ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 491 หญิงผู้น่ารังเกียจ
บทที่ 491 หญิงผู้น่ารังเกียจ
…ใบหน้าสวี่ชีอันแข็งทื่อ พลางจ้องมองไปที่โหรชุดขาวโดยยังไม่ฟื้นคืนสีหน้าเดิม
ภายในสมองของเขานั้น คนในชุดคลุมสีแดงและอีกคนสวมชุดสีขาวก็พลันลอยขึ้นมาทันที
“มารดาของเจ้าคือเชื้อสายราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน และก็เป็นน้องสาวของผู้ที่ถูกสวรรค์เลือกซึ่งข้าให้การสนับสนุนในตอนนี้ เวลานั้นข้าได้ผูกสัมพันธมิตรกับเขา และด้วยเพราะส่งเสริมให้เขาขึ้นครองราชย์ เขาจึงมอบน้องสาวของตนแก่ข้า นับว่าเป็นสหายร่วมสาบานที่ไว้วางใจมากที่สุดในปฐพี ถึงแรกเริ่มด้วยผลประโยชน์ แต่ครั้งต่อมามันคือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น
“หลังจากข้าแต่งงานกับสตรีเชื้อสายชั้นสูง ก็พยายามวางแผนยุทธการด่านซานไห่ หมายจะชิงโชคชะตาของแผ่นดินต้าฟ่ง ทว่าในตอนท้ายของยุทธการด่านซานไห่ เจ้าก็ถือกำเนิดขึ้นมา”
‘ฟิ้ว!’
สวี่ชีอันถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก คนในชุดแดงและชุดขาวลอยกลับมาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นทายาทเชื้อราชวงศ์แห่งต้าฟ่ง แต่ก็เป็นเชื้อสายเมื่อห้าร้อยปีก่อน ซึ่งที่จริงไม่ได้เกี่ยวพันกับพวกฮว๋ายชิ่งและหลินอันมากนัก
ยามที่ผู้อาวุโสเจอคนแซ่เดียวกับตนก็มักชอบพูดว่า เมื่อห้าร้อยปีที่แล้วพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน
แต่อย่าไปพูดถึงมันเลยจะดีกว่า ฮว๋ายชิ่งและหลินอันต่างก็เหมือนเป็นน้องสาวของเขา
หลังจากนั้น เขาก็เพิ่งจะใคร่ครวญว่าคำพูดของบิดาคือเรื่องจริงหรือปลอม
ช่วงเวลาก็สอดคล้องอย่างพอดิบพอดี ปีนั้นยามเราเกิด จากความทรงจำของอารอง เขาและพี่ชายคนโตกำลังรบราที่ด่านซานไห่ ดังนั้นอาสะใภ้กับผู้เป็นมารดาทั้งสองได้ดูแลเขามานานแล้ว…
สวี่ชีอันตะลึงงัน หวนนึกถึงจุดที่ผิดปกติ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มว่า “นาง…เหตุใดนางถึงมาคลอดข้าที่เมืองหลวง?”
ระหว่างที่เอ่ยถามนั้น ใบหน้าของเขาพลันซีดเซียว รู้สึกได้เพียงมีบางสิ่งกำลังปั่นป่วนอยู่ภายในร่างกาย ราวกับกำลังพยายามต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่
ในขณะเดียวกันนั้น สัญชาตญาณของจอมยุทธ์กำลังส่งสัญญาณเตือนอย่างรุนแรง ยังคงจินตนาการมองภาพไม่ออก แต่สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นกลัวจากหัวใจข้างใน ทั้งยังทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเป็นที่กำลังเหยียบย่ำอยู่บนลวดเหล็ก ซึ่งอาจจะร่วงหล่นลงมาจนร่างแหลกเหลวเมื่อใดก็ได้
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันนึกถึง ยามที่โหรชุดขาวหลอมโชคชะตาแล้วเจอกับจุดวิกฤติสำคัญ หากสำเร็จ โชคชะตาในร่างนี้จะกลายเป็นของผู้อื่น และไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตนอีก
อีกทั้งในชีวิตนี้เขาอาจจะผสานเชื่อมเกี่ยวกับโชคชะตาที่จากไปตอนไหนก็ได้ จนกว่าร่างนี้จะล้มหายตายจาก
สำหรับสิ่งที่บุตรชายกำลังจะได้เผชิญนั้น โหรชุดขาวไม่ได้รู้สึกดีใจหรือทุกข์แต่อย่างใด กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคยว่า “มารดาของเจ้าฉวยโอกาสในยามที่ข้าไม่ได้ข้างกาย แอบลอบไปยังเมืองหลวง เพื่อคลอดเจ้าที่นั่น หลังจากข้าชิงโชคชะตามาได้ ถึงค่อยรู้เรื่องนี้”
“เพราะอะไร?”
สวี่ชีอันพลันกระอักเลือดออกมาจากปากและจมูก ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายอย่างล้ำลึก
โหรชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างเคย “เดิมทีเจ้าก็เกิดเพื่อรองรับโชคชะตาอยู่แล้ว เป็นภาชนะที่ต้องถูกใช้งาน นี่คือกลยุทธ์ของข้ากับผู้มีเชื้อสายราชวงศ์นั่น ถึงในช่วงแรกจะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น แต่เพราะยังไม่ถึงเวลา จึงไม่เหมาะที่จะเอาโชคชะตาเข้าสู่ร่างของผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์คนนั้น
“มารดาของเจ้าเป็นสตรีจอมวางอุบาย นางทำทีท่าแสดงให้เห็นว่ายอมรับความลำบากอย่างไม่ขัดขืน และยอมได้ทุกอย่างเพื่อวงศ์ตระกูล แต่นั่นเป็นการเสแสร้ง เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของนาง นางยอมไม่ปล่อยให้เจ้าตาย โดยตอนที่หลบหนีไปยังเมืองหลวงเพื่อคลอดเจ้าที่นั่น
“ท่านโหราจารย์ที่พำนักอยู่เมืองหลวง ซึ่งเขาก็คือเกราะป้องกันอันมโหฬารของเจ้าเลยล่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…สวี่ชีอันถอนหายใจ ไม่ได้ถามข้อสงสัยอันใดอีก
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจตอนนี้พลันคิดว่าชายชราคนนั้นจะเป็นท่านโหราจารย์ดังกล่าว
อาณาจักรต้าฟ่งช่างเลวร้ายต่อเด็กกำพร้า แม่หม้าย และคนแก่เสียจริง
“พูดมาขนาดนี้แล้ว จีเชียนถือว่าเป็นญาติผู้พี่ของข้าหรือเปล่า?”
สวี่ชีอันถามพลางปล่อยให้เลือดจากจมูกไหลเข้ามุมปาก อยากจะเช็ดมันนัก แต่ก็ขยับตัวไม่ได้
“ใช่!” โหรชุดขาวพยักหน้า
ฆ่าได้ก็ดีสิ ญาติผู้พี่ล้วนสมควรตายให้หมด ฮึ่ม สิ่งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนคิดนะ เป็นคำพูดของนักเขียนชื่อดังในชาติก่อนต่างหาก…เขาแค่รู้สึกอัดอั้น เลยใช้คำพูดดังกล่าวมาคลายความกังวลในใจ
“นี่คือการโจมตีของเจ้าหรือ?” ขณะนั้นเอง จู่ๆ โหรชุดขาวก็เอ่ยขึ้นมา
ที่ด้านนอกหุบเขานั่น เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วและสวี่ผิงจื้อพลันเหาะอากาศเข้ามาหา
“เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…”
น้ำเสียงของอารองสวี่แหลมสูง นัยน์ตาทั้งคู่เป็นสีแดงฉาน ดูทั้งเสียใจและโกรธเคือง
โหรชุดขาวมิได้มองอีกฝ่าย กลับเอ่ยเสียงเบา “ตอนเด็ก ข้ามักจะพาเขามาที่แห่งนี้ เพื่อแสดงค่ายกลของข้าให้เขาดู ที่แห่งนี้จึงเป็นฐานลับของพวกเราสองพี่น้อง แต่ในภายหลัง ค่ายกลของที่นี่นานวันเข้ายิ่งสมบูรณ์แบบและยิ่งทรงพลัง จนสามารถกลั่นเลือดหัวใจครึ่งชีวิตของข้าได้
“แต่ก็ยังอำพรางได้ไม่หมดจด ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากละทิ้งที่แห่งนี้ไป ที่นี่ไม่ปลอดภัย เพราะนอกจากตัวข้าแล้ว ยังมีเอ้อร์หลางที่รู้ เจ้าคาดเดาถูกแล้ว ยามที่ข้าปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน อาคมวิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็จะคลายลง แล้วเอ้อร์หลางจะระลึกถึงข้าอีกครั้ง
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพยายามซ่อนเร้นตัวตนของเจ้า เช่นนี้ ความจำของเขาจะได้ยุ่งเหยิงอีกครา”
ทว่าเจ้าคงคาดไม่ถึงสิท่า ว่าข้าเข้าใจเคล็ดวิชาอำพรางความลับสวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว…ใบหน้าสวี่ชีอันไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
อารองสวี่พุ่งเข้าชนม่านอาคมค่ายกล จนศีรษะแตกเลือดไหลพราก ก่อนจะคำรามเสียงดังว่า “สวี่ผิงเฟิง เจ้ามันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีราวกับสุกรและสุนัข เขาเป็นลูกชายของเจ้าแท้ๆ นะ ทั้งยังเป็นหลานชายของข้า เสือถึงร้ายก็ยังไม่กินลูกตัวเอง แล้วจะนับว่าเจ้าเป็นคนได้หรือ?”
กล้ามเนื้อใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ทั้งบริเวณหน้าผากยังเกิดเส้นเลือดปูดนูน จนหน้าตาดูดุร้ายโหดเหี้ยม
สวี่ชีอันเพิ่งเคยเห็นอารองระเบิดโทสะเช่นนี้เป็นครั้งแรก
โหรชุดขาวกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองพ่อลูก ชีวิตของเขาล้วนเป็นข้าที่ได้มอบให้”
ตึง!
สวี่ผิงจื้อชกเข้าที่ม่านอาคมหนึ่งที สภาพราวกับสัตว์โบราณที่ถูกยั่วยุ ซึ่งดูดุร้ายและเปี่ยมด้วยอารมณ์โกรธา “สองพ่อลูกรึ? เจ้าคู่ควรด้วยรึ! เจ้าคู่ควรเป็นบิดาของเขาหรือไง เขาเป็นชายหนุ่มสกุลสวี่ของข้า ข้าเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ แต่เจ้าคิดจะฆ่าเขา เจ้าเคยถามข้าบ้างหรือเปล่าว่าข้าเห็นด้วยหรือไม่ เจ้าคลายม่านอาคมค่ายกลบ้าๆ นี่ลงเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปฆ่าเจ้าซะ จะฆ่าเจ้าให้ตาย!”
เขาทั้งชกม่านอาคมไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังใช้ศีรษะกระแทกจนอาบเลือด
อารอง…สวี่ชีอันมองดูอย่างเงียบๆ มองดูชายวัยกลางคนหนึ่งผู้บ้าคลั่ง
สวี่ผิงจื้อยามอยู่ที่จวนจะคอยตามใจคนอื่น หรือกระทั่งอยู่ข้างนอกก็จะนิ่มนวล ราวกับว่าจากที่เคยปลดปล่อยจิตสังหารกลางสนามรบในครั้งนั้นได้ถูกลบล้างไปหมดนานแล้ว
แต่ชายผู้คอยตามใจคนอื่นนี้ หากเด็กที่บ้านของตนได้รับอันตราย เขาก็จะปล่อยหมัดหนักโจมตีอย่างไม่ลังเลเลย จนเกรงกลัวว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าน่าจะเป็นช้างเสียมากกว่า
โหรชุดขาวเก็บสายตากลับมา หันไปมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากกล่าวว่า “แต่มันสายไปแล้ว!”
เขาใช้พลังดึงโชคชะตาที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งมันเริ่มโผล่ออกมาจากศีรษะของสวี่ชีอันเล็กน้อยแล้ว
ระหว่างขั้นตอนนี้ ทำเอาร่างกายของสวี่ชีอันปริแตกอย่างต่อเนื่อง เลือดไหลเจิ่งนอง จมูกและปากต่างกระอักเลือดไม่หยุด จนเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เสียงกรีดร้องของหลานชายประหนึ่งได้ทิ่มแทงเข้าไปยังหัวใจของสวี่ผิงจื้อ กระทั่งเขาตัวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง
ชายชราผู้นี้พลันไม่กล้าทำตัวเย่อหยิ่งอีกต่อไป เขาคุกเข่าลงบนม่านอาคม พร้อมเอ่ยวิงวอน “อย่าเขาเลยพี่ใหญ่ ข้าขอร้อง อย่าฆ่าเขา เขาเป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงมาจนโต เสมือนเป็นลูกข้า ได้โปรดอย่าฆ่าเขา…
“ข้าเลี้ยงเขามายี่สิบเอ็ดปี เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้… พี่ใหญ่ เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าคืนเขามาให้ข้าเถอะ”
โหรชุดขาวผู้ไร้หัวใจกลับเมินอีกฝ่าย และจดจ่อกับดึงโชคชะตา
“ถอยก่อน!”
จ้าวโส่วสะบัดแขนเสื้อ โบกมือให้อารองสวี่ จากนั้นเขาจึงสวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอก แล้วหยิบดาบสลักออกจากแขนเสื้อข้างขวา
มงกุฎแห่งปราชญ์เอกกับดาบสลักปราณใสราวทะลุท้องนภา ทั้งสองสิ่งต่างขานรับซึ่งกันและกัน
จ้าวโส่วถือดาบสลักเผยด้านแหลมคม อีกทั้งมงกุฎแห่งปราชญ์เอกที่ได้การปลุกเสกจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสาม แสงจากดาบสลักพลันระเบิดออกก่อนพุ่งขึ้นท้องฟ้า โหรชุดขาวเสียเวลาไปมากกว่าสามสิบปีเพื่อสร้างค่ายกล แต่มันกลับถูกโจมตีจนแตกภายในพริบตาเดียว
เมื่อม่านอาคมชั้นนอกสุดแตกสลายแล้ว จึงไร้สิ่งกีดขวางไม่ให้คนนอกเข้าไป
“ที่แห่งนี้ ห้ามดึงโชคชะตา”
จ้าวโส่วป่าวประกาศ
ทว่าครั้งนี้ วิชาลั่นประกาศิตจากลัทธิขงจื๊อใช้ไม่ได้ผล
โหรชุดขาวพลันถูกระงับการดึงพลังทั้งหมด แต่ไม่นานก็สามารถขจัดผลพวงจากวิชาลั่นประกาศิตไปได้
“กฎของที่แห่งนี้กับโลกภายนอกไม่เหมือนกัน หากลัทธิขงจื๊อของเจ้าต้องการแผลงฤทธิ์แผลงเดชใน ‘โลก’ ของข้า ก็ต้องถามความสมัครใจของข้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่”
โหรชุดขาวส่งเสียงเฮอะที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
จ้าวโส่วย่างกรายไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางแทงดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันมงกุฎแห่งปราชญ์เอกสาดแสงส่องประหนึ่งคลื่นน้ำ ซึ่งเป็นการปลุกเสกตัวดาบสลัก
จ้าวโส่วพูด “ทำลาย!”
พลังของวิชาลั่นประกาศิตเพิ่มขึ้นตามการปลุกเสกให้ดาบสลัก
ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนแปลงกฎ เช่นนั้นข้าก็สามารถทำลายมันได้
ดาบสลักได้กลายเป็นดั่งแสงตะวันฉาย สว่างจ้าจนแทบขาวโพลนสิ้น มันบุกรุดหน้าไปด้วยความว่องไว พร้อมกับม่านอาคมของค่ายกลที่แตกทลายทีละชั้น
ค่ายกลขนาดใหญ่อันไร้เทียมทานแห่งนี้สร้างขึ้นจากค่ายกลร้อยแปดชั้น กลับต้านทานผู้สวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอก และมือกุมดาบสลักของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสามเพียงคนเดียวคนนี้ไว้ไม่อยู่
แม้ว่าผู้สร้างค่ายกลเป็นถึงโหรขั้นสอง
ทว่าสำหรับโหรชุดขาวแล้ว การที่ต้านทานพลังของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสามไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย เขายังอยากจะยื้อเวลาให้ได้มากกว่านี้ เพราะดึงโชคชะตาในร่างสวี่ชีอันออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
ในเวลานั้นเอง ประกายดาบที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร พลันปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า ทำลายม่านอาคมของค่ายกลอักขระทีละชั้นๆ
จิตแห่งดาบที่ไม่เป็นสองรองใคร
โหรชุดขาวใช้มือข้างหนึ่งกดกลางอากาศ ค่ายกลอักขระแห่งหนึ่งจึงเปล่งแสงขึ้นมา ประกอบกลายเป็นกำแพงปราณ ป้องกันดาบแสงที่อยู่เบื้องหน้า
ดาบแสงเฉือนตัดกำแพงปราณเสมือนวัวปั้นดินจมทะเล สลายหายไม่พบเจอ
การถ่ายทอดพลัง! ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เขาเดินถือดาบแสงพลางลั่นประกาศิต
“ที่แห่งนี้ ห้ามถ่ายทอดพลัง”
จ้าวโส่วตอบโต้อย่างใจเย็น ตอนนั้นเองค่ายกลได้พังทลายลง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พลังของวิชาลั่นประกาศิตได้บุกล่วงพื้นที่แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว
จู่ๆ สภาพอากาศก็ร้อนระอุขึ้นมา จิตแห่งดาบที่ซึ่งไร้เทียมทานค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละอันอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้ จนค่ายกลอักขระแตกทลายสิ้น
สิ่งนี้ทำให้จ้าวโส่วรุกล่วงล้ำง่ายกว่าเดิม สายตาจดจ้องกำลังไปยังเบื้องหน้าอันใกล้ ทันใดนั้นเอง ซากศพของผู้เฒ่าเทียนกู่ที่ตาขาวโพลนไร้ลูกตาดำทั้งสองข้างได้เปล่งแสงสว่างขึ้นมา
จ้าวโส่วพลันสูญเสียเป้าหมายทั้งหมดไปในคราเดียว เขายืนนิ่งตกตะลึง เพราะเบื้องหน้านั้นว่างเปล่า ไม่มีทั้งสวี่ชีอันหรือโหรชุดขาว
นี่มันวิธีการ “ไร้สมปฤดี” นำตัวสวี่ชีอันและโหรชุดขาวหลบซ่อน เพื่อยื้อเวลา
จ้าวโส่วขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นดีดมงกุฎแห่งปราชญ์เอก
มงกุฎแห่งปราชญ์เอกสั่นเล็กน้อย แสงสว่างกระเพื่อมประหนึ่งคลื่นน้ำ ท่ามกลางความมืดสลัวชวนสับสน พลังที่ปกคลุมร่างของจ้าวโส่วก็ถูกชะล้างออกไป จากนั้นเงาร่างของสวี่ชีอันและโหรชุดขาวก็ปรากฏขึ้นมา
“พอได้แล้ว!”
โหรชุดขาวเผยรอยยิ้ม เขาใกล้จะหลอมโชคชะตาในร่างของสวี่ชีอันเสร็จแล้ว
“ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าอารองจะรู้ถึงสถานที่นี้ด้วย”
เวลานั้นเอง เขาได้เสียงแผ่วเบาของสวี่ชีอัน
โหรชุดขาวมุ่นคิ้ว เพราะทั้งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเปื้อนรอยเลือด กลับดูสงบนิ่ง ไม่มีความสิ้นหวังหรือความหวาดกลัวต่อเคราะห์ร้ายที่กำลังใกล้เข้ามาเลยแม้แต่น้อย
สวี่ชีอันกล่าวต่อว่า “ดังนั้น วิธีแท้จริงที่จะช่วยชีวิตข้า หาได้ใช่จ้าวโส่วหรือบรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปฝากความหวังที่พวกเขา”
หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุข “เจ้าเป็นถึงท่านโหราจารย์แท้ๆ เหตุใดถึงไม่ทำอะไรเล่า?”
“นางหญิงน่ารังเกียจ ยังจะรออะไรอีก!”
เขาตะโกนดังลั่น
เมื่อสิ้นเสียงลง ก็ปรากฏภาพมายาที่บริเวณด้านหลังสวี่ชีอัน เป็นหางจิ้งจอกอันปุกปุยฟูฟ่อง เสมือนยามนกยูงรำแพนหาง สวยงามทว่าก็น่าหวาดกลัว
………………………………………..
………………………………………………………