหรชุดขาวจ้องเขม็งที่สวี่ชีอันชั่วครู่ พลางพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ความคิดของข้าก็คือ โหรระดับสองเรียกว่า ‘ปีศาจเดินเท้า’ ระดับหนึ่งเรียกว่า ‘ปรมาจารย์สังหาร’…สวี่ชีอันแอบแขวะอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา เขายังคงเงียบไม่พูดจา
โหรชุดขาวสังเกตจ้าวโส่วที่พยายามฝ่าค่ายกลอย่างสุดกำลัง พลางพูดไปด้วย
“โหรระดับสองเรียกว่า ‘โหรหลอมปราณ’ ”
“?” เครื่องหมายคำถามตัวโตผุดขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน นี่ค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขา พูดตามตรง ชื่อเรียกของโหรหลอมปราณดูธรรมดาสามัญไปหน่อย รู้สึกไม่คู่ควรกับสถานะของโหรระดับสอง
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็ได้ยินโหรชุดขาวหัวเราะพลางพูด “ ‘ปราณ’ ของโชคชะตา”
โชคชะตา…ที่โหรหลอมปราณฝึกฝนนั้นคือโชคชะตา?!
ม่านตาของสวี่ชีอันหดเล็กลง แค่ชั่วครู่เดียวก็รู้และกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที แต่ก็มีความสงสัยใหม่ๆ พรั่งพรูออกมาด้วยเช่นกัน ความจริงที่รู้และกระจ่างแจ้งขึ้นมานั้นเป็นเพราะว่า เขารู้ว่าทำไมท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งสามารถขโมยชะตากรรมของประเทศต้าฟ่ง หลอมโชคชะตาเก็บซ่อนไว้ภายในร่างกายของเขา นี่คืออำนาจของโหรหลอมปราณระดับสอง แต่ที่ไม่แน่ใจ ก็คือไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ที่สังหารท่านโหราจารย์
“เรื่องนี้กับการที่ท่านโหราจารย์หักหลังเจ้านั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?” เขาถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจออกมาอย่างไม่หวาดหวั่น
โหรชุดขาวไม่ตอบคำถามของเขา แต่เปิดถุงหอมอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงของจ้าวโส่วพูดขึ้น
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้จัดตั้งกองกำลัง”
ในน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ คล้ายกับแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวมหาศาล กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินจึงถูกเปลี่ยนด้วยเหตุนี้
ที่นั่งนั้นก่อให้เกิดพลังของฟ้าดิน ค่ายกลที่ใช้พลังงานห้าธาตุรัดคอของจ้าวโส่วไว้ กระจัดกระจายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ยอดเยี่ยม! สวี่ชีอันชื่นชมอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
ทั้งสองฝ่ายยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน จ้าวโส่วขัดขวางท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแค่รอให้ซ่าหลุนอากู่ ท่านผู้อาวุโสระดับหนึ่งผู้นี้โดนคนทรยศก่อกบฏขับไล่ไป เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือแล้ว
เมื่อเห็นว่าค่ายกลถูกตีแตก โหรชุดขาวไม่ได้ตื่นตระหนก พลางหยิบของวิเศษออกมาจากถุงหอมที่เปิดอ้าไว้ มันคือแผ่นทองแดงแปดทิศชิ้นเล็กๆ
แผ่นทองแดงแปดทิศบินวนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มาหยุดค้างบนศีรษะของจ้าวโส่ว แสงสลัวโปรยลงมา กระบวนพยุหะแปดทิศขนาดใหญ่ปกคลุมลงมา พร้อมกับปิดล้อมจ้าวโส่วไว้อีกครั้ง
“เจ้าจะลองดูก็ได้ ห้ามใช้อาวุธเวทมนตร์ที่นี่”
โหรชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนี้ มงกุฎแห่งปราชญ์เอกของเจ้าก็ไม่สามารถใช้งานได้ ข้าก็ขอถือโอกาสนี้สังหารท่านเลยแล้วกัน”
จ้าวโส่วเงียบ การลั่นประกาศิตนั้นไม่อนุญาตให้เขาปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ฟ้าดินอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทรราชจะต้องไม่ตายดี…สวี่ชีอันสาปแช่งในใจ ความหวังอันริบหรี่ที่พึ่งเกิดขึ้นมลายหายไปในพริบตา
ระบบโหรนี้ มองแวบแรกพลังโจมตีไม่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาที่มีความชำนาญในเรื่องค่ายกลและการหลอมอาวุธ ต้องการเพียงแค่เวลาและทรัพยากรธรรมชาติที่มากพอ พวกเขาก็จะสามารถจัดการกับทรราชได้ กำลังรบไม่พอ ก็นำอาวุธเวทมนตร์มารวมด้วย น่าขยะแขยงจริงๆ
หลังจากโยนแผ่นทองแดงแปดทิศออกไป โหรชุดขาวจึงได้พูดเอ้อระเหย “โหรระดับหนึ่ง เรียกว่า ‘อาณัติสวรรค์’ ”
เขาหยุดไปพักหนึ่ง และพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “รู้อาณัติสวรรค์!
“ท่านโหราจารย์วางแผนกลยุทธ์เผด็จศึก วางหมากอย่างลับๆ ทั้งหมดนี่คืออำนาจของ ‘อาณัติสวรรค์’ แต่อาณัติสวรรค์มีข้อเสียใหญ่ๆ อยู่อย่างหนึ่ง ตลอดมาท่านโหราจารย์ทำได้เพียงแค่วางหมากอย่างลับๆ ไม่สามารถแทรกแซงได้โดยตรง ไม่สามารถเปิดเผยความลับสวรรค์
“ข้าจะยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขารู้ว่าวันนี้ข้าต้องการจะซุ่มโจมตี เขาไม่สามารถบอกเจ้า ไม่สามารถช่วยเจ้าได้โดยตรง ทำได้เพียงช่วยท่านผ่านวิธีที่แยบยลโดยอ้อมเท่านั้น เช่นผนึกมารเสินซูไว้ภายในร่างกายของเจ้า
“ในความเป็นจริง เขาก็ทำแบบนั้นเช่นกัน เพียงแต่ทุกสิ่งบนโลกนี้มีการเกิดและข่มซึ่งกันและกัน ข้าไม่มีวิธีควบคุมเสินซู แต่มีคนที่รักษาเขาได้”
สวี่ชีอันพยักหน้า “เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงความสามารถในการพยากรณ์โชคชะตาของพ่อมด”
โหรชุดขาวยิ้มและพยักหน้า “พื้นฐานของโหรก็ถือกำเนิดมาจากระบบพ่อมด”
“แต่เรื่องนี้กับผู้ที่สังหารท่านโหราจารย์เกี่ยวข้องกันอย่างไร?” สวี่ชีอันถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหรชุดขาวก็ถอนหายใจ “เงื่อนไขการเลื่อนขั้นจากโหรหลอมปราณสู้อาณัติสวรรค์คือหลอมโชคชะตาของประเทศ ข้าพูดเช่นนี้เจ้าอาจจะไม่เข้าใจ”
นี่เจ้ากำลังดูถูกใครกันอยู่ ฮะ…สวี่ชีอันพยักหน้า “มันยากที่จะเข้าใจจริงๆ”
โหรชุดขาวอธิบายอย่างอดทน “เปลี่ยนเป็นคำอธิบายที่ฟังเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น การสนับสนุนอาณัติสวรรค์หนึ่งท่านในการขึ้นครองบัลลังก์ สถาปนาประเทศและตั้งตนเป็นจักรพรรดิ นี่คือหัวใจสำคัญของการเลื่อนขั้นจากโหรหลอมปราณระดับสองขึ้นสู่โหรขั้นหนึ่ง”
‘ตูม!’
คล้ายกับมีเสียงฟ้าร้องระเบิดข้างหู ดังจนหนังศีรษะของสวี่ชีอันเกิดอาการชา
เรื่องลึกลับซับซ้อนทั้งหมดได้คลี่คลายลงแล้ว
ดังนั้น ท่านโหราจารย์ในปีนั้นจึงเลือกที่จะช่วยเหลือจักรพรรดิอู่จง ร่วมมือกับสำนักพุทธ ทรยศหักหลังอาจารย์ของตนเอง ท่านโหราจารย์อาศัยการสนับสนุนจักรพรรดิอู่จง จนเลื่อนขั้นสู่ระดับหนึ่งได้สำเร็จ แต่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งถูกลดขั้นจากระดับหนึ่งเป็นระดับสอง เนื่องจากการสูญเสีย ‘ประเทศชาติ’ ไป
มิน่าล่ะ โหรจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยราชสำนัก เพราะราชวงศ์ที่ปกครองที่ศูนย์กลางคือรากฐานของโหร
ดังนั้น รุ่นที่หนึ่งจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าโหรสังหารเจินเต๋อ ก็คือการทำลายรากฐาน และถ้าเขาสังหารข้า ก็จำต้องแบกรับการแว้งกัดของโชคชะตา ไม่สามารถทำลายรากฐานได้
“ถึงกับไม่สามารถเลือกพระราชโอรสจากราชวงศ์ที่มีอยู่ตอนนี้ และสนับสนุนให้พระองค์ขึ้นครองบัลลังก์ได้เชียวหรือ?” สวี่ชีอันกล่าวอย่างลองเชิง
โหรชุดขาวส่ายหัว “นั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้โหรหลอมปราณได้เลื่อนขั้น”
…สวี่ชีอันเงียบไปนาน แต่ก็อดไม่ได้จึงถามต่อ “ท่านในตอนนั้นเสียสติไปแล้วหรือ? เพราะอะไรถึงต้องรับศิษย์? ตรากตรำ พร่ำสอนศิษย์อย่างหนัก ก็เพราะว่าเพื่อให้พวกเขาแทงข้างหลังตนเองเช่นนั้นหรือ?”
โหรชุดขาวนิ่งเงียบ ปักตะปูทองดอกที่แปดและเก้าเข้าไปในร่างกายของสวี่ชีอัน ในตอนนี้ตะปูทั้งหมดถูกฝังเข้าไปเรียบร้อย
เสินซูถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์
“…”
สวี่ชีอันอยากจะตบปากตัวเองเสียจริงๆ ถ้าหากว่ามือของเขาสามารถขยับได้ละก็
โหรชุดขาวถอนหายใจ “เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะขัดขวางได้ หนึ่งราชวงศ์พินาศไป จำเป็นต้องมาพร้อมกับการตายของท่านโหราจารย์หนึ่งท่าน
“นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องรับลูกศิษย์ ถ้าไม่รับศิษย์ละก็ ระบบโหรก็จะกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองในประวัติศาสตร์ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โชคดีของปีนั้นคืออู่จงวางแผนก่อกบฏ แม้ว่าสายเลือดราชวงศ์จะเปลี่ยนไป แต่ต้าฟ่งก็ยังคงเป็นต้าฟ่ง
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเพียงแค่ล้มลงเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับตาย”
“ดังนั้น การถูกลูกศิษย์หักหลังไม่หยุด คงเป็นชะตากรรมที่ระบบโหรจำเป็นต้องแบกรับ?” สวี่ชีอันพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ พลางพูด
“ท่านคิดที่จะสนับสนุนเชื้อสายราชวงศ์ในตอนนั้น แย่งชิงบัลลังก์กลับมา เช่นนี้ท่านก็จะสามารถกลับมาสู่ตำแหน่งระดับหนึ่ง?”
“นี่มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว” โหรชุดขาวพยักหน้า
สวี่ชีอันพูดไปทีละคำ ทีละประโยค “หลังจากนั้น ท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน จะถอยกลับไประดับสองและเริ่มต้นแผนการสังหารครั้งใหม่ของเขา?”
ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์เริ่มเป็นเช่นนี้เรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด
โหรชุดขาวเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียอีกหรือไม่”
สวี่ชีอันไม่พูดอะไร
โหรชุดขาวยื่นมือออกไปสัมผัสเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่ตกลงมาจากอ้อมอกของสวี่ชีอันอย่างแผ่วเบา
สวี่ชีอันปวดหัวตุบๆ รับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เจ้านายกับทาส’ ของตนเองกับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีได้สิ้นสุดลงแล้ว ในใจรู้สึกจมดิ่งขึ้นมาทันที
โหรชุดขาวเทกระจกหยกชิ้นเล็กออกมา และนำกระบี่ยาวที่เรืองแสงจางๆ สีใสราวกับน้ำออกมา
จากนั้น เขานำเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพียัดกลับเข้าไปในอ้อมอกของสวี่ชีอัน
คืน…คืนให้ข้าหรือ?!
สวี่ชีอันมองเขาอย่างตะลึงงัน เพราะเหตุนี้ เขาจึงหยิบกระบี่เงาจันทร์ของตนเองออกมา?
กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธที่ยึดมาได้จากข้าศึกหลังจากที่สังหารชีเจียนแล้ว
คุณภาพไม่ได้แย่ไปกว่าดาบไท่ผิงของเขาเลย เพียงแต่ไม่มีการก่อกำเนิดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มอาวุธวิเศษได้
“เจ้ารู้ความหมายที่แท้จริงของปรมาจารย์ค่ายกลระดับสี่หรือไม่?”
โหรชุดขาวถือกระบี่เงาจันทร์ หันหน้าไปยิ้มให้สวี่ชีอันพร้อมกับพูดหัวเราะ
ไม่รอให้สวี่ชีอันพูด เขาก็พูดเอง
“ค่ายกลจริงๆ แล้วก็คือกฎเกณฑ์ฟ้าดิน มิเช่นนั้นจะเรียกลมฝนฟ้าแลบฟ้าร้องมาเพื่ออะไร? จะต้องยืมใช้พลังฟ้าดินไปด้วยเหตุใด? เพราะฉะนั้น เพียงแค่ให้เวลากับข้า ข้าก็สามารถเข้าใจกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ลัทธิขงจื๊อแก้ไขได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วก็สามารถวิเคราห์และอธิบายมันได้”
ขณะที่พูด ฝ่ามือของเขาก็ลูบบนกระบี่เงาจันทร์ ลูบจนเห็นอักขระมนต์ที่ลึกลับและบิดเบือนทีละตัว
สวี่ชีอันหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อมองไปที่อักขระมนต์โดยตรง จะทำให้เกิดผลด้านลบต่อเขาคือทำให้เขาปวดหัวตาลาย เช่นเดียวกับความรู้สึกเวลามองตรงไปยังเขี้ยวมังกร
โหรชุดขาวยกกระบี่เงาจันทร์ขึ้น พลางตัดลงมาเบาๆ ‘พื้นที่กักบริเวณ’ ของเจ้าสำนักจ้าวโส่วแตกสลายลงทันที
เขาพูดกับข้ามากมายขนาดนี้ ไม่ได้เป็นการเสียเวลา แต่เป็นการทำให้บรรลุถึงกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน…ความเข้าใจและความซาบซึ้งเกิดขึ้นชัดเจนในใจของสวี่ชีอัน ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
ท่านโหราจารย์น่ากลัวมากเพียงใด ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็น่ากลัวมากเท่านั้น การต่อสู้กับคนแบบนี้ อัตราการยอมให้เกิดความผิดพลาดได้นั้นต่ำเกินไป แรงกดดันจึงมากมายนัก เมื่อเปรียบเทียบกัน เจินเต๋อที่เสียสติใกล้บ้านั้นจัดการได้ง่ายกว่ามากจริงๆ
โหรชุดขาวค่อยๆ ปลดกระบี่เงาจันทร์ออกช้าๆ ไม่แม้แต่จะมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจ้าวโส่ว พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสงบนิ่งและเย็นชา
“อ้อ เกือบลืมไปเรื่องหนึ่ง ข้ายังไม่ได้ปกป้องความลับสวรรค์ของเจ้าเลย”
ภายใต้ใบหน้าซีดขาวของสวี่ชีอัน เขาพูดอย่างช้าๆ
“ตอนที่อยู่เจี้ยนโจว เจ้าสร้างความสัมพันธ์กับบรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ท่านนั้นแล้วล่ะสิ ทหารขั้นสองมากกว่าครึ่ง มีกำลังรบแข็งแกร่งกว่าจ้าวโส่ว
“แต่ทหารก็คือทหาร รับมือได้ไม่ยาก ข้าเพียงจำเป็นต้องอำพรางเจ้า เขาก็ลืมไปแล้วว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่”
สีหน้าของสวี่ชีอันผิดปกติไป เหงื่อเย็นๆ ไหลผุดออกมาจากหน้าผาก เขาเปิดปากอย่างเงียบๆ พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
โหรชุดขาวยกมือขึ้น สัมผัสเขาเบาๆ ในความมืดมัวคล้ายกับมีสิ่งของบางอย่างมาบดบัง
โหรชุดขาวจับไหล่สวี่ชีอันและพูดว่า “ไปกันเถอะ!” ทันใดนั้นทั้งสองพลันหายวับไปทันที
กฎเกณฑ์ที่ไม่อนุญาตให้ส่งตัวต่อ เขาก็ฝ่าฝืนเช่นกัน
…
ทางด้านขุนนาง สวี่ผิงจื้อกำลังควบม้าอย่างบ้าระห่ำ จู่ๆ ก็แสดงสีหน้าสับสน เขาดึงบังเหียนบังคับม้าและมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าตนเองต้องการจะไปทำอะไร
“ทำไมข้ามาอยู่ที่นี่ ข้าต้องการจะไปทำอะไร?” เขาพูดพึมพำกับตนเอง
ขณะที่เขากำลังสับสน ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ใต้เท้าสวี่ ท่านจะไปทำอะไร?”
สวี่ผิงจื้อหันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงจางเซิ่นแห่งสำนักอวิ๋นลู่ขี่ม้าเข้ามาหา
“ข้า…ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวข้าเองจะทำอะไร…” สวี่ผิงจื้อตอบอย่างสับสนงุนงง
จางเซิ่นพูดอย่างจนปัญญา “ไม่เป็นไรๆ เหตุใดจู่ๆ ท่านก็คล้ายกับเสียสติไปแล้ว ภรรยาและลูกสาวของท่านยังคงอยู่ที่สำนักรอท่านกลับไป”
สวี่ผิงจื้อขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ ‘ใช่แล้ว…เพราะหลานชายของเขาเสียชีวิตในการสู้รบที่อวิ๋นโจว จิตใจของเขาทุกข์ระทมไปตลอดทั้งวัน ลูกสาวหลิงเยวี่ยยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ ยิ่งนึกถึงคนที่เคยอยู่ในเรื่องราวเก่าๆ ตลอดทั้งวันใบหน้านั้นเต็มไปน้ำตา
‘สาวน้อยสวี่หลิงอินมักจะตื่นขึ้นมาร้องไห้ตอนกลางคืน ตะโกนหาพี่ใหญ่ บางครั้งนั่งบนที่นั่งคิดถึงพี่ใหญ่ ยิ่งนางโศกเศร้า ความอยากอาหารก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงกับกินห้าชามใหญ่ติดต่อกันได้
‘ดังนั้น เขาจึงลาออกจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการ วางแผนพาภรรยาและลูกสาวไปตั้งรกรากอยู่ที่เจี้ยนโจว’
เมื่อคิดถึงตอนนี้ สวี่ผิงจื้อมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ถอนหายใจพลางพูด “ขออภัย นับตั้งแต่หนิงเยี่ยนตายไปในการสู้รบที่อวิ๋นโจว จิตใจของข้านับวันยิ่งไม่ปกติ ทำแต่เรื่องวุ่นวายยุ่งเหยิง”
หนิงเยี่ยน? คือใครกัน…
จางเซิ่นชะงักงันไปครู่หนึ่ง พร้อมกับถามว่า “หนิงเยี่ยนคือผู้ใด?”
สีหน้าสวี่ผิงจื้อโศกเศร้าขึ้นมาทันที “คือหลานชายของข้า อายุยังน้อย แต่มาเสียชีวิตในการสู้รบที่อวิ๋นโจว” จางเซิ่นพยักหน้า แม้ว่าสวี่ซินเหนียนจะเป็นนักเรียนของเขา แต่เขากับคนในบ้านสกุลสวี่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ครั้งนี้จึงฝากนักเรียนสวี่ฉือจิ้วรับหน้าที่ส่งคนในบ้านตระกูลสวี่ไปตั้งรกรากอยู่ที่เจี้ยนโจวแทน
…
ณ ชานเมือง
ฉู่หยวนเจิ่นนั่งไขว่ห้างบนสันกระบี่ น้ำตานองหน้าและพูดว่า
“จักรพรรดิขาดคุณธรรม นำหายนะมาสู่ประเทศ โชคดีที่มียอดฝีมือปัดเป่ามาร มิฉะนั้น หกร้อยปีแห่งรากฐานต้าฟ่ง จะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของทรราช”
ไต้ซือเหิงหย่วนพนมมือ “ยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่คนเก่งๆ มาจากไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทิ้งไว้แม้แต่ชื่อ เครื่องแต่งกายก็หายไป เก็บซ่อนคุณงามความดีและชื่อเอาไว้สุดลึก”
หลี่เมี่ยวเจินยืนบนกระบี่บิน ขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทางองอาจ ความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้นกับนางอย่างไม่มีเหตุผล เพียงแค่รู้สึกว่าตนเองนั้นได้สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป
ลี่น่าลูบท้องพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้มันจบแล้ว ข้าควรจะกลับไปที่สำนักอวิ๋นลู่ได้แล้ว คนในบ้านสกุลสวี่กำลังรอข้าอยู่”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็ขมวดคิ้ว นางจำไม่ได้ไปชั่วขณะว่าทำไมตนเองจะต้องมาค้างคืนที่บ้านสกุลสวี่ ไม่กี่วินาทีต่อมา นางก็ตระหนักได้ ใช่แล้ว…หลังจากนางมาที่เมืองหลวง และบังเอิญพบกับคุณหนูตระกูลสวี่ สวี่หลิงอิน สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์ที่สุดจนไม่มีใครอาจเทียบเทียม ผู้ที่นางค้นพบท่ามกลางผู้คนมากมาย ดังนั้นนางจึงรับสาวน้อยผู้นี้เป็นศิษย์ อบรมสั่งสอนนางบำเพ็ญพรต
…
พระราชวัง ตำหนักเส้าอิน
หลินอันค้นหาบางอย่างในห้องหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ท่าทางดูป่าเถื่อนรุนแรง ตำราหนังสือถูกโยนทิ้งยุ่งเหยิงตามอำเภอใจ แจกันดอกไม้ร่วงหล่นกระทบพื้นดัง ‘เพล้ง’
“พระองค์ พระองค์…พระองค์กำลังค้นหาสิ่งใดหรือเพคะ?” นางกำนัลคนสนิทร้อนใจอย่างมาก ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
หลินอันหยุดนิ่งและยืนด้วยความงุนงง หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มขาวนวล นางสะอึกสะอื้นและพูดว่า
“ข้า ข้าลืมบางสิ่งที่สำคัญมาก…”
นางกำนัลสองนางมองหน้ากัน ทั้งสองไม่เข้าใจเลยว่าองค์หญิงรองกำลังพูดถึงอะไร
ในช่วงเวลาสั้นๆ หลินอันเห็นกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกกระจัดกระจาย ท่ามกลางตำราหนังสือที่กระจัดกระจายยุ่งเหยิง นางยังคงคิดไม่ออกว่าตนเองนั้นได้ลืมอะไรไป แต่สัญชาตญาณของนางรู้สึกว่าหมากรุกชุดนี้สำคัญมาก นางย่อตัวลง กอดกระดานหมากรุกแน่น น้ำตาไหลนองดั่งสายฝน บนกระดานหมากรุก มีรอยหมึกสีดำเขียนไว้ว่า
‘ศึกสองแผ่นดิน!’
…
อีกฝั่งของพระราชวัง
พระราชโอรสสี่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฮว๋ายชิ่ง เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์แล้ว การอดทนรอขององค์รัชทายาทในที่สุดก็สิ้นสุดลง แต่…แต่ข้าไม่ยินยอม…”
หลังจากการตายของเว่ยเยวียน เขาสูญเสียกำลังที่สำคัญที่สุดไป เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถชนะองค์รัชทายาทที่มีชื่อและเหมาะสมชอบด้วยเหตุผลเช่นนั้น ยอดฝีมือลึกลับท่านนั้นสังหารเสด็จพ่อ ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในราชสำนักอย่างเลี่ยงไม่ได้ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ บรรดากงทั้งหลายจะต้องให้การสนับสนุนองค์รัชทายาทในการขึ้นครองบัลลังก์ เพื่อให้สถานการณ์สงบลงอย่างแน่นอน
พระราชโอรสสี่เพียงแค่รู้สึกว่าอนาคตนั้นช่างมืดมน เขาพบว่าฮว๋ายชิ่งน้องสาวผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมแต่ไหนแต่ไรมาของเขา ณ เวลานี้ มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แววตาโศกเศร้าปรากฏให้เห็น
“ฮว๋ายชิ่ง ข้ารู้ว่าการสวรรคตของเสด็จพ่อทำให้เจ้าเสียใจ แต่…แต่เสด็จพ่อไม่มีเหตุผลที่จะยั่วโทสะหรือหาเรื่องยอดฝีมือผู้นั้นจนโกรธและลงมือ”
พระราชโอรสสี่พูดเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาโศกเศร้าเสียใจ ตราบใดที่องค์รัชทายาทยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ พวกเราก็ยังมีโอกาส และเจ้าต้องช่วยพี่”
ฮว๋ายชิ่งกอบมือทั้งสองข้างไว้ที่อกเบาๆ ‘เจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดใจเหลือเกิน เหมือนมันว่างเปล่า’
…
ที่ลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง
มู่หนานจือนั่งอยู่บนหลังคาบ้าน เอามือเท้าแก้มพลางครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิต
ประตูสำนักถูกเปิดออก ป้าจางเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมกับตะโกนลั่น
“แม่นางมู่ ท่านนั่งทำอะไรอยู่บนหลังคา?”
มู่หนานจือไม่ตอบ แต่มองลงไปที่นาง พร้อมกับพูดเสียงเบา “ป้าจาง เกิดอะไรขึ้น…”
ทันทีที่พูดออกมา นางพบว่าเสียงของนางผิดปกติไป เสียงขึ้นจมูกอย่างหนัก
ป้าจางตอบอย่างเร่งรีบ “เพื่อนบ้านในละแวกนั้นบอกว่าเมืองหลวงกำลังจะถึงจุดจบแล้ว จักรพรรดิล้วนถูกคนลอบสังหารจนสิ้นพระชนม์ พวกเขาวางแผนจะหลบหนีออกจากเมืองหลวง เจ้าจะไปหรือไม่? ตะโกนบอกผู้ชายของเจ้าให้ไปด้วยกันสิ”
จู่ๆ ป้าจางก็หยุดพูดลง พร้อมมองไปที่นางด้วยสีหน้าแปลกใจ “แม่นางมู่ ท่านร้องไห้ทำไม?”
มู่หนานจือชะงักงัน พลางเช็ดใบหน้า มือเต็มไปด้วยหยดน้ำตา “สามี…สามีของข้าตายแล้ว” นางพูดอย่างโศกเศร้า
“ฮะ? เกิดเรื่องขึ้นเมื่อใด?”
ป้าจางตกใจเป็นอย่างมาก
นางร้องไห้พร้อมกับพูด “ข้าไม่รู้ ข้า…ข้าลืมไปแล้ว…”
…
ณ ที่แห่งหนึ่งในเขตชานเมือง
ลั่วอวี้เหิงมือข้างหนึ่งถือกระบี่เอาไว้ อีกข้างหน้าจับหน้าผาก สีหน้าของนางดูเจ็บปวดและทรมานเล็กน้อย
“สวี่ สวี่ชีอัน สวี่ชีอัน…”
นางพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อต่อสู้กับบางสิ่ง แต่ยังคงไร้วิธียับยั้งการลืมเลือนข้อมูลบางอย่าง
…………………………………………………..