ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 489 ย้อนกลับ
บทที่ 489 ย้อนกลับ
ภาพตรงหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนจากพร่ามัวเป็นชัดเจนในเวลาเพียงไม่ถึงวินาที
จากนั้น เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่ปากหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขานั้นเงียบสงัด ดอกไม้ใบหญ้าโรยรา ต้นไม้โกร๋น บรรยากาศซบเซาและเงียบสงบ
สวี่ชีอันหลับตา สัมผัสกับอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ แล้วถอนหายใจเบาๆ อากาศไม่แตกต่างจากในเมืองหลวงมากนัก นี่แสดงว่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งไม่ได้พาเขาออกจากไปจากต้าฟ่งหรือพาไปที่ชายแดน
สำหรับนักพรตขั้นสูงส่วนใหญ่ยกเว้นทหารแล้ว ระยะทางหลายสิบลี้และหลายร้อยลี้ล้วนเท่ากับระยะเพียงก้าวเดียว
โหรชุดขาวยกมือขึ้น นิ้วกลางแตะนิ้วโป้ง แล้วดีดเลือดออกมาหยดหนึ่ง ‘ติ๋ง’ หยดเลือดกระทบกำแพงอากาศ ในอากาศมีระลอกคลื่นสั่นไหวเกิดขึ้น
“นี่คือสถานที่ลับที่ข้าใช้พลังวิญญาณไปไม่น้อยในตอนสร้าง มีเพียงข้า หรือสายเลือดของข้าเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็เข้ามาไม่ได้ การบุกรุกเข้ามา มีแต่จะทำให้สถานที่แห่งนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ”
โหรชุดขาวหิ้วตัวสวี่ชีอัน ก้าวเข้าไปในเขตแดน
สวี่ชีอันทะลุชั้นบรรยากาศใสๆ บางๆ นั้น ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หุบเขายังคงเป็นหุบเขา แต่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีเพียงแผ่นหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักคาถาต่างๆ ไว้เต็มไปหมด
เส้นผ่านศูนย์กลางของแผ่นหินคือสิบจั้ง ครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกตารางนิ้วของหุบเขา
ทันทีที่เห็นแผ่นหิน สวี่ชีอันก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคย และหน้ามืดตาลายขึ้นมาอีกครั้ง อาการคล้ายหญิงมีครรภ์ที่ทนไม่ได้จนอยากจะอาเจียน
“ค่ายกลนี้ ข้าใช้เวลาแกะสลักมาเป็นระยะๆ เป็นเวลานานกว่าสามสิบปี รวมหนึ่งร้อยแปดค่ายกล เป็นค่ายกลเดียว การป้องกันและการโจมตีไร้เทียมทาน นอกจากท่านโหราจารย์ขั้นหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะมีใครสามารถตีสถานที่นี่แตกได้” โหรชุดขาวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
เหตุใดสถานที่ลับของเขาจึงอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แสดงความข้องใจนี้
สวี่ชีอันไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถูกศพแห้งในค่ายกลที่นั่งขัดสมาธิร่างหนึ่งดึงดูดไว้
เสื้อผ้าที่ศพแห้งสวมค่อนข้างแปลก ตัดเย็บจากผ้าและหนังสัตว์ มีหินสีสันงดงามห้อยอยู่ที่เอว บนศีรษะสวมหมวกซับเหงื่อซ้อนกันเป็นชั้นๆ
‘คนซินเจียงตอนใต้?’
นี่คือรูปแบบเสื้อผ้าตามแบบฉบับของชาวซินเจียงตอนใต้
“เขา เขาเป็นอดีตหัวหน้าเผ่าเทียนกู่?!” หัวใจของสวี่ชีอันเต้นแรง พูดสิ่งที่คาดเดาในใจออกมา
“ถูกต้อง เขาคือผู้เฒ่าเทียนกู่ที่ร่วมมือกับข้าขโมยโชคชะตาของต้าฟ่ง”
โหรชุดขาวตอบทุกคำถาม เมฆจาง ลมสงบนิ่ง ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
“ทำไมเขาจึงตายอยู่ที่นี่”
สวี่ชีอันจ้องไปที่ใบหน้าเบลอแบบโมเสกของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง เต็มไปด้วยความสงสัย ราวกับกำลังพูดว่า ‘พวกท่านขัดแย้งกันหรือ’
“เดิมทีเขาก็มีอายุขัยไม่ยืนยาวนัก การร่วมมือกับข้าขโมยโชคชะตาของต้าฟ่ง ทำให้ถูกตอบโต้กลับ เมื่อสงครามที่ด่านซานไห่สิ้นสุดลงไม่นาน เขาก็เสียชีวิต”
โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งกล่าวด้วยความไม่สบายใจ “การขโมยโชคชะตาของประเทศ ย่อมต้องถูกตอบโต้กลับ ข้าก็จะต้องถูกตอบโต้กลับเช่นเดียวกัน นี่คือราคาที่ต้องจ่าย”
ลี่น่าเคยบอกว่า จุดประสงค์ที่ผู้เฒ่าเทียนกู่แสวงหาโชคชะตาของต้าฟ่ง ก็เพื่อซ่อมแซมรูปปั้นของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อปิดผนึกพ่อมดใหม่อีกครั้ง…
สวี่ชีอันพึมพำว่า “เขาจะยอมลำบากเพื่อช่วยเจ้าโดยไม่หวังผล ?”
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถวางแผนขโมยโชคชะตาของต้าฟ่งได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้อายุขัยและสภาพร่างกายของตัวเอง เหตุใดจึงยอมลำบากเพื่อช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลกันนะ
โหรชุดขาวยืนเคียงข้างสวี่ชีอัน มองไปที่ศพแห้งที่อยู่กลางค่ายกลแล้วพูดว่า
“ของขวัญชิ้นนี้มีราคาที่ต้องจ่าย ราคาของมันก็คือการปิดผนึกเทพเจ้ากู่ นี่เป็นเหตุต้นผลกรรมระหว่างข้ากับเขา เจ้าไม่ต้องสนใจ”
สวี่ชีอันเงียบไปครู่นึ่ง แล้วกระซิบว่า “ข้าจะต้องตายหรือไม่”
โหรชุดขาวเงียบไม่พูดอะไร
สวี่ชีอันหันหน้ามองเขาอย่างจริงใจ “ข้าไม่อยากได้โชคชะตานี้ เดิมทีนี่เป็นของของเจ้า สามารถคืนให้เจ้าได้”
โหรชุดขาวพูดช้าๆ “เมื่อเจ้าก้าวขึ้นสู่ขั้นสอง กลายเป็นทหารผสานเต๋า ก็จะสามารถรับผลที่ตามมาจากการสูบโชคชะตา แต่ข้าไม่สามารถรอนานขนาดนั้น
“เว่ยเยวียนตายแล้ว เจินเต๋อตายแล้ว ชีพจรมังกรสลายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว ผู้หลอมปราณจะต้องฝึกตามกระแส หากไม่คว้าโอกาสไว้ รอจนกว่าเจ้าเลื่อนสู่ขั้นสอง โอกาสก็ผ่านไปแล้ว”
“จะทำการใหญ่ให้สำเร็จ จะต้องคว้าโอกาสไว้ เจ้าควรเข้าใจ”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ รอจนกว่าเจ้ากลายเป็นทหารผสานเต๋า ข้าอาจจะไม่สามารถปราบเจ้าได้อีก”
ดวงตาสวี่ชีอันฉายแววโศกเศร้า เขารีบสงบอารมณ์ทันที แล้วถามว่า
“เจ้าปิดบังท่านโหราจารย์ได้อย่างไร เก็บโชคชะตาไว้ในตัวข้า?”
คำถามนี้ ทำให้เขาลำบากใจอยู่เป็นเวลานาน ต้องรู้ว่าท่านโหราจารย์เป็นโหรระดับหนึ่ง และไม่มีใครเข้าใจโชคชะตาได้ดีไปกว่าเขา คนรุ่นที่หนึ่งนิ่งเงียบได้อย่างไร จนทำให้โชคชะตาหลับสนิทอยู่ในตัวเขาเป็นเวลายี่สิบปี
โหรชุดขาวมองไปที่ศพแห้งแล้วพูดเรียบๆ ว่า “นี่ไม่ใช่ความสามารถของข้า แต่เป็นวิธีการของผู้เฒ่าเทียนกู่ ตอนนั้นก็ใช้วิธีเดียวกัน ปิดบังท่านโหราจารย์ได้ จนขโมยโชคชะตาได้สำเร็จ”
วิธีอะไร…สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบายจากโหรชุดขาว
“ในการแก้ระฆังนั้นต้องการคนที่ผูกระฆัง การสูบโชคชะตาของเจ้า ต้องการความช่วยเหลือจากเขา และค่ายกลแห่งนี้”
โหรชุดขาวหิ้วตัวสวี่ชีอัน ดูเหมือนเบาแต่ความจริงแล้วยากที่จะคาดเดา แล้ววางเขาไว้ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งบังเอิญตรงข้ามกับศพแห้งพอดี
เขาต้องการสูบโชคชะตา ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากค่ายกลนี้ จึงได้เริ่มวางแผนตั้งแต่สามสิบปีก่อนแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจในใจ เฒ่าเหรียญเงินปากผีทำอะไรไม่เปิดเผย
เขาไม่ได้ต่อต้าน และไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเช่นกัน หลังจากยืนอย่างว่าง่ายแล้ว ก็ถามว่า
“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะสามารถลบชื่อของข้าออกไปได้หรือไม่”
โหรชุดขาวชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”
สวี่ชีอันยิ้มโดยไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ
“แค่ความสงสัยส่วนตัวเท่านั้น อำพรางคนคนหนึ่ง สามารถทำได้ในระดับใด ลบเขาออกไปจากโลกอย่างสิ้นซาก? อำพรางคนที่ทุกคนรู้จัก ทุกคนจะรู้สึกเช่นไร อย่างเช่นองค์จักรพรรดิ อย่างเช่นข้า
“ทุกคนจะลืมจนหมดสิ้น หรือแค่ความจำสับสน? หากคนคนหนึ่งถูกวิชาอำพรางความลับสวรรค์กลับปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนอีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้น
“ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของผู้ที่ถูกวิชาอำพรางความลับสวรรค์ และคนอื่นๆ จะมีความแตกต่างกันอย่างไร”
โหรชุดขาวมองมาที่เขา และไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน
สวี่ชีอันสบตาเขาด้วยแววตาสงบ “ถ้าหากเขียนเรื่องราวลงบนกระดาษไว้ล่วงหน้า ถ้าหากญาติที่ใกล้ชิดที่สุดได้อ่านเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับความทรงจำ แล้วจะเป็นอย่างไร”
…
บนถนนหลวง ในเขตชานเมือง
สวี่ผิงจื้อควบม้า มุ่งหน้าไปทางสำนักอวิ๋นลู่ จางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เดินอาดๆ เคียงข้างม้าอย่างสบายๆ
เบื้องหน้ามีปราณใสลอยวนเวียน ปรากฏเงาของร่างร่างหนึ่งขึ้น สวมหมวกลัทธิขงจื๊อและสวมเสื้อลัทธิขงจื๊อเก่าๆ ง่ายๆ
“เจ้าสำนัก?”
จางเซิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วพูดว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เจ้าสำนักจ้าวโส่วไม่ได้สนใจเขา หยิบกระดาษข้อความสามแผ่นออกมาจากอกเสื้อ เขาคลี่แผ่นหนึ่งออก ในนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า
‘หากพรุ่งนี้ลืมช่วย (เว้นว่าง) โปรดนำกระดาษข้อความแผ่นที่สองมอบให้กับสวี่ผิงจื้อ’
ตรงกลางมีช่องว่างอยู่ท่อนหนึ่ง ช่วยใคร ในกระดาษไม่ได้เขียนไว้ หรืออาจจะเคยเขียน แต่ถูกลบออกไปแล้ว
“หมายความว่าอย่างไร”
จางเซิ่นมองเนื้อหาในกระดาษข้อความ และเห็นสีหน้าของจ้าวโส่วที่เคร่งขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เขาตระหนักได้ว่าดูเหมือนเจ้าสำนักจะพบกับความยุ่งยากแล้ว
สวี่ผิงจื้อซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าขมวดคิ้ว เขาก็เห็นกระดาษข้อความที่จ้าวโส่วคลี่ออกเช่นกัน แม้ว่าอารองสวี่จะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็มีตำแหน่งขุนนางติดตัว รับใช้ราชสำนักมาหลายปี ปกติมักจะได้สัมผัสกับหนังสือและตัวอักษร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้หนังสือเลยแม้แต่น้อย
ตัวอักษรบนกระดาษข้อความ เขารู้จักเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงสองหรือสามตัวที่ไม่รู้จัก
“ข้าเพิ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่มา แต่จำไม่ได้ว่าต่อสู้กับใคร แล้วก็ยิ่งคิดสาเหตุที่ต้องต่อสู้ไม่ออก จนกระทั่งข้าได้พบกระดาษข้อความสามแผ่นนี้ในตัวข้า”
จ้าวโส่วพูดพร้อมกับคลี่กระดาษข้อความแผ่นที่สอง บนกระดาษใช้ชาดเขียนไว้ว่า
‘อารองช่วยข้าด้วย!’
ตัวอักษรสีแดงสี่คำสะดุดตา สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของสวี่ผิงจื้อ ทำให้รูม่านตาของเขาหดตัวทันที ราวกับประสบกับแสงจ้า มันทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย และทำให้เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
สวี่ผิงจื้อกุมหัว แผดเสียงก้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เส้นเลือดดำบนหน้าผากของเขาปูดโปน เขาตกจากหลังม้า มือทั้งสองข้างกุมหัว กลิ้งไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เจ็บปวดจนคำรามไม่หยุด
จ้าวโส่วพูดด้วยเสียงเข้มว่า “ทุกอย่างจะผ่านไป!”
ลั่นประกาศิต
อาการปวดศีรษะของอารองสวี่ดีขึ้นมากจริงๆ เขาหายใจหอบ ใบหน้าของเขาไม่บูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดอีกแล้ว มีเหงื่อท่วมกาย ราวกับว่าเพิ่งถูกคว้าขึ้นมาจากน้ำ
สวี่ผิงจื้อค่อยๆ ลุกขึ้น ริมฝีปากสั่น ใบหน้าที่หยาบกร้านของเขาไม่รู้ว่าเต็มไปด้วยน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ดูท่าทาง เจ้าคงคิดอะไรออกแล้ว”
น้ำเสียงของจ้าวโส่วอ่อนโยน เขาคลี่กระดาษข้อความแผ่นที่สามต่อ มีข้อความว่า “ไปที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงเมืองเจี้ยนโจว ตามหาบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เมื่อไปแล้วก็จะรู้”
…
ภายในประตูหิน ภูเขาเฉวี่ยนหรง
ชิ้นเนื้อที่กำลังคืบคลานแต่ละชิ้น คืบคลานวนล้อมรอบกระดาษข้อความแผ่นหนึ่ง บนกระดาษเขียนตัวอักษรแถวหนึ่ง
“รอเจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่มาก่อน แล้วจึงไปช่วยพร้อมเขา เรื่องนี้สำคัญมาก”
“รอเจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่มาก่อน แล้วจึงไปช่วยพร้อมเขา เรื่องนี้สำคัญมาก”
“รอเจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่มาก่อน แล้วจึงไปช่วยพร้อมเขา เรื่องนี้สำคัญมาก”
“เรื่องสำคัญพูดสามรอบ”
ภายในถ้ำอันมืดมิด มีเสียงคนชราดังก้องขึ้น
“ทำไมถึงมีกระดาษข้อความอยู่ที่นี่ ดูเหมือนข้าจะลืมอะไรไป ข้าปิดตายตัวเองมานานหลายปี จะออกไปง่ายๆได้อย่างไร มันจะเป็นการสิ้นเปลืองอายุขัยที่เหลืออยู่ไม่มากของข้า”
“ช้าก่อน…”
ชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งคืบคลานไป หอบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากมุมหนึ่ง ในจดหมายเขียนข้อความไว้ว่า
“ผู้อาวุโส ในอนาคตอันใกล้ ข้าน้อยจะประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ หวังว่าท่านจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ สิ่งตอบแทนคือ ข้าสัญญาว่าภายในเวลาครึ่งปี จะมอบรากบัวเก้าสีแก่ท่านหนึ่งราก เพื่อช่วยให้ท่านก้าวสู่ขั้นสองผสานเต๋า”
ภายในถ้ำ มีเสียงคนชราดังก้องขึ้นอีกครั้ง “จดหมายของใคร จดหมายของใคร” น้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
“จำไม่ได้แล้ว แต่จดหมายฉบับนี้ถูกข้าเก็บรักษาไว้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาได้ ดูเหมือนว่าข้าจะลืมอะไรไปบางอย่าง ใช่แล้ว จ้าวโส่ว รอจ้าวโส่ว…”
เสียงคนชราพึมพำกับตัวเอง
…
โหรชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า
“น่าสนใจ เจ้าสามารถคิดเรื่องพวกนี้ได้ ทำให้ข้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่สำคัญ สูบโชคชะตาในตัวเจ้าออกมา ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แม้ในขณะนี้ ท่านโหราจารย์จะต่อสู้จนซ่าหลุนอากู่ถอยร่นไปแล้วและรีบมาที่นี่ เขาก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลที่ข้าใช้เวลาในการแกะสลักสามสิบกว่าปีลงได้ภายในเวลาครึ่งเค่อ
“นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีวิธีการที่ผู้เฒ่าเทียนกู่ทิ้งไว้ ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครรู้”
เอกลักษณ์ที่ไม่มีใครรู้…นี่คือเหตุผลที่โชคชะตาซ่อนอยู่ในตัวข้าถึงยี่สิบปีโดยไม่มีใครค้นพบ? สวี่ชีอันเข้าใจทันที เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“รอบคอบจริงๆ”
โหรชุดขาวไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก้าวเท้าเบาๆ ก็มีแสงสว่างขึ้นจากใต้เท้าของเขา ทันใดนั้นก็ ‘จุดไฟ’ แสงสว่างแผ่กระจายไปทั่วทั้งค่ายกลเหมือนคลื่นน้ำ ส่องให้คาถาสว่างขึ้น
ในขณะนี้ สวี่ชีอันรู้สึกได้ถึงวิกฤตการณ์อันใหญ่หลวง ขนทุกเส้น เส้นประสาททุกเส้นต่างกำลังส่งสัญญาณบ่งบอกถึง ‘อันตราย’
นี่คือปฏิกิริยาสะท้อนกลับต่อสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าของทหารขั้นหลอมวิญญาณ
แต่ในสมองไม่มีภาพที่สอดคล้องกัน วิกฤตการณ์นี้ลึกลับยิ่งนัก และดูเหมือนว่าจะไม่สามารถจับมโนภาพได้
ในความมืดมิด เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายที่อยู่ห่างไกล กำลังลอยขึ้นมาทีละนิด และกำลังจะออกมาทางศีรษะ
‘ค่ายกลกำลังสูบโชคชะตาของข้าออกไป…’ สวี่ชีอันเกิดความตื่นตัวอย่างปราดเปรื่อง
ในเวลานี้ การสูบโชคชะตาได้หยุดลงแล้ว ดูเหมือนว่าจะพบกับด่านที่ยากจะก้าวข้ามไปได้
ในขณะนี้ ที่ศูนย์กลางของค่ายกล ศพแห้งค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นมีเพียงตาขาว ไม่มีลูกตา ราวกับเก็บสะสมน้ำวนที่น่าสะพรึงกลัวไว้
‘เป๊าะ!’
ดูเหมือนสวี่ชีอันจะได้ยินเสียงตะปูโดนหัก ทำให้ตะปูที่ตอกโชคชะตาไว้กับร่างกายของเขาอันใดอันหนึ่งหัก และไม่มีอะไรที่จะสามารถยับยั้งไม่ให้โชคชะตาหลุดออกไปได้อีกแล้ว
เมื่อโหรชุดขาวเห็นดังนั้น ในที่สุดก็ยิ้มออกมา
การวางแผนมาเป็นเวลายี่สิบปี ในที่สุดวันนี้เสร็จสมบูรณ์ สำเร็จลุล่วงแล้ว
แต่ในเวลาต่อมา ใบหน้าที่เพิ่งยิ้มแย้มของเขากลับถมึงทึง
โชคชะตามหาศาลขนาดไร้ขอบเขต ที่คนธรรมดามองไม่เห็นนั้น ในขณะที่กำลังจะอกจากร่างสวี่ชีอัน จู่ๆ ก็แข็งตัว แล้วก็ค่อยๆ ตกลง กลับเข้าสู่กลับเข้าไปในร่างของเขา
“ในตัวเจ้ายังมีโชคชะตาอย่างอื่นอีก ที่ไม่ใช่โชคชะตาของต้าฟ่ง!”
โหรชุดขาวพูด น้ำเสียงของเขาฟังไม่ออกว่ายินดีหรือขุ่นเคือง แต่มันทุ้มต่ำลง
“ดูเหมือนว่าข้าจะพนันถูก”
สวี่ชีอันเหงื่อกาฬเต็มหลัง มีความรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจเหลือเกิน เขาไม่ได้ใช้แรงกายเสียหน่อย แต่กลับหอบอย่างแรง หอบไปหัวเราะไป
“ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้วสองเรื่อง เรื่องแรก โชคชะตาที่ท่านซ่อนไว้ในร่างกายข้า เคยถูกท่านหลอมผ่านวิธีการของผู้หลอมปราณ และโชคชะตาอีกส่วนหนึ่งในร่างกายของข้า ท่านไม่ได้หลอมมัน มันไม่ได้เป็นของท่าน
“เรื่องที่สอง ท่านไม่เหมือนท่านโหราจารย์ การวางแผนโดยไม่เคยผิดพลาดของท่าน เป็นเพราะ ‘พรหมลิขิต’ ของเขา เพียงแต่ขั้นสองผู้หลอมปราณเช่นท่านยังอยู่ขอบเขตของมนุษย์ ท่านไม่ได้รู้ทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ท่านไม่รู้ว่าครั้งหนึ่งข้าเคยพบกับสิ่งเหนือความคาดหมาย และได้รับโชคชะตาที่ไม่รู้ความเป็นมาไว้ ดูแล้ว โชคชะตาทั้งสองดูเหมือนจะหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ดังนั้นท่านจึงเอาโชคชะตาส่วนที่เป็นของท่านออกไปไม่ได้”
“ฮ่า ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสียงหัวเราะของเขาค่อยๆ เกินจริง มีทั้งความรู้สึกสบายใจที่รอดมาได้ แล้วยังมีความรู้สึกหวาดกลัวหลังจากผ่านประตูผีมาได้!
โหรชุดขาวไม่ได้โต้แย้ง ราวกับว่ายอมรับโดยปริยาย หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า
“แค่ใช้เวลามากหน่อยเท่านั้นเอง ผู้หลอมปราณจะหลอมโชคชะตาส่วนเกินย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ตรงกันข้าม ข้าต้องขอบคุณสำหรับของขวัญของเจ้า ที่ทำให้ข้าได้รับโชคชะตาอย่างมากมาย”
“ฮ่า ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า …”
สวี่ชีอันยังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้น หัวเราะเหมือนคนโรคจิต
หัวเราะไปหัวเราะมา น้ำตาก็ไหลออกมา
โหรชุดขาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงไม่พอใจอย่างที่พบเห็นได้ยาก “เจ้าหัวเราะอะไร”
สวี่ชีอันเช็ดน้ำตาตรงหางตา มองไปทางโหรชุดขาว พูดลอดไรฟันออกมาท่อนหนึ่งด้วยความหดหู่และเคียดแค้นว่า
“ข้าควรเรียกเจ้าว่าศิษย์คนแรกของท่านโหราจารย์ หรือดาวเหวินฉวี่แห่งบ้านสกุลสวี่ดี ใต้เท้าสวี่ หรือควรเรียกเจ้าว่าท่านพ่อ?”
……………………………………………………..