ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 493 หลังจบเรื่อง
บทที่ 493 หลังจบเรื่อง
องค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจไม่ได้ตามไป หางทั้งเก้าห่อหุ้มร่างของสวี่ชีอันเอาไว้ และวางลงเบื้องหน้าจ้าวโส่ว
หางทั้งเก้ากางออก คลอเคลียผะแผ่วอยู่บนแผ่นหลังของสวี่ชีอัน ก่อนจะหายไปทีละหาง
“เดี๋ยวก่อน ฝูเซียงหายไปอยู่ที่ใด”
สวี่ชีอันที่อยู่ในสภาพร่อแร่ ฝืนตัวเองให้ถามออกไป
หางจิ้งจอกโบกไล้ ตามมาด้วยเสียงหวานของหญิงสาว แค่นหัวเราะเย้ยหยัน
“ชีวิตจะหาไม่อยู่แล้ว ยังถามหาผู้หญิงอีก ช่างเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนเสียไม่มี”
สมกับเป็นยายปีศาจนิสัยไม่ดี ไร้การอบรมจริงๆ สินะ…สวี่ชีอันเข้าใจในคำพูดถากถางของอีกฝ่าย เขาขมวดคิ้วมุ่น สายตาจ้องมองหางจิ้งจอกที่แผ่สยายไปทั่วทิศทางของอีกฝ่าย ก่อนจะเค้นถามต่อว่า
“ใครจริงใจต่อข้า ข้าก็จริงใจต่อคนผู้นั้น”
นี่เป็นพื้นฐานการอบรมของเจ้าแห่งท้องทะเล
“ข้าจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับชายในเผ่าคนหนึ่งไปแล้ว”
เสียงหัวเราะคิกคักขององค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจดังขึ้น
แม่คุณวอนหาที่ตายจริงๆ ใช่หรือไม่ ดวงตาของสวี่ชีอันเบิกกว้างขึ้นทันที!
“ล้อเล่นหรอกน่า”
ประโยคต่อมาขององค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ ทำให้สวี่ชีอันคลายโทสะลง นางจึงพูดต่อ
“ฝูเซียงกลับมารับใช้ข้าแล้ว บทบาทของนางคณิกาแห่งสำนักสังคีต สำหรับนางแล้วก็เป็นเพียงภาระหน้าที่แสนธรรมดาสามัญ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในเส้นทางชีวิตของนางเท่านั้น”
สวี่ชีอันพยักหน้า พร้อมตอบกลับอย่างอ่อนแรง
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
แม้จะรู้ว่าฝูเซียงเป็นบุตรในเงามืดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และการตายของนางก็เป็นเพียงการหลบหนี แต่เมื่อได้ยินว่าตอนนี้นางยังปลอดภัยดี สวี่ชีอันก็โล่งอก ตอนนี้คงต้องปล่อยปลาตัวนี้กลับสู่ทะเลไปก่อน
ไว้หาโอกาสเหมาะๆ ค่อยเอากลับมาเลี้ยงในบ่อปลาอีกครั้งก็ได้
องค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจคลี่ยิ้มหวานพลางเอ่ย ก่อนที่หางสุดท้ายจะหายไป
“จริงสิ กายเนื้อของฝูเซียงเป็นศพที่ข้าไปคุ้ยหาจากกองศพมาศพหนึ่ง เพิ่งตายได้ไม่นาน กายเนื้อยังใช้ได้ ก็เลยใช้อวิชชาคืนวิญญาณ เรียกวิญญาณของฝูเซียงมาใส่ในร่าง
“ร่างนั้นถึงจะไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็เป็นศพ ใช้การได้ไม่กี่ปี ก็เน่าเสีย ผุพังอย่างควบคุมไม่ได้ ฝูเซียงไม่มีทางเลือก จึงต้องแกล้งตายเพื่อสละร่าง”
สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อโดยฉับพลัน ราวกับกลายเป็นภาพวาด
…
“ต้าหลาง ต้าหลาง…”
อารองสวี่กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นหางจิ้งจอกหายไปหมดแล้ว เขาก็แทบจะพุ่งตัวเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลานชายทันที
สีหน้าของสวี่ผิงจื้อระคนด้วยความโศกเศร้า ความคับแค้นใจ ความกังวล และความหวาดกลัว เขาจับมือของหลานชายเอาไว้แน่น กลัวว่าหากคลายมือออก หลานชายก็จะหายไป
“เหตุใดบาดแผลถึงยังไม่สมานกันเล่า ขั้นสามเขาเรียกกันว่าร่างอมตะไม่ใช่หรือ”
อารองสวี่ตรวจดูรอบหนึ่ง ด้วยความร้อนรนใจ
เพราะอาการบาดเจ็บของหลานชายไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย บาดแผลจากหยกสลายสองครั้งคงอยู่ ตะปูตอกวิญญาณเก้าดอกยังฝังอยู่ในเลือดเนื้อของเขา บาดแผลในช่องท้องก็ยังมีเลือดสีแดงข้นคลั่กไหลทะลักออกมาไม่หยุด
นอกจากนี้เลือดยังไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ดูสภาพน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขาคิดว่าอาจจะตายจากพิษบาดแผลได้ตลอดเวลา
“เขาก้าวมาถึงขีดจำกัดแล้ว จำเป็นต้องรักษาโดยด่วน”
จ้าวโส่วพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง อดทนต่ออาการปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ห้ามเลือด”
เลือดจากบาดแผลฉกรรจ์เหวอะหวะจนน่ากลัวเหล่านั้นค่อยๆ หยุดลง ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
ในสายตาของจ้าวโส่ว มองว่าที่สวี่ชีอันยังไม่ตายในตอนนี้ เป็นภาพสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของพลังชีวิตของทหารได้เป็นอย่างดี
เขาผลาญพลังชีวิตไปมหาศาลในศึกชี้ชะตากับเจินเต๋อ บาดเจ็บมาไม่น้อย โดยเฉพาะบาดแผลจากการเอาทองไปรู่กระเบื้อง สังหารศัตรูหนึ่งพันส่วน เข้าตัวเองแปดร้อยส่วน ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
จากนั้นเขาก็ตะปูตอกวิญญาณฝังแน่น สกัดกั้นพลังปราณและปราณโลหิต ทำให้ทหารผู้มีตบะขั้นสามอย่างเขา ออกแรงไม่ได้แม้แต่นิด
สุดท้าย เขายังใช้วิชาสาปสังหารจากบันทึกลัทธิขงจื๊อ สละตนเองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เพื่อให้โหรชุดขาวสวี่ผิงเฟิงได้ลิ้มรสผลสะท้อนของโชคชะตา
ผลสะท้อนจากการสังหารผู้มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่
เป็นการสังหารศัตรูแปดร้อยส่วน เข้าตัวเองหนึ่งพันส่วน
ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ทั้งที่อาการบาดเจ็บทับถมกันหนักเช่นนี้ หากไม่เป็นเพราะพลังชีวิตอันแข็งแกร่งของทหารแล้วจะเป็นอะไรได้อีก
“รีบกลับไปเมืองหลวงก่อนเถิด ตอนนี้คนเดียวที่จะช่วยเขาได้มีแต่ท่านโหราจารย์”
จ้าวโส่วมองสงครามที่อยู่ไกลออกไป ด้วยตบะขั้นสามของเขา ไม่อาจสอดแนมการปะทะระหว่างพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง และอาณัติสวรรค์ขั้นหนึ่งได้ เพราะที่นั่นถูกค่ายกลครอบคลุมไว้ทั้งหมด
ท่านโหราจารย์กำลังตัดทางหนีของพระโพธิสัตว์หญิง เขาต้องการสังหารพระโพธิสัตว์
สวี่ผิงจื้ออุ้มหลานชายของเขาขึ้นมาและพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เขาจำทุกอย่างได้แล้ว เขาจำเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา จำพี่ใหญ่ อัจฉริยบุคคลแห่งใต้หล้า ผู้เป็นหนึ่งไม่มีสองได้แล้ว
เขาจำภาพของบ้านสกุลสวี่ที่เคยรุ่งเรืองได้
ทว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงกลุมควันแห่งอดีตไปเสียแล้ว แต่ละปีมีขุนนางใหญ่และเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายในเมืองหลวงสูญสิ้นอำนาจ และถูกยึดทรัพย์ทุกปี ในระหว่างที่เกิดการอำพรางความลับสวรรค์ ไม่มีใครจดจำความรุ่งเรืองของบ้านสกุลสวี่เมื่อยี่สิบปีก่อนได้เลย
…
กลางดึก ณ ห้องทรงพระอักษร
แสงเทียนสว่างไสวเหมือนเวลากลางวัน
องค์รัชทายาทนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงพระอักษร ด้วยความรู้สึกที่คละเคล้า ทั้งปลงตก ตื่นเต้น ระทึกใจ และหวาดหวั่น…ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ต้องเผชิญกับงานแต่งงานเพียงครั้งเดียวในชีวิต
องค์รัชทายาทรู้ดีว่าตนจะได้ขึ้นครองราชย์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับค่ำคืนนี้
ในขณะนี้เอง ใต้เท้าขุนนางทั้งหลายก็นั่งจิบชา รับประทานของว่างรอการหารืออยู่ในห้องโถงด้านข้าง
จักรพรรดิถูกบั่นคอ บ้านเมืองกลายเป็นมังกรไร้หัว องค์รัชทายาทต้องก้าวขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมเป็นเรื่องปกติ และยังถือเป็นความหมายในการดำรงอยู่ขององค์รัชทายาทด้วย
ประเทศชาติไม่อาจขาดกษัตริย์ได้แม้เพียงหนึ่งวัน และจะขาดมกุฎราชกุมารไม่ได้แม้แต่วันเดียว
บทบาทของมกุฎราชกุมารถูกขับเน้นขึ้นมาในเวลานี้ หากต้าฟ่งไร้ซึ่งองค์รัชทายาท บ้านเมืองจะถึงคราวระส่ำระสายก็ตอนนี้
หลังจากการปลอบขวัญในช่วงกลางวัน ชาวเมืองทุกชนชั้นในเมืองหลวงดูจะทำใจได้แล้ว แต่พวกที่มีปัญหารุนแรงที่สุดคือเหล่าชนชั้นรากหญ้าทั้งหลาย พวกเขารวมตัวกันที่หน้าประตูเขตพระราชฐาน และที่ทำการปกครอง และโห่ร้องขอพบฆ้องเงินสวี่
ชาวเมืองต่างสงสัยว่าราชสำนักแอบจับกุมเขา หรือถึงขั้นปลิดชีพเขาอย่างลับๆ
สมุหราชเลขาธิการหวางให้องค์รัชทายาทระดมกำลังทหารรักษาวังเข้าควบคุมสถานการณ์ในเมือง ขณะเดียวกันก็สั่งการให้ขุนนางในเมืองหลวงออกมาปลอบขวัญประชาชนด้วย ต้องใช้การรับมือสองทาง จึงจะป้องกันการจลาจลที่อาจปะทุขึ้นได้
“ฝ่าบาท ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีชราก้าวข้ามธรณีประตู ยืนอยู่เบื้องล่าง พร้อมกล่าวทูลด้วยเสียงแผ่วเบา
สมุหราชเลขาธิการหวางสวมชุดคลุมสีแดง พร้อมหมวกขุนนางเต็มยศ ย่างก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษรอย่างมั่นคง
เมื่อเทียบกับกลุ่มขุนนางที่มีท่าทีตื่นตระหนก สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการกลับราบเรียบ ท่าทางจิตใจดีพร้อม ราวกับได้เกิดใหม่ ปัดเป่าโรคภัยของเขาออกไปจนหมด
“ฝ่าบาท!”
สมุหราชเลขาธิการหวางโค้งคำนับ
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ ในเวลานี้เราควรทำอย่างไรดี”
องค์รัชทายาทจ้องมองไปยังสมุหราชเลขาธิการหวาง
เขารู้ดีว่าสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยให้เขาก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ และเป็นคนที่เขาสามารถพึ่งพาได้ในอนาคต ตราบใดที่เขาเป็น ‘พันธมิตร’ กับสมุหราชเลขาธิการหวางได้ เขาก็สามารถสยบทุกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว และก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคง
ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในพรรคหวางมีสมาชิกพรรคขององค์รัชทายาทอยู่มากมาย
แน่นอนว่าสมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้เข้าเป็นพวกด้วย เนื่องจากในเวลานั้นถูกพระราชบิดากดทับอยู่ สมุหราชเลขาธิการหวางจึงไม่อาจเข้าพวกไปโดยปริยาย
แต่ในความเป็นจริงตัวสมุหราชเลขาธิการหวางเองก็อยู่ในพรรคขององค์รัชทายาทเช่นกัน หรืออย่างน้อยก็เอนเอียงเข้าหาตัวเขาอยู่บ้าง มิฉะนั้นคงไม่ทนดูสมาชิกพรรคหวางแอบเข้าพวกกับเขาอย่างลับๆ เช่นนี้
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าว “สิ่งที่พระองค์ต้องทำมีอยู่สามประการ ประการแรก ปลอบขวัญประชาชน ประการที่สอง ปลอบขวัญกองทัพ ประการที่สาม ปลอบขวัญท้องพระโรง”
องค์รัชทายาทโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางคิดว่าเราควรจะปลอบขวัญทั้งสามฝ่ายเช่นไร”
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวถ้อยแถลงเนิบช้า ราวกับวางแผน เตรียมโครงร่างมาแล้วเป็นอย่างดี
“ฝ่าบาท เรื่องที่สวี่ชีอันบั่นคออดีตองค์จักรพรรดิเป็นที่รู้กันโดยทั่วนอกเมืองหลวง เรื่องนี้ไม่อาจปกปิดได้ หากฝืนปิดบังเรื่องราว มีแต่จะทำให้ประชาชนเดือดดาล และสิ้นความเชื่อใจในราชสำนัก”
ตอนนี้ เมื่อนึกถึงสวี่ชีอัน ผู้คนในเมืองหลวงต่างนึกถึงเขาในฐานะยอดคนผู้บั่นคอจักรพรรดิ
องค์รัชทายาทถอนหายใจหนึ่งครั้ง เรื่องนี้เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิด
หวางเจินเหวินกล่าวต่อ
“ป่าวประกาศการกระทำของอดีตจักรพรรดิออกไปต่อสาธารณชน ให้รู้ทั่วกันในใต้หล้า ว่าเขาเป็นผู้ตัดเสบียงอาหารกองทัพ ทำร้ายขุนนางตงฉิน ส่งผลให้พลทหารกว่าแปดหมื่นรายต้องถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของสำนักพ่อมด จากนั้น องค์รัชทายาทในนามของบุตรแห่งสวรรค์ ท่านจงประณามความต่ำช้าของอดีตจักรพรรดิ ห้ามไม่ให้ตั้งแผ่นป้ายจารึกของอดีตจักรพรรดิตั้งไว้ในศาลบรรพบุรุษ ไม่ให้นำอัฐิฝังไว้ในสุสานจักรพรรดิ
“และท้ายที่สุด โปรดตกรางวัลแก่สวี่ชีอัน คืนตำแหน่งขุนนางให้กับเขา พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ และประกาศให้ประชาชนในใต้หล้ารับรู้โดยทั่วกัน เช่นนี้ ความเชื่อใจของประชาชนและกองทัพก็จะกลับมามั่นคงดังเดิม การกระทำของอดีตจักรพรรดินั้นจะนำพาความอัปยศอย่างใหญ่หลวงมาสู่ท้องพระโรงและราชวงศ์อย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทกระทำนั้นจะทำให้ประชาชนใต้หล้าและบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ พวกเขาจะคาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ จากพระหัตถ์ของจักรพรรดิองค์ใหม่”
หวางเจินเหวินกล่าวถึงอดีตจักรพรรดิ ซึ่งหมายถึงจักรพรรดิหยวนจิ่ง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
องค์รัชทายาทตกตะลึงจนหน้าถอดสี ในใจคิดว่าเจ้าอยากให้ข้าเป็นลูกอกตัญญูให้ได้ใช่หรือไม่
ต่อให้อดีตจักรพรรดิผู้ล่วงลับจะเลวทรามปานใด แต่พ่อลูกก็ยังคงเป็นพ่อลูกกันอยู่วันยังค่ำ ใครจะด่าทออดีตจักรพรรดิอย่างไรก็ว่าไป แต่ในฐานะลูกชายเขาทำไม่ลง
แม้จะมีเหตุผลมารับรอง แต่ก็ต้องถูกตีตราว่าเป็นลูกอกตัญญูอยู่ดี
ความอัปยศอดสูนี้อาจจะไม่เลือนหายไปในเวลาอันสั้น แต่จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ตราบนานเท่านาน
ตลอดชั่วราชวงศ์ ต่อให้ราชโอรสก่อกบฏช่วงชิงบัลลังก์ แต่ก็ยังต้องเคารพพระราชบิดา ด้วยการจองจำในพระราชวัง
ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีกรณีทารุณพระศพของพระราชบิดาสักครั้ง เพราะเป็นประเด็นที่อ่อนไหวเกินไป คนฉลาดทั่วไปล้วนไม่ทำเช่นนั้น
“องค์รัชทายาทต้องสั่งสมบารมีชื่อเสียงโดยเร็ว เอาชนะใจประชาชน สร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อราชวงศ์ใหม่ นี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว มีจักรพรรดิที่ทรงพระปรีชาสามารถเช่นพระองค์ขึ้นครองราชย์ และสวี่ชีอันที่ได้รับบรรดาศักดิ์ เข้าไปอยู่ในท้องพระโรงเช่นนี้ สถานการณ์โดยรวมย่อมคลี่คลาย”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” องค์รัชทายาทกล่าวพร้อมส่ายหน้า
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า และเล่าถึงแผนการที่สองต่อ
“เช่นนั้นก็แสร้งว่าฝ่าบาทถูกสำนักพ่อมดควบคุม จึงทำเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นลงไป ฆ้องเงินสวี่จึงลงมือเพื่อยับยั้งแผนร้ายของสำนักพ่อมด
“สงครามระหว่างต้าฟ่งและสำนักพ่อมดเพิ่งจะสิ้นสุดลง ประชาชนต่างโกรธแค้นเพราะทหารกว่าแปดหมื่นนายถูกสังหารที่แดนตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่มีใครสงสัยแน่ และยังเป็นโอกาสดีที่จะเบี่ยงเบนประเด็นขัดแย้ง ผลักความโกรธแค้นของประชาชนไปลงที่สำนักพ่อมดแทน
“แต่อย่างไรก็ตามการกระทำของสวี่ชีอันจำต้องได้รับการสรรเสริญอยู่ดี เช่นนี้จะช่วยกอบกู้ภาพลักษณ์ของราชสำนักให้คืนกลับมา ประชาชนที่มารวมตัวชุมนุมหน้าที่ทำการปกครองและเขตพระราชฐานในวันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด”
องค์รัชทายาทนิ่งเงียบไปนาน ไม่มีการโต้ตอบ
เมื่อเห็นท่าที สมุหราชเลขาธิการหวางก็พูดต่อ
“ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพียงการรักษาเสถียรภาพของท้องพระโรง สิ่งที่ขุนนางชั้นสูงกังวลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผลัดแผ่นดินใหม่ แต่งตั้งขุนนางชุดใหม่ ฝ่าบาทแค่ต้องเอาชนะพวกเขาดึงมาเป็นพวกให้ได้ก็เท่านั้นเอง”
“จะดึงมาเป็นพวกได้อย่างไร”
องค์รัชทายาทถาม
การดึงเข้าพวกไม่ใช่เพียงการให้สัญญาปากเปล่า แต่ยังต้องมอบผลประโยชน์ที่แท้จริงให้เป็นการแลกเปลี่ยนด้วย ดังนั้น หากดึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเป็นพวก ก็ต้องกำราบคนอีกกลุ่มหนึ่งลงด้วย
คำถามแท้จริงที่องค์รัชทายาทกำลังถามก็คือ กำราบใคร
สมุหราชเลขาธิการเอ่ยเสียงเบา
“รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหยวนสยงและรองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้า สมคบคิดกับสำนักพ่อมด ควบคุมฝ่าบาท วางแผนร้ายล้มล้างต้าฟ่ง มีโทษมหันต์ไม่อาจผ่อนปรนได้ ให้ประหารเก้าชั่วโคตร ส่วนสมาชิกพรรคที่เหลือ ให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด
“ทว่าเมื่อองค์รัชทายาทเสด็จขึ้นครองราชย์ ให้ทำการนิรโทษกรรม ประหารหยวนสยงและฉินหยวนเต้าเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ประชาชน สมาชิกตระกูลฝ่ายหญิงให้ส่งไปยังสำนักสังคีต ส่วนสมาชิกในตระกูลที่เหลือได้รับการอภัยโทษ
“ส่วนสมาชิกพรรคคนอื่น ให้ลงโทษหนักเบาตามความผิดที่ก่อ ไล่ตั้งแต่การยึดทรัพย์ ไล่ออกจากราชการ และกุดหัว คนในตระกูลให้ละเว้นโทษไม่ต้องรับโทษร่วมกัน”
เวลาและวิธีการจัดการถูกกำหนดไว้หมดแล้ว
องค์รัชทายาทครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ดี!”
พูดจบ ก็เรียกขันทีชราเข้ามารับคำสั่ง “ไปแจ้งใต้เท้าทั้งหลายให้เข้ามาหารือในตำหนัก”
…
สำนักอวิ๋นลู่
สวี่ผิงจื้อกลับมายังสำนักด้วยใบหน้าอิดโรย
เนื่องจากเขาออกไปอย่างกะทันหันทำให้อาสะใภ้และลูกสาวต้องกลับมารอเขาที่สำนัก
“ตา ตาเฒ่า…”
อาสะใภ้ผู้งดงามและอวบอัดปรี่เข้ามาต้อนรับ นางกระซิบเสียงแผ่ว ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ดู ดูเหมือน ข้าจะลืมอะไรไปหลายอย่างก่อนหน้านี้ไป”
เช่นว่า ตอนนั้นที่บิดาผู้เป็นซิ่วไฉของอาสะใภ้ ยกนางให้แต่งกับสวี่ผิงจื้อ ไม่ใช่เพราะนิสัยซื่อๆ ไม่สันทัดเรื่องการเมืองในบ้าน
แต่เป็นเพราะในบ้านสกุลสวี่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในเวลานั้น พี่ชายของสวี่ผิงจื้อได้รับตำแหน่งใหญ่โต มีอำนาจในมือล้นเหลือ
ซิ่วไฉเฒ่าอาศัยความงามดุจนางสวรรค์ของลูกสาวผู้หยาบคายผิดมนุษย์มนา จัดแจงให้นางแต่งกับเอ้อร์หลางแแห่งบ้านสกุลสวี่ ซึ่งก็คือสวี่ผิงจื้อนั่นเอง
แต่อาสะใภ้กลับเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองหลงลืมเรื่องราวในตอนนั้นไปหมดสิ้น…
นอกจากนี้พี่ชายคนโตของสวี่ผิงจื้อหาใช่นายทหารเก่าในสงครามด่านซานไห่ แต่กลับเป็นขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรง และเป็นผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนหนึ่งด้วย
อารองสวี่ชำเลืองมองภรรยาครู่หนึ่ง ด้วยความอิดโรยที่ฝังลึก พร้อมกล่าวเสียงเบา
“ลืมไปเสียเถิด ลืมไปเสียได้ยิ่งดี เรื่องบางเรื่อง คิดถึงไปก็มีแต่เจ็บปวด คนบางคน คิดถึงไปก็มีแต่จะชอกช้ำ”
อาสะใภ้อ้าปากค้าง ดวงหน้างามหมดจดละเอียดลออของนางดูสับสน แล้วนางก็หยุดพูดไป
สวี่หลิงเยวี่ยวิ่งออกมาจากห้อง สาวน้อยวัยสิบหกปีเขย่งปลายเท้า ชะเง้อมองด้านหลังไม่หยุด พร้อมเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“พี่ใหญ่ของข้าล่ะ พี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่ใด…”
“เขาอยู่ที่สำนักโหราจารย์ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
สวี่ผิงจื้อปลอบประโลมลูกสาวของตน ก่อนจะเอ่ยตามมาว่า “ข้าคิดว่า พวกเราคงไม่ต้องไปจากเมืองหลวงแล้วล่ะ”
…
หอดูดาว ภายในห้องพัก
ฉู่หยวนเจิ่น ลี่น่า หลี่เมี่ยวเจิน ไต้ซือเหิงหย่วน นั่งล้อมวงรอบโต๊ะ พลางดื่มน้ำชาเงียบๆ
พวกเขารับรู้ถึงชะตากรรมที่เกิดกับสวี่ชีอันในภายหลังแล้ว รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของสวี่ผิงเฟิง รู้กระทั่งเขาใช้ลูกชายของตนเป็นภาชนะ และตอนนี้ก็คิดจะสังหารเขาเพื่อชิงโชคชะตา
สวี่ชีอันบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาฟัง
ณจุดนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังต่อไป จักรพรรดิเจินเต๋อถูกปลงพระชนม์ไปแล้ว สองพ่อลูกห้ำหั่นกันเอง เรื่องราวทั้งหมดล้วนโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
เฉลย ข้านี่แหละคือบุตรแห่งโชคชะตา
แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่คิดจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป แต่ก็สามารถบอกเล่าให้กับพันธมิตรที่สนิทสนมกันได้ไม่มีปัญหา
“ไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่เขาเคยประสบพบเจอมาช่างแปลกประหลาด น่าสะเทือนใจเสียเหลือเกิน” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวพึมพำ
“อมิตตาพุทธ”
สีหน้าของไต้ซือเหิงหย่วนฉายแววปวดร้าวขมขื่นออกมา “พ่อฆ่าลูก โศกนาฏกรรมแห่งโลกมนุษย์ สิ่งที่ใต้เท้าสวี่ประสบพบเจอช่างน่าเวทนายิ่งนัก”
หลี่เมี่ยวเจินสีหน้าหมองเศร้า นางถือถ้วยชาไว้ในมือ โดยไม่พูดอะไร
นางทั้งรู้สึกเห็นใจและเวทนา ในขณะเดียวกันก็คละเคล้าด้วยความรู้สึกเคียดแค้นอันท่วมท้น
“เสือร้ายมันยังไม่กินลูกตัวเอง สวี่ผิงเฟิงนี่กระไร คอยดูเถิดสักวันแม่จะเชือดทิ้งเสีย!”
ความมีชีวิตชีวาของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์กลับคืนมาอีกครั้ง
“ซินเจียงตอนใต้ของข้าก็มีเรื่องแบบนี้เช่นกัน หากลูกชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คิดว่าตนเองแข็งแกร่งพอ ก็สามารถท้าประลองกับบิดาของตนได้ หากชนะ ก็จะได้สืบทอดทุกอย่างที่เป็นของบิดา รวมถึงมารดาผู้ให้กำเนิดด้วย หากแพ้ ก็ต้องตาย
“แต่หากพ่อรู้สึกว่าลูกชายคนใดเป็นภัยคุกคามต่อตนเอง ก็สามารถท้าประลองได้เช่นกัน เพื่อสังหารลูกชายตนโดยชอบธรรม เพื่อปกป้องตำแหน่งและผลประโยชน์ของตน”
ลี่น่าบอกเล่า
นั่นเป็นเผ่าที่บิดาเมตตาต่อบุตร และบุตรกตัญญูต่อบิดาเผ่าหนึ่ง
พวกฉู่หยวนเจิ่นสามคนไม่มีใครสนใจนาง หลายชนเผ่าทางซินเจียงตอนใต้ยังเป็นเผ่าไร้อารยะที่กินเลือดกินเนื้อสดๆ กันอยู่เลย จึงมีธรรมเนียมแปลกๆ เต็มไปหมด
แต่ที่นี่คือต้าฟ่งที่มีจริยธรรม
ชีวิตของสวี่ชีอันทำให้พวกเขารู้สึกเห็นใจกันและกัน และทวีความเกลียดชังต่อศัตรูร่วมกันมากขึ้น
‘เมินข้ากันหมดเลย…’ ลี่น่าพองแก้มของนาง แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด นางก็กุมท้อง และขมวดคิ้วแน่น
“จะ เจ็บ เจ็บเหลือเกิน…
“จะ เจ็ดยอดกู่…”
…
ดวงจันทร์ส่องสว่าง บดบังดวงดาราริบหรี่
แท่นแปดทิศบนหอดูดาวมีเสียงไอลอยมาเป็นระยะ
ลมหนาวพัดโบก สวี่ชีอันที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหนานั่งอยู่ริมโต๊ะ ในมือถือชามใส่ยาต้ม
จงหลีนั่งยองๆ อยู่หน้าเตาไฟขนาดเล็กคอยต้มยาให้เขา ส่วนฉู่ไฉ่เวยใจจดใจจ่อกับการประสานรอยแผล และทาขี้ผึ้งบรรเทาอาการปวดให้กับเขา
ซ่งชิงเมื่อได้ยินว่าสหายคนสนิทของเขาบาดเจ็บสาหัส ก็รีบเสนอตัวเข้ามาช่วย
ไม่จำเป็นหรอก…สวี่ชีอันไล่เขากลับไปทันที
หลังจากให้กินยาอายุวัฒนะของท่านโหราจารย์ ดื่มยาต้มไปสองถึงสามถ้วย บวกกับฉู่ไฉ่เวยที่พยายามประสานบาดแผลที่ไม่อาจสมานเองได้อย่างสุดความสามารถ ในที่สุดสวี่ชีอันฟื้นคืนลมหายใจกลับมาอีกครั้ง แม้จะยังเจ็บอยู่ไม่น้อย แต่อาการบาดเจ็บก็ทุเลาลงบ้างแล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่เขาอยู่ที่ด่านอวี้หยาง เขาคงจะฝืนรอท่านโหราจารย์กลับมาไม่ไหว โบกมือลาไปแดนสนธยาเสียก่อน
กว่าตะปูตอกวิญญาณยังคงฝังอยู่ในร่างของเขา ไม่ได้ถูกถอนออกมา
หากตะปูไม่ถูกถอนออกมา ตบะของเขาก็จะถูกผนึกไปพร้อมกับเสินซู
“พระโพธิสัตว์หญิงที่มีนามว่า ‘หลิวหลี’ ผู้นั้นตายแล้วหรือ”
สวี่ชีอันมองเบื้องหลังของชายในชุดสีขาว
ท่านโหราจารย์ส่ายหัวเล็กน้อย “สังหารขั้นหนึ่งได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไรเล่า ข้าเพียงแค่ทำให้นางบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น อย่างน้อยนางออกไปจากดินแดนประจิมทิศไม่ได้สักสองปี”
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวกลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนว่าพระโพธิสัตว์ท่านนี้จะอ่อนแอกว่าซ่าหลุนอากู่อยู่นิดหน่อยนะขอรับ”
เขาได้กลิ่นหอมละมุนจางๆ มาจากกายของฉู่ไฉ่เวย และกลิ่นของซาลาเปาเนื้อลอยเตะจมูกพร้อมกัน
หิวแล้ว…
“ไปถึงขั้นหนึ่งได้ ไม่ได้อ่อนแอหรอก แต่ละคนล้วนมีจุดแข็งแตกต่างกันไป ศึกระหว่างขั้นหนึ่ง ตัดสินกันด้วยจังหวะเวลาสถานที่และคนด้วย ในอาณาเขตต้าฟ่งนี้ คนที่สามารถเอาชนะข้าได้มีเพียงผู้ที่อยู่ในขั้นเหนือระดับเท่านั้น ทว่าพลังแผ่นดินของต้าฟ่งอ่อนแอลงจนถึงตอนนี้ แค่ผู้ฝึกตนขั้นหนึ่งสักสองคนก็จัดการข้าอยู่หมัดแล้ว”
ท่านโหราจารย์เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ “ที่เข้าไปพัวพันกับซ่าหลุนอากู่เช่นนี้ ก็เป็นเพราะไม่อยากทำร้ายประชาชนในเมืองหลวง และอีกอย่าง เรื่องระหว่างเจ้ากับบิดาของเจ้า ข้าไม่สะดวกใจจะเข้าไปแทรกแซง”
ไม่สะดวกใจ?
ศิษย์เอกของเจ้าจ้องจะแทงข้างหลังเจ้าขนาดนี้แล้ว ยังไม่สะดวกใจอีกหรือ
สวี่ชีอันยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ท่านโหราจารย์ก็อธิบายทันที
“อาณัติสวรรค์ไม่อาจเปิดเผยความลับของสวรรค์ได้ ทำได้เพียงวางแผนจัดการอย่างลับๆ เท่านั้น จะพ่ายแพ้หรือมีชัยก็สุดแล้วแต่สวรรค์กำหนด”
ความหมายของท่านโหราจารย์คือ เขาใช้ความสามารถของอาณัติสวรรค์เพื่อล้วงข้อมูลแผนการของสวี่ผิงเฟิง เท่ากับเป็นการหยั่งรู้ความลับของสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเข้าไปแทรกแซงหรือเปิดเผยความลับของสวรรค์ได้…แต่การที่เขาจัดการกับพระโพธิสัตว์หญิงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยความลับของสวรรค์แต่อย่างใด เป็นเพียงการต่อสู้กับอริราชศัตรูเท่านั้น… สวี่ชีอันแสดงสีหน้าเหมือนเพิ่งตาสว่างขึ้นมา
เขาถามต่อทันที “ท่านรู้อยู่แล้วว่าพระโพธิสัตว์หญิงท่านนั้นจะมาใช่หรือไม่”
ท่านโหราจารย์คว้าแก้วสุราบนโต๊ะขึ้นมา ดื่มรวดเดียวหมดแก้ว และพ่นลมหายใจออกมาอย่างเต็มที่
“พระโพธิสัตว์หลิวหลี มีสองมหาโพธิสัตว์พลา ร่างธรรมเบญจรงค์มณี ร่างธรรมธุดงค์ อย่างหลังทำให้เดินทางข้ามเขามู่จิ่งในดินแดนประจิมทิศได้”
แล้ว? สวี่ชีอันไม่เข้าใจว่าท่านโหราจารย์หมายถึงอะไร
ท่านโหราจารย์คลี่ยิ้ม และเอ่ยขึ้น “ต่อจากนี้ ข้ามีเรื่องจะบอกกับเจ้าอยู่สองเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
สวี่ชีอันนั่งหลังตรง รับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
…………………………………………………….