ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 490 กลยุทธ์สองพ่อลูก
บทที่ 490 กลยุทธ์สองพ่อลูก
แม้จะมี ‘กำแพง’ อันเลือนรางไม่ชัดขวางกั้นอยู่หนึ่งชั้น แต่สวี่ชีอันกลับสามารถจินตนาการถึงมันได้ โหรในชุดสีขาวผู้นั้นทำสีหน้าเคร่งขรึม อีกทั้งยังดูบูดบึ้งไม่น่ามอง…
“หรือจะให้เรียกเจ้าว่า ‘สวี่ผิงเฟิง’ ดีเล่า หากว่านี่คือนามจริงของเจ้าละก็”
โหรชุดขาวไม่ตอบอันใด ภายในหุบเขาพลันเงียบสงัด สองพ่อลูกต่างจ้องหน้ากันอย่างนิ่งเงียบ
คนหนึ่งสวมชุดขาวดั่งหิมะ อีกคนกลับเปรอะเปื้อนด้วยสีแดงโลหิต
สายลมพัดพาชุดสีขาวของโหรปลิวไสว ไม่นานนักเขาก็ถอนหายใจดูราวกับขอยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
สวี่ชีอันยิ้มยิงฟันพร้อมกับทำสายตาโอหัง “เจ้าทายดูสิ”
ใบหน้าของเขาซีดเซียว เสื้อผ้าต่างก็ขาดรุ่งริ่งปนเปื้อนเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นและหยาดเลือด ทว่าหลังรู้ตัวตนที่แท้จริง สายตาคู่นั้นกลับยิ่งดูทระนงมากขึ้นเรื่อยๆ
โหรชุดขาวลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “สำเร็จวิชาความลับสวรรค์…”
สวี่ชีอันหัวเราะเสียงเย็น “ย่อมสำเร็จเป็นธรรมดา และอย่างไร้รอยตำหนิอีกด้วย สำหรับข้าแล้ว วิชาอำพรางความลับสวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง นั่นก็คือมันไม่ได้ไร้ที่ติเสียทีเดียว”
โหรชุดขาวมิได้กล่าวอันใด ทำเพียงเสกรวมแผ่นหินเล็กๆ ร้อยแปดชิ้นจนเปลี่ยนสภาพเป็นหินขนาดมหึมา ก่อนจะหลอมกับโชคชะตาภายในร่างของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันที่ร่างกายกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติกลับเอ่ยอย่างสุขสบายว่า “วิชาอำพรางความลับสวรรค์ นี่น่ะหรือวิชาอำพรางความลับสวรรค์? สิ่งที่จะซ่อนเร้นคนคนหนึ่งออกจากโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ใช่ มิเช่นนั้นคงไม่มีคนรู้เรื่องท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งหรอก และท่านโหราจารย์คนปัจจุบันคงได้กลายเป็นรุ่นที่หนึ่งในสายตาโลกไปแล้ว
“เมื่อข้ารู้ความจริงเบื้องหลังของคดีภาษี และรู้ว่าเจ้าคือศัตรูตัวฉกาจที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ข้าก็ครุ่นคิดมาตลอดว่าจะรับมือกับวิชานี้อย่างไรดี โดยเฉพาะสิ่งที่ยากจะคาดเดาอย่างวิชาอำพรางความลับสวรรค์ บัดนี้เจ้าจะซ่อนเร้นตัวตนของข้า สถานการณ์นี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน
“ช้าก่อนเถิด ข้าทำการสรุปได้ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์มีข้อจำกัดอยู่สองประการ
“ประการแรก วิชาอำพรางความลับสวรรค์มีขอบเขตจำกัด ซึ่งขอบเขตนี้มีสองด้าน ข้าแบ่งเป็นด้านผลกระทบและด้านความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล
“ทุกสิ่งย่อมมีผลกระทบ หากเจ้าซ่อนเร้นหินข้างทางก้อนหนึ่ง จะไม่มีใครพบว่ามันหายไป มันจะเสมือนถูกลบล้างออกโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะมันไม่ส่งผลกระทบอันใดตั้งแต่แรก เป็นเพียงหินก้อนหนึ่งที่ไร้คนให้ความสนใจ
“แต่เจ้าไม่อาจซ่อนเร้นตำหนักกระดิ่งทองในพระราชวังได้ เพราะสำคัญเกินไป สำคัญเกินกว่าจะไม่มีมัน ผู้คนจะรู้ถึงปัญหานี้ เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย และผลกระทบจากวิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็จะเริ่มปรากฏขึ้นทีละนิด
“ก็เหมือนกับท่านโหราจารย์คนปัจจุบันที่ได้ซ่อนเร้นรุ่นที่หนึ่งไป ปิดบังทั้งห้าร้อยปีก่อนล้วนสิ้น ทว่าผู้คนยังรู้ว่าจักรพรรดิอู่จงก่อกบฏชิงราชบัลลังก์อยู่ เพราะเรื่องราวมันใหญ่โต ไม่อาจเทียบกับหินข้างทาง
“เช่นเดียวกับตรรกะที่ว่า นำสิ่งของเปลี่ยนเป็นมนุษย์ หากเจ้าซ่อนเร้นคนคนหนึ่งไป เช่นนั้นก็เสมือนว่าได้เกี่ยวพันกับเขาคนนั้น หรือถ้าเป็นคนที่ไม่ความสัมพันธ์อันใดเลย ก็อาจลืมเขาหมดสิ้นได้ เพราะคนคนนี้เหมือนมีตัวตนแต่ก็ไม่มีตัวตน ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนอยู่แล้ว
“แต่หากเขาคนนั้นมีญาติสนิท มิตรสหาย หรือกระทั่งเพื่อนสาวที่เขาแอบรัก มันจะไร้ความสมเหตุสมผลทันที ยกตรรกะง่ายๆ เช่น หากเจ้าซ่อนเร้นบิดามารดาของข้า ข้าก็ยังคงไม่อาจลืมบิดามารดาได้ เพราะเป็นมนุษย์ย่อมมีบิดามารดา ไม่มีใครเกิดออกมาจากก้อนหินหรอก
“ด้วยเหตุนี้จึงต้อง ‘พูดโน้มน้าว’ ตัวเอง เพื่อให้ทุกสิ่งสมเหตุสมผลกัน ก็อาจต้องโกหกตัวเอง คอยพร่ำบอกตัวเองว่า ยามที่ข้าเพิ่งเกิดบิดามารดาได้เสียไปแล้ว และนี่คือความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ยิ่งเหตุกับผลสัมพันธ์กันลึกล้ำมากเท่าไร ก็ยิ่งยากที่จะโดนวิชาอำพรางความลับสวรรค์เท่านั้น”
ความจริงแล้วยามแรกเริ่มที่อยู่ในตำหนัก ณ ยงโจวนั้น บังเอิญเจอเข้ากับท่านโหรแห่งพงไพรกงหยางซู่ และได้บอกกับสวี่ชีอันว่า ตนเป็นโหรแห่งพงไพรของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ซึ่งได้รับการสืบทอดวิชาอำพรางความลับสวรรค์จากเขามานานแล้ว ซ้ำยังอธิบายวิชาอย่างละเอียดชัดเจน
โหรชุดขาวถอนหายใจกล่าว “ร้ายแรงเสียจริง แล้วข้อจำกัดประการที่สองคืออะไร”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้อจำกัดประการที่สองก็คือ หากเป็นชาวยุทธ์ผู้ที่มีฝีมือระดับสูงจะซ่อนเร้นได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น”
เว่ยเยวียนสามารถระลึกถึงการมีอยู่ของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งได้ แต่เมื่อพยายามใคร่ครวญสุดความสามารถจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แล้ว กลับมีความรู้สึกแปลกแยกต่อข้อมูลประวัติศาสตร์ จึงตระหนักได้ในทันทีว่าสำนักโหราจารย์ยังมีท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งอยู่อีกคน
โหรชุดขาวผงกศีรษะ “ก็ต้องดูเหตุและผลด้วย ถ้าชาวยุทธ์ที่มีฝีมือระดับสูงไม่ได้เกี่ยวพันกับเจ้าล้ำลึก คงจำเจ้าผู้นี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทว่าหากเหตุและผลของเจ้าต่างสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งขั้นสุด อาจจะมีคนจำเจ้าได้ไวๆ แต่ประเดี๋ยวก็ลืมเลือนอย่างรวดเร็วอีกครา กลายเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไป
“มิน่าเล่า ลั่วอวี้เหิงและจ้าวโส่วถึงระลึกถึงเจ้าได้ ทว่าพวกเขาหาที่นี่ไม่เจอหรอก เดิมทีการซ่อนเร้นเทียนจีของเจ้า ก็แค่เพื่อยื้อเวลาเท่านั้น”
นี่ชักจะดูน่ากลัวแล้วสิ…สวี่ชีอันเริ่มหวั่นใจ จึงเอ่ยต่อว่า “ความจริงข้ายังได้คาดเดาข้อจำกัดประการที่สามไว้ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันให้แน่ชัด สู้ให้เจ้าอธิบายความรู้สึกข้องใจให้ฟังจะดีกว่ากระมัง?”
แม้ท่าทีของโหรชุดขาวจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “หากตอนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าญาติ หรือสู่สายตาชาวเมืองหลวง พวกเขาจะจำจดข้าได้ไหม? อาคมของวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะสิ้นสุดลงหรือไม่?”
“สิ่งนี้สำคัญมากรึ?”
โหรชุดขาวกล่าวพลางบรรจงวาดค่ายกลจากความว่างเปล่า อักขระแต่ละตัวพลันรวบรวมพากันเปล่งแสงพร่างพราย จากนั้นก็เข้าสู่ภายในร่างกายสวี่ชีอัน เพื่อเร่งความเร็วของการหลอมโชคชะตา
“สำคัญมาก หากการคาดเดาของข้าสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่นนั้นยามเจ้าเผยตัวบนท้องฟ้าในเมืองหลวง ปรากฏตัวต่อสายตาผู้คน อาคมของวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะสิ้นสุดลง ซึ่งอารองของข้าจะจำเจ้าได้ในสถานะที่เป็นพี่ใหญ่”
โหรชุดขาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังจำได้อยู่หรือ?”
สวี่ชีอันยกยิ้มมุมปาก “ท่านโหราจารย์มีทั้งสิ้นหกท่าน แต่ข้าคบค้าสมาคมกับเหล่าโหรของสำนักโหราจารย์มาช้านาน ในหมู่พวกเขาไม่มีใครได้ยินข่าวเกี่ยวกับศิษย์เอกสักคน ซึ่งนี่มันผิดปกติอย่างมาก
“พอมาคิดดูภายหลัง สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ เขาซ่อนเร้นตัวเอง
“ทว่าในตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงว่าศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ จะเป็นโหรผู้มีฝีมือระดับสูงที่ปรากฏตัวในอวิ๋นโจว อีกทั้งยังเป็นฆาตกรที่คอยอยู่เบื้องหลัง เพราะข้ายังไม่รู้เรื่องการสืบทอดระหว่างโหรขั้นหนึ่งและขั้นสอง”
เขารู้เพียงหากโหรขั้นสองอยากเลื่อนระดับเป็นขั้นหนึ่ง จำเป็นต้องแทงข้างหลังอาจารย์ ซึ่งความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยนานมาแล้ว และไม่แน่อาจถูกทำร้ายจากการโคจรแห่งดาวเหวินฉวี่[1]อย่างคนสกุลสวี่ผู้นี้ด้วย
สวี่ชีอันพูดจาฉะฉาน ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนที่มากประสบการณ์ และเสมือนว่าสถานการณ์ได้พลิกผันไปแล้ว เพราะโหรชุดขาวเริ่มที่จะตั้งใจฟังอย่างเงียบสงบ
ยามนี้สวี่ชีอันตกอยู่สภาวะความเป็นความตายขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย กลับเอ่ยอย่างช้าๆ ไม่ได้มีความร้อนรนอันใด
ในเมื่อรู้ตัวตนของโหรชุดขาวตั้งนานแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโชคชะตาของตัวเองเป็นเขาที่ได้มอบให้ สวี่ชีอันกลับชะล่าใจงั้นรึ?
แต่ไม่มีใครไม่ห่วงชีวิตความปลอดภัยของตัวเองหรอก
“เดิมทีถ้าวิเคราะห์ตามสถานการณ์นี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะรู้อยู่ดีว่าศัตรูตรงหน้าคือศิษย์เอกแห่งสำนักโหราจารย์ ทว่าในภายหลัง ข้าบังเอิญพบจีเชียนยามที่อยู่เจี้ยนโจว แล้วได้เอ่ยถามถึงข้อมูลที่สำคัญยิ่งกับสายเลือดราชวงศ์ผู้นี้ จึงรู้ถึงการมีอยู่ของเชื้อสายนั่นเมื่อห้าร้อยปีก่อน และยังรู้เรื่องท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังมีชีวิตอยู่
“ทุกสิ่งต่างสอดคล้อง ไม่มีช่องโหว่แต่อย่างใด เจ้าใช้ประโยชน์จากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของแหล่งข่าว ทำให้ข้าเชื่อสนิทใจว่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งไม่ได้ตายเป็นเรื่องจริง จุดประสงค์ของเจ้าก็คือต้องการให้ข้าและท่านโหราจารย์ขัดแย้งกัน ทำให้ข้ารู้สึกบาดหมางกับเขา เพราะจีเชียนบอกข้าว่า หากโดนฉกฉวยโชคชะตา ข้าอาจจะตายได้
“เช่นนั้น ข้าย่อมต้องระวังท่านโหราจารย์ฉกฉวยโชคชะตา และระแวดระวังต่อทุกคน ทว่าที่จริงในตอนนั้นจีเชียนได้บอกหมดแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเจ้าที่อยากให้ข้าได้รับรู้ มิน่าเล่ายามนั้นเจ้าจึงอยู่ที่เจี้ยนโจว”
โหรชุดขาวไม่ได้หยุดวาดค่ายกลแต่อย่างใด พยักหน้ากล่าวว่า “นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน ข้าหาได้โป้ปดเจ้าไม่”
สวี่ชีอันหรี่ตาก่อนผงกศีรษะ เอ่ยอย่างเห็นพ้องต้องกันกับเขา “แท้จริงแล้ว เจ้าจงใจส่งจีเชียนมาให้ข้าสังหาร และที่ต้องการให้ข้าเกิดความบาดหมางกับท่านโหราจารย์ก็เพียงส่วนหนึ่งของจุดประสงค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์หลักคือมอบเขี้ยวมังกรแก่ข้า เพื่อยืมมือข้าทำลายวิญญาณชีพจรมังกรสินะ”
โหรชุดขาวเงียบอยู่ครู่หนึ่งไปโดยปริยาย ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “ยังมีอีกเหตุผล ตายด้วยน้ำมือของรุ่นที่หนึ่ง ยังดีเสียกว่าตายในมือของผู้เป็นบิดา ข้าเลยไม่อยากให้เจ้ารู้ความจริงเช่นนี้ แต่จนแล้วจนรอดเจ้าก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า”
สวี่ชีอันทำเสียงเฮอะ “คงไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขาของบิดาอย่างเจ้าหรอกนะ?”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวต่อ “จะว่าไป ระหว่างที่ข้ากำลังสืบเรื่องจักรพรรดิเจินเต๋อ ถึงได้รู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า บันทึกประจำวันของจักรพรรดิหยวนจิ่งรัชสมัยที่สิบกับสิบเอ็ด ไม่ได้มีการใส่ชื่อของอาลักษณ์ไว้ ด้วยความของเข้มงวดรอบคอบสำนักราชบัณฑิตหลวงแล้ว จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความผิดพลาด
“ในตอนนั้นข้าคิดว่าความผิดพลาดของจักรพรรดิหยวนจิ่ง จึงลองตรวจสอบตามเบาะแส พบว่าเป็นปัญหาที่อาลักษณ์ ด้วยเหตุนี้เลยสืบสวนการสอบจอหงวนในรัชสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่งที่สิบ ก็พบอีกว่าชื่อผู้สอบได้ระดับทั่นฮวาลำดับแรกถูกลบทิ้งไป
“ผู้สอบผ่านระดับทั่นฮวาคนนั้น ในภายหลังได้เข้าร่วมกับฝ่ายพรรคราชสำนัก มีอำนาจเหลือล้น แต่เพราะคดีฉ้อโกงของซูหังจึงถูกสั่งประหาร ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคแกนนำหลัก ทว่าในจดหมายลับของเฉากั๋วกงได้เขียนชื่อพรรคที่ถูกลบทิ้งเอาไว้ ซึ่งชื่อที่โดนลบไปไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรนัก น่าจะชื่อว่าพรรคสวี่!”
เขาเหลือบมองโหรชุดขาวปราดเดียว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โต้แย้งอะไร จึงพูดต่อ “ข้าเคยคิดว่าเป็นท่านโหราจารย์ที่ลบการมีอยู่ของผู้สอบผ่านระดับทั่นฮวาคนนั้น แต่ภายหลังได้ล้มล้างการคาดเดานี้ไป เพราะแรงจูงใจไม่มากพอ ท่านโหราจารย์ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขัดแย้งในฝ่ายพรรคราชสำนัก และสำหรับเหล่าขุนนางแล้ว ก็เป็นเพียงการละเล่นของเด็กน้อยเท่านั้น
“ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนมุมมอง หากว่าชื่อของอาลักษณ์ที่ถูกลบไป เป็นเขาที่ลบเองเล่า? ทุกอย่างจะพลันสมเหตุสมผลเลยมิใช่หรือ? แต่กระนั้นก็ยังจัดว่าเป็นสมมุติฐานอยู่ดี เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน อีกทั้งเหตุใดอาลักษณ์จะต้องลบการมีอยู่ของตัวเองด้วย แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
“ข้าไม่เคยเข้าใจมาโดยตลอด จนกระทั่งข้าได้รับจดหมายจากสหายหญิงที่รู้ใจกันคนหนึ่ง”
สวี่ชีอันชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่กลับชิงเปลี่ยนเรื่อง “ทั่วอาณาเขตของอวิ๋นโจวถูกเรียกว่าสวี่โจวรึ?”
โหรชุดขาวตอบอย่างเรียบนิ่ง “เจ้าเชื้อสายราชวงศ์นั่นรับปากว่าจะสนับสนุนข้า แต่งตั้งลูกหลานของข้าได้ขึ้นเป็นอ๋อง เมื่อทำการเรื่องใหญ่สำเร็จ อวิ๋นโจวจึงจะเปลี่ยนชื่อเป็นสวี่โจว ซึ่งเป็นของสกุลสวี่ แน่นอนว่าข้าไม่ได้สนใจที่ดินเมืองอะไรขนาดนั้นหรอก เฮ้อ ลูกหลานของข้า ก็ไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียว
“เจ้าคาดเดาว่าข้าคือศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ได้ นี่ไม่ค่อยแปลกสักเท่าไร แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือบิดาแท้ๆ ของเจ้า”
สวี่ชีอันแสยะยิ้มเอ่ย “ข้าเพิ่งพูดไปไง ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์ทำให้ตรรกะแนวคิดของบรรดาญาติคนสนิทเกิดความยุ่งเหยิง พวกเขาจะแก้ไขจุดที่ยุ่งเหยิงด้วยตัวเอง จากการหาคำอธิบายสักอย่างที่มันสมเหตุสมผลให้กับตน เช่น อารองคิดมาโดยตลอดว่าคนที่รับดาบโดนแทงแทนเขาในยุทธการด่านซานไห่คือพี่ใหญ่ของเขา
“เช่น บรรดาผู้อาวุโสแห่งสกุลสวี่ที่สติปัญญาหม่นหมองลง ก็คิดไปแล้วว่าบุตรชายคนโตแห่งสกุลสวี่ ผู้เป็นดาวเหวินชวีแห่งสกุลสวี่ ทว่าดาวเหวินชวีของสกุลสวี่เป็นการบอกลาสิ่งเก่า ข้าก็เป็นทหารคนหนึ่ง ตรรกะนี้มีปัญหา เห็นได้ชัดว่าสมองของเหล่าผู้อาวุโสไม่ค่อยแจ่มใสนัก ทั้งพูดว่าบุตรชายคนโตแห่งสกุลสวี่ ไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้า
“ที่จริงมันทำให้ข้าระลึกถึงตัวตนของเจ้า เอ้อร์หลางที่อยู่ทางเหนือได้ส่งข่าวกลับมา เขาบังเอิญเจอกับสหายร่วมรบของอารองในปีนั้น สหายร่วมรบผู้นั้นประณามอารองด้วยความโกรธแค้นว่าเป็นคนเนรคุณ
“เพราะในวันนั้นเขาคือคนที่รับดาบแทนอารอง ไม่ใช่เจ้า อีกทั้งเขายังเป็นคนแซ่โจวที่เหลือรอดคนสุดท้ายของวงศ์ตระกูล เวลานั้นเอง ทุกเบาะแสก็ปะติดปะต่อกันขึ้นมา สุดท้ายข้าจึงรู้ว่าศัตรูที่ตนจะเผชิญหน้าด้วยคือใคร”
ในตอนนั้นเอง สวี่ชีอันนั่งอุดอู้อยู่ภายในห้องหนังสือเป็นเวลานานด้วยความโศกเศร้า เพราะรู้สึกเสียใจแทนอารองและคนที่รับดาบตัวจริง
“แต่ว่ามีบางเรื่องที่จนถึงเวลานี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าเป็นโหร อยู่ดีๆ ไปสอบจอหงวนระดับทั่นฮวาทำไม?” สวี่ชีอันเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่ยากจะปิดบัง
โหรชุดขาวถอนหายใจเสียงเบา “นั่นมันก็แค่ลองดู ถ้าไม่ใช่ว่ามีทางเลือกอื่นจริงๆ ข้าก็ไม่อยากจะทรยศอาจารย์ ตอนนั้นข้าคิดเหมือนกันเจ้า ลองเข้าหาองค์ชายปัจจุบัน สนับสนุนเขาจนได้ขึ้นครองราชย์ แต่ข้าคิดรอบคอบมากกว่าเจ้า ข้าไม่เพียงแต่สนับสนุนองค์ชายให้ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเดียว ข้ายังได้เป็นสมุหราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นศูนย์กลางรับผิดชอบต่อราชวงศ์
“การทำสองสิ่งพร้อมกัน เพื่อเร่งหลอมโชคชะตา บางทีมันอาจจะช่วยให้ข้าได้เลื่อนสู่โหรขั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงเกิดพรรคสวี่ขึ้นมา”
สวี่ชีอันหัวเราะเยาะก่อนเอ่ยว่า “แต่เจ้าก็พ่ายแพ้ เพราะท่านโหราจารย์ไม่เห็นด้วยสินะ?”
โหรชุดขาวส่ายหน้า “เขาเห็นด้วย แต่ทำข้อตกลงกับข้าไว้นั่นก็คือ อย่านำตำแหน่งโหรเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายราชสำนัก ฝ่ายราชสำนักก็ส่วนฝ่ายราชสำนัก จะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของอีกฝ่าย “เช่นนั้น เจ้าก็เป็นผู้แพ้ในการขัดแย้งระหว่างฝ่ายราชสำนัก จึงหลบหนีออกจากพระราชวัง และเปลี่ยนเป็นพยายามสนับสนุนเชื้อสายเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั่นน่ะหรือ?”
โหรชุดขาวพยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “มันไม่ได้ง่ายดายอย่างเจ้าคิดหรอกนะ ในยามนั้นพรรคสวี่มีอำนาจยิ่งใหญ่ พอๆ กับพรรคเว่ยในปัจจุบันนี้ ทุกพรรคต่างพากันจ้องเล่นงาน อีกทั้งศัตรูที่ข้าต้องเผชิญ ก็ไม่ได้มีแค่คนเหล่านี้ ยังมีจักรพรรดิหยวนจิ่งและอดีตผู้นำลัทธิเต๋า”
คราวนี้จะพูดยังไงดีล่ะ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเองเขาก็เข้าใจ
โหรชุดขาวแสยะยิ้มเอ่ย “ผู้นำลัทธิเต๋าในตอนนั้นรู้ตัวว่าหนีเคราะห์กรรมไม่พ้น แต่เขาต้องปูทางให้บุตรสาวนามลั่วอวี้เหิง แต่โชคชะตาของชาติถูกกำหนดไว้แล้ว จึงยังไม่อาจทราบว่าสามารถมีโหรขั้นหนึ่งถึงสองคนในเวลาเดียวกันได้หรือไม่ แม้จะทำได้ ก็ไม่มีโชคชะตามากพอจะดับไฟแห่งกรรมให้ลั่วอวี้เหิง
“ด้วยเหตุนี้ อดีตผู้นำลัทธิเต๋าจึงมองว่าข้าเป็นศัตรู ส่วนจักรพรรดิหยวนจิ่ง ไม่สิ จักรพรรดิเจินเต๋อ พระองค์ได้ลอบตัดสินใจอย่างไร เจ้าเองก็รู้แก่ใจดี พระองค์ต้องการจะแบ่งแยกโชคชะตา ยอมมีโหรขั้นหนึ่งอีกคนจะเป็นไรไป?
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะมีโอกาสชนะได้อย่างไร? เวลานั้นข้าแทบหมดหนทาง ส่วนอาจารย์ก็สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ไม่เข้ามาสอดแทรก ทั้งไม่ให้การสนับสนุนใดๆ”
สวี่ชีอันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในจดหมายของแม่นางฝูเซียงขึ้นมา เจ้าอินทรีหนุ่มถูกรังแก แต่อินทรีตัวที่แก่กว่ากลับมองอย่างนิ่งเฉย เจ้าอินทรีหนุ่มจึงโกรธเคือง พลันกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องนภา และไม่กลับมาอีกเลย
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…
“กลางสถานการณ์เช่นนั้น ข้าพลันนึกอะไรออก เหตุใดไม่เลียนแบบอย่างอาจารย์ในปีนั้นเล่า สนับสนุนอีกเชื้อสายหนึ่งขึ้นครองราชย์ ดั่งตอนที่ขจัดขุนนางชั่วข้างกายจักรพรรดิอู่จงในครานั้น ตั้งแต่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัว มันก็ยากที่จะควบคุม
“การวางแผนและข้อมูลทั้งหมดที่ข้าได้เตรียมไว้ในภายหลัง ล้วนก็พยายามเพื่อจุดประสงค์นี้ เจ้าคิดว่าเหตุใดจักรพรรดิเจินเต๋อถึงได้ร่วมมือกับสำนักพ่อมด เหตุใดข้าถึงมอบเขี้ยวมังกรให้เจ้า? แล้วเหตุใดข้าถึงรู้ว่าเขาต้องการจะสูบดึงวิญญาณแห่งชีพจรมังกรเล่า?”
โหรชุดขาวเพียงยิ้มไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากบทสนทนาที่จิตใจเต็มไปด้วยแผนการสกปรกในครั้งนั้น
แผนการปัจจุบันทั้งหมดของจักรพรรดิเจินเต๋อ เพราะการกระทำของเขาเลยยิ่งไปหนุนคลื่นลมให้สูง[2]ขึ้นกว่าเดิม
แย่แล้ว…สีหน้าสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพิ่งจะนึกขึ้นได้ตอนนี้ การสังเวยวิญญาณแห่งชีพจรมังกร จะทำให้จงหยวน[3]กลายเป็นรัฐบริวารของสำนักพ่อมด จะเป็นเหมือนซ่าหลุนอากู่ กลายเป็นผู้ปกครองคนแรกแห่งจงหยวนชั่วนิรันดร์ การกระทำนี้จะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เกี่ยวพันกับโชคชะตา จักรพรรดิเจินเต๋อคิดแผนการนี้ได้อย่างไรนะ แต่อย่างน้อยเจินเต๋อในตอนนั้นก็คิดอะไรไม่ออกอยู่แล้ว
แต่หากเป็นโหรผู้เชี่ยวชาญ ทุกอย่างก็จะสอดคล้องทันทันที
ปัจจุบันราชวงศ์ต้าฟ่งได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ จุดที่มีผู้นำลัทธิเต๋าและบุตรชายคนโตสกุลสวี่เป็นคนร้าย ซึ่งทุกวันนี้ทั้งสองต่างมีอำนาจมาสี่สิบกว่าปี
“ต่อมา ข้าจึงลาออกจากการเป็นขุนนางในราชสำนัก และร่วมวางแผนกับผู้เฒ่าเทียนกู่ ซึ่งเริ่มวางแผนตั้งแต่ยุทธการด่านซานไห่ ทว่าระหว่างนั้นเอง ข้าจัดการซ่อนเร้นตัวเอง เพื่อให้บุตรชายคนโตแห่งสกุลสวี่หายไปจากเมืองหลวง แน่นอนว่าในแผนการนี้ย่อมต้องมีคนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ เช่นเพิ่มชื่อคนที่หายตัวเข้าไปยังหนังสือลำดับญาติประจำวงศ์ตระกูล แล้วก็ทำหลุมศพให้ตัวเอง
“ความทรงจำของคนสกุลสวี่จะเสมือนความสับสนยุ่งเหยิง กลั่นกรองอันใดมิได้ ตราบใดที่ไม่มีใครมาทำให้รู้สึกตัว พวกเขาก็จะโกหกตัวเองอยู่อย่างนั้น หากเจ้าตั้งใจฟังเรื่องราวที่ผ่านมา ก็จะพบว่าเอ้อร์หลางเคยสติฟั่นเฟือนอยู่ระยะหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้น่ารื่นรมย์นัก ไม่น่าจะมีใครกล่าวถึง
“ศัตรูในอดีตก็จำข้าไม่ได้ ข้าเคยลองเดินผ่านสายตาพวกเขาดู ก็เป็นไปตามหลักของวิชาอำพรางความลับสวรรค์ ยามที่ข้าออกมาจากราชสำนัก เหตุและผลระหว่างข้ากับพวกเขาต่างชัดเจน ไม่เคยมีเยื่อใยลึกซึ้งต่อกัน พวกเขาคงไม่สนใจตัวข้าอยู่แล้ว”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยว่า “มิน่าเล่าเจ้าถึงใช้ประโยชน์จากคดีภาษีที่สูญหายไป เป็นวิธีที่เหมาะต่อการจะนำตัวข้าออกจากเมืองหลวง แม้ว่าโชคชะตาในร่างของข้าจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน แล้วโดนผู้เฒ่าเทียนกู่ปกปิดด้วยวิธีการบางอย่าง แต่สุดท้ายข้าก็เป็นบุตรชายของเจ้า ในสายตาท่านโหราจารย์ย่อมจับตามองข้าไม่มากก็น้อย
“หากว่าเจ้าบีบบังคับนำตัวข้าออกมาโดยใช้วิธีที่ดูไม่เหมาะสม ท่านโหราจารย์อาจจะโต้ตอบทันทีสินะ แต่ทำไมเจ้าถึงทิ้งข้าไว้ที่เมืองหลวง ไม่พาข้าออกไปตรงๆ เลยเล่า?”
น้ำเสียงของโหรชุดขาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งดูแฝงด้วยความผิดหวัง “เจ้าทายถูกแค่เพียงครึ่งเดียว ความจริงแล้วเรื่องคดีภาษีที่สูญหายไปก็เพื่อให้เจ้าออกมาเมืองหลวงได้อย่างสมเหตุสมผล ส่วนสาเหตุที่ทิ้งไว้เจ้าอยู่เมืองหลวง แล้วถูกเอ้อร์หลางเลี้ยงดูจนโต ไม่ต้องมานั่งครุ่นคิดกลยุทธ์อยู่ใต้แสงเทียนท่ามกลางความมืด เพราะตอนนั้นมันดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น”
“เรื่องไม่คาดฝันรึ?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วไม่กล่าวอะไร
โหรชุดขาวพยักหน้า น้ำเสียงกลับมาสงบดังเดิมพร้อมยิ้มเอ่ยว่า “มีบางเรื่องที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า โชคชะตาน่ะ ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถรับมันได้ เจ้าคือภาชนะชั้นยอด เพราะเจ้าไม่เพียงแต่เป็นเชื้อสายของข้า ขณะเดียวกันเจ้ายังเป็นเชื้อสายของสมาชิกราชวงศ์ต้าฟ่งอีกด้วย”
???
แม้ว่าจะเพิ่งมาพูดในวันนี้ แต่หลังจากได้รู้ความลับขั้นสุดยอดเยอะเกินไป สวี่ชีอันในยามนี้จึงยังตกตะลึงไม่หาย ตัวทั้งตัวนิ่งงันไปโดยปริยาย
…………………………………………….
[1] หนึ่งในกลุ่มดาวเป๋ยโต่ว ซึ่งดาวเหวินชวีอยู่ลำดับที่สี่ มีนิรมาณกายคือน้ำ
[2] เป็นสำนวนจีน推波助澜 ที่หมายถึงว่าทำเรื่องราวให้แย่ยิ่งกว่าเดิม
[3] หมายถึงบริเวณที่ราบภาคกลาง อยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง ถือว่าเป็นศูนย์กลางของจีน เพราะส่วนนอกบริเวณจงหยวน จะถือเป็นขอบนอกของอารยธรรมจีน
………………………………………………………