ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 492 กลยุทธ์ที่เหนือกว่า
บทที่ 492 กลยุทธ์ที่เหนือกว่า
หางสุนัขจิ้งจอกเก้าหางที่ดูไม่เหมือนของจริงสักเท่าไร แผ่ออกเหมือนนกยูงรำแพนหาง คลอเคลียอยู่ด้านหลังของสวี่ชีอัน
หางจิ้งจอกเหล่านี้ได้มาจากองค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
เจ้าสำนักจ้าวโส่ว และบรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ล้วนแต่เป็นไพ่ที่สวี่ชีอันเผิดเผยออกมาตั้งแต่ต้น
เขายังมีไพ่ลับที่ไม่มีใครรู้มาก่อน นั่นคือองค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ
สวี่ชีอันไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ วิญญาณจิ้งจอกผู้มีตบะแก่กล้า ที่ปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขาพอจะรู้จักเพียงชื่อเดียวตนนั้น
แต่สวี่ชีอันรู้ดีว่าหากเขาพบวิกฤติใหญ่ ชนิดที่ว่าไม่อาจเอาชีวิตรอดไปได้
องค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจจะเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยปกป้องเขาได้อย่างแน่นอน
เหตุผลนั้นแสนจะเรียบง่าย บุตรในเงามืดของอาณาจักรหมื่นปีศาจได้แอบส่งตัวเสินซูมาให้ถึงที่พักของเขาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นคำแนะนำจากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มิฉะนั้นมีหรือบุตรในเงามืดจะกล้าทำอะไรเช่นนี้โดยพลการ
จุดประสงค์ของพวกเศษเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจคือการใช้โชคชะตาในกายของเขาหล่อเลี้ยงท่อนแขนของเสินซู ปล่อยให้เขาและเสินซูรุ่งโรจน์ หรือล่มจมไปพร้อมกัน
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอาจไม่แยแสต่อความเป็นความตายของเขา แต่นางทนเห็นเสินซูถูกผนึก หรือถูกดินแดนพุทธควบคุมอีกครั้งไม่ได้ มิฉะนั้นคดีซังผอที่อาณาจักรหมื่นปีศาจทุ่มเทวางแผนมาทั้งหมดนี้จะทำไปเพื่ออะไร
แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้สามารถอธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่าทุกคนต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่หากมีเพียงเหตุผลดังกล่าวเพียงอย่างเดียว สวี่ชีอันคงไม่เสี่ยงเอาชีวิตของตนเองและครอบครัวมาฝากไว้กับนางปีศาจสาวที่ไม่เคยพบปะพูดคุยกันสักครั้ง
ที่เขามั่นใจว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจจะเคลื่อนไหว และถือเอานางเป็นไพ่ตายของตนเองนั้นมีอยู่สองเหตุผล
เรื่องแรก นิทานของฝูเซียง
ใช่ว่าสวี่ชีอันจะมองมิตรผู้รู้ใจคนนี้ไม่ออก แต่ด้วยตัวตนและสถานะของฝูเซียง นางจะเข้าใจเรื่องราวในอดีตของศิษย์เอกของท่านโหราจารย์หรือ?
เป็นไปไม่ได้แน่นอน
เช่นนั้นเหตุใดนางจึงเขียนจดหมายถึงตัวเขา ด้วยนิทานที่สื่อเป็นนัยอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วย
คำตอบนั้นง่ายมาก นี่เป็นคำใบ้จากองค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ ที่ชี้ตัวศัตรูของนางในทางหนึ่ง ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นการเปิดเผยเจตนาในการลงมือของนางอย่างแนบเนียน
แต่เพียงเท่านี้ก็ยังไม่เพียงพอให้สวี่ชีอันยกให้นางเป็นอาวุธลับก้นหีบได้
เหตุผลที่แท้จริงคือ ท่านโหราจารย์ได้มอบยาอายุวัฒนะสีขาวขุ่นแก่เขาเม็ดหนึ่ง ในวันที่เขาจะรู้สึกตัวขึ้นที่สำนักโหราจารย์ ก่อนจะไปเยี่ยมเยือนจ้าวโส่วที่สำนักอวิ๋นลู่
เมื่อกลืนยาอายุวัฒนะลงท้อง สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันนุ่มนวลแผ่วเบา ก่อนจะหายไป
สวี่ชีอันไม่รู้ว่าท่านโหราจารย์และจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางติดต่อกันอย่างไร แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ คนฉลาดมองตาย่อมรู้ใจกัน
ในที่สุดก็โผล่มาสักที…สวี่ชีอันที่รู้สึกถึงสัมผัสอันแปลกประหลาดจากกระดูกหาง ก็รู้สึกโล่งใจ
เหตุผลที่เขาด่าว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นหญิงน่ารังเกียจ ก็เพราะเคยประสบกับนิสัยแย่ๆ ของนางด้วยตนเอง
นางจะลงมือเร็วกว่านี้ก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องคอยเวลาจนถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ สวี่ชีอันตกใจจนฉี่แทบราด นึกว่าไพ่ตายช่วยชีวิตของเขาจะใช้งานไม่ได้เสียแล้ว
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาคงได้แต่ภาวนาขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาในภพภูมิที่ดี เกิดในครอบครัวเศรษฐี มีพ่อเป็นมนุษย์ธรรมดา ถ้าจะให้ดีขอให้มีพี่สาวสูงยาวเข่าดี หุ่นเอ็กซ์แบบเบิ้มๆ ด้วยเถิด
…
ทันทีที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น โหรชุดขาวก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ราวกับถูกสะกด
เมื่อสบโอกาส ส่วนหนึ่งของหางจิ้งจอกทั้งเก้าที่เหมือนหนวดปลาหมึกพันธนาการด้วยโชคชะตาไร้รูปร่างขนาดใหญ่ โอบล้อมป้องกันไม่ให้โหรชุดขาวมากระชากตัวพวกมันได้
อีกส่วนหนึ่งกระหน่ำฟาดโหรชุดขาวอย่างรุนแรง
พวกมันไม่ได้ปล่อยพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวออกมา และไม่ได้สร้างภาพมายาอันน่าตกตะลึงแต่อย่างใด ทว่าโหรชุดขาวกลับถอยหลังไปครึ่งก้าว ราวกับหวาดกลัวจนสุดขีด
“หึ!”
เขาแค่นเสียงเย็นชา ทั้งประหลาดใจ แต่ก็ไม่แปลกใจสักเท่าไรกับการปรากฏตัวของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
ที่ไม่แปลกใจก็เพราะว่ารู้อยู่แล้วว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับเสินซู ที่อีกฝ่ายลงมือแทรกแซง ล้วนเป็นไปตามคาด
แต่ที่ประหลาดใจคือ เขาไม่คิดว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะจู่โจมด้วยวิธีนี้
ต้องรู้ก่อนว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าโหรชั้นสูงผู้เชี่ยวชาญในวิชามองปราณ วิธีอำพรางตนส่วนใหญ่ล้วนตบตาโหรไม่ได้ บนโลกนี้มีวิธีอำพรางตนที่สามารถรอดพ้นสายตาของโหรขั้นสาม มีน้อยเสียจนนับนิ้วได้
ส่วนวิธีการเหล่านี้ โหรชุดขาวรู้ดีอยู่แล้วว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะต้องสำแดงทักษะการอำพรางตัวที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแน่นอน
โหรชุดขาวไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด เขากระทืบเท้าลง ค่ายกลที่หลงเหลืออยู่ก็ปะทุด้วยแสงพร่างพราย กลายเป็นกำแพงป้องกันปกคลุมร่างของเขา
‘วืด วืด วืด!’
หางจิ้งจอกหกหางตวัดฟาดเข้ากับกำแพงป้องกันอย่างรุนแรงเกินต้านทาน จนแสงเจิดจ้าสั่นสะเทือน พลังปราณระเบิดออกทีละชั้น จนโหรชุดขาวต้องถอยหลังทีละก้าว
หางจิ้งจอกอีกสามหางที่พันธนาการด้วยโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ หดกลับเข้าไปในกายของสวี่ชีอัน
โชคชะตาหวนคืนสู่ร่างของเขาอีกครั้ง
ฮู่ว…สวี่ชีอันผ่อนลมหายใจยาวๆ จิ้งจอกสุดยอด!
เมื่อเห็นดังนั้น บรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และเจ้าสำนักจ้าวโส่วก็คว้าโอกาสนี้ทันที จิตดาบพุ่งออกมาจากห้วงอากาศว่างเปล่า ทวีจำนวนขึ้น จิตดาบของขั้นสามระดับสูงสุดใกล้แตะขั้นสอง หลอมรวมกับดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ทำลายค่ายกล ราวกับทะลวงผ่านกองทหารนับพันทีละกองๆ จนกระทั่งไปถึงตัวแม่ทัพใหญ่ได้ในที่สุด
โหรชุดขาวไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม้จะเผชิญกับการโจมตีที่เฉียบขาดจากคนสามคน ในเมื่อยังดึงโชคชะตาออกมาไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางปล่อยสวี่ชีอันไปเป็นอันขาด
ถุงเครื่องหอมเปิดเองโดยอัติโนมัติ อาวุธเวทมนตร์แต่ละชิ้นลอยออกมาเองราวกับมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งอาวุธเวทมนตร์เหล่านั้นไม่ใช่อาวุธที่โจมตีทางกายภาพเช่นหน้าไม้หรือปืนใหญ่ แต่เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่มีการใช้งานสุดแปลกประหลาด
พวกมันมีทั้งคันฉ่องสำริด มีทั้งเขี้ยวสัตว์ บางอันก็เป็นตราประทับสำริด บางอันก็เป็นเจดีย์จำลอง…
พวกมันมีวิธีใช้งานได้แก่ การอัญเชิญเทพ ทะลวงพลังปราณ กักขัง และกลั่นยา…
อาวุธเวทมนตร์ทั้งหลายห้อมล้อมกายของสวี่ชีอัน แม้ว่ากายเนื้อจะไม่ได้รับอันตราย แต่จิตเดิมของเขาสั่นสะเทือน ราวกับถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ และทำให้หมดสติไปชั่วขณะ
หางจิ้งจอกที่มีฟันและกรงเล็บ ยืดออกราวกับหนวดปลาหมึก คล้ายจะสูญเสียพลังชีวิต สูญสิ้นเป้าหมาย มันเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง ภายใต้อิทธิพลจากอาวุธเวทมนตร์
โหรชุดขาวยื่นมือออกมา และวางลงบนศีรษะของสวี่ชีอันอย่างหลวมๆ ก่อนจะเริ่มดูดซับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ และกลั่นกรองอีกครั้งหนึ่ง
“ห้ามใช้อาวุธเวทมนตร์”
จ้าวโส่วกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
เมื่อค่ายกลสะเทือนโลกาของโหรชุดขาวถูกโจมตีจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่รุ่นปัจจุบันและทหารครึ่งขั้นสองจนเสียหายเกินกว่าครึ่ง ไม่อาจต้านทานคำสั่งประกาศิตของลัทธิขงจื๊อได้
‘ติ๊ง ติ๊ง!’
อาวุธเวทมนตร์ที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศตกลงมาทีละอัน
มงกุฎแห่งปราชญ์เอกและดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ร่วมกันผนึกตัวเอง ยับยั้งอิทธิฤทธิ์ของพวกมัน ปัญญาชนเป็นพวกใช้เหตุผล ไม่ใช่พวกอันธพาล พลังของการลั่นประกาศิตส่งผลต่อฝ่ายตนเองด้วยเช่นกัน
จ้าวโส่วพ่นลมหายใจขุ่นมัว ใบหน้าขาวซีด ซึ่งเป็นผลสะท้อนกลับจากประกาศิตของตนเอง
ในสถานการณ์ปกติ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกัน หากผลกระทบจากพลังของการลั่นประกาศิตทวีขึ้นเรื่อยๆ ก็สามารถใช้ได้เพียงสามครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นพลังอันยิ่งใหญ่ไม่อาจต้านทานผลสะท้อนจากวรยุทธ์ได้
ทว่าหากเมื่อใดที่ใช้พลังการลั่นประกาศิตมาเป็นตัวช่วยหรือเสริมพลังให้กับตนเอง เมื่อนั้นก็สามารถใช้เพิ่มได้เรื่อยๆ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ประกาศิตเช่น ‘ห้ามหายตัว’ หรือ ‘ห้ามใช้อาวุธเวทมนตร์’ ล้วนแต่ส่งผลต่อศัตรูโดยตรง ด้วยกำลังของจ้าวโส่วผู้อยู่ในขั้นสามระดับสูงสุด เมื่อเผชิญหน้ากับโหรที่มีระดับสูงกว่าตนเองหนึ่งขั้น ต่อให้มีตัวเสริมพลังจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอก ก็สามารถลั่นประกาศิตได้เพียงสามครั้งเท่านั้น
เมื่อหลุดพ้นจากการควบคุมของอาวุธเวทมนตร์ หางจิ้งจอกทั้งเก้าก็กลับมาทรงพลังอีกครั้ง มันแผ่สยายขึ้นสู่ท้องฟ้า ตวัดฟาดฟันไปทั่ว
โหรชุดขาวถูกโจมตีจนล่าถอยอีกครั้ง การต่อสู้ระยะประชิดถือเป็นจุดอ่อนของโหร
หางจิ้งจอกมายาเกี่ยวกระหวัดโชคชะตาและดึงกลับมาในร่างของสวี่ชีอันอีกคร้ัง
“สังหารศัตรูไปแปดร้อยเท่า ทำลายตนเองพันเท่า”
โหรชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน
เขาเยาะเย้ยจ้าวโส่ว มงกุฎแห่งปราชญ์เอกและดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกตนเอง อีกทั้งยังลั่นประกาศิตครบสามครั้งแล้ว การโจมตีครั้งต่อไป พลังต่อสู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้คงจะร่อยหรอ
ส่วนบรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้น แม้ว่าการโจมตีของทหารชั้นต่ำนั้นจะรุนแรง แต่เขาก็มีวิธีรับมือมากมาย อีกทั้งตาเฒ่าหงำเหงือกอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก จึงไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยตนเอง
สำหรับโหรแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดอ่อนขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
โหรชุดขาวบริกรรมคาถาพลางกำมือข้างหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ลอยขึ้น!”
แผ่นหินส่งเสียง ‘กึกๆ’ ก่อนจะลอยขึ้นไปในอากาศ บนแผ่นหินเป็นค่ายกลสะเทือนโลกาที่ถูกทำลายไปกว่าสองในสามส่วน เริ่มหดเล็กลงและซ่อมแซมตัวเอง กลายสภาพเป็น ‘ค่ายกลสะเทือนโลกา’ ฉบับเรียบง่าย
แม้จะไม่ทรงพลังเท่าค่ายกลก่อนหน้านี้ แต่กลิ่นอายของมันก็กลับมาแข็งแกร่งและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จากสภาพที่ร่อแร่ ไม่ต่างจากทหารที่เหนื่อยล้าที่ได้พักหายใจหายคอครู่หนึ่ง ความสามารถที่สูญหายไป เช่นการเคลื่อนย้าย การจองจำ ทั้งหมดล้วนได้รับการฟื้นฟู
สำหรับโหรชั้นสูงแล้ว การซ่อมแซมค่ายกลที่อยู่ในสภาพเสียหายนั้นเป็นความสามารถขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับความสามารถพื้นฐานในระบบต่างๆ เช่นภิกษุที่นั่งฌานได้ และนักพรตที่ถอดจิตได้
ทว่าในตอนนี้เอง โหรชุดขาวก็เห็นจ้าวโส่วยกมือขึ้นอย่างใจเย็น และหันฝ่ามือไปมาตนเอง พร้อมเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ห้ามใช้ค่ายกลในอาณาเขตนี้”
เมื่อสิ้นเสียง แผ่นศิลาที่ลอยคว้างกลางอากาศที่ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ค่ายกลพังทลาย สูญสิ้นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ เพียงประโยคเดียว ทำให้ค่ายกลสะเทือนโลกาขนาดกะทัดรัดนี้อ่อนกำลังลงถึงห้าส่วน
โหรชุดขาวไม่อาจควบคุมให้แผ่นหินลอยขึ้นไปได้อีก จึงร่วงหล่นลงมาพร้อมกับมันและสวี่ชีอันที่อยู่ข้างบนนั้นด้วย
ในตอนนี้เอง จิตดาบอันไร้เทียมทานก็ฟันเข้าที่หลังของโหรชุดขาวอย่างรุนแรง
โหรชุดขาวร้องคำรามเสียงลั่น เนื้อหนังบนแผ่นหลังปริออกจากกัน เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย
ตั้งแต่ที่เขาปรากฏออกมา ในที่สุด ในที่สุดเขาก็ได้รับบาดแผลสักที เนื่องจากเป็นจิตดาบของทหาร พลังสังหารจึงรุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าระบบอื่นๆ
โหรชุดขาวถอยกรูด พยายามหนีให้ห่างจากสวี่ชีอัน เขาในตอนนี้ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหางของจิ้งจอกเก้าหางอีก
จิตดาบพุ่งทะยานมากจากห้วงอากาศว่างเปล่าเป็นชุด กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พร้อมจะกระหน่ำตีเจ้าลูกหมาตกน้ำทันที โดยไม่พูดพล่ามถึงคุณธรรมในยุทธจักรอีก
เมื่อเห็นดังนั้น จ้าวโส่วก็เอื้อมมือไปคว้าไหล่ของสวี่เอ้อร์หลาง กันไม่ให้เขากระโจนขึ้นไปดูสถานการณ์ของหลานชาย และรีบพาตัวเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าพูดให้ถูก ต้องบอกว่า สังหารศัตรูพันเท่า ทำลายตนเองแปดร้อยเท่าต่างหาก”
จ้าวโส่วตอกกลับ
ก่อนหน้านี้ที่เขาสำแดงคาถาทำลายค่ายกลนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่การลั่นประกาศิตเป็นเป็นการหยิบยืมจิตผสานเต๋าของเว่ยเยวียนมาใช้ ดังนั้นที่เขาร่ายคาถาออกมา และจัดแจงให้ดาบสลักและมงกุฎเสริมพลัง แสร้งใช้พลังของการลั่นประกาศิต
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปั่นหัวโหรชุดขาวให้เข้าใจผิดเท่านั้น
รายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญเหล่านั้น กลายเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกเอาชนะในตอนนี้
จ้าวโส่วถอนใจอย่างอาลัย นึกถึงเว่ยเยวียนที่เดินทางมาเยือนภูเขาชิงหยุนเพียงลำพังก่อนไปออกรบ
ครั้งนั้น เว่ยเยวียนเห็นแผ่นศิลาในพระวิหารย่าเซิ่ง เว่ยเยวียนจึงทิ้งยาโลหิตของตนไว้ที่นี่ส่วนหนึ่ง และในครั้งนั้นเอง เว่ยเยวียนก็ร่วมมือกับเขา ช่วยให้เขาบันทึกจิต ‘ทลายค่ายกล’ เอาไว้
ในตอนนั้นเว่ยเยวียนยังไม่เข้าใจแผนการของโหรชุดขาวอย่างถ่องแท้ และยังไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของสวี่ต้าหลาง เนื่องจากผลกรรมที่ทั้งสองมีต่อกันนั้นบางเบา เว่ยเยวียนจึงไม่อาจเข้าใจตัวตนของคนที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่น้อย ซ้ำยังถูกความลับของสวรรค์อำพราง
แต่เขาได้ทบทวนเคราะห์กรรมทั้งหลายที่สวี่ชีอันเคยประสบพบเจอมา บวกกับสัญชาตญาณของจอมวางแผน เขาก็คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับสวี่ชีอันอย่างแน่นอน
“หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเขา ข้าไม่อาจปกป้องเขาได้ตลอดไป เจ้าอินทรีน้อยสักวันก็ต้องถึงเวลาสยายปีกโผบิน”
จ้าวโส่วรู้สึกเหมือนได้ยินคำพูดของเว่ยเยวียนในวันนั้น
เพื่อเด็กคนนี้แล้ว ต่อให้ต้องใช้เล่ห์กลอันใดเว่ยเยวียนก็ยอมทั้งนั้น
ไกลออกไป โหรชุดขาวหยิบยาอายุวัฒนะรักษาอาการบาดเจ็บออกมาจากถุงเครื่องหอม พลางก้าวเดินไปอย่างใจเย็น ผ่านจิตดาบที่กระหน่ำลงมาเป็นชุด หนีออกไปจาก ‘นรกคมดาบ’ ที่ห้อมล้อม
จิตดาบของบรรพชนกลุ่มจอมยุทธ์และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่ตัดผ่าน คล้ายจะสูญเสียเป้าหมายไปโดยฉับพลัน
สวี่ต้าหลาง โหรชุดขาวอำพรางตนเอง ทำให้บรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ลืมเขาไปชั่วขณะ
หลังจากกินยาอายุวัฒนะเข้าไป เขาก็รู้สึกถึงพลังของยาที่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา เขาดึงจิตดาบที่ล่องลอยไปรอบๆ และพูดกับสวี่ชีอันด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้ถึงความสัมพันธ์ของเสินซูกับอาณาจักรหมื่นปีศาจแล้ว แม้ว่าวิธีการโจมตีขององค์หญิงอาณาจักรหมื่นปีศาจจะทำให้ข้าประหลาดใจ แต่ข้าเตรียมการป้องกันศัตรูอย่างนางเอาไว้แล้ว
“ลูกชายอย่างไรก็เป็นลูกชายอยู่วันยังค่ำ คิดจะสู้กับข้า มันยังเร็วไป”
ในขณะที่พูดผลของการอำพรางความลับสวรรค์ก็สิ้นสุดลง
หลังจากใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์ คนผู้นั้นไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าคนนอกได้ มิฉะนั้นวิชานี้ก็เป็นโมฆะทันที
‘คนนอก’ ในที่นี้แบ่งออกเป็นศัตรู ผู้เห็นเหตุการณ์ทั่วไป รวมไปถึงญาติพี่น้องตั้งแต่สามคนขึ้นไป หรือผู้ที่มีผลกรรมพันผูกลึกซึ้งต่อกัน
คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นคนที่มีเวรกรรมพันผูกกับเขาอย่างลึกซึ้ง และศัตรู
ดังนั้นวิชาอำพรางความลับสวรรค์ จึงคงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น และไม่สามารถใช้งานได้อีก
ท่ามกลางมวลอากาศว่างเปล่า จิตดาบปรากฏขึ้นอีกครั้ง และพุ่งเป้าสังหารไปยังโหรชุดขาว
ทว่าในตอนนี้เอง โลกทั้งใบก็สูญสิ้นสีสัน
ที่บอกว่าสูญเสียสีสัน แท้จริงแล้วหมายถึงเฉดสีทุกเฉดจางหายไปในพริบตา แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ รวมถึงพวกสวี่ชีอัน จ้าวโส่ว และรวมถึงโหรชุดขาวด้วย
ในโลกที่ไร้สีสันใบนี้ มีเพียงคนผู้เดียวที่ยังคงมีสีสันเป็นของตนเอง
พระโพธิสัตว์หญิงในสถูปสีขาว ผมดำขลับพลิ้วไสวดั่งน้ำตก
“ร่าง…ธรรม…ไร้…สี…”
จ้าวโส่วเอ่ยถ้อยประโยคดังกล่าวออกมาด้วยความเร็วที่เชื่องช้าที่สุด
หนึ่งในเก้ามหาร่างธรรมของสำนักพุทธ และหนึ่งในเก้ามหาโพธิสัตว์
ร่างธรรมไร้สี!
“แม่ แก ตาย สวี่ ต้า หลาง…” คำด่าประจำชาติค่อยๆ ผุดเข้ามาในสวี่ชีอัน
เขารู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของเขาติดอยู่ในหล่ม กว่าจะประมวลความคิดอะไรสักอย่างช่างใช้เวลาแสนยาวนาน ร่างกายก็ขยับไม่ได้อย่างที่ต้องการ
สำนักพุทธลงมือแล้ว…สำนักพุทธลงมือตามคาดจริงๆ โหรชุดขาวยิงตะปูตอกวิญญาณมา แสดงว่าต้องพูดถึงการมีอยู่ของเสินซูให้กับสำนักพุทธอย่างแน่นอน และดูจากความสัมพันธ์ระหว่างสำนักพุทธและเสินซู มีหรือจะไม่ลงมือ…
ความคิดดังกล่าวแล่นผ่านสมองของสวี่ชีอันไปอย่างเชื่องช้า
จากนั้น เขาก็ได้ยินคำด่าในภาษาเจี้ยนโจว ผ่านน้ำเสียงแก่เฒ่ายานคางลอยมาจากฟากฟ้า
ตาเฒ่าแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เองก็ยังต้องสบถออกมา
เจ้าสำนักจ้าวโส่ว ตอนนี้ในใจคงจะโกรธเป็นไฟจนด่าพ่อล่อแม่ได้เลยสินะ…เพิ่งจะคิดไปหยกๆ สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงอันโกรธแค้นยานคางของจ้าวโส่วลอยมา
“มารดามันเถิด!”
หมายความว่าอย่างไร! สวี่ชีอันฟังไม่เข้าใจในทีแรก
“เจ้าไม่ได้โกหกข้า เสินซูอยู่ในร่างของเขาจริงๆ เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ”
พระโพธิสัตว์หญิงฟังดูไพเราะเสนาะหู แต่ไม่มีอารมณ์ใดๆ เจือปน ไม่มีน้ำเสียงขึ้นลง
“เจ้าจงเอาโชคชะตาที่เป็นของเจ้ากลับไป ข้าจะนำเสินซูกลับไปเช่นกัน แต่สวี่ชีอันผู้นี้จะตายไม่ได้ เขามีเหตุต้นผลกรรมผูกพันลึกซึ้งกับสำนักพุทธ เป็นบุคคลสำคัญที่คลี่คลายความขัดแย้งระหว่างพุทธหินยานและพุทธมหายานในปัจจุบัน”
นางยกมือขึ้น และโบกเบาๆ
โหรชุดขาวกลับมามีสีสันในตัว และกลับมาพูดด้วยความเร็วปกติอีกครั้ง “เมื่อดึงโชคชะตาออกมาแล้ว เขาก็ต้องตายอยู่ดี”
พระโพธิสัตว์หญิงผู้มีเท้าเปลือยเปล่าขาวราวกับหิมะ กล่าวเรียบๆ ว่า
“ดังนั้นเจ้าก็เลยนำโชคชะตาไปไม่ได้สินะ ตามข้ามาที่สำนักพุทธสิ ข้าจะสร้างร่างพุทธเสียก่อน แล้วเจ้าค่อยนำโชคชะตากลับไป”
เอ ฟังดูเหมือนว่าจุดจบของข้าจะไม่ได้เลวร้ายเท่าไรแฮะ…สวี่ชีอันค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของตน
โหรชุดขาวนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
พระโพธิสัตว์หญิงกล่าวด้วยสุรเสียงกังวานใสดั่งระฆังเงิน “หลังจากสร้างร่างพุทธแล้ว ธาตุทั้งสี่จะว่างเปล่า ไม่มีทางแก้แค้นเจ้าได้อีก”
มารดามันเถิด!
สวี่ชีอันสะดุ้งสุดตัว ความรู้สึกถึงความหายนะอีกครั้ง ฟังดูแล้ว การเป็นพุทธบุตรในสำนักพุทธ ก็ไม่ได้ดีกว่าการตายสักเท่าไร
ธาตุทั้งสี่ว่างเปล่า ตายเสียยังดีกว่า
โหรชุดขาวพยักหน้า “ดี”
พระโพธิสัตว์หญิงหันหน้าไปมองสวี่ชีอัน แสงพุทธะสาดส่องออกมาจากปลายนิ้วของนาง ลำแสงพุทธสีทองจางๆ ส่องผ่านโลกสีขาวดำ ทะลุเข้าไปในร่างของสวี่ชีอัน
หางจิ้งจอกมายาระเหยเป็นควันเขียวออกมา ราวกับหิมะขาวที่ต้องแสงอาทิตย์
“หึ!”
เสียงของหญิงสาวลอยมาในห้วงอากาศว่างเปล่า น้ำเสียงฟังดูเหยียดหยามอย่างยิ่ง
“ท่านโหราจารย์ ปลาใหญ่กินเบ็ดแล้ว มัวรออะไรอีก”
เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อสิ้นเสียง ร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางเวหาไกลออกไป
สวมเสื้อสีขาวดังหิมะ เรือนผมหงอกขาว
เขายืนนิ่งอยู่กลางเวหา ราวกับเทพผู้ยึดครองโลกใบนี้
ในที่สุดท่านโหราจารย์ก็มาถึงแล้ว…สวี่ชีอันเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“หลิวหลี!”
น้ำเสียงของท่านโหราจารย์ราบเรียบ ทว่าเสียงของเขากลับเหมือนสายฟ้าคำรน เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เข้ามาในดินแดนต้าฟ่งของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องถูกตัดหัว”
ในชั่วขณะนี้เอง คล้ายกับว่าเขาได้สร้างพันธสัญญากับกฎเกณฑ์ในโลกมืด และได้รับการอนุญาตจากกฎนั้น
เขาลงมือในนามของนักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่ง ไม่แตะต้องเรื่องการเปิดเผยความลับของสวรรค์
ท่านโหราจารย์ยื่นมือออกไป ถาดสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือจากความว่างเปล่า ด้านหลังของถาดสัมฤทธิ์สลักภาพดวงตะวัน ดวงจันทร์ ภูเขา และแม่น้ำ ด้านในของถาดสลักภาพแผนภูมิสวรรค์ ทันทีที่มันปรากฏขึ้น โลกทั้งใบก็เดือดพล่าน
ดินแดนไร้สีสันแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
พระโพธิสัตว์หญิงขมวดคิ้วเล็กน้อย อาภรณ์สีขาวของนางถูกย้อมด้วยเลือดสดๆ ทันที
พระโพธิสัตว์หญิงยังมีท่านโหราจารย์เป็นผู้จัดการ แต่โหรชุดขาวยังคงมีพลังต่อกรกับพวกเขาอยู่ อย่างมากก็แค่ทำให้สถานการณ์ย้อนกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้
เบื้องหน้าของเขาคือจ้าวโส่วที่ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก ชายชราแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่อยู่ในสภาพร่อแร่ และหางจิ้งจอกที่ถูกแสงพุทธะชำระ
ในตอนนี้เอง การโจมตีของท่านโหราจารย์และการปรากฏขึ้นของแผ่นความลับสวรรค์ ทำลายกฎเกณฑ์ที่จ้าวโส่วตั้งเอาไว้โดยสมบูรณ์ ทำให้สามารถใช้อาวุธเวทมนตร์ และสามารถสร้างค่ายกลได้
รอยแตกร้าวใต้ฝ่าเท้าของโหรชุดขาวสั่นไหว เช่นเดียวกับร่างของเขาเมื่อเข้าใกล้สวี่ชีอัน
เมื่อพันธนาการจากโลกไร้สีสันขาดสะบั้น สวี่ชีอันก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครั้ง เขาหันไปมองโหรชุดขาวและกล่าวว่า
“เจ้าอยากลิ้มลองรสชาติของผลสะท้อนจากโชคชะตาหรือไม่”
โหรชุดขาวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ค่ายกลใต้ฝ่าเท้าของเขาแผ่ขยายออกไปทีละแขนง จนปกคลุมร่างของสวี่ชีอัน
เขาใช้งานอาวุธเวทมนตร์อัญเชิญเทพ กักขัง และกลั่นยาในคราวเดียวกัน
เพียงชั่วความคิด การโจมตีทั้งหมดก็ประเดประดังสู่ร่างของสวี่ชีอัน
แต่สวี่ชีอันเร็วกว่าเขา เขาถ่มแผ่นกระดาษที่พับเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ออกมาจากปาก คีบไว้ระหว่างนิ้ว และออกแรงแทงทะลุช่องท้องของตนจากด้านหน้าไปถึงด้านหลัง เป็นรูโหว่ เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด
วิชาสาปสังหาร!
ปราณชีวิตของสวี่ชีอันลดฮวบ เขาอยู่ในสภาพปางตายเต็มที
วิชาสาปสังหารมีสองรูปแบบ แบบที่หนึ่งคือใช้เลือด เส้นผม หรือแม้แต่เสื้อผ้าและของใช้ติดตัวของเป้าหมายเป็นสื่อกลางในการสาปแช่ง
เมื่อขึ้นมาถึงขั้นสาม ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลางใดในการสาปแช่งอีกฝ่าย ทว่าประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก
อีกวิธีหนึ่ง คือใช้เลือดเนื้อของตนเองมาเป็นสื่อกลางในการสาปแช่งอีกฝ่าย
เงื่อนไขก็คือ ศัตรูต้องทำร้ายเจ้ามากเพียงพอในเวลาก่อนหน้านี้ไม่นาน
โหรชุดขาวตรงตามเงื่อนไขของวิธีการหลังอย่างสมบูรณ์แบบ
อ่อก!
โหรชุดขาวกระอักเลือดออกมา เลือดสดๆ ไหลออกทางจมูกและปากเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที
ใบหน้าเฉยชาไม่แยแสต่อสิ่งใดของเขา ในที่สุดก็ฉายแววตกตะลึงและเคียดแค้นออกมา
สวี่ชีอันหัวเราะเสียงแหบห้าว “ที่สู้กันมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะสังหารเจ้า ข้าอดทนไม่ใช้วิชานี้มาตลอด เพื่อรอเวลาโจมตีที่เหมาะสม ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะร่วมมือกับสำนักพุทธได้ น่าเสียดายยิ่งนัก
“ที่ข้าเรียกจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมา ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง คือนางทำให้ข้าฟื้นคืนพลังการเคลื่อนไหวของข้าได้ ทำให้ข้าสามารถสำแดงวิชาสาปสังหารออกมาได้”
ก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาถูกโหรชุดขาวควบคุมอยู่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“จงลิ้มรสวิชาสาปสังหารของผู้มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ ลิ้มรสผลสะท้อนจากโชคชะตาไปเถิด เจ้ามันอมนุษย์ ไอ้ชาติหมา”
สวี่ชีอันกล่าวพร้อมกับหัวเราะเย้ยหยัน
รอยร้าวใต้ฝ่าเท้าของโหรชุดขาวพาเขาหายตัวไปยังที่อื่นทันที ไม่เปิดโอกาสให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้สังหารเขา
เขาจากไปโดยไม่ลังเล ราวกับสัมผัสได้ถึงความตายที่คุกคามตนเอง
………………………………………………