ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 494 ชีเจวี๋ยกู่
บทที่ 494 ชีเจวี๋ยกู่
“ลี่น่า…”
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง ประคองแขนของเจ้าผิวดำตัวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ กันไม่ให้นางหัวปักพื้น
ในเวลาเดียวกันเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ที่วิชาแพทย์คล้ายคลึงกันจับชีพจร ตรวจดูสถานการณ์
ชีพจรปั่นป่วนอย่างรุนแรง ภายในร่างของลี่น่าราวกับซุกซ่อนกลุ่มพลังอันยุ่งเหยิงอยู่ ซึ่งปะทุพลังได้ทุกเมื่อ
“ใช่ มันคือชีเจวี๋ยกู่…”
ลี่น่าขมวดคิ้ว ใบหน้าอันงดงามบิดเป็นกลุ่มก้อน ริมฝีปากซีดขาว แล้วเอ่ยตะกุกตะกัก
“นี่เป็นกู่ชนิดที่รุนแรงชนิดหนึ่ง แม่ย่าแห่งเทียนกู่มอบให้ข้า เพื่อป้องกันไม่ทำมันหาย จึงกลืนลงท้องไป คาดไม่ถึงว่ากู่นี่จะรุนแรงเพียงนี้ มันต่างจากกู่ชนิดอื่น”
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจิน พร้อมด้วยไต้ซือเหิงหย่วนต่างมองลี่น่าด้วยสีหน้าซับซ้อน
ช่างกล้ายัดอะไรไม่รู้ลงท้องจริงๆ!
เหิงหย่วนยืนขึ้นและเดินไปด้านนอก “ข้าจะไปตามซ่งชิง ไม่สิ ไปตามหยางเชียนฮ่วน ไม่ ตาม ตาม…”
เอ่ยไปเอ่ยมา ไต้ซือก็ชักสับสน
ฉู่หยวนเจิ่นทอดถอนใจ “ตามโหรชุดขาวมาสักคน”
ไต้ซือเหิงหย่วนพยักหน้าในทันใด แล้วผลักประตูออกไป
ตามโหรชุดขาวมาสักคนน่าเชื่อถือกว่าตามเหล่าศิษย์สายตรงของท่านโหราจารย์มาเสียอีก
ชั่วเวลาอันสั้น โหรชุดขาววัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ลี่น่าในตอนนี้เกลือกกลิ้งไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ท้องน้อยเดี๋ยวป่องเดี๋ยวยุบ คล้ายกับลูกบอลพองลมรั่วอยู่ตลอดเวลา
นี่ตั้งครรภ์แล้วหรือเปล่า…โหรชุดขาววัยรุ่นพึมพำในใจ ก้มตัวลงจับชีพจรลี่น่า สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอย่างไรบ้าง”
ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยถาม
“ภายในร่างของแม่นางผู้นี้มีบางอย่างอยู่ มันกำลังฟื้นตัว นำออกมาให้ทันการจะดีที่สุด มิเช่นนั้นอาจสิ้นใจได้” โหรชุดขาวแสดงความเห็นในแง่ของมืออาชีพ
“รบกวนท่านพี่แล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินคารวะ
“อ้อ นี่ก็เกินความสามารถของข้า”
โหรชุดขาวยักไหล่ “ข้าไม่เคยเรียน ‘คัมภีร์กายวิภาคศาสตร์’ ศิษย์พี่ซ่งมีระดับความรู้ในศาสตร์นี้สูงที่สุด หากคิดจะเรียน ขอคำแนะนำจากเขาจะดีที่สุด ทว่าเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุที่มีศิษย์พี่ซ่งเป็นผู้นำ สมองจะมีปัญหาอย่างมาก”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ โหรชุดขาวก็เชิดคางขึ้น เสียงเย้ยหยันปะปนอยู่ในน้ำเสียง
“ข้าไม่อยากให้สมองของตนเองพังทลายเหมือนพวกเขาเช่นกัน ข้าเดินคนละเส้นทางกับพวกเขา”
หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นนึกย้อนถึงการกระทำของซ่งชิงคนพรรคนั้น ก็เห็นพ้องอย่างสุดซึ้ง พี่ชายคนนี้ดูเหมือนจะ ‘ไร้ยางอาย’ กับการกระทำของซ่งชิงและคนอื่นๆ
สำนักโหราจารย์ยังมีคนปกติเป็นส่วนใหญ่สินะ…สมาชิกพรรคฟ้าดินทั้งสองคิดในใจ จากนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็เอ่ยถาม
“ฟังดูเหมือนสำนักโหราจารย์ของพวกเจ้าราวกับยังมีกลุ่มแยกกันอยู่”
โหรชุดขาวพยักหน้า “หากจะพูดให้ถูก ศิษย์สายตรงของท่านโหราจารย์ทุกคนล้วนต้องรับศิษย์แทนอาจารย์ รับผิดชอบสั่งสอนศิษย์กลุ่มหนึ่ง อืม แต่ศิษย์น้องไฉ่เวยไม่จำเป็นต้องสอนลูกศิษย์ นางต้องให้เหล่าลูกศิษย์สอน”
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินในใจหนักอึ้ง “แล้วใครสอนเจ้าล่ะ”
เมื่อได้ยิน โหรชุดขาววัยรุ่นก็เชิดคางขึ้น กลับหันหลังและใช้ท้ายทอยมองทั้งสอง “ศิษย์…พี่…หยาง…”
ไปให้พ้นเลยไป!
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินไล่เขาออกไป
…
ก่อนที่ท่านโหราจารย์จะเอ่ยก็ขอหมกเม็ดก่อน ดื่มสุราในแก้วอย่างเชื่องช้าจนหมด ก่อนจะเอื้อนเอ่ยช้าๆ
“เจ้ารู้ไหมว่าวิญญาณแห่งชีพจรมังกรคืออะไร”
สวี่ชีอันก็เหมือนกับได้ยินยามที่เข้าชั้นเรียน ที่อาจารย์จะเคาะกระดานดำพลางเอ่ย ‘พวกคุณรู้ว่าแคลคูลัสคืออะไรไหม!’
รู้กับเจ้าน่ะสิ…เขาส่ายหน้าด้วยความสัตย์จริง จากนั้นเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้น “การรวมตัวของโชคชะตากับภูมิลักษณ์หรือ”
นี่เป็นแนวคิดของชีพจรมังกร ศิษย์พี่จงหลีเคยกล่าวไว้
ท่านโหราจารย์พยักหน้าพร้อมเอ่ย “ชีพจรมังกรคือการรวมตัวกันของโชคชะตากับภูมิลักษณ์ มันต่างกับโชคชะตา โหรมีขีดจำกัดในการควบคุมมัน นี่ก็คือเหตุผลที่เจินเต๋อซ่อนอยู่ในชีพจรมังกรเพื่ออำพรางร่าง สิ่งเดียวในโลกที่ควบคุมชีพจรมังกรได้ มีเพียงของล้ำค่าเช่นหนังสือปฐพีนี้”
ในตอนนั้นผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็อาศัยหนังสือปฐพีสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายใต้ชีพจรมังกร…สวี่ชีอันตกตะลึง ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นรายละเอียดคำพูดของท่านโหราจารย์
โหรมีขีดจำกัดในการควบคุมชีพจรมังกร ไม่ใช่ไร้ความสามารถเสียทีเดียว
ท่านโหราจารย์เอ่ยต่อ
“วิญญาณแห่งชีพจรมังกรกระเจิดกระเจิง กระจายไปทุกพื้นที่ของจงหยวน นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าจงหยวนไร้ซึ่งเจ้าของ ต้าฟ่งในปัจจุบันนี้ก็เหมือนหอคอยกลางอากาศ หากสูญเสียรากฐานอย่างชีพจรมังกรไป อนาคตอันใกล้ของราชวงศ์คงจะสั่นคลอน”
คำบอกเล่านี้ที่เป็นนามธรรมเกินไปหรือเปล่า…สวี่ชีอันคิ้วขมวด จากนั้นเขาก็ได้ยินท่านโหราจารย์อธิบาย
“พลังมังกรกระจายไปทุกที่ หากผู้ที่ได้รับพลังมังกรเป็นกลุ่มที่มีเจตนาบริสุทธิ์จะกลายเป็นวีรบุรุษ กลุ่มที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์จะกลายเป็นฝ่ายที่สร้างหายนะ ตัวอย่างเช่นกู่ร้องเรียกรวมกองกำลังบนป่าเขา ไม่ก็แบ่งแยกแผ่นดิน นับแต่นั้นมา ยามที่ชะตากรรมของราชวงศ์จงหยวนใกล้จะดับสิ้น ยุทธภพจะอลหม่านก่อนอารามวัดทั้งหมด”
ผู้ที่ได้รับพลังมังกรเทียบเท่ากับข้าในระดับต่ำงั้นหรือ บางทีอาจต่ำกว่าด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันเข้าใจความหมายของท่านโหราจารย์อย่างง่ายดาย
ตนที่มีชะตากรรมประเทศครึ่งหนึ่ง เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ขั้นสามแล้ว กลายเป็นฆ้องเงินสวี่ที่มีบารมีรุ่งเรืองดุจดวงตะวันกลางนภา
หากผู้ที่ได้รับพลังมังกรเป็นกลุ่มที่จิตใจดี หลังจากปรากฏขึ้นอาจยังทำเรื่องดีอยู่บ้าง หากเป็นคนที่พาลดื้อรั้นหรือเจตนาไม่บริสุทธิ์คนหนึ่งได้รับพลังมังกรฉวยโอกาสขึ้นมา จะต้องก่อเรื่องไม่ดีเป็นแน่
จงหยวนจะอลหม่าน…
เมื่อคิดได้เช่นนี้สวี่ชีอันก็อดกังวลไม่ได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมมานานยี่สิบเอ็ดปี ประชาชนก็ใช้ชีวิตเป็นทุกข์อยู่แล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ดังสุภาษิตโบราณที่ว่า
จะรุ่งเรืองหรือล่มสลาย ประชาชนก็ลำบาก
ท่านโหราจารย์พลันหันกลับมา พร้อมเอ่ยเสียงทุ้ม “นี่เป็นเหตุต้นผลกรรมของเจ้า”
ในใจสวี่ชีอันพลันหนักอึ้ง
“เจ้าฆ่าเจินเต๋อ เอาชนะวิญญาณแห่งชีพจรมังกร ชะตากรรมประเทศครึ่งหนึ่งอยู่ที่ตัวเจ้า ความอ่อนแอของต้าฟ่งพัวพันกับเหตุต้นผลกรรมของเจ้าอย่างลึกซึ้ง หากวันหนึ่งราชวงศ์ล่มสลาย ภาชนะที่แบกรับชะตากรรมประเทศครึ่งหนึ่งแบบเจ้าก็ต้องพลีชีพเพื่อประเทศชาติเช่นกัน แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้าในฐานะเจ้าชะตาสวรรค์ ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าตรงไหนเลย”
น้ำเสียงของท่านโหราจารย์ยังคงเฉยเมย ทว่าแววตาอันราบเรียบที่เขาจับจ้อง ทำให้สวี่ชีอันรับรู้ถึงความร้ายแรงและความจริงของเรื่องราว
“ข้าควรจะทำอย่างไร”
สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว
ฉู่ไฉ่เวยปรายตามองเขาก็รู้สึกเห็นใจเล็กน้อย ดวงตากลมโตฉ่ำวาวเป็นประกาย มืออันเรียวยาวเย็นเฉียบนวดหว่างคิ้วแทนเขา ลูบ ‘รอยย่น’ ให้เรียบ
“รวบรวมวิญญาณแห่งชีพจรมังกรที่กระจัดกระจาย ผสมเล็กผสมน้อยขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็นำกลับเมืองหลวง เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เจ้าไปทำ ไม่เพียงเพราะความเกี่ยวข้องของเหตุต้นผลกรรม เพราะเจ้ามีชะตากรรมประเทศครึ่งหนึ่งมากกว่าและผลร่วมอันแกร่งกล้าของพลังมังกร ซึ่งดึงดูดกันและกัน นอกจากนี้ เจ้ายังมีชิ้นส่วนหนังสือปฐพี มันช่วยเจ้าดึงพลังมังกรภายในร่างเป้าหมายออกมาและทำหน้าที่เป็นภาชนะรองรับ จากนั้นข้าจะส่งชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่จะใช้ให้เจ้าเพื่อดึงสูตรของพลังมังกรออกมา”
“ทว่าท่านอาจารย์ บนร่างเขาเป็นตะปูทั้งนั้น ท่านจะไม่ดึงพวกมันออกมาก่อนหรือ”
ฉู่ไฉ่เวยจิ้มอกสวี่ชีอัน ซึ่งในนั้นมีตะปูทะลุตรงเข้าหัวใจ
ท่านโหราจารย์ส่ายหน้าน้อยๆ “นี่เป็นตะปูตอกวิญญาณของล้ำค่าของสำนักพุทธ หากฝืนดึงออกเขาก็จะตาย จำเป็นต้องใช้วิธีลับเฉพาะ”
เมื่อได้ยินสวี่ชีอันก็หัวเราะอย่างขมขื่น ความปรารถนาในใจดับสลายในทันใด
อันที่จริงลองคิดดูก็สมเหตุสมผล ของสิ่งนี้ใช้เพื่อรับมือเสินซู ด้วยตัวตนของเสินซู อาวุธเวทมนตร์ธรรมดาจะผนึกเขาได้อย่างไร
ต้องเป็นของวิเศษที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง
น่าเสียดายพลังบำเพ็ญในร่างนี้ของข้า…สวี่ชีอันถอนหายใจ
“ตะปูตอกวิญญาณทำได้เพียงผนึกเสินซูชั่วเวลาหนึ่ง อย่างน้อยก็ยี่สิบปี อย่างมากก็หกสิบปี เสินซูก็จะหลุดพ้นจากผนึกได้ มิเช่นนั้นสำนักพุทธในตอนนั้นจะส่งเขาไปผนึกที่ต้าฟ่งไม่ได้”
ท่านโหราจารย์เอ่ย “ทว่าเจ้ารอนานเช่นนั้นไม่ไหว นี่จึงเป็นเรื่องที่สองที่ข้าต้องคุยกับเจ้า”
สวี่ชีอันจิตใจฮึกเหิม สีหน้าเริงร่า “ท่านมีวิธีอะไรหรือ”
เขากล่าวในใจว่าสมกับเป็นท่านโหราจารย์ มีทางออกเสมอ ทำให้ใครก็สบายใจ
“ข้ามิอาจคลายตะปูตอกวิญญาณได้ ทว่าคนของสำนักพุทธทำได้”
“คนของสำนักพุทธคงไม่คลายให้ข้า” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
สายตาของท่านโหราจารย์ตกอยู่บนร่างเขาพร้อมเอ่ย “แล้วเสินซูมิใช่คนในสำนักพุทธหรอกหรือ”
ดวงตาของสวี่ชีอันพลันส่องประกาย คล้ายกับรู้ซึ้งในบางสิ่ง ทว่าก็ไม่แน่ใจเล็กน้อย “ท่านจะบอกว่า…”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า “ไปรวบรวมร่างกายที่เหลือของเสินซู ซ่อมดวงวิญญาณของเขา เขาย่อมจำวิธีคลายตะปูตอกวิญญาณได้อยู่แล้ว นี่เงื่อนไขที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะช่วยเจ้า ข้าตอบรับแทนเจ้าไปก่อนแล้ว เจ้าจะอยู่ที่เมืองหลวงนานเช่นนี้ ควรจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย”
สวี่ชีอันอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ ส่ายหน้าทอดถอนใจ
“ท่านโหราจารย์ ท่านกำลังทำให้ข้าลำบากใจ ตอนนี้ข้าสูญเสียพลังบำเพ็ญจนสิ้น ออกไปเมืองหลวงก็เป็นเนื้อเข้าปากเสือน่ะสิ สวี่ผิงเฟิงไอ้สารเลวไม่เจียมตัวนั่น เกรงว่าจะกำลังน้ำลายไหลรอข้าอยู่ นอกจากนี้ แม้ข้าจะเลี่ยงอีกฝ่ายได้ ทว่าข้าก็ไม่มีพลังบำเพ็ญ แล้วจะไปรวบรวมชิ้นส่วนของเสินซูได้อย่างไร”
สิ่งที่จนปัญญาที่สุดคือ ไม่มีแม้แต่ความเป็นไปได้ที่เขาจะรื้อฟื้นวิทยายุทธ์
หากจะฟื้นคืนพลังบำเพ็ญ จำเป็นต้องรวบรวมเศษซากของเสินซู หากจะรวบรวมเศษซาก นี่ก็ต้องเกิดเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบ
จงหลีเดินเข้ามาและยื่นมือออกมาอย่างระมัดระวัง ขยี้ศีรษะเขาแสดงการปลอบใจ
สวี่ชีอันหันกลับมาปรายตามองนาง ศิษย์พี่จงรีบอธิบายอย่างอ่อนแรง “ต้มยาเรียบร้อยแล้ว ดื่ม ดื่มยา…”
“จงหลี เจ้าเป็นศิษย์พี่หญิงของเขา ไม่ต้องกลัวเขาขนาดนั้นก็ได้” ท่านโหราจารย์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จงหลีมองไปที่สวี่ชีอัน นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่ใต้เส้นผมอันยุ่งเหยิงเป็นประกายขึ้น
ท่านป้า นี่กั้วเอ๋อร์เอง…สวี่ชีอันเบ้ปาก หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงหยอกล้อจงหลี ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จริงๆ
ทั้งรวบรวมพลังมังกรและรวบรวมเศษซากเสินซูล้วนเป็นภารกิจที่ยากลำบาก เขาก็แค่คนไร้ประโยชน์
บัดนี้เขาได้ยินท่านโหราจารย์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โชคชะตาอยู่ข้างกายเสมอ”
สิ้นเสียงท่านโหราจารย์ก็ยกเท้าย่ำลง ค่ายกลก็สว่างขึ้นในทันใด แผ่ขยายค่ายกลเส้นผ่านศูนย์กลางสามเมตรออกไป
ในค่ายกลเงาคนประจักษ์ชัดออกมา ลี่น่าในชุดกระโปรงสีอ่อนและมวยผมแบบที่สาวน้อยนิยมทำในปัจจุบัน ผิวสีข้าวสาลี ใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากปราศจากสีเลือด กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นท่าทางน่าสังเวชของลี่น่า สวี่ชีอันกับฉู่ไฉ่เวยก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน
“นางเป็นอะไรไป”
ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยเสียงดังด้วยสีหน้าร้อนใจ
ท่านโหราจารย์กวาดสายตามองลูกศิษย์ตัวน้อย แล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผลจากการกินของมั่วซั่วน่ะสิ”
ฉู่ไฉ่เวยสีหน้าแข็งทื่อ ปากเล็กอ้าน้อยๆ ชะงักอยู่ตรงนั้น
ท่านโหราจารย์ถอนสายตากลับอย่างพอใจ ควบคุมลี่น่าให้ลอยล่องมาอยู่ตรงหน้าเขา ปลายนิ้วทั้งสองทิ่มแทงเข้าที่ท้องน้อยของลี่น่า แล้วหนีบแมลงสีขาวหยกตัวหนึ่งคล้ายแมงป่องมีหกขาออกมาจากด้านใน
มีดวงตาสีดำสองดวงอยู่บนหัว น่ารักมากทีเดียว
มันอยู่บนปลายนิ้วของท่านโหราจารย์ คลุ้มคลั่งบิดตัวไปมาก่อนจะสงบลง
กะ กินกระทั่งของสิ่งนี้ ถึงอย่างไรก็กำจัดหัวออกก่อนสิ…ฉู่ไฉ่เวยถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ จ้องมองลี่น่าด้วยแววตาซับซ้อน
ท้องน้อยของลี่น่าเลือดไหลเป็นทาง ทว่าสีหน้าของนางกลับผ่อนคลายราวกับหลุดพ้น
“นี่คืออะไร”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เขารู้สึกเหมือนแมลงประหลาดตัวนี้กำลังจ้องมาที่ตน
อีกทั้งแววตาของเจ้าแมลงยังมอบภาพลวงตาที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา
ท่านโหราจารย์จ้องมองเจ้าแมลงสีหยกพร้อมเอ่ย
“แมลงกู่ชนิดใหม่ โดยมนุษย์เพาะเลี้ยงขึ้นมา ส่วนชื่อนั้นก็ต้องถามแม่สาวน้อยคนนี้แล้ว”
แมลงกู่ของซินเจียงตอนใต้แบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งเป็นแมลงกู่ที่รู้จักกันดี มีเผ่าพันธุ์ทั่วไปและขยายพันธุ์ได้ตามปกติเหมือนกับสัตว์
อีกชนิดหนึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์เพาะเลี้ยงขึ้น
ซึ่งอย่างหลังมิอาจสืบพันธุ์ตามปกติได้ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์
แมลงสีหยกในมือท่านโหราจารย์นี้ก็คืออย่างหลัง
“มันชื่อว่าชีเจวี๋ยกู่ ก่อนที่ข้าจะออกจากซินเจียงตอนใต้ แม่ย่าเทียนกู่มอบให้ข้า นางบอกว่าผู้ถูกลิขิตที่มองเห็นชีเจวี๋ยกู่นั้นอยู่ที่จงหยวน”
ลี่น่าจิบน้ำที่ฉู่ไฉ่เวยยื่นมาให้และเนื้อแผ่นที่นางแบ่งมาให้ กินอย่างสุขใจพลางเอ่ย
“แม่ย่าบอกว่าของสิ่งนี้สำคัญมาก ข้าจึงกลืนมันลงท้องเพื่อไม่ให้ทำหาย ยามปกติที่มันอาศัยอยู่ในร่างกายของข้าก็สงบเสงี่ยมดี ไม่รู้ทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงก่อจลาจลขึ้นมา”
พูดมามากมายก่ายกองก็ยังไม่พูดให้ชัดเจนว่าชีเจวี๋ยกู่คืออะไรอยู่ดี…สวี่ชีอันพูดแขวะ
ท่านโหราจารย์หนีบแมลงในมือพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชีเจวี๋ยวกู่ อย่างไรก็คือแมลงตามชื่อ”
เขาชะงักก่อนจะอธิบายแทนลี่น่า
“เผ่าพันธุ์กู่มีทั้งหมดเจ็ดเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างขึ้นตามเจ็ดสำนัก โดยแบ่งออกเป็นเทียนกู่ ลี่กู่ ซินกู่ ฉิงกู่ เย่ากู่ อั้นกู่ และซือกู่ โดยกู่ทุกชนิดจะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นี่ก็คือชีเจวี๋ยกู่ ซึ่งผสมผสานทั้งเจ็ดสำนัก รวบรวมพลังของเผ่าพันธุ์กู่ให้อยู่ในร่างเดียว”
ลี่น่าพยักหน้าไม่หยุด “แม่ย่าแห่งเทียนกู่บอกว่าสามีของนางใช้เวลาครึ่งชีวิตหลอมขึ้นมา แต่ก็ยังหลอมไม่เสร็จสมบูรณ์ แม่ย่าใช้เวลายี่สิบปี ในที่สุดก็ทำมันสำเร็จ ซึ่งเป็นกู่ที่ร้ายแรงมาก”
รวบรวมกู่ทั้งเจ็ดหลอมอยู่ในร่างเดียวหรือ ของดีเลยนี่…สวี่ชีอันจ้องมองชีเจวี๋ยวกู่คล้ายแมงป่องสีหยกแล้วเอ่ย
“รูปลักษณ์ภายนอกของมันไม่เข้ากับภายในของมันแม้แต่น้อย”
ท่านโหราจารย์ส่ายหน้า “มันยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ มิเช่นนั้นสาวน้อยคนนี้คงตายไปแล้ว”
ลี่น่านึกกลัวขึ้นมา
“ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว”
ท่านโหราจารย์โยนชีเจวี๋ยกู่ไปตรงหน้าสวี่ชีอัน
“ให้ข้าหรือ”
สวี่ชีอันตะลึงงัน
“แน่นอนว่าให้เจ้า” ท่านโหราจารย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งยิ้ม “เฒ่าเทียนกู่ร่วมมือกับปีศาจเดินเท้าขโมยโชคชะตาเพื่อผนึกเทพเจ้ากู่ หากเดาไม่ผิด หากปีศาจเดินเท้าได้รับโชคชะตา ก็จะต้องรับเหตุต้นผลกรรมที่ผนึกเทพเจ้ากู่ งั้นหากเขาไม่ได้รับโชคชะตาล่ะ เฒ่าเทียนกู่คงจะพิจารณาความเป็นไปได้นี้แล้ว จึงหลอมชีเจวี๋ยกู่ขึ้นมา หากปีศาจเดินเท้าไม่ได้รับโชคชะตาส่วนนั้น งั้นเหตุต้นผลกรรมนี่ก็จะโยนไปที่ร่างเจ้าผ่านชีเจวี๋ยวกู่ เจ้าก็คือผู้ถูกลิขิตที่แม่ย่าเทียนกู่ว่ามา”
สวี่ชีอันเงียบไป
ท่านโหราจารย์เอ่ย
“หากรับชีเจวี๋ยกู่ เจ้าจะมีพลังต่อสู้เป็นเลิศที่ไม่ธรรมดาในเวลาอันสั้นได้ หากเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะท่องยุทธภพ รวบรวมชีพจรมังกร ค้นหาชิ้นส่วนของเสินซู และดึงตะปูตอกวิญญาณออกมาได้ นอกจากนี้เทียนกู่มีลักษณะพิเศษที่ยัง ‘ไม่ถูกค้นพบ’ นี่เป็นสิ่งที่มีน้อยในโลก วิธีที่จะควบคุมวิชามองปราณ มันจะช่วยให้เจ้าไม่ถูกสวี่ผิงเฟิงตามรอยระหว่างที่ท่องยุทธภพได้ ภัยคุกคามหนึ่งเดียวของเจ้าคือพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่มีร่างธรรมธุดงค์ แต่นางถูกข้าไล่กลับดินแดนประจิมทิศไปแล้ว แน่นอนว่าเจ้าจะปฏิเสธไม่รับของกำนัลนี้ก็ได้ ไม่มีใครบังคับเจ้า”
ข้าจะปฏิเสธได้หรือ ตอนนี้มันเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของข้า ต่อหน้ากลยุทธ์เผย กลยุทธ์ลับทั้งหมดล้วนเป็นของเด็กน้อยทั้งสิ้น…ท่านโหราจารย์ตกพระโพธิสัตว์หญิงจากดินแดนประจิมทิศก็เพื่อปูทางให้ข้าได้ท่องยุทธภพงั้นหรือ อ่า เฒ่าเหรียญเงินปากผีนี่ทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัยเต็มเปี่ยม…ความคิดของสวี่ชีอันทยอยปรากฏ
ทว่าเขาก็ไม่รู้สึกเสียเปรียบเลย คนพรรค์นั้นย่อมต้องจัดการเรื่องราวแทนข้าอยู่แล้ว
ท่านโหราจารย์ทอดมองมาที่เขา แล้วเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ “รับเป็นนายด้วยเลือดสักหยดเถอะ”
สวี่ชีอันเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า “ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ ขอเวลาหนึ่งวัน”
………………………………………………………..