ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 497-2 นักเดินทางหนุ่ม (2)
บทที่ 497 นักเดินทางหนุ่ม (2)
ณ สำนักราชเลขาธิการ สมุหราชเลขาธิการหวางประทับตราหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการลงบนประกาศ จากนั้นก็ให้เจ้าพนักงานส่งไปยังพระราชวัง
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างออกแล้วไล่สายตามองตั้งแต่สวนไปจนถึงท้องฟ้าสีครามสดใส
สมุหราชเลขาธิการหวางเหม่อมองอย่างเงียบงัน รู้สึกเพียงแค่ท้องฟ้าในวันนี้สดใสเป็นพิเศษ
ยุคสมัยใหม่มาถึงแล้ว!
…
อาณาจักรไม่อาจไร้จักรพรรดิได้ แต่เรื่องที่เร่งด่วนกว่าก็คือการชี้แจงความจริง การส่งรายงานไปยังท้องที่ต่างๆ ติดประกาศเรื่องราวภัยพิบัติในเมืองหลวงตั้งแต่ต้นจนจบ ออกประกาศแจ้งให้ชาวเมืองหลวงรับรู้เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
ยิ่งยื้อเรื่องแบบนี้ออกไปนานเท่าใด ก็ยิ่งก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ง่ายเท่านั้น
เพื่อแสดงว่าตนแตกต่างจากบิดา หลังจากหารือเรื่องนี้เมื่อคืนก่อน องค์รัชทายาทจึงมีรับสั่งให้สำนักบัณฑิตฮั่นหลินร่างประกาศออกมาทันใด จากนั้นก็ยื่นไปให้สำนักราชเลขาธิการอนุมัติ สุดท้ายในยามเหม่าของวันนี้ (05.00 – 06.59) จึงนำประกาศไปติดบนกระดานประกาศที่อยู่ในแต่ละประตูของเมืองหลวง
ยามฟ้าสาง เมื่อเห็นว่าในที่สุดราชสำนักก็จะให้ข้อสรุปออกมาแล้ว ผู้คนจึงออกมารวมตัวกัน
“บนประกาศเขียนอะไรไว้ คนรู้หนังสือมาดูหน่อยซิ”
“เจ้าอย่ามาถามข้า ข้ารู้ตัวอักษรแค่นิดเดียว แต่อักษรที่พวกเขาเขียนขึ้นมาข้าอ่านไม่ออกเลยสักนิด”
สิ่งของประเภทบทความประกาศแบบนี้ ใช่ว่ารู้ตัวอักษรแล้วจะอ่านรู้เรื่อง แต่จะต้องมีความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมพอสมควรด้วย
เจ้าพนักงานที่ยืนอยู่ข้างกระดานประกาศเอ่ยตำหนิ “เงียบ!”
ระดับความรู้ด้านวัฒนธรรมของประชาชนในยุคนี้ไม่สูงนัก ส่วนใหญ่จึงอ่านเนื้อหาในประกาศไม่รู้เรื่อง ดังนั้นในวันที่ออกประกาศมา ทางการจึงได้จัดให้เจ้าพนักงานคนหนึ่งมาอ่านและอธิบายเนื้อหาในประกาศทุกๆ ชั่วยาม
หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ข่าวใดๆ ก็ล้วนแต่แพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอ่านให้ฟังอีก
ประชาชนคุ้นชินมานานแล้ว จึงหยุดพูดคุยทันทีแล้วฟังเจ้าพนักงานอ่านออกเสียง
เจ้าพนักงานอ่านประกาศจบ ชาวเมืองส่วนใหญ่ต่างก็เข้าใจในที่สุด ดังนั้นจึงเกิดเสียงเอะอะเซ็งแซ่ขึ้นทันใด
“จักรพรรดิโง่เขลา!”
“ตอนแรกก็บำเพ็ญธรรมตั้งยี่สิบปี ต่อมาก็ถูกสำนักพ่อมดหลอกลวงจนทำร้ายแม่ทัพของต้าฟ่ง จักรพรรดิโง่เขลาเช่นนี้หายากนักในประวัติศาสตร์ของต้าฟ่ง”
“น่าเสียดายทหารแปดหมื่นกว่าคนเหล่านั้น กลับถูกจักรพรรดิโง่เขลาทำร้ายจนสิ้นชีพ ที่น่าเสียดายยิ่งกว่าคือต้องสูญเสียเสาหลักของอาณาจักรอย่างเว่ยกงไปเปล่าๆ…”
“ช่างน่าอายนัก คราวก่อนข้ากลับก่นด่าเว่ยกงเสียๆ หายๆ เขาเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง เป็นเสาหลักของอาณาจักรอย่างแท้จริง”
บางคนถอนหายใจอย่างละอาย บางคนก็ตีอกชกหัวอย่างไม่พอใจ
ชายชราผู้หนึ่งที่กำลังขนของมากมายร้องไห้น้ำตาเป็นสาย เขาทุบอกตัวเองพลางโอดครวญไปด้วย
“เว่ยกงตายอย่างไม่ยุติธรรม เว่ยกงเป็นคนระดับไหนกัน เมื่อปีนั้นตอนยุทธการด่านซานไห่เขาก็เอาชนะมาได้ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายต้องตายเพราะเงื้อมมือของจักรพรรดิโง่เง่า…”
“โชคดีที่ยังมีฆ้องเงินสวี่ช่วยออกหน้าทวงความยุติธรรม”
ชาวบ้านคนหนึ่งดวงตาแดงก่ำ เขากำหมัดและเอ่ยลอดไรฟันออกมา
“หากไม่มีฆ้องเงินสวี่ ไม่ใช่แค่แม่ทัพแปดหมื่นกว่านายและเว่ยกงที่จะเสียสละชีวิตโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น เพราะแม้แต่พวกเราก็ยังต้องทนทุกข์ด้วย ช้าเร็วพวกสำนักพ่อมดก็จะเข้ามาเหยียบในเมืองหลวงแน่”
“ใช่ โชคดีที่มีฆ้องเงินสวี่ แค่มีฆ้องเงินสวี่อยู่ ต้าฟ่งของพวกเราก็ยังมีความชอบธรรม”
“ฆ้องเงินสวี่สามารถสังหารขุนนางสุนัขได้ ทั้งยังสังหารจักรพรรดิโง่เขลาได้ด้วย”
“ตั้งแต่ต้นข้าก็รู้แล้วว่าฆ้องเงินสวี่ทำถูกต้อง เขาไม่มีทางสังหารจักรพรรดิโดยไม่มีเหตุผลหรอก วันนั้นตอนที่ไปยังพระราชวังเขาก็พูดแล้วว่าจักรพรรดิโง่เขลาไร้คุณธรรม พวกเรายังไม่เชื่อการตัดสินของฆ้องเงินสวี่อีกหรือ”
“คนอื่นไม่เชื่อ แต่ข้าเชื่อฆ้องเงินสวี่มาโดยตลอด”
ชาวเมืองต่างเกลียดชังจักรพรรดิโง่เขลา ในขณะที่รู้สึกเสียใจต่อแม่ทัพแปดหมื่นนายและเว่ยเยวียน พวกเขาก็สรรเสริญอย่างจริงใจที่ต้าฟ่งยังมีฆ้องเงินสวี่อยู่ ราวกับว่าเขากลายเป็นตัวแทนแห่งคุณธรรมในสายตาของประชาชนไปแล้ว
ส่วนพวกคนอนุรักษนิยมทั้งหลายที่เกิดความสงสัยต่อเหตุผลในการสังหารจักรพรรดิ ตอนนี้ต่างก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา
ฆ้องเงินสวี่ก็คือฆ้องเงินสวี่ ไม่เคยเปลี่ยนไป
“ข้าว่านะ ให้ฆ้องเงินสวี่ขึ้นเป็นจักรพรรดิตรงๆ ไปเลยดีกว่า”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยสิ่งที่ตนคิดอยู่ในใจออกมาอย่างลืมตัว
บรรยากาศวุ่นวายพลันเงียบลงทันใด ประชาชนทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมาแต่กลับไม่มีใครเอ่ยค้าน พวกเขาพากันตกอยู่ในความเงียบงันอันแปลกประหลาดแทน
เนื้อหาในประกาศแพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ประชาชนต่างก็มีปฏิกิริยาที่ดุเดือด เมื่อเอ่ยถึงจักรพรรดิโง่เขลา พวกเขาก็จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และเมื่อเอ่ยถึงสวี่ชีอัน พวกเขาก็จะเอ่ยปากชื่นชม
ถึงขั้นมีบางคนร้องไห้น้ำตานองแล้วพูดออกมาตรงๆ ว่าฆ้องเงินสวี่คือผู้ที่สวรรค์ส่งลงมาช่วยเหลือต้าฟ่ง ไม่ใช่แค่เป็นคนดีแห่งต้าฟ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นดาวนำโชคผู้ช่วยเหลือต้าฟ่งด้วย
เขาสังหารกองทัพศัตรูไปสามแสนคนด้วยตัวคนเดียวที่ด่านอวี้หยาง จากนั้นก็สังหารจักรพรรดิโง่เขลา ขับไล่สายลับจากสำนักพ่อมดที่คิดจะล้มล้างต้าฟ่ง แบบนี้ไม่ใช่ดาวผู้ช่วยเหลือหรอกหรือ
แน่นอนว่าต้องมีผู้ที่เสียดายเว่ยเยวียนอยู่ด้วย โชคดีที่หลังจากเว่ยเยวียนเสียไป ต้าฟ่งก็ยังมีสวี่ชีอัน จิตใจของประชาชนจึงได้มีที่พักพิงใหม่
หลังจากเว่ยเยวียน ต้าฟ่งก็ยังมีสวี่ชีอัน…ชายชุดครามผู้นั้นจากไปโดยไม่เสียดายอะไรแล้ว
…
ณ เมืองชั้นใน จวนแห่งหนึ่ง
มู่หนานจือนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กแล้วฟังป้าจางพูดถึงเนื้อหาในประกาศเสียงเจื้อยแจ้ว เมื่อเอ่ยถึงจักรพรรดิผู้โง่เขลา นางและป้าจางก็แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาแล้วก่นด่าวิจารณ์กันเสียงดัง
เมื่อเอ่ยถึงเว่ยเยวียน นางและป้าจางก็จะเสียดายที่เสาหลักของอาณาจักรผู้นี้ต้องพังทลาย และเสียดายเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งแปดหมื่นนายที่สิ้นชีพอยู่ในดินแดนของสำนักพ่อมด
นางเหมือนกับหญิงในตลาดที่กำลังนั่งซุบซิบอยู่ในตรอกกับพวกสตรีที่ออกเรือนแล้ว
เมื่อเอ่ยถึงฆ้องเงินสวี่ ป้าจางก็เอ่ยชมไม่หยุดปาก นางกล่าวว่า “หากข้าเด็กกว่านี้สักยี่สิบปี จะต้องเลือกฆ้องเงินสวี่เพียงผู้เดียวเหมือนกับหญิงสาวคนอื่นๆ แน่”
มู่หนานจือมีสีหน้าเลิ่กลั่ก
“จริงสิ มู่เหนียงจื่อ[1] สามีของท่านไม่ได้กลับมาตั้งนานแล้วนี่นา”
ป้าจางเอ่ยถาม
แต่ก่อนเขาจะกลับมาเพื่อแสดงความรักกับภรรยาอยู่บ่อยๆ แต่ช่วงก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา จากนั้นนางก็ไม่เคยเห็นสามีของมู่เหนียงจื่ออีกเลย
“อ้อ เขาค่อนข้างงานยุ่งน่ะ”
มู่หนานจือเอ่ยเสียงเบา
อารมณ์ของนางดิ่งลงมาฉับพลัน นางไม่ได้มีความสุขนัก ทั้งยังนำมือวางไว้ใต้คางแล้วเหม่อมองดอกไม้สดใสที่บานอยู่เต็มลานพลางถอนหายใจเสียงแผ่ว
‘ตึงๆๆ’
มีเสียงเคาะประตูดังมาจากที่ลานเรือน สีหน้าอึมครึมของมู่หนานจือพลันสว่างสดใสขึ้นในพริบตา แต่ก็ลดลงมาอย่างรวดเร็ว อย่าได้โผล่หน้าไป อย่าได้ออกไปเปิดประตู
ป้าจางหัวเราะเบาๆ ในใจคิดว่าสามีของนางคงจะกลับมาแล้ว ฮูหยินน้อยจึงกำลังแง่งอนอยู่
จึงเดินไปเปิดประตูให้เอง
เมื่อประตูลานเรือนถูกเปิดออก ก็พบกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าธรรมดาแต่บุคลิกอ่อนโยนผู้หนึ่งกำลังจูงม้ายืนอยู่หน้าประตู
เขาคือสามีของมู่เหนียงจื่อ
“ข้าจะออกจากเมืองหลวงแล้ว เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”
มู่หนานจือไม่สนใจเขา
“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ”
เขาจูงม้าแล้วหันกายจะเดินจากไป
“นี่!” นางตะโกนเรียก
“หืม?”
“ข้าจะพักในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด”
“ได้”
“ต้องมีเนื้อทุกมื้ออาหาร”
“ได้”
“ต้องมีแป้งชาดทาหน้า”
“ได้”
“ห้ามรังแกข้าด้วย”
“ได้”
“เช่นนั้น ข้าไปด้วยก็ได้’”
…
สวนเต๋อซิน
ฮว๋ายชิ่งกางแผ่นกระดาษเซวียนจื่อแล้วยกพู่กันเขียนลงไปว่า “ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเจ้า”
และเขียนต่ออีกว่า “ขอให้เจ้ารักษาตัว!”
เมื่อเขียนเสร็จ นางก็ขึ้นไปบนอาคารแล้วทอดมองไปไกลๆ เหม่อมองฟ้าพลางจมอยู่ในภวังค์ความคิด
…
ตำหนักเส้าอิน
หลินอันสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ทั้งไม่พูดจาและไม่นั่งลง เพียงเหม่อมองอยู่เงียบๆ
หลังผ่านไปเนิ่นนาน นางก็พึมพำเสียงเบา “หวังว่าเจ้าจะกลับมา”
…
ณ หอดูดาว
หลี่เมี่ยวเจินนั่งอยู่ขอบเตียงนอนอย่างโมโห ท่าทางเปี่ยมโทสะยิ่ง
สวี่ชีอันไม่ยอมเป็นสหายร่วมเดินทางไปกับนาง บอกว่าเทพธิดานิกายสวรรค์สะดุดตาเกินไปราวกับคบเพลิงกลางความมืดมิด จึงดึงดูดให้ศัตรูมาพบปะกันได้ง่าย
เหตุผลนี้ทำให้หลี่เมี่ยวเจินไร้วาจาจะกล่าว
“ตัวไม่ได้เรื่องอย่างเขามีวิชากู่เล็กน้อยแค่นั้นจะไปทำอะไรได้ คนคนเดียวจะท่องไปในยุทธภพได้อย่างไรกัน” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างโมโห
“เจ้าผู้ชายหน้าเหม็น คงจะพาหญิงสาวคนอื่นไปด้วยสิท่า” ซูซูเอ่ยเสียงเบา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ยังจะมีหญิงสาวคนอื่นที่ไหนอีกล่ะ คนอื่นเขาล้วนอยู่ในเมืองหลวงกันหมดแล้วมิใช่หรือ” หลี่เมี่ยวเจินพร่ำบ่น
“แล้วหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งผู้นั้นล่ะเจ้าคะ?” ซูซูเติมเชื้อเพลิงลงไปอย่างใจคับแคบ
สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงทันใด!
ณ ชั้นเจ็ด
ที่ประตูของห้องลับแห่งหนึ่ง ไต้ซือเหิงหย่วนยืนอยู่บนทางเดินด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางทั้งประหม่าและรอคอย
ฉู่หยวนเจิ่นกับเขายืนเคียงบ่ากัน เขาเอ่ยเสียงทุ้มออกมา
“วิธีการของซ่งชิงจะได้ผลหรือ”
เหิงหย่วนส่ายหน้า “มิทราบ แต่โดยรวมแล้วต้องขอบคุณนักบวชหลี่ที่ช่วยสกัดวิญญาณของเขา”
ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “ความกังวลเดียวที่ทำให้อาตมารั้งอยู่เมืองหลวงก็คือเขา หากเขาได้รับชีวิตใหม่ อาตมาก็สามารถออกจากเมืองหลวงแล้วท่องไปทั่วยุทธภพเพื่อตามรอยใต้เท้าสวี่ได้”
…
ในห้องลับ เด็กคนหนึ่งลืมตาขึ้น
เขาจ้องมองเพดานอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตัวเองถึงมาปรากฏตัวอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตาในตอนนี้
เด็กน้อยหยัดตัวนั่งแล้วเอ่ยเสียงพูดออกมาตามสัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัว “ขอ ให้ ร่ำ รวย…”
เขาเบิกตาโตอย่างตกตะลึง นี่ไม่ใช่เสียงของเขา
เขามองไปรอบๆ ก็เห็นศพของหมาดำตัวใหญ่นอนอยู่บนเตียงไม้ข้างๆ
เขามองศพหมาดำตัวนั้นอย่างอึ้งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม แยกไม่ออกว่าเป็นความเสียใจหรือว่าดีใจ
เด็กชายลุกขึ้นยืนโงนเงนแล้วก้าวเท้าเหมือนเด็กวัยหัดเดิน ราวกับทารก
เขาดีใจที่ได้รับชีวิตใหม่จึงเริ่มมีความกล้ามากขึ้น มองไปยังศพอีกศพในห้องลับที่นอนอยู่บนพื้นราบและคลุมด้วยผ้าขาว
เด็กชายเดินโงนเงนไปหาพร้อมกับความสงสัยใคร่รู้ จากนั้นก็เปิดผ้าคลุมสีขาวออก
ใต้ผ้าคลุมสีขาวคือชายผู้สวมชุดสีคราม จอนผมเป็นสีขาวดอกเลา ใบหน้าหล่อเหลา
เขามีลมหายใจแผ่วเบา แต่ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้ว
…
นอกเมือง ชายผู้มีใบหน้าธรรมดาจูงแม่ม้าน้อยคล่องแคล่วแข็งแรงตัวหนึ่ง บนหลังม้ามีหญิงสาวใบหน้าธรรมดาผู้หนึ่งนั่งอยู่
เกื้อหนุนกันและกันดั่งสวรรค์สรรค์สร้าง
“ไปกันเถอะ ไปท่องยุทธภพกัน” เขาเอ่ยยิ้มๆ
หญิงสาวท่าทางธรรมดาตอบรับด้วยคำว่า ‘อืม’
ชายหนุ่มหัวเราะร่า “ยุทธภพ ข้ามาแล้ว!”
หญิงสาวใบหน้าธรรมดากลอกตาใส่
“ข้าจะร้องเพลงให้เจ้าฟังดีหรือไม่”
“ไม่เอา”
นางปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่ง
…
เคยเฝ้าฝันว่าจะถือดาบท่องไปทั่วหล้า
มองดูความรุ่งโรจน์ของโลกา
จิตใจผู้เยาว์กอปรด้วยความบ้าระห่ำ
ยามนี้ทะเลทั้งสี่ล้วนคือบ้าน
………………………………………………..
[1] มู่เหนียงจื่อ (慕娘子) เหนียงจื่อ เป็นคำที่ใช้เรียกสตรีที่แต่งงานแล้ว ใช้ต่อหลังจากแซ่สกุล